ตอนที่ 32 : สำนักเพลิงมาร 1
“พี่ใหญ่!”
“ถอยไปก่อนไท่หลง” นางผลักสหายให้พ้นทางเพราะตอนนี้จ้าวไท่หยางกำลังถูกแบกขึ้นบ้านมาโดยองครักษ์เงา “พี่เสี่ยวจิงไปต้มน้ำให้ข้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ท่านเว่ยเถาช่วยหาผ้าสะอาดๆมาให้ข้าสักหลายผืนเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าจะทำสิ่งใดหรือจิวเหมย แล้วพี่ใหญ่เป็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าจะเอาลูกธนูออก” โชคดีที่ปลายธนูไม่มีแง่งยึดติดกับเนื้อมิเช่นนั้นอาจจะยากกว่านี้ “ปลายธนูมีพิษชนิดหนึ่งอาบไว้ แต่ข้าไม่ทราบได้ว่าเป็นพิษชนิดใด ต้องทำการขับพิษออกมาเสียก่อน” ที่นางรู้ว่าปลายธนูมีพิษเพราะแผลจุดที่ธนูปักนั้นมีรอยช้ำสีดำ เพราะหากไม่มีพิษมันคงไม่ดำคล้ำราวกับกลืนกินร่างกายของผู้ได้รับพิษเช่นนี้ ถึงนางจะร่ำเรียนกับท่านตามามากแต่ก็ยังมีพิษอีกหลายชนิดที่นางไม่รู้แน่ชัด
“ข้าทราบขอรับ นี่คือพิษวิญญาณกลืนกินไม่ผิดแน่ขอรับท่านหมอ”
“ท่านเว่ยเถาทราบได้เช่นไรเจ้าคะ”
“ข้าเคยพบผู้ที่ถูกพิษชนิดนี้ขอรับ พิษของมันจะค่อยๆกลืนกินร่างผู้ถูกพิษจนตายในที่สุด ไม่มียาถอนพิษหรือทางรักษา นอกเสียจากว่าจะใช้ของวิเศษอย่างยาอายุวัฒนะขอรับ ซึ่งมันเป็นเพียงตำนานที่เล่าลือกันมาเท่านั้น”
“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกเจ้าค่ะ” นางใช้ผ้าชุบน้ำร้อนที่พี่เสี่ยวจิงเอามาให้เช็ดรอบๆแผลเพื่อให้ทำความสะอาดแล้วให้ท่านน้าลู่ไป๋เป็นผู้ดึงธนูออก เมื่อธนูพ้นตัวพี่หยางแล้วนางก็รวมปราณส่งธาตุดำเข้าไปดูดกลืนพิษวิญญาณกลืนกินออกมา และดูเหมือนว่าธาตุดำของนางจะชื่นชอบพิษชนิดนี้ไม่น้อยเพราะเลือดสีดำข้นทะลักออกมาทางปากแผลจนนองพื้น นางปล่อยให้เลือดไหลออกมาจนกลายเป็นสีแดงและเห็นควันสีดำระเหยออกจากแผลจึงเอาผ้าชุบน้ำร้อนเช็ดทำความสะอาด เมื่อแผลสะอาดดีแล้วนางก็ส่งธาตุขาวเข้าไปรักษาบาดแผล ไม่นานมันก็ผสานกันสนิทโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ “ช่วยผลัดเปลี่ยนชุดให้พี่หยางด้วยนะเจ้าคะ”
“ท่านหมอช่างฝีมือล้ำเลิศยิ่งนักขอรับ! ข้าไม่เคยพบผู้ใดที่จะสามารถถอนพิษชนิดนี้ได้มาก่อนเลย”
“จากที่ข้าฟัง พิษชนิดนี้คงไม่ใช่พิษที่หาได้ตามสำนักทั่วไปเป็นแน่ มันเป็นพิษมากจากที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักขอรับ แต่ได้ยินมาว่าเป็นของสำนักเพลิงมารขอรับ”
“สำนักเพลิงมารตั้งอยู่ที่เขาฝู่หลงซาน ห่างไกลจากเมืองหลวงมากนัก เหตุใดจึงคิดปองร้ายรองแม่ทัพจ้าว”
“หาใช่พี่หยางไม่เจ้าค่ะท่านน้า พวกมันเล็งธนูลูกนั้นมาที่ข้า” ดูจากวิถีของลูกธนูแล้วหากพี่หยางไม่เอาตัวเข้าบังลูกธนูแทนนางคงเป็นนางที่ถูกธนูดอกนั้นปักอก “ตามหามันผู้นั้นให้พบ หากจับเป็นไม่ได้ก็จับตายกลับมาเจ้าค่ะ”
“ขอรับคุณหนู!” มีองครักษ์เงาจำนวนหนึ่งติดตามมันผู้นั้นไปตั้งแต่ได้ยินเสียงเตือนแล้ว แต่จนป่านนี้ยังไม่กลับมา หากไม่โดนสังหารไปแล้วก็คงยังตามมันผู้นั้นไปเรื่อยๆแต่ยังจับไม่ได้ เห็นพี่หยางเจ็บเช่นนี้ต่อให้มันเป็นศพนางก็ต้องเห็นร่างของมัน หากมันยังไม่ตายนางนี่แหละจะทำให้มันตายด้วยมือของนางเอง!
