ตอนที่ 34 : สำนักเพลิงมาร 3
“เป็นไปไม่ได้! ท่านพ่อเป็นสหายตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ของฮ่องเต้ พระองค์ไม่มีทางคิดเช่นนั้นกับท่านพ่อเป็นแน่!”
“เด็กน้อย อำนาจในราชสำนักของพ่อเจ้านั้นไม่อาจดูแคลนได้หรอกนะ อีกทั้งยังมีทหารเรือนแสนอยู่ในมือ เจ้าคิดว่าอำนาจและกำลังทหารของพ่อเจ้านั้นสามารถก่อกบฎล้มล้างราชบัลลังก์ได้หรือไม่เล่า แม่ทัพหลิวสนับสนุนไท่จื่อขึ้นครองบัลลังก์แม้แต่ข้าที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้ยังรับรู้ ซึ่งดูเหมือนว่าฮ่องเต้องค์นั้นจะยังคงรักในอำนาจจนไม่อาจให้สละบัลลังก์ให้ผู้ใดได้ในเร็ววันนี้หรอก ผู้ใดเป็นภัยเจ้าคิดว่าฮ่องเต้ผู้นั้นจะเก็บไว้เช่นนั้นหรือ”
“ท่านพ่อจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ ไหนเลยจะคิดกบฏ เรื่องนี้ข้าไม่อาจะเชื่อได้หากไม่มีหลักฐานแน่ชัด”
“หลักฐานจำเป็นด้วยหรือ หากไม่มีมูลคนของข้าคงไม่ได้ข่าวมากระมัง แทนที่เจ้าจะเฝ้าหาหลักฐานไม่เอาเวลาไปเตรียมการช่วยเหลือบิดาของเจ้าไม่ดีกว่าหรือ”
“ข้าจะให้คนไปสืบข่าวเพิ่มเติม เจ้าไปดูอาการของเซี่ยลู่หานเถิดจิวเหมย”
“เจ้าค่ะท่านน้า” นางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เจ้าสำนักเจิ้งแจ้งแก่นาง แต่หากชั่งใจดูแล้วเจ้าสำนักเจิ้งก็ไม่มีเหตุผลใดต้องโป้ปดนางเช่นกัน “หากท่านพ่อถูกลอบสังหารและตายไปจริง เกรงว่าพวกข้าคงไม่พ้นข้อหากบฏไปด้วยกระมัง”
“เจ้าช่างหลักแหลมหมอหลิว แต่เจ้าช่วยบิดาของเจ้าได้ อยู่ที่เจ้าจะทำหรือไม่เพียงเท่านั้น”
“หากเป็นจริงข้าต้องช่วยท่านพ่อเป็นแน่เจ้าค่ะเจ้าสำนักเจิ้ง เพียงแต่ข้าไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะมีรับสั่งเช่นนั้นจริง อาจจะเป็นข่าวลวงเพื่อสร้างความขัดแย้งก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ เรื่องเช่นนี้แม้แต่พี่น้องร่วมท้องมารดาเดียวกันยังเข่นฆ่ากันได้ แล้วเป็นเพียงสหายใยจะสั่งสังหารสหายตนเองไม่ได้ เจ้ายังเด็กอาจจะยังไม่เข้าใจถ่องแท้เรื่องของอำนาจนัก แต่ข้ายังยืนกรานเช่นเดิมว่าสำนักกุ้ยเหรินไม่เคยพลาดเรื่องข่าว หากเจ้าอยากมั่นใจข้าจะให้ศิษย์ในสำนักไปลืบมาเพิ่มให้ดีหรือไม่”
“ก็ดีนะจิวเหมย หากเป็นจริงเราจะได้ล่วงหน้าไปที่ชายแดนเพราะสำนักเพลิงมารอยู่ไม่ไกลจากชายแดนนัก”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ รบกวนเจ้าสำนักเจิ้งด้วยนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็พักอยู่เสียที่นี่ หากได้ข่าวมาเพิ่มข้าจะรีบแจ้งให้ทราบ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านน้าลู่ไป๋ส่งข่าวให้พี่หยางมาพบข้าที่สำนักเพลิงมารด่วนนะเจ้าคะ ให้คนของเราพาแม่ใหญ่กับฟางเอ๋อร์กลับไปอยู่ที่จวนชั่วคราวแล้วให้คนของเราคุ้มกันจวนอย่างแน่นหนานะเจ้าคะ ข้าเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับพวกนางได้ ให้กลับไปอยู่ที่จวนจะปลอดภัยกว่าเจ้าค่ะ”
“ได้ ข้าจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้”
