ตอนที่ 40 : ฮ่องเต้หน้าเหม็นและคนบ้านเดียวกัน
ค่ำคืนแสนหวานของนางกับพี่หยางต้องจบลงเพราะ ฮ่องเต้หน้าเหม็น!
“บรรยากาศยามค่ำคืนของแคว้นซานช่างสดชื่นยิ่งนัก” จู่ๆก็โพล่มา ทั้งยังมาก่อกวนนางกับพี่หยางไม่หยุด “เจ้าไม่พอใจเจิ้นหรือ เอาน่า อยู่ในวังเจิ้นอึดอัดยิ่งนัก ให้เจิ้นได้ออกมาสูดอากาศบ้าง ใช่หรือไม่สหายจ้าว”
“พระองค์ควรอยู่ในงานเลี้ยงในวัง”
“งานเลี้ยงน่าเบื่อเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจิ้นจะชอบหรือไท่หยาง นั่งดูสตรีพวกนั้นร่ายรำจนแทบหลับอยู่แล้ว”
“เช่นไรมันก็เป็นหน้าที่ของพระองค์มิใช่หรือ เป็นเหนือหัวของแผ่นดินจะออกมาเที่ยวเล่นเช่นเดิมได้เช่นไร”
“เป็นฮ่องเต้แล้วออกมาเที่ยวไม่ได้หรือ”
“ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่ามันอันตรายเพียงใด แม้จะมีองครักษ์ล้อมรอบกายก็หาได้ปลอดภัยหากเป็นพระองค์”
“อยู่กับรองแม่ทัพจ้าวยังจะกลัวสิ่งใดอีกเล่า จริงหรือไม่หมอหลิว” ไม่ต้องมาถาม ไม่อยากเสวนาด้วยสักนิด! “ช่างเป็นสตรีที่หน้าบูดหน้าบึ้งไม่น่าดูสักนิด ยังไม่ได้ชำระความที่เจ้าฝากบิดาของเจ้ามาขู่เจิ้นเลยนะ คิดว่าเจิ้นกลัวหรือ”
“ถ้าเช่นนั้นหากหม่อมฉันจะให้พี่เสี่ยวจิงเข้าไปเยี่ยมพระองค์ถึงในวังก็คงจะไปเป็นไรกระมังเจ้าเพคะ” จะให้พี่เสี่ยวจิงป่วนวังให้วุ่นไปเลย ดูสิยังจะปากดีอยู่อีกไหม “ตำหนักหายไปสักสองสามตำหนักก็คงไม่เป็นไรกระมังเพคะ”
“นี่เจ้า! บังอาจยิ่งนัก! คิดเผาตำหนักเจิ้นเชียวหรือ”
“เพคะ หม่อมฉันช่างบังอาจยิ่งนัก จะประหารหม่อมฉันหรือเพคะ” ขาข้างหนึ่งของฮ่องเต้ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อได้รับแรงกดดันจากสหายคนสนิท พี่หยางของนางช่างไม่เกรงกลัวอาญายิ่งนัก เช่นนี้ค่อยสมน้ำสมเนื้อกับนางหน่อย “เหตุใดฝ่าบาทไม่อยู่เงียบๆในวังของพระองค์พร้อมสนมนับร้อยเล่าเพคะ ข้างนอกนี่ไม่เหมาะกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง”
“ก็เจิ้นเหงา”
“มีสนมมากมายเช่นนั้นยังจะเหงาอยู่อีกหรือเพคะ”
“มีมากมายก็จริง แต่จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจเจิ้น เจิ้นช่างโดดเดี่ยวและน่าสงสารยิ่งนัก” นางกับพี่หยางกรอกตามองบนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บ่นเหงาทั้งที่มีเมียอยู่เต็มวัง พี่หยางของนางไม่เหงากว่าหรือ “เจิ้นอยากมีสหาย”
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะเสียสละให้พี่เสี่ยวจิงเข้าไป...”
