คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #255 : Extra Log 251: Turn Bringer
Extra
Log 251: Turn Bringer
“แฟรนเซียม...”
อิงศรกล่าว
ตาเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยตกอยู่ในอาการตะลึงงึนงัน
สาเหตุก็เป็นเพราะชายผู้ที่น่าจะตายไปแล้วอย่างน้อย 3 ครั้งได้
ตายในฐานะกบฏของธุวดารกะ
ตายในฐานนะราชาของมนุษย์ต่างดาว
ตายในฐานะขวากหนามสุดท้ายก่อนการเผชิญหน้ากับพระเจ้า
แล้วถึงแม้ว่าความตายในครั้งที่สามเขาเป็นคนมอบมันให้กับมือเองก็ตาม
ชายผู้นั้นก็ยังกลับมายืนอยู่ตรงหน้าได้อีก
“ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่”
อิงศรกล่าวความในใจออกไป
ออร์ฟี่ที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาพูด
“ผมคืนชีพให้พวกเขาเพื่อค้นหาความจริงน่ะ”
“ความจริงงั้นเหรอ...หรือว่านายรู้เรื่องอะไรบ้างแล้ว”
ออร์ฟี่พยักหน้าแต่ยังไม่ทันจะได้พูด
“คือว่า...”
สมุนของราหู
ผู้หญิงผมขาวซึ่งประดาบกับลิเธียมอยู่สลัดหลุดจากการไล่ตามมาได้ ในจังหวะนั้นหล่อนถอดแขนที่เป็นเคียวออกข้างหนึ่งแล้วขว้างมันมาทางนี้
“อันตราย!”
มิ่งขวัญวัย 15
ตะโกนพลางเอาตัวเข้ามาบังพี่ชาย ยกโล่ขึ้นป้องกันเคียวที่หมุนติ้วมาที่นี่
เคียวกระแทกเข้ากับโล่แล้วกระดอนออก
มิ่งขวัญคิดว่าภัยอันตรายที่คืบคลานมายังพี่ชายได้หมดลงไปแล้ว
แต่ทว่าเขาคิดผิด
ผู้หญิงผมขาวทุ่มสุดชีวิตของหล่อนถอดเคียวจากแขนอีกข้างและขาทั้งสองข้าง
ขว้างพวกมันมาก่อนที่ลิเธียมจะตวัดดาบสับร่างนั้นขาดเป็นสอง
เคียวที่บินดิ่งตรงมานั้นหมุนควงจากากรขว้างทำให้มันเคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนจนไม่อาจคาดเดาทิศทางได้
ไม่สามารถใช้โล่รับเอาไว้เหมือนกับอันก่อนหน้านี้ได้
มีแต่ต้องปัดมันให้ร่วงก่อนจะมาถึงเท่านั้น
มิ่งขวัญไถลมือไปกับเรเปีย
“รอยัลเซเบอร์”
แสงสว่างห่อหุ้มใบดาบของเรเปีย
มิ่งขวัญตวัดมันออกไปพร้อมกับร่ายสกิลต่อเนื่อง
“บริโอแน็ค!”
แสงจากใบดาบยืดยาวออกไป
มิ่งขวัญตวัดดาบปัดเคียวร่วงไปได้สองอันแต่เหลืออีกหนึ่งอันที่ปัดทิ้งไม่ทัน
“ชิ”
มิ่งขวัญเดาะลิ้นพลางออกแรงบิดข้อมือตัวเองเพื่อดึงดาบกลับมา
สายตาจับจ้องไปที่เคียวซึ่งกำลังหมุนติ้ว กะจังหวะแล้วตวัดดาบเพื่อสอบมันให้ร่วง
แต่เพราะฝืนบังคับใช้แรงบิดข้อมือแล้วดึงกลับกะทันหันทำให้ควบคุมทิศทางการฟันได้ไม่ดีนัก
ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยนั่นทำให้ดาบตวัดพลาดไปจากเคียว
เคียวหมุนติ้วตรงเข้ามา
ตำแหน่งนั้นเล็งมาที่คอของมิ่งขวัญ
“ขวัญ!”