“ข้ารู้จักเจิ้งอู๋ซีเจ้าสำนักเพลิงมารนะจิวเหมย แม้จะไม่ใช่ผู้ที่น่าคบหานักแต่ก็ใช่จะเป็นผู้ที่คิดฆ่าผู้อื่นได้โดยง่าย ข้าคิดไม่ออกว่าสำนักเพลิงมารต้องการชีวิตเจ้าด้วยเหตุใด”
“นายท่านฟ่านคงจะยังไม่ทราบกระมังขอรับว่าสำนักเพลิงมารมีสำนักย่อยคือสำนักกุ้ยเหริน”
“สำนักกุ้ยเหริน สำนักที่ฝึกนักฆ่ารับจ้างฝีมือดีเช่นนั้นหรือ!”
“ขอรับ เรื่องนี้ชายยุทธ์ต่างรู้กันเป็นอย่างดี แต่ก่อนนั้นเจ้าสำนักเจิ้งอาจจะเป็นเช่นที่ท่านพูด แต่หลายปีให้หลังมานี้เจ้าสำนักเจิ้งเปลี่ยนไปจนแทบเป็นคนละคน เปิดสำนักย่อยที่ใช้ฝึกนักฆ่ารับจ้างหลายสำนักทีเดียวขอรับ แต่เพราะเหตุใดเจ้าสำนักเจิ้งจึงเปลี่ยนไปนั้นก็ยากจะมีผู้ใดล่วงรู้”
“หรือว่าจะมีผู้จ้างพวกมันมาสังหารเจ้าเช่นนั้นหรือจิวเหมย”
“ข้ายังไม่อยากด่วนสรุปในตอนนี้เจ้าค่ะท่านน้าลู่ไป๋ รอให้ได้ตัวนักฆ่าผู้นั้นเสียก่อน”
“หากเป็นพวกเขาจริงๆเล่าเจ้าจะทำเช่นไร”
“เก็บกวาดสำนักเพลิงมารไม่ให้เหลือซากเช่นไรเล่าเจ้าคะ!” นางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้พี่หยางที่องครักษ์ช่วยกันเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยแล้ว “ข้าไม่ได้อยากฆ่าผู้ใด แต่หากมายุ่งกับข้ากับครอบครัวของข้า ไม่ว่ามันเป็นผู้ใดหรือยิ่งใหญ่เพียงใดข้าก็ไม่สน ทำข้าก็ต้องเจอข้าทำกลับอย่างเท่าเทียม”
“ข้าจะช่วยเจ้าเองสหายข้า!”