“นี่เจ้าหยุดเอาหวังเสี่ยวจิงมาขู่เจิ้นเสียที คิดว่าเจิ้นจะกลัวสตรีบอบบางเช่นนั้นหรือ”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็เข้าไปเล่นสนุกในวังได้นะสิเพคะฝ่าบาท” พี่เสี่ยวจิงที่ไม่รู้จากที่ตรงไหนโผล่ออกมาให้พวกนางได้สะดุ้งเล่นๆ แต่ที่สะดุ้งหนักก็คงจะเป็นคนที่ออกปากว่าไม่กลัวนั่นแหละ พี่เสี่ยวจิงก็คงนึกสนุกกับการกวนประสาทฮ่องเต้ไม่น้อย คิ้วเรียวสวยข้างหนึ่งกระตุกให้ฮ่องเต้ไปสองทีพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากแบบที่นางเห็นแล้วหนาวไปตัว
“เห็นวังหลวงเป็นที่เล่นสนุกหรืออย่างไร!”
“ทรงเสด็จกลับวังดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ผู้คนมากมายเช่นนี้คงไม่ดีนักหากมีผู้ใดมาพบพระองค์เข้า”
“ก็เจิ้นยังไม่อยากกลับ เจิ้นอยากเที่ยว”
“เจ้าไปเที่ยวกับจิวเหมยเถิดคุณชายใหญ่ ส่วนฝ่าบาทนั้น...ให้เป็นหน้าที่ของสหายเก่าแก่เช่นข้าจะดีกว่า ไปกันเถิดเพคะ หม่อมฉันจะพาพระองค์เที่ยวเล่นให้สนุกไปเลย” พี่เสี่ยวจิงล้อกแขนฮ่องเต้ได้แล้วก็ลากตัวหายไปกับฝูงชนทันที แต่นางก็ยังได้ยินเสียงโวยวายของมังกรผู้ยิ่งใหญ่ก่นด่าพี่เสี่ยวจริงไม่หยุด
“ปล่อยเจิ้นประเดี๋ยวนี้นะหวังเสี่ยวจิง! เจิ้นไม่ไปกับเจ้า”
“เฮ้อ เราไปเดินเที่ยวกันต่อเถิดเหมยเอ๋อร์”
“จะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะ หากฝ่าบาททรงกริ้วพี่เสี่ยวจิงขึ้นมาจริงๆ คงไม่สั่งประหารหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ทรงทำอะไรเสี่ยวจิงไม่ได้หรอก นอกจากเสี่ยวจิงจะเป็นสหายแล้วยังเป็นผู้ที่เคยช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ บุญคุณครั้งนั้นฝ่าบาทไม่อาจลืม ต่อให้เสี่ยวจิงทำผิดเท่าใดฝ่าบาทก็ไม่ตัดสินโทษถึงประหารหรอก” เช่นนั้นก็เบาใจ
“ไปด้านนั้นกันเถิดเจ้าค่ะพี่หยาง ข้าว่าต้องมีขนมอร่อยๆเป็นแน่” ทั่วทุกมุมถนนล้วนมีร้านค้ามาตั้งมากมาย บรรยากาศทำให้คิดถึงงานวัดในโลกก่อน นางเคยได้ไปเที่ยวเมื่อตอนเป็นเด็กอยู่สองสามครั้ง ก็สนุกดีแต่ไม่แปลกตาเท่านี้
นางเพลิดเพลินกับของกินและของเล่นมากจนบางครั้งก็ออกนอกทางให้พี่หยางคอยถึงแขนกลับมา ได้เดินจับมือกันตั้งแต่เมื่อไหร่นางเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่หากผู้อื่นมองคงคิดว่าพี่ชายพาน้องสาวมาเที่ยวงานเป็นแน่ คิกคิก
“เจ้าหัวเราะสิ่งใดหรือเหมยเอ๋อร์”
“ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ พี่หยางดูนั่นสิเจ้าคะ หน้ากากสวยมากเลย”
“เจ้าอยากได้หรือ พี่ซื้อให้ดีหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่เห็นว่ามันสวยดีเท่านั้น ข้าอยากรู้วิธีเปลี่ยนหน้าแบบท่านน้าลู่ไป๋มากกว่าต้องใส่หน้ากาก” แต่รบเร้าเท่าใดท่านน้าก็ไม่ยอมสอนนางเสียที เฉไฉเปลี่ยนเรื่องตลอดจนนางเลิกถามไปเอง “นั่นฮ่องเต้กับพี่เสี่ยวจิงนี่เจ้าคะ กำลังทะเลาะกับผู้ใดอยู่กัน ไปดูกันเถิดเจ้าค่ะพี่หยาง” เมื่อนางกับพี่หยางไปถึงยังจุดเกิดเหตุก็มีชาวบ้านมามุงดูอยู่มากแล้ว นางเห็นพี่เสี่ยวจิงยืนกอดอกหัวเราะอยู่ห่างออกไปโดยไม่คิดจะเข้าไปช่วยฮ่องเต้เลย