อิงศรตะโกน
เขาจับดาบแล้ววิ่งออกไปจะช่วยน้องชายแต่ว่ามันไม่น่าจะทันการ
เคียวน่าจะฝังเข้าไปที่คอของมิ่งขวัญก่อนที่เขาจะไปถึง
ปัง
เสียงปืนดังขึ้นคล้ายเสียงคำราม
ลูกกระสุนบินตัดหน้าอิงศรไปแล้วชนเข้ากับเคียวทำให้มันกระเด็นไปทางอื่นจนกระทั่งร่วงหล่นลงสู่พื้น
“เกือบไป
เกือบไป ถ้าเจ้าศรวิ่งออกมาเร็วกว่านี้ได้กินลูกปืนแทนแน่”
เสียงนั่นมัน...
อิงศรหันไปยังทิศที่ลูกกระสุนพุ่งมา
เจ้าของเสียงนั่นเขาจำมันได้เป็นอย่างดี
“ข้าวหลามก็ด้วยเรอะ”
ชายหนุ่มเรือนผมสีทองยืนแบกปืนไรเฟิลที่ประกอบจากปืนสั้นสองกระบอกด้วยสกิลเทคนิคัลเวพ่อนพาดไว้บนบ่า
กำลังจับจ้องมาทางนี้
ดูเหมือนว่าที่ออร์ฟี่คืนชีพให้จะไมได้มีแค่แฟรนเซียมเท่านั้น
ข้าวหลามแบกปืนวิ่งเข้ามาสมทบกับพวกเขา...
ให้ถูกคือตามมาสมทบกับแฟรนเซียม หรือสิงห์นั่นเอง
ถึงจะฟื้นคืนชีพกลับมาก็ยังเป็นลูกน้องที่คอยรับใช้ไม่เปลี่ยนสินะ
ข้าวหลามพูดกับมิ่งขวัญตอนที่วิ่งมาถึง
“ไง ไง งาย
นึกไม่ถึงเลยเนอะว่าจะได้มาช่วยชีวิตคนที่เคยอัดตัวเองซะน่วมตอนเจอกันครั้งแรกเนี่ย”
มิ่งขวัญเหลือบสายตามองข้าวหลามโดยที่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไรกลับไป
คงเพราะสับสนกับท่าทางของหมอนี่ ซึ่งอิงศรก็เห็นด้วยและคิดว่าคนที่ควรจะต้องตอบคำถามในเรื่องนี้ก่อนเลยก็คือ
ออร์ฟี่
อิงศรถาม
“สรุปแล้วนายคืนชีพให้ใครไปบ้างเนี่ย”
“ก็เยอะเอาเรื่องอยู่นะ”
แต่แล้วแฟรนเซียมก็พูดขัดขึ้นมา
“อย่าไปถือความหาสาระกับหมอนี่เลยอิงศร
ใจความสำคัญที่นายกำลังต้องการน่ะมันอยู่ที่ฉันคนนี้”
อิงศรหันไปมองชายที่พูดให้ความสำคัญตัวเองอย่างเย่อหยิ่งนั่นด้วยสายตาเหม่อลอย
“จะว่าไปคนที่เป็นต้นเรื่องก่อนมันคือนายนี่นะ
สรุปว่าที่ผ่านมานายเต้นตามที่เจ้าราหูนี่มันสั่งมาตลอดเลยงั้นสิ”
“ก็ไม่ผิดจากที่นายพูดนักหรอกแต่ว่าฉันเคยพูดไปแล้วตอนที่อยู่บนลิฟต์นะว่าพยายามขัดขืนมันมาตลอดแต่ว่าคนที่โดนมันหลอกใช้แล้วคอยบงการอยู่เบื้องหลังดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแต่ฉันแล้วสิ”
แน่นอนว่าคนที่แฟรนเซียมพูดถึงอยู่ก็คือตัวเขาเองและอาจจะรวมถึงพวกพ้องคนอื่นด้วย
ที่ผ่านมาอิงศรคิดอยู่เสมอว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองนั้นเสมือนกำลังเต้นอยู่บนฝ่ามือของใครบางคนมาโดยตลอด
หลายครั้งที่ผู้บงการเผยโฉมออกมาแต่ก็มักจะมีจุดที่น่าสงสัยแอบแฝงซ้อนไปอีกขั้น
แล้วผู้บงการที่พวกเขาประสบเจอมาก็กลายเป็นแค่หุ่นเชิดที่เต้นอยู่บนฝ่ามือของใครซักคนที่พวกเขาไม่รู้
ไม่รู้ถึงการคงอยู่
ไม่รู้ถึงความมีตัวตน
ก็เพราะว่าสิ่งนั้น
คนผู้นั้น
คือแอดมินิสเทรเตอร์ที่แม้แต่หมู่แอดมินิสเทรเตอร์ด้วยกันยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ
“สิงห์
มหาเทพราหู มันคืออะไรกันแน่”
อิงศรถาม...