“เราไปดูอาการของรองเจ้าสำนักเซี่ยกันเถิดเจ้าค่ะพี่เสี่ยวอิง จะได้ไปพักผ่อน” นางลุกเดินตามเจ้าสำนักเจิ้งไปยังห้องพักส่วนตัวของเขา มีร่างบอบบางที่เปลี่ยนชุดใหม่แล้วนอนยังไม่ได้สติอยู่บนเตียงกว้าง
นางแตะนิ้วทั้งห้าลงที่จุดชีพจรที่ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว ส่งธาตุขาวเข้าไปตรวจสอบให้แน่ใจว่ารองเจ้าสำนักปลอดภัยดีแล้วจริงๆ
“เป็นเช่นไรบ้าง”
“พิษถูกขับออกไปจนหมดแล้วเจ้าค่ะเจ้าสำนักเจิ้ง ร่างกายภายในข้าก็รักษาให้อย่างดีแล้ว เพียงรอเวลาให้รองเจ้าสำนักเซี่ยฟื้นเท่านั้นเจ้าค่ะ หากฟื้นแล้วให้จิบน้ำเป็นระยะและรับประทานอาหารอ่อนๆเช่นข้าวต้มหรือโจ้กนะเจ้าคะ สมุนไพรบำรุงร่างกายก็อย่าให้ขาด อีกไม่นานก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิมเจ้าค่ะ”
“ข้าโล่งใจยิ่งนัก ขอบใจเจ้าอีกครั้งหมอหลิว เช่นนั้นเจ้ากับแม่นางผู้นี้ไปพักผ่อนเสียเถิด เหนื่อยมามากแล้ว”
“เจ้าค่ะ หากมีสิ่งใดก็ให้คนไปตามข้าได้ทุกเมื่อนะเจ้าคะ” นางกับพี่เสี่ยวจิงตามฝูเว่ยเถาไปยังห้องรับรองของสำนักเพลิงมาร ห้องที่นางฟื้นสติขึ้นมานั่นแหละ ฝูเว่ยเถามาส่งพวกนางถึงหน้าห้องก็จากไป พี่เสี่ยวจิงได้พักอีกห้องแต่ยืนกรานว่าจะพักห้องเดียวกับนางเท่านั้น
“เจ้ากังวลอยู่หรือจิวเหมย”
“เจ้าค่ะพี่เสี่ยวจิง ฮ่องเต้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ข้านึกอยากไปวางระเบิดก็ไปได้เช่นองค์ชายสามหรือเสนาบดีชั่วผู้นั้น หากพระองค์รับสั่งให้สังหารท่านพ่อจริง เกรงว่าข้าต้องวางแผนอย่างรัดกุมให้มากกว่าเดิม”
“ระเบิดวังหลวงเสียก็สิ้นเรื่อง”
“หากลอบเข้าวังหลวงได้ง่ายดายเช่นวังองค์ชายสามข้าจะไม่กังวลเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ การอารักขาย่อมดีกว่าวังเล็กๆเป็นแน่ อีกอย่าง หากระเบิดวังเกรงว่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจะเดือดร้อนล้มตายไปด้วยนะเจ้าคะ ผู้ที่ทราบว่าฮ่องเต้รับสั่งให้สังหารท่านพ่อย่อมต้องสงสัยท่านพ่อเป็นแน่”
“พ่อของเจ้าอยู่ชายแดน จะมาระเบิดวังได้เช่นไรเล่า ทหารทั้งกองทัพเป็นพยานได้ว่าท่านแม่ทัพอยู่ที่นั่น เช่นไรก็เอาผิดไม่ได้อยู่แล้ว ข้าจะเป็นผู้เอาระเบิดเข้าไปวางข้างในเอง”
“รอหารือกับพี่หยางก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าองค์ไท่จื่อจะทราบเรื่องนี้ด้วยหรือไม่” ท่านน้าลู่ไป๋ให้คนไปแจ้งแล้วคาดว่าอีกไม่นานพี่หยางคงจะเดินทางมาถึงสำนักเพลิงมารเป็นแน่ “พักผ่อนกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เตียงในห้องรับรองนั้นค่อนข้างใหญ่พวกนางสองคนนอนได้สบายๆ แต่พี่เสี่ยวจิงนั้นชื่นชอบการขึ้นไปนอนบนคานไม้มากกว่า นางเรียกให้ลงมานอนด้วยกันก็ไม่ยอมลงมา สตรีผู้นี้ช่างเดาใจได้ยากยิ่งนัก
เข้ายามซวีฝูเว่ยเถาก็มาเคาะห้องตามนางไปตรวจรองเจ้าสำนักเซี่ย เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นฟื้นสติแล้ว นางรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาแล้วตรงไปที่ห้องพักของเจ้าสำนักเจิ้งในทันทีพร้อมกับพี่เสี่ยวจิงและท่านน้าลู่ไป๋ มาถึงก็เห็นคนป่วยถูกคนไม่ป่วยโอบกอดไว้แน่น ทั้งหอมทั้งจูบจนพวกนางทนดูไม่ได้ จะพลอดรักกันทั้งทีก็ช่วยดูผู้คนหน่อยได้หรือไม่!