“ท่านมาทำของของข้าพังก็ต้องรับผิดชอบสิ เป็นบุรุษแต่ช่างไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย!” แม่นางน้อยผู้หนึ่งที่อายุคงรุ่นราวคราวเดียวกันกับนางยืนเถียงฮ่องเต้คอตั้ง ไม่ได้เกรงกลัวเลยว่าบุรุษผู้ที่ตนเองยืนเถียงอยู่นั้นเป็นผู้ใด
“ข้าเพียงทำขนมเจ้าหล่นไปหนึ่งชิ้นเองนะ เจ้าเรียกเงินข้าตั้งหนึ่งตำลึงทองเชียวหรือ!”
“ใช่ เพราะหากท่านไม่ทำหล่นข้าก็จะขายให้ผู้อื่นได้ทาน แต่พอท่านทำหล่นขนมชิ้นนั้นก็ต้องทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ กว่าข้าจะทำขนมได้แต่ละชิ้นต้องใช้เวลาและเปลืองแรงมากเท่าใดท่านรู้หรือไม่”
“เหอะ เงินเพียงหนึ่งตำลึงทองข้าจ่ายให้เจ้าได้ แต่มันไม่สมเหตุสมผลมิใช่หรือที่ให้ข้าจ่ายมากเพียงนั้นกับขนมชิ้นเล็กเท่านี้ ทั้งๆที่เจ้าขายเพียงห่อละหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้น” นางมองตามนิ้วของฮ่องเต้ไปยังขนมเจ้าปัญหาที่ตอนนี้นอนคลุกดินอยู่ที่พื้น ขนมสีเหลืองสดใสที่นางคุ้นตา พอมองในถาดก็พบขนมที่มีสีเหลืองเช่นกันแต่คนละชนิด
“ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน เป็นไปได้เช่นไรกัน”
“เอ๊ะ เมื่อครู่เจ้าเรียกมันว่าอะไรนะ” แม่นางน้อยผู้นี้เมื่อได้ยินเสียงนางก็หันมามองทั้งยังเอ่ยถาม นางแปลกใจยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนรู้จักขนมไทยโบราณเช่นที่นางรู้จัก แม้นางจะเคยทำขายบ้างและให้เป็นของขวัญวันเกิดสหายบ้าง แต่นางมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดรู้วิธีทำมันอย่างแน่นอน
“เจ้าทำขนมพวกนี้ด้วยตนเองหรือ”
“ใช่ ข้าทำมันเอง เป็นสูตรของท่านแม่กับท่านยายของข้าเอง ทำไมหรือ” เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย!
“ทำเองงั้นหรือ” ใจนางเต้นกระหน่ำราวกับจะกระเด็นออกมานอกอก นางจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่าพินิจ ไม่น่าเป็นไปได้ เมื่อสงสัยก็ต้องพิสูจน์ นางหยิบขนมเข้าปากและพบว่ารสชาตินั้นล้ำลึกกว่าที่นางทำมากนัก หากผู้ที่เคยลิ้มรสขนมสูตรชาววังต้องแยกแยะออกว่าขนมที่ทำแบบร่วมสมัยกับขนมที่ทำแบบวิธีดั่งเดิมนั้นเป็นเช่นไร จู่ๆน้ำตานางก็ไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ มันรู้สึกตื้นตันและตื่นเต้นในคราวเดียวกัน นางตัดสินใจพูดเป็นภาษาบ้านเกิดที่ไม่ได้พูดมาเสียนานกับสตรีผู้นี้ หากใช่เช่นที่นางคิดก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก “คุณหลุดมาที่โลกนี้เหมือนกันกับฉันใช่ไหมคะ”
“เฮ้ย! เป็นไปไม่ได้! นะ นี่ฉันคิดว่าฉันมาที่นี่คนเดียวซะอีก” จริง! มันเป็นเรื่องจริง!