ถามชายผู้ที่กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง คิดว่าคราวนี้คงจะอยู่ในฐานะของ สิงห์
ธุวดารกะ เสียที ดังนั้นเขาเลยคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบ
แต่คนที่จะให้คำตอบกลับกลายเป็นออร์ฟี่ที่หยิบเอาไพ่อาคานาร์ใบหนึ่งยื่นมาให้
อาคานาร์ เดอะ
ฟูล
ออร์ฟี่กล่าว
“ผมเริ่มสงสัยว่าบัลลังก์สวรรค์มันแปลกๆ
เลยลองตรวจสอบดูก็พบว่ามีใครบางคนแฮ็กเข้ามาควบคุมระบบเอาไว้
ทำให้โลกที่น่าจะย้อนกลับไปตามที่เธอขอไม่เกิดขึ้น พวกเธอแค่ถูกผมส่งจากอาคาชิกแซงค์ทัวรี่กลับลงมาที่โลกโดยที่คิดว่าระบบทำงานตามที่ผมสั่งแต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
โลกตอนนี้มีสภาพเหมือนกับแทร็กข้อมูลที่เสียหายทำให้มันย้อนกลับไปกลับมาอยู่แค่วันๆ
เดียว”
“ก็คือวนที่หนึ่งพฤศจิกายนนี่สินะ”
“ใช่
แล้วก็ตอนที่เธอตอบรับเมล์ที่พวกผมส่งมาให้จนสามารถเอาพลังกลับคืนมาได้มันก็ทำให้พวกผมดักฟังการสนทนากับมหาเทพราหูกับพวกเธอก่อนจะตามรอบมาถึงได้ด้วย”
ออร์ฟี่กล่าวจบก็เดินแยกขึ้นไปเสมอกับสิงห์
“ผมไม่เคยได้ยินหรือจำได้ถึงการมีตัวตนของแอดมินิสเทรเตอร์ราหูลาริสมาก่อนเลย”
แล้วชูอาคานาร์ที่แสดงให้เขาดูเมื่อครู่ไปยังราหู
มหาเทพเห็นเช่นนั้นก็พูดว่า
“อาคานาร์ของผู้เลือกหนทางแห่งมนุษย์
อาคานาร์ของบุตรแห่งแสง อาคานาร์ของปีศาจ
ถ้าอย่างนั้นเครื่องทำสวนเองก็ควรจะเลือกหนทางด้วยเช่นกัน…
เจ้าได้เลือกหนทางแล้วสินะ”
“ใช่
ผมเลือกทางแห่งมนุษย์ แล้วก็ทั้งอาคานาร์ปลอมใบนี้ซึ่งได้มาจากร้านกาแฟของนาย
รวมถึงเมล์นั่นด้วย ผมนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าการที่เมล์ส่งเข้ามาตอนที่ไปร้านกาแฟนั่นก็เพราะว่าตัวคนส่งคือเจ้าของร้านซะเอง
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ”
แต่อิงศรก็ทวนคำพูดนั้นด้วยความสงสัย
“เมล์แปลกๆ ?”