“อะแฮ่ม! หากพวกเจ้าอยากพลอดรักกันพวกข้าจะกลับมาภายหลัง” ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านน้าที่ขัดจังหวะให้
“เชิญหมอหลิว หานเอ๋อร์ฟื้นได้สักพักแล้ว”
“ท่านเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตข้าไว้เช่นนั้นหรือ” เสียงอ่อนระโหยโรยแรงเอ่ยถามนาง ปากสีซีดนั้นแห้งผาดจนนางอยากจะยื่นลิปบาล์มให้ “ขอบพระคุณที่ช่วยเหลือข้า”
“เป็นหน้าที่ของหมอเจ้าค่ะ ข้าเองก็ได้รับการตอบแทนจากเจ้าสำนักเจิ้งแล้ว การช่วยชีวิตรองเจ้าสำนักเซี่ยข้าก็ได้ประโยชน์เช่นกัน อย่านับเป็นบุญคุณเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้รู้สึกเช่นไรบ้างเจ้าคะ” นางเดินเข้าไปทรุดนั่งใกล้รองเจ้าสำนักแล้วจับชีพจรดูอีกครั้ง “ชีพจรของท่านกลับเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ หากเดินลมปราณอีกสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น”
“ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เหมือนได้เกิดใหม่”
“เจ้าค่ะ พิษปลิดวิญญาณนั้นไม่มีทางรักษา ไม่มียาถอนพิษ ท่านมีชีวิตอยู่จนข้ามารักษาได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตา ผู้ที่รองเจ้าสำนักต้องขอบคุณนั้นเห็นทีจะเป็นเจ้าสำนักเจิ้งมากกว่านะเจ้าคะ ตอนข้าได้พบคราแรกนั้นสภาพดูทรุดโทรมไม่น่าดูยิ่งนัก คงจะวิตกเรื่องของรองเจ้าสำนักมากเป็นแน่”
“ข้าทำเพื่อเจ้าได้ทุกอย่างหานเอ๋อร์”
“ใช่เจ้าค่ะ ทำได้ทุกอย่างเลย เกือบฆ่าพี่หยางของข้าก็ทำมาแล้ว”
“นี่เจ้ายังขุ่นเคืองข้าเรื่องนี้อยู่หรือ ก็ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าคนของข้าพลั้งมือไป”
“ไม่ขุ่นเคืองคงจะไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ พี่หยางของข้าเกือบจะสิ้นชีพเพราะความพลั้งมือของศิษย์สำนักเพลิงมาร เช่นไรข้าก็ลืมไม่ลง อีกทั้งธนูดอกนั้นก็มีพิษร้ายอยู่ด้วย พี่หยางของข้ารอดมาได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตาเช่นกัน” นี่นางไม่ลืมหรอกนะ แม้ของที่เจ้าสำนักมอบให้จะล้ำค่าไม่น้อยแต่ภาพที่พี่หยางเอาตัวเข้าบังนางจากธนูยังติดตาไม่หาย
“ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่งนัก”
“เจ้าค่ะ ข้าเป็นคนเช่นนั้น ข้าก็เลยอยากให้ท่านเจ้าสำนักหาของให้ข้าเป็นการขอโทษสักสองสามอย่างเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ เจ้าจัดการให้นางตามที่นางต้องการเถิดเว่ยเถา หากไม่ตามใจเห็นทีข้าจะได้ฟังเรื่องนี้ไม่จบ” นางเอ่ยขอของที่จะทำระเบิด แต่นอกจากท่านน้าลู่ไป๋กับพี่เสี่ยวจิงแล้วไม่มีผู้ใดทราบว่านางจะเอามาทำสิ่งใด อยู่บนภูเขาเช่นนี้นางขอทดลองทำขีปนาวุธพิสัยใกล้สักหน่อยเถิด หากไม่ได้ผลก็จะลองทำระเบิดแบบอื่นลองดูเช่นกัน ต้องมีสักอย่างที่ได้ผล