“คุณมาที่นี่นานหรือยัง แล้วมาได้ยังไง ละ แล้วเราจะ เราจะ...”
“ใจเย็นๆ มันแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกคุณ ชีวิตฉันในโลกก่อนก็ตายไปแล้ว ไม่มีร่างให้กลับไปหรอก มาแล้วก็แล้วกันไป ดีออกไม่ใช่หรือไงที่ได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง”
“คุณดูปลงกับชีวิตมาก นี่เราหลุดมาโลกโบราณหลายพันปีนะ ไม่คิดมากหน่อยหรือ”
“คิดแล้วได้อะไร ฉันทำใจได้ตั้งแต่ลืมตามาที่กระท่อมร้างกลางป่าแล้ว พ่อแม่ไม่มี มีเพียงตัวฉันคนเดียวที่ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินเพื่อให้พอมีเงินซื้อข้าวซื้ออาหารทานไปวันๆ คิดมากก็ปวดหัวเปล่าๆ โชคยังดีที่พอมีฝีมือทำขนมที่แม่กับยายสอนมาบ้างจึงพอเอาตัวรอดมาได้ มีเงินเก็บ มีเงินซื้อเสื้อผ้าสวยๆใส่ คุณคิดว่าฉันต้องการอะไรอีกหรือ”
“ก็จริง แล้วปกติคุณขายอยู่ที่ไหน ทำไมไม่เคยเห็นที่ตลาดเลย”
“ฉันอยู่นอกเมือง ที่เข้ามาขายวันนี้ก็ทำมาจากบ้านแล้วขนขึ้นรถม้ามาขาย คิดว่าขายหมดก็จะกลับแล้วล่ะ”
“ขนมของคุณอร่อยมาก สูตรชาววังแท้ๆเลย ฉันเองก็เปิดร้านอาหารอยู่ในตลาดเช่นกัน ชื่อร้านอาหารฟู่ ถ้าคุณผ่านไปแถวนั้นก็แวะได้นะ โชคดีที่ฉันมาอยู่ในร่างของคุณหนูลูกสาวท่านแม่ทัพจึงพอมีพอกินอยู่บ้าง”
“ไม่ใช่พอมีพอกินแล้วมั้ง ถ้าฉันผ่านไปแถวนั้นจะแวะอุดหนุนนะ” ฮ่องเต้มองสตรีสองคนยืนคุยกันด้วยภาษาที่พระองค์ไม่อาจเข้าใจด้วยความงุนงง พวกนางรู้จักกันเช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นเสี่ยงจิงก็ต้องรู้จักด้วยน่ะสิ!
“หม่อมฉันไม่รู้จักนาง”
“เจิ้นยังไม่ถามเจ้าเลยนะ!”
“แค่ฝ่าบาทอ้าปาก หม่อมฉันก็ทราบแล้วว่าจะตรัสสิ่งใด ถามจิวเหมยเอาเถิดเพคะ” เมื่อไม่ได้ความจากสตรีป่าเถื่อน พระองค์ก็หันหน้าไปหาสหายที่ยืนฟังพวกนางคุยกันอยู่เงียบๆเช่นกัน แต่แค่จ้าวไท่หยางเหลือบตามองมาพระองค์ก็ได้คำตอบแล้ว ช่างไม่ได้ความกันทั้งสองคนเลย!