“คุณหนูขอรับ” องครักษ์เงาที่ออกไปตามจับผู้ที่ลอบโจมตีนางกับพี่หยางกลับมาแล้วแต่สีหน้าดูไม่ดีนัก “ขออภัยขอรับ พวกเราตามมันไม่ทัน ดูเหมือนว่ามันจะรู้เส้นทางแถวนี้เป็นอย่างดี วิ่งวนไปมาในป่าจนทำให้พวกข้าคลาดกับมันขอรับ ขออภัยขอรับที่พวกข้าทำงานพลาด”
“ไม่ใช่ความผิดของพวกท่านหรอกเจ้าค่ะ จับตัวไม่ได้ก็ไม่เป็นเป็นไร เพราะข้าจะไปเอาคำตอบถึงสำนักเพลิงมารด้วยตนเอง เจ้าสำนักเพลิงมารต้องมีคำตอบให้ข้าในเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
“เหมยเอ๋อร์”
“พี่ใหญ่! รู้สึกเช่นไรบ้างหรือขอรับ พี่ใหญ่ถูกลูกธนูปักอกแต่จิวเหมยเอาออกให้แล้วขอรับ”
“ขอบใจเจ้ายิ่งนักเหมยเอ๋อร์”
“ข้าต่างหากเจ้าค่ะที่ควรจะขอบคุณ พี่หยางเอาตัวมาบังข้าไว้จนตนเองต้องเจ็บเช่นนี้”
“พี่ยอมเจ็บเองแต่ไม่ยอมให้เจ้าเจ็บนะเหมยเอ๋อร์ อย่าได้รู้สึกผิดเลย ปกป้องเจ้าคือสิ่งที่พี่ควรทำ” คนเจ็บคงอ่อนเพลียไม่น้อย เมื่อพูดกับนางเสร็จก็ตาปรือพล้อยหลับไปทันที พวกนางเองก็ถึงเวลาเข้านอนบ้างเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นนางลุกมาเตรียมมื้อเช้าให้ทุกคนและรอคอยองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ต้นน้ำมารายงาน พี่หยางนั้นหายเป็นปกติแล้ว เดินเหินสะดวกไม่ติดขัด นี่ก็ลงไปช่วยท่านเว่ยเถาออกตรวจหมู่บ้านแล้ว โชคดีจริงๆที่ธนูลูกนั้นไม่ถูกจุดสำคัญ
“เจ้าจะไปสำนักเพลิงมารจริงๆน่ะหรือจิวเหมย”
“เจ้าค่ะพี่เสี่ยวจิง มีอันใดหรือเจ้าคะ หรือว่าข้าไม่ควรไปที่นั่น”
“ข้าเพียงเป็นห่วงเจ้า สำนักเพลิงมารนั้นมีพิษร้ายที่ไม่มีทางรักษามากมายนัก ถึงเจ้าจะเป็นผู้ใช้ธาตุแต่หากไม่ได้สติก็ย่อมยากจะรักษาตนเอง หากเจ้าได้รับพิษพวกนั้นเกรงว่าเจ้าอาจตายได้นะจิวเหมย”
“คนเราหากต้องตายจะอยู่ใดก็ย่อมตายเจ้าค่ะพี่เสี่ยวจิง แต่หากข้ายังไม่ตายข้าก็จะไม่ใช้ชีวิตโดยวาดระแวงเช่นนี้เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยคิดอยากสังหารผู้ใดเจ้าค่ะ แต่หากต้องทำย่อมไม่ลังเล”
“เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าเช่นกัน สำนักใหญ่เช่นนั้นก็น่าสนุกดีไม่น้อยใช่หรือไม่”
“แน่นอนเจ้าค่ะ พี่เสี่ยวจิงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า หมองูตายเพราะงูหรือไม่เจ้าคะ หากสำหนักเพลิงมารเป็นผู้ลอบสังหารข้ากับพี่หยางจริง พิษที่พวกเขามีจะย้อนกลับไปทำร้ายพวกเขาเอง ข้าจะทำให้มันรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของการถูกพิษที่พวกมันสร้าง จากนั้นก็กวาดของล้ำค่าที่มีทั้งหมดแล้วก็เผาสำนักไม่ให้เหลือซากเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้านี่มันช่าง...”
“น่าขนลุกยิ่งนัก!”
“อ่าว กลับมาแล้วหรือไท่หลง ไปถึงกันไหนมาหรือ”
“ก็รอบๆหมู่บ้าน พี่ใหญ่ล่ากวางมาให้เจ้าด้วย ตัวใหญ่มากเลย แต่ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นั้นเจ้าจะทำจริงหรือ”
“จริงสิ แต่ข้าว่าครานี้เจ้าคงไม่ได้ไปด้วยเป็นแน่สหายข้า การเดินทางคงอันตรายไม่น้อยเลย เห็นทีท่านอัครเสนาบดีคงไม่ให้เจ้าไปผจญอันตรายเช่นนั้นหรอก ช่วยข้าเลี้ยงเสี่ยวหู่อยู่บ้านก็แล้วกันนะ”
“ข้าจะไปด้วย!”