“ข้าขอถามเจ้าสำนักเจิ้งสักเรื่องเถิดเจ้าค่ะ ภูเขาลูกใกล้ๆนี้มีสำนักอื่นอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“หาได้มีผู้อื่นอาศัยอยู่ไม่ แม้แต่สัตว์อสูร” นางยกยิ้มอย่างพอใจ “เจ้าถามทำไมหรือ”
“ข้าเพียงอยากจะขอใช้พื้นที่ภูเขาลูกข้างๆสักหน่อยเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องต้องเตรียมพร้อมไว้”
“ตามสบายเถิด” นางเอ่ยขอบคุณแล้วตามฝูเว่ยเถาออกจากห้องไป ปล่อยให้คู่รักเขาพลอดรักกันต่อตามสบาย
จ้าวไท่หยางมาถึงสำนักเพลิงมารในอีกสองวันต่อมา และมาถึงในช่วงที่นางกำลังหงุดหงิดที่ทำขีปนาวุธไม่ได้ผล มันระเบิดจริงแต่ไม่ตรงเป้า ปรับเปลี่ยนเท่าใดก็ไม่ได้ผลจนเริ่มจะถอดใจ อานุภาพแรงระเบิดแม้จะส่งผลหนักจนภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนทำเอาศิษย์สำนักเพลิงมารวิ่งหนีตายออกจากที่พักมาแล้วก็ตาม แต่นางก็ยังไม่พอใจ
“เจ้าก็มาด้วยหรือจ้าวไท่หลง”
“ข้าจะพลาดได้เช่นไรเล่าสหาย!”
“ห้ามเท่าใดก็ไม่ฟัง ดื้อดึงจะตามมาเสียให้ได้ พี่ก็เลยจำต้องพาหลงเอ๋อร์มาด้วย” ก็น้องของเขาถึงกับอดข้าวอดน้ำจนท่านพ่อท่านแม่อ่อนใจอนุญาตให้ตามเขามาได้ มิเช่นนั้นอย่าหวังเลยว่าจ้าวไท่หลงจะได้มาด้วย “คารวะท่านเจ้าสำนักเจิงอู๋ซี ข้าจ้าวไท่หยาง รองแม่ทัพแคว้นซานขอรับ”
“ตามสบายๆรองแม่ทัพจ้าว เจ้ามาก็ดีแล้วข้าอยากจะขอโทษที่ศิษย์สำนักเพลิงมารพลั้งมือทำร้ายเจ้า ให้อภัยสำนักเพลิงมารในความผิดพลาดครั้งนี้ด้วย การเดินทางเป็นไปด้วยดีใช่หรือไม่”
“ขอรับท่านเจ้าสำนัก”
“ข้าให้คนจัดห้องพักไว้ให้พวกเจ้าแล้ว เชิญตามสบาย อ่อ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ศิษย์ของข้าแตกตื่นอีกเป็นหนที่สองนะหมอหลิว” ช่วยไม่ได้ นางจะทราบได้เช่นไรว่าระเบิดจะรุนแรงเพียงนั้น แต่ตอนนี้นางลดของที่ใช้ลงแล้วคงไม่รุนแรงเท่าเดิมเป็นแน่ “เจ้าก็ห้ามปรามนางบ้างเถิดประมุขฟ่าน มิใช่เห็นดีเห็นงามไปด้วยเสียทุกเรื่อง”
“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสียหน่อย”
“สั่นสะเทือนไปทั้งหุบเขาน่ะหรือไม่ร้ายแรง! เอาไว้ข้าเผาพรรคของเจ้าบ้างดีหรือไม่ฟ่านลู่ไป๋”