จิวเหมยคุยกับสหายคนใหม่ที่ชื่อแม่นางจูลี่อินอย่างสนุกสนาน ด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ไม่ทราบ อายุพวกนางเท่ากันเลยทั้งในโลกนี้และโลกก่อน นางกับจูลี่อินจึงสนิทกันอย่างรวดเร็ว คุยกันจนลืมไปว่าตอนนี้พวกนางอยู่ท่ามกลางผู้คนหลายสิบคนที่มามุงดู พอคิดได้นางก็หันไปหาพี่หยางแล้วเอ่ยแนะนำจูลี่อินให้รู้จักในทันที
“นี่สหายของข้าเองเจ้าค่ะพี่หยาง ชื่อจูลี่อิน ลี่อินนี่รองแม่ทัพจ้าวไท่หยาง นั่นพี่เสี่ยวจิง แล้วก็นี่...คือนี่น่ะ ผู้ที่เจ้าเถียงด้วยเมื่อครู่คือ...หยางโจวหมิง ฮ่องเต้แคว้นซาน” นางกระซิบบอกสหายให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เจ้าว่าอะไรนะ! ชายสติไม่ดีผู้นี้คือผู้ใดนะ!”
“เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ฮ่องเต้แคว้นซาน” จูลี่อินใช้ตาโตๆจ้องมองฮ่องเต้ที่ยืนกอดอกหรี่ตามองพวกนางอย่างจับผิด แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้แนะนำสหายให้ฮ่องเต้ได้รู้จัก จูลี่อินก็เป็นลมล้มกองไปกับพื้นเสียก่อน “ลี่อิน! ทำเช่นไรดีเจ้าคะพี่หยาง” แค่รู้ว่าตัวเองเถียงอยู่กับฮ่องเต้ถึงกับเป็นลมไปเลยหรือ
“ที่นี่คนมุงเยอะเกินไป พาไปที่อื่นเถิด ใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำก็ได้ พี่จะเรียกองครักษ์มาเก็บของๆนางไว้ก่อน”
“เหตุใดนางจึงเป็นลม เพราะเจิ้นหรือ”
“เหตุใดฝ่าบาทจึงคิดว่าเป็นเพราะพระองค์กันเพคะที่ทำให้นางเป็นลม”
“ก็นางจ้องหน้าเจิ้น แล้วก็เป็นลมไป หรือเพราะเจิ้นรูปงามเกินไปจนนางเป็นลมกันนะ”
“หม่อมฉันคิดว่าคงไม่ใช่เพราะฝ่าบาทหรอกเพคะ คงจะเพราะนางทำงานหนักทั้งยังขายของตั้งแต่เช้าจนตกเย็นเช่นนี้จึงทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเพคะ” นางเรียกองครักษ์ผู้หนึ่งให้มาช่วยอุ้มจูลี่อินไปยังใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก ตรงนั้นไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปเดินมาสักเท่าไหร่จึงเหมาะให้นางทำการรักษาสหาย
“ขนมนั่นเจิ้นจะซื้อไว้เอง” ฮ่องเต้ส่งถุงเงินมาให้นางแล้วให้องครักษ์ห่อขนมให้ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ขอตัวกลับ “เอาไว้เจิ้นจะออกมาเที่ยวอีกวันหลัง วันพรุ่งเข้าไปพบเจิ้นที่วังด้วยรองแม่ทัพจ้าว”
“ไม่”
“เหตุใดจึงไม่”
“เหมยเอ๋อร์สำคัญกว่าเจ้า หยางโจวหมิง” หากจ้าวไท่หยางเอ่ยชื่อจริงของพระองค์เช่นนี้ก็เหมือนเป็นการเตือนว่าอย่าได้คิดเรียกใช้งานรองแม่ทัพจ้าวอีกเป็นอันขาด
“เฮ้อ ข้าจะทำเช่นไรดีกับสหายที่หลงสตรีหน้าตาอัปลักษณ์กันนะ” ฮ่องเต้หน้าเหม็น! พูดเช่นนี้อยากได้ระเบิดสักลูกใช่หรือไม่! “เช่นไรก็เข้าไปพบเจิ้นด้วย เจิ้นมีเรื่องอยากจะหารือ”
“ให้พี่เสี่ยวจิงตามเสด็จด้วยดีหรือไม่เพคะ”
“เจิ้นกลับเองได้!” ร่างสูงใหญ่ของฮ่องเต้หมุนตัวเดินดุ่มๆจากไปแบบไม่เหลียวหลัง คิดว่าจะแน่กว่านี้เสียอีก
นางรักษาสหายจนแน่ใจว่าจูลี่อินเพียงแค่เป็นลมเท่านั้นไม่ได้หัวใจวายตายไปแล้ว ไม่นานสหายของนางก็ลืมตาฟื้น เมื่อสติเข้าร่างก็ผุดลุกนั่งมองไปรอบๆในทันที เมื่อไม่เห็นคนที่มองหาก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดจนนางอดจะหัวเราะไม่ได้ ฮ่องเต้ผู้นั้นสำหรับผู้อื่นอาจจะน่ากลัวน่าเกรงขาม แต่สำหรับนางนั้นไม่มีสิ่งใดให้กลัวสักนิด
“ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว”
“แล้วฮ่องเต้ออกมาเดินเล่นในงานเฉลิมฉลองได้เช่นไร!”