“เช่นนั้นเจ้าก็มาให้พี่เสี่ยวจิงฝึกทุกวันเสียเลยสิ เช่นไรหากจะต้องเดินทางไกลเจ้าต้องแข็งแกร่งมากขึ้น” นางเม้มปากกลั้นขำเมื่อเห็นสีหน้าของพี่เสี่ยวจิงที่จับจ้องจ้าวไท่หลงราวกับได้เหยื่อคนใหม่ ฝึกนางที่ร่างกายเริ่มชินแล้วนั้นคงไม่สนุกนัก นางจึงหาลูกศิษย์ให้พี่เสี่ยวจิงเพิ่ม “หากวรยุทธ์ของเจ้าก้าวหน้าขึ้น ข้าจะไปขออนุญาตให้เจ้าด้วยตนเอง”
“ได้! ข้าจะฝึกกับพี่เสี่ยวจิงให้เก่งกาจเหนือเจ้าให้ได้!”
“ดี! เช่นนั้นกลับไปครานี้เจ้าก็มาพักเสียที่บ้านของท่านลู่ไป๋เลย ข้าจะได้ฝึกเจ้าอย่างเข้มงวดได้สะดวกๆหน่อย”
“ได้เลยขอรับ คนอย่างจ้าวไท่หลงไม่เคยกลัวอยู่แล้ว” นางคงได้ยินเสียงโอดครวญทุกเช้าเป็นแน่ ฮ่าๆ
“พี่ล่ากวางมาให้เจ้านะเหมยเอ๋อร์”
“ตัวใหญ่เช่นนี้เลี้ยงคนได้ทั้งหมู่บ้านเลยกระมังเจ้าคะพี่หยาง”
“ท่านเว่ยเถาจะเอาไปแจกจ่ายหลังจากเจ้าเลือกส่วนที่อยากได้เสร็จแล้ว มาเลือกดูเถิด”
เนื้อกวางก็คงไม่พ้นตุ๋นกับสมุนไพร เพราะเนื้อมีกลิ่นสาบไม่น้อย แต่นางก็จะย่างด้วยเช่นกัน เพราะทำอะไรไม่ได้มากนักหรอกในครัวที่ของไม่พร้อมเช่นนี้ นางเลือกเป็นส่วนคอเพราะน่าจะนุ่มที่สุด ส่วนขาหลังข้างหนึ่งนั้นนางเอามาทำเป็นเนื้อเค็มไว้ให้ท่านเว่ยเถาเก็บไว้ทานในฤดูเหมันต์
“คุณหนูขอรับ ข้าจับตัวผู้นำมูลค้างคาวไปวางยังต้นน้ำได้แล้วขอรับ”
“ตอนนี้อยู่ที่ใดเจ้าคะ”
“ด้านล่างขอรับ ข้าคุมตัวมันมามัดไว้ที่เสาบ้าน ตอนนี้มีท่านรองแม่ทัพจ้าวกับท่านลู่ไป๋เค้นถามมันอยู่ขอรับ”
“มิใช่คนในหมู่บ้านหรือเจ้าคะ”
“มิใช่ขอรับ แต่ยังไม่ทราบได้ว่ามาจากที่ใด คุณหนูจะลงไปเค้นถามมันเองหรือไม่ขอรับ” นางชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก็ปฏิเสธไป มีท่านน้าลู่ไป๋กับพี่หยางอยู่คงจะเพียงพอแล้วกระมัง แต่นางทำอาหารต่อไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงโวกเวกมาจากด้านล่าง น่าสงสัยจนต้องลงไปดู “มันกลืนยาพิษปลิดชีพตนเองขอรับคุณหนู!”
“ยังไม่ได้ความก็ชิงตายเสียก่อน ไม่คาดคิดว่ามันจะอมยาพิษไว้ใต้ลิ้น”
“แต่ข้าพบนี่” ท่านน้าลู่ไป๋เปิดคอเสื้อมันให้นางดูแล้วพบว่ามีสัญลักษณ์บางอย่างอยู่ ลวดลายคล้ายรูปเปลวเพลิงแต่เป็นสีดำ “เป็นตราประทับของสำนักเพลิงมาร!”