“ข้าไม่พังสำนักของท่านหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงทดลองบางสิ่งเท่านั้น” เจ้าสำนักเจิ้งถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องโถงรับแขกไป ปล่อยให้พวกนางอยู่ตามลำพังเพราะคงรู้ว่าพวกนางมีเรื่องต้องหารือกัน “พี่หยางทราบเรื่องจากท่านน้าลู่ไป๋แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ คิดเห็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“พี่นั้นไม่ใคร่จะอยากเชื่อนัก แต่เรื่องข่าวของสำนักกุ้ยเหรินนั้นมิอาจดูแคลนได้จริงๆ นักฆ่าจำนวนมากที่อยู่ในสำนักกุ้ยเหรินนั้นท่องไปทั่วยุทธภพ ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดหูตาพวกเขาไปได้”
“เจ้าสำนักเจิ้งให้คนไปสืบความเพิ่มแล้วเจ้าค่ะ อีกไม่นานเราคงได้รู้กันว่าจริงเท็จเพียงใด”
“ไท่จื่อเองก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน หากฮ่องเต้มีรับสั่งเช่นนั้นจริงนั่นก็หมายความว่าพระองค์ทรงระแวงท่านแม่ทัพเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อนัก ไท่จื่อจะสอดส่องทางวังหลวงให้เอง หากมีข่าวเพิ่มเติมจะให้คนมาแจ้งแก่พี่เช่นกัน”
“ข้าต้องการข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุดเจ้าค่ะ ความปลอดภัยของท่านพ่อเป็นสิ่งสำคัญ”
“พี่จะให้องครักษ์ของพี่ออกหาข่าวอีกทางนะเหมยเอ๋อร์” หลังพูดคุยกันเข้าใจดีแล้วนางก็ให้พี่หยางไปพักผ่อนด้วยเพราะเร่งเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย มีเพียงจ้าวไท่หลงที่ยังคงตามกวนนางไม่เลิก เอาแต่บอกว่านางทิ้งสหายไม่ชวนมาที่นี่ด้วย จะให้ชวนได้เช่นไร แม้วรยุทธ์ของไท่หลงจะก้าวหน้าไปมากแต่ก็ยังห่างชั้นกับท่านน้าลู่ไป๋และพี่เสี่ยวจิงมากนัก นางเองก็ไม่ทราบว่าจะมีอันตรายใดรออยู่บ้างจะให้สหายตามมาด้วยได้เช่นไร
“นี่เจ้าทำสิ่งใดอยู่หรือ ใช่ระเบิดหรือไม่”
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง อานุภาพรุนแรงกว่ามากแต่ตอนนี้ข้ายังไม่พอใจนัก”
“เช่นไรหรือ”
“ข้ายังไม่สามารถทำให้มันพุ่งไปยังเป้าหมายได้ตามต้องการน่ะสิ นี่ เห็นนี่หรือไม่” นางชี้เส้นเชือกที่นางทำไว้เป็นตัวจุดชนวนเพื่อส่งขีปนาวุธไปยังเป้าหมาย คล้ายกับบั้งไฟในโลกก่อนของนาง “พอข้าจุดแล้วมันไม่พุ่งไปเป็นแนวตรงแต่กลับส่ายไปมาไม่รู้ทิศ ข้าจนใจจะทำมันแล้ว”
“เหตุใดเจ้าไม่ใช้วิธีเช่นยิงธนูเล่า มันก็ตรงเป้ามิใช่หรือ”
“ยิงธนูหรือ!” จริงสิ ยิงแบบธนูก็ได้นี่นา แต่ต้องคาดการณ์เวลาระเบิดให้ดี “เจ้าไปหยิบคันธนูมาไท่หลง” ส่วนนางก็เตรียมขีปนาวุธรูปทรงยาวเรียวของนางไว้เตรียมพร้อม เมื่อสหายเอาคันธนูมาให้แล้วก็วิ่งไปยังจุดที่นางใช้ทดสอบขีปนาวุธในแต่ละครั้ง ลองทาบมันกับคันธนูให้ได้องศาที่พอเหมาะแล้วให้ไท่หลงไปตามท่านน้าลู่ไป๋มา นางไม่มีแรงมากพอจะทำมันได้เองหรอก เมื่อท่านน้าลู่ไป๋มาถึงนางก็จุดชนวนแล้วให้ท่านน้าลู่ไป๋เป็นผู้ยิง โดยใช้เป้าเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง
ตู้ม!