“ยังจำตอนที่เธอเข้ามาช่วยผมที่รากของอาคาชิกเรคคอร์ดได้รึเปล่าล่ะตอนที่พวกเฟนริล
โลกิ อลิส บุกมาน่ะ”
“จะว่าไปตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันปลดปล่อยเมอร์คาบาห์ด้วยนี่นะ”
“แล้วตอนนั้นพวกเราก็ได้ยินเสียงของผู้บงการปีศาจทั้งสามตนนั่น
ผมคิดว่ามันอาจจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างก็ได้”
แฟรนเซียมพูดเสริม
“แล้วหลักฐานที่เชื่อมโยงกันน่ะมันก็มีอยู่”
พลางก็วาดมือในอากาศ
ทำให้หน้าจอระบบเปิดขึ้นมา บนนั้นฉายภาพบันทึกตอนที่อารย-สนธยาประกาศจะลบโลกใบนี้
ภาพเงาของชายปริศนาที่จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่านั่นคือใคร
แม้ว่าอารย-สนธยา จะถูกทำลายจนล่มสลายไปแล้วก็ตาม
แฟรนเซียมกล่าว
“ตอนที่มีประกาศนี่ออกมาไม่ใช่ฝีมือของพวกฉัน
ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือเจ้าราหูนี่แหละมันปลอมตัวเป็นใครต่อใครแล้วก็แทรกซึมไปทั่วตั้งแต่แรก”
ออร์ฟี่พูด
“ผมคิดว่าเสียงของราหูเป็นเสียงเดียวกับผู้บุกรุกที่มาโจมตีผมในตอนนั้น”
สรุปแล้ว
ทุกอย่างก็เชื่อมโยงไปที่ราหูทั้งหมด
เจ้านี่คือศัตรูตัวสุดท้ายที่ควรจะต่อสู้ด้วยจริงๆ นั่นแหละ
ซีเซียมเดินขึ้นมาสมทบด้วยแล้วพูด
“เพราะงั้นตอนที่รู้ว่าเสียท่าให้ฟาวเดชั่นอีซะแล้วฉันก็เลยเสนอความคิดที่จะส่งตัวแอคทีฟระบบเกมโลกาวินาศไปให้พวกนายแต่เพื่อป้องกันไม่ให้โดนจับได้ซะก่อนที่พวกนายจะได้รับมันก็เลยทำเป็นเมล์อย่างว่าอำพรางไปความคิดฉันเจ๋งใช่ไหมล่ะ”
“งั้นนายก็รู้อยู่แล้วว่าในคำถามสุดท้ายพวกฉันจะเลือกตอบว่าอะไร...”
“เปล่าเลย
เพราะยังไงฉันก็ทำให้มันกดได้ทั้งสองปุ่มนั่นแหละจะตอบใช่หรือไม่ผลมันก็เหมือนกันอยู่ดี”
ได้ยินดังนั้นอิงศรก็พูดสบถใส่คำพูดของอีกฝ่ายไป
”แต่มันชวนสับสนนะเฟ้ย”
ซีเซียมขยิบตาลงข้างหนึ่งพร้อมกับชูนิ้วชี้แกว่งไปมา
ทำเสียงจิกจักในปากแล้วพูดว่า
“จะหลอกศัตรูมันก็ต้องหลอกพวกเดียวกันก่อนสิฉันยึดหลักการแบบนั้นแหละ”
แฟรนเซียมพูดขัดขึ้นมา
“แล้วไง
รู้สึกยังไงบ้างล่ะ การที่ได้กลืนกินพระเจ้าน่ะ”
ดูเหมือนจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาโค่นแอดมินสเทรเตอร์ที่ดูแลควบคุมโลกก่อนหน้านี้
“กลืนเหรอ
ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะพวกฉันไม่ได้…”
แต่ออร์ฟี่ก็พูดขัดมาอีก
“หมาป่าผู้ล่าพระเจ้า
เขาเรียกเธอว่าแบบนั้นเพราะเปรียบเทียบเธอกับตำนานของสกอลกับฮาติน่ะ”
“หา?”