“ก็พระองค์บอกว่าเหงา”
“เจ้ารู้จักฮ่องเต้งั้นหรือจิวเหมย”
“ท่านพ่อของข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นซาน บ่อยครั้งที่ข้าจะได้พบฮ่องเต้ตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นองค์ไท่จื่อ อีกทั้งพี่หยางเองก็เป็นสหายและทหารคนสนิทของฝ่าบาท เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก เจ้าจะปลอดภัย”
“ข้าจะไม่โดนประหารใช่หรือไม่!”
“ไม่หรอกน่า อ่อ นี่ถุงเงิน ฝ่าบาทซื้อขนมของเจ้าไปหมดเลย” นางเอาถุงเงินให้จูลี่อินที่รับไปแบบงงๆ แต่พอเห็นเงินในถุงก็ตาโตพร้อมทั้งยิ้มกว้างอย่างชอบใจ นี่สหายของนางก็ชอบเงินเช่นเดียวกับนางสินะ “เจ้าจะกลับบ้านของเจ้าเลยหรือไม่ หรือจะค้างในเมืองหลวงสักคืน แต่เวลานี้โรงเตี๊ยมทุกแห่งคงถูกจับจองไปหมดแล้ว”
“ข้าอาศัยนอนในรถม้าได้ วันพรุ่งจะออกเดินทางกลับแต่เช้า เมืองชุนอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก เดินทางสักสองชั่วยามก็ถึงแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะจิวเหมยที่ช่วยเหลือ คงได้พบกันอีกหากข้าได้เข้าเมืองหลวง”
“ไปนอนบ้านข้าได้นะ อยู่ติดกำแพงเมืองเลย” ไม่ต้องพูดเรื่องความสนิทใจเพราะนางให้ไปตั้งแต่จูลี่อินพูดภาษาไทยได้แล้ว แล้วก็จากที่พูดคุยกันมาจูลี่อินไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะดีมากเสียด้วยซ้ำ ดิ้นรนทำงานหาเงินด้วยตนเองคนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือดั่งเช่นนาง ถ้าจะให้พูด จูลี่อินเก่งกว่านางมากนัก
“ไม่เอาหรอก ข้าเกรงใจ ข้านอนในรถม้าได้ ในนั้นมีที่นอนพร้อม ข้าไม่ลำบากหรอกจิวเหมย”
“ไปนอนบ้านเหมยเอ๋อร์เถิด เช่นไรเจ้าก็เป็นสตรี และเมืองหลวงไม่ได้ปลอดภัยเช่นที่เจ้าคิด”
“ใช่ๆ ช่วงนี้ยิ่งต้องระวังให้มาก ไปนอนบ้านข้านั่นแหละดีแล้ว เจ้าไหวหรือไม่ ไปกันเถิด พี่หยางจะกลับจวนเลยหรือไม่เจ้าคะ หรือว่าจะไปส่งข้าที่บ้านก่อน อันที่จริงพี่หยางกลับจวนเลยก็ได้เจ้าค่ะข้าไปกับลี่อินเองได้ พี่เสี่ยวจิงก็อยู่”
“พี่ไปส่งเจ้าที่บ้านจะดีกว่า รถม้าของเจ้าอยู่ที่ใดหรือแม่นางจู”
“หน้าโรงฝากม้าเจ้าค่ะ”