ทันทีที่เห็นต้นไม้ต้นนั้นล้มลงเพราะแรงระเบิดนางถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ได้วิธีแล้ว! แต่ความดีใจของนางกลับทำให้คนในสำนักเพลิงมารแตกตื่นเช่นเคย นางก็ไม่เข้าใจเหตุใดยังไม่ชินกันเสียที เมื่อเห็นว่าที่มาของเสียงนั้นเป็นเพราะพวกนางก็พากันถอนหายใจแล้วทำไมหน้าที่ของตนเองต่อ
“ยิงได้ไกลกว่าเดิมยิ่งนักจิวเหมย”
“ใช่เจ้าค่ะท่านน้า ข้าว่าเราต้องทำคันธนูที่ใหญ่กว่านี้อีกสักหน่อยนะเจ้าคะ หุบปากของเจ้าได้แล้วไท่หลง อ้าปากค้างเช่นนั้นเจ้าไม่กลัวแมลงบินเข้าปากหรือ”
“นี่มัน...ยิ่งกว่าระเบิดลูกเล็กของเจ้าเสียอีกนะ!”
“ใช่ คิดการใหญ่ใจต้องนิ่ง ระเบิดก็เช่นกัน” ไท่หลงขบคิดตามแล้วก็ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกันเช่นไร แต่ก็เอาเถิด เขาตามหลิวจิวเหมยไม่เคยทันอยู่แล้ว ยิ่งเห็นสิ่งที่นางทำยิ่งไม่อยากตาม
“นี่เจ้าทำเช่นนี้อีกแล้วหรือหลิวจิวเหมย!”
“ขออภัยเจ้าค่ะเจ้าสำนักเจิ้ง ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
“ดี! เพราะหานเอ๋อร์ของข้าตกใจกับสิ่งที่เจ้าทำยิ่งนัก อย่าทำอีกเข้าใจหรือไม่!”
“เจ้าค่ะ” นางรับคำเสียงอ่อย แต่นางก็ไม่คิดทำให้เสียของอีกแล้ว ทำเก็บไว้ให้มากจะดีเสียกว่า เช่นไรนางก็ได้วิธีส่งขีปนาวุธลูกนี้ไปยังเป้าหมายแล้ว ครานี้นางก็ไม่ต้องเข้าใกล้เป้าหมายให้สามารถตามถึงตัวนางได้แล้ว โลกนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดนางจะทำสิ่งใดย่อมไม่กลัวถูกจับได้ “ข้าเก็บไปใช้กับพวกไม่หวังดีจะดีเสียกว่า”
“นี่เจ้าคิดระเบิดวังหลวงเช่นนั้นหรือหลิวจิวเหมย!”
“เจ้าจะเสียงดังไปใยไท่หลง หากฮ่องเต้คิดสังหารท่านพ่อของข้าจริง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บวังหลวงไว้ให้รกหูรกตา แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป เพราะข้าจะไม่ระเบิดทั้งวังทิ้งหรอก ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องข้าย่อมไว้ชีวิต”
“เจ้าไม่กลัวถูกจับได้หรือ สังหารเชื้อพระวงค์มีโทษประหารสถานเดียวนะสหาย”
“เกิดหนเดียวตายหนเดียว จะกลัวไปใย”
“ก็จริง”
“เหมยเอ๋อร์! พี่ได้ข่าวจากไท่จื่อมาแล้ว” พี่หยางยื่นหนังสัตว์อันเล็กในมือให้นางดู ข้อความในนั้นมีข้อความอยู่ว่า ‘มังกรคิดสังหารพยัคฆ์ อีกสิบราตรีจะถึงฆาต ขอให้เตรียมพร้อม’ ไม่ต้องแปลสารให้มากความนางก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี “เจ้าจะทำเช่นไรต่อไปหรือเหมยเอ๋อร์ บอกพี่ได้หรือไม่”
“ลงมือก่อนได้เปรียบเจ้าค่ะพี่หยาง ข้าจะไปพบท่านพ่อที่ชายแดน และข้าจะไปกับพี่หยางและไท่หลงเท่านั้น ส่วนท่านน้าลู่ไป๋กับพี่เสี่ยวจิงให้กลับไปเมืองหลวง ดำเนินการตามแผนที่ข้าวางไว้ให้รัดกุมที่สุดนะเจ้าคะ ทำให้มั่นใจว่าผู้ที่คิดสังหารบิดาของข้านั้นวอดวายไปกับกองระเบิด อย่าให้มีชีวิตรอดไปได้เป็นอันขาด!”