“สกอลกับฮาติเป็นพี่น้องหมาป่าที่จะกลืนกินดวงตะวันกับดวงจันทร์ในวันพิพากษาที่ชื่อแรกนารอค”
“ตำนานนอร์ธเหมือนกับโอดินสินะ”
อิงศรตอบรับไปก่อนจะพูดตัดบทเพราะเห็นว่าคำตอบของคำถามที่เขาต้องการถูกบ่ายเบี่ยงอยู่
”ว่าแต่จะบอกมาได้รึยังพวกนายพูดกันมาขนาดนี้น่าจะรู้กันอยู่สินะตัวจริงของราหูน่ะมันคืออะไรกันแน่”
ตอนนั้นเอง
ข้าวหลามก็พาดแขนโอบไหล่เขาไว้แล้วดึงลากไป
“ให้ตายสิ
หมอนี่มันจริงจังซะจนไม่รู้เลยนะว่าที่พวกเราเบี่ยงกันไปเบี่ยงกันมาเนี่ยก็เพราะไม่รู้ว่าเจ้านั่นคือตัวอะไรนั่นแหละ
เมื่อกี้ตาเสื้อวอร์มนั่นก็ถามไปแล้วนี่”
ข้าวหลามหันกลับไปแล้วถามราหูด้วยคำถามเดียวกับที่ออร์ฟี่ถาม
“สรุปแล้วแกเป็นตัวอะไรกันแน่”
แต่มันจะตอบแน่หรือ?
ก่อนหน้านี้เขาได้ถามถึงจุดประสงค์ของมันไปแล้วว่ามีเป้าหมายอะไรแต่โดนปฏิเสธให้ไปคิดเอาเอง
แต่คราวนี้ราหูกลับจะตอบคำถามของออร์ฟี่
“มหาเทพราหูเป็นเพียงแค่บทบาทในโลกนี้เท่านั้นเมื่อมาถึงขั้นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงบทบาทนั่นอีกต่อไป”
หรือว่าจะตอบเมื่อเป็นคำถามที่ถามถึงตัวตนของมันกันนะ
ตอนที่เขาถามเจ้าของร้านกาแฟว่าเป็นใครมันก็เปิดเผยตัวเองออกมาในทันที
ออร์ฟี่ถาม
“ถ้างั้นแล้วเป็นตัวอะไรกันล่ะ”
“ผู้รุกราน
ทูตแห่งความว่างเปล่า ผู้นำมาซึ่งการพลิกกลับ ข้า...ไม่สิ”
ทันใดนั้นเอง
จากหลุมดำที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าก็มีดวงดาวสีแดงสุกสกาวจำนวนนับร้อยดวงตกลงมา
ราหูได้พูดเอาไว้ท่ามกลางท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยแสงของดวงดาวจนเกือบจะกลายเป็นสีแดง
“พวกเราคือ เทิร์นบริงเกอร์
(Turn Bringer) ยังไงล่ะ”
***เปิดตอนแรกหลังจากงดไปอาทิตย์หนึ่งก็เลทไปซะเกือบวัน ;w; เมื่อวานสารพัดปัญหารุมโถมเข้ามาเหมือนรู้งานเลยทีเดียวเจอตั้งแต่ทีวีพัง
ไฟดับ รถเมล์ไม่มี แวๆๆ
แถมเมื่อวานครบรอบเดือนแล้วเลยเข้าไปจัดการหมวดหมู่จะย้ายเรื่องกลับไปหมวดแฟนตาซีดันไปกดรักแฟนตาซีแทน
TwT อยู่ผิดที่ผิดทางไปอีกเดือนหนึ่งสินะๆๆ***
ความคิดเห็น