“ข้าจะให้องครักษ์ไปเอามาให้” เมื่อองครักษ์เอาม้ากลับมาให้แล้วนางกับจูลี่อินก็ขึ้นรถม้าของจูลี่อินกลับบ้านของนาง มีพี่หยางกับพี่เสี่ยวจิงขี่ม้าอยู่ข้างๆรถม้า องครักษ์ผู้หนึ่งเป็นผู้บังคับม้า ตลอดทางนางก็ถามไถ่จูลี่อินว่ามาที่โลกนี้ได้เช่นไร คำตอบคือโดนรถชนตายตอนเอาขนมออกไปขายกับแม่ที่ตลาด แต่มาอยู่นี่ได้เช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้
“เป็นเรื่องของโชคชะตา ท่านตาที่ช่วยข้าไว้บอกว่าเป็นลิขิตสวรรค์”
“ก็คงจะเป็นเช่นที่เจ้าพูด เช่นไรเราก็ทำสิ่งใดไม่ได้อยู่แล้วนอกจากต้องยอมรับ”
“ใช่ เราแค่ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้” ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามพวกนางก็กลับมาถึงบ้าน ทุกคนยังนั่งเล่นกันอยู่หน้าบ้านอยู่เลย เสี่ยวหู่เองก็กำลังวิ่งไล่จับแมลงอย่างสนุกสนาน กุ้ยอันมองตามเสี่ยวหู่แล้วก็หัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ กุ้ยผิงเมื่อเห็นอาจารย์ของตนเองนั่นก็คือพี่เสี่ยวจิงก็วิ่งเข้ามาหาทันที “กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เที่ยวกับพี่หยางของเจ้าสนุกหรือไม่เล่า”
“หนีกันไปหมดเลยนะเจ้าคะท่านน้า”
“เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้วข้าก็อยากให้เจ้าไปพักผ่อนบ้าง แล้วนั่นนั่งรถม้าของผู้ใดมาหรือจิวเหมย ข้าไม่คุ้นเลย”
“ของสหายของข้าเจ้าค่ะท่านน้า เข้ามาสิลี่อิน คนบ้านข้าใจดีทุกคนเลยนะ” นางเดินกลับไปจูงมือสหายเข้ามาในบ้านเพราะกลัวว่าจูลี่อินจะเกรงใจจนไม่กล้าทำอะไร “นี่สหายของข้าเองเจ้าค่ะ จูลี่อิน” ท่านน้าที่มองนางอยู่ตลอดพอเห็นสตรีอีกคนที่นางพาเข้าบ้านมาด้วยก็จ้องมองตาแทบถลน
“เจ้า!/ท่าน!”
“รู้จักกันหรือเจ้าคะ”
“ไม่!/ไม่!”
“แต่ฟังดูเหมือนรู้จัก”
“ตาแก่นี่อยู่บ้านเจ้าหรือจิวเหมย เช่นนั้นข้าไปนอนที่รถม้าจะดีกว่า”
“เจ้าเรียกผู้ใดว่าตาแก่!”
“ก็ท่านอย่างไรเล่า ตาแก่!”
“ข้าไม่ได้แก่!”
“แก่ แก่ แก่ แก่!”
“อย่าอยู่เลยเจ้าเด็กวิปลาส!” นางมองทั้งสองคนอย่างงุนงง แล้วตกลงรู้จักกันหรือไม่นะ
“ทั้งสองดูสนิทกันดีนะเจ้าคะ”
“เจ้าตาถั่วหรือ!/เจ้าตาถั่วหรือ!”
อ่า สงสัยข้าจะตาถั่วจริงๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะตีกันบ้านแตกไหมเนี่ย
หรือเขาเป็นคู่กันคะไรท์ 55555
คนรู้จักของท่านน้า
55555
ลงเรือพี่เต้หรือท่านน้ากันน้อออ
ขอบคุณค่ะ