“เจ้าจะไม่ผิดหวังจิวเหมย หึหึ” จ้าวไท่หลงถึงกับขนลุกชันทั้งตัวเมื่อได้เห็นรอยยิ้มสุดสยองของพี่เสี่ยวจิง เหตุใดบุตรสาวแม่นมหวังผู้แสนดีของเขาถึงน่ากลัวเช่นนี้!
“คิดดีแล้วใช่หรือไม่ที่จะใช้วิธีนี้”
“เจ้าค่ะพี่หยาง ไม่ว่าจะคิดเช่นไรข้าก็ยังยืนกรานเช่นเดิม แจ้งแก่องค์ไท่จื่อด้วยเถิดเจ้าค่ะ จะได้หาช่องทางไว้”
หรือบางที การที่นางได้มาเกิดใหม่อาจจะเพราะให้มาช่วยส่งโอรสสวรรค์ขึ้นสู่บัลลังก์มังกรก็เป็นได้
“เจ้าคิดถูกแล้วหมอหลิว ฮ่องเต้ผู้นั้นสมควรตาย! หากอยากทราบว่าเพราะเหตุใดก็ถามบิดาของเจ้าเอาเถิด”
“เจ้าสำนักเจิ้งรู้สิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“ข้ารู้ในสิ่งที่ผู้อื่นไม่มีทางรู้ แต่ก็มิใช่สิ่งจะข้าจะบอกกล่าวแก่ผู้ใดได้” หากยืนกรานเช่นนั้นนางก็ไม่คิดถามต่อ เช่นไรเจ้าสำนักเจิ้งก็คงไม่ปริปากเป็นแน่ “หากเร่งเดินทาง ไม่เกินสี่ชั่วยามพวกเจ้าก็จะถึงชายแดน ข้าจะให้ศิษย์ของข้าเป็นผู้นำทางพวกเจ้าไปยังที่นั่นเอง หุบเขาแห่งนี้มีเส้นทางที่ลับซ้อนอยู่มาก หากเดินทางด้วยตนเองเกรงว่าสิบวันพวกเจ้าก็ออกจากหุบเขาไม่ได้ หากพร้อมเดินทางก็ให้คนมาแจ้งแก่ข้าได้ทุกเมื่อ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะเจ้าสำนักเจิ้ง ข้าติดบุญคุณท่านแล้ว”
“เล็กน้อยหมอหลิว สิ่งที่เจ้าทำให้หานเอ๋อร์นั้นยิ่งใหญ่กว่าเรื่องเล็กน้อยนี้มากนัก อย่าได้ถือเป็นบุญคุณ อ่อ เจ้าไม่ต้องทำไหน้ำส้มตกแตกแถวนี้หรอกรองแม่ทัพจ้าว คนรักของข้างดงามกว่าสตรีที่ยังไม่พ้นวัยปักปิ่นมากนัก ฮ่าๆ” นางเหลือบมองพี่หยางแล้วเกิดหน้าร้อนขึ้นมาเสียเฉยๆ นี่พี่หยางหึงหวงนางกับเจ้าสำนักเจิ้งเช่นนั้นหรือ
“ในใจข้าเหมยเอ๋อร์ของข้างดงามกว่าสตรีใด”
“บังเอิญว่าคนรักของข้าหาใช่สตรีไม่ ฮ่าๆ” เป็นอีกครั้งที่จ้าวไท่หลงอ้าปากค้างหุบไม่ลง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อย่าไปเทียบกับเค้าเลยพี่หยางจิวเหมยน่ารักในแบบหญิงสาวหรือจะสู้เค้าได้
เด็กน้อยน่ารัก
ระเบิดแล้วอย่าลืมไปขนสมบัติในคลังออกมาด้วยนะท่านเต้ทำไม่ถูกนะท่านจะมาสังหารพ่อแม่ทัพน้องจิวเหมยม่ายด้ายนี่แหล่ะน้าเสร็จนาฆ่าโคถึกเสร็จศึกฆ่าขุนพลโดนน้องเอาคืนก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ
เอ๊ะ! แล้วไท่จื่อท่านจะว่าอย่างไรนะ
ปมใหญ่รอคลี่คลายคงเป็นเฮียเต้กะท่าพ่อสินะ รีดหวั่นใจว่าอดีตที่ร้าวฉานคือแย่งชิงสตรีคนเดียวกัน ประมาณนั้น หรือป่าว???