“สำนักเพลิงมารต้องการสิ่งใดจากข้ากันแน่เจ้าคะ”
“หรือว่าพวกมันจะรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใช้ธาตุ”
“จะเพราะเหตุใด ต่อไปนี้เหมยเอ๋อร์ก็ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว” นางเองก็คิดไม่ตกเช่นกันว่าพวกมันต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่ หรือว่าหลิวจิวเหมยคนเก่ารู้จักพวกมันแล้วไปทำเรื่องใดที่ทำให้พวกมันไม่พอใจเอาไว้หรือไม่นะ “พี่คงต้องแจ้งแก่ท่านแม่ทัพหลิวเพื่อที่จะเพิ่มผู้คุ้มกันให้เจ้านะเหมยเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะพี่หยาง เอาศพของมันไปฝังเถิดเจ้าค่ะ ทิ้งไว้เช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์”
“แล้วเจ้าจะกลับเข้าเมืองหลวงเลยหรือไม่ ข้าจะได้ไปเตรียมม้า”
“ยังก่อนเจ้าค่ะท่านน้าลู่ไป๋ ข้าอยากจะอยู่ตรวจรักษาชาวบ้านอีกสักวัน วันพรุ่งเราค่อยเดินทางกันแต่เช้า” เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นนางก็กลับขึ้นบ้านไปทำมื้อเช้าต่อ ที่กว่าจะได้กินคงรวบมื้อเที่ยงได้เลย เนื้อที่จะตุ๋นยังไม่ได้เอาลงหม้อด้วยซ้ำ “มันตายแล้วเจ้าค่ะพี่เสี่ยวจิง เตรียมการกันมาอย่างดีมาก แต่ข้าว่ามันแปลกๆ”
“แปลกอย่างไรหรือ”
“ข้าอาจจะคิดไปเองก็ได้เจ้าค่ะ เนื้อพร้อมย่างหรือยังเจ้าคะ” เอาไว้คืนนี้ค่อยคุยกับพี่เสี่ยวจิงก็แล้วกัน
กว่ามื้อเช้าจะเสร็จก็สายมากแล้ว ทุกคนมาล้อมวงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นนางก็ตั้งโต๊ะเพื่อตรวจรักษาชาวบ้านอีกครั้ง ครานี้ตรวจให้ละเอียดกว่าเดิมเพราะกว่าจะได้มาที่นี่อีกคงจะอีกนาน แต่ก็มีเรื่องให้ต้องทำเสียก่อน
“อย่าตามข้ามานะ!” จ้าวไท่หลงที่ตามท่านน้าลู่ไป๋กับพี่หยางไปช่วยท่านเว่ยเถาทำโรงม้าช่วยชาวบ้านกำลังวิ่งหน้าตั้งกลับมาที่บ้าน ด้านหลังมีฝูงหมาตัวเล็กตัวน้อยวิ่งตามมาด้วย แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้เป็นมิตรสักเท่าไหร่ “ว้าก ช่วยข้าด้วย พวกมันจะฆ่าข้าแล้ว ช่วยข้าด้วย!” เออแหะ หวิดโดนมันงับตูดแล้วไหมล่ะสหาย
“ก็วิ่งขึ้นบ้านสิไท่หลง”
“มันจะตามข้าขึ้นบ้านนะสิ!” มันจะขี้นบ้านได้เช่นไรกัน “อ้าก มันตามมาอีกแล้ว” ก็วิ่งออกกำลังกายไปก็แล้วกันนะสหาย หรือไม่ก็ปีนขึ้นไปสูดอากาศบนต้นไม้เล่นสักชั่วยาม ชมวิวบนนั้นคงจะสวยงามไม่น้อย “อย่ากัดตูดข้า!”
กว่าจะตรวจชาวบ้านเสร็จก็ฟ้าเปลี่ยนสีเสียแล้ว หลังจากทานมื้อเย็นที่จะเป็นมื้อสุดท้ายของเราสำหรับที่นี่นางก็ออกมาเดินเล่นกับพี่หยางเช่นเมื่อคืนก่อน มีองครักษ์เงากระจายตัวอยู่รอบๆคอยคุ้มกัน
“มีเรื่องไม่สบายใจหรือเหมยเอ๋อร์” พี่หยางกระชับผ้าคลุมของนางให้แน่นขึ้นเพื่อกันลมหนาว
“หากข้าทำสิ่งใดไปโดยไม่บอกพี่หยางแล้วพี่หยางมาทราบทีหลัง พี่หยางจะโกรธข้าหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็ต้องพิจารณาก่อนว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นสมควรจะโกรธหรือไม่ และยิ่งหากสิ่งนั้นทำให้เจ้าต้องมีภัยคงไม่มีเหตุผลใดที่พี่จะไม่โกรธ เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอยู่หรือเหมยเอ๋อร์ของพี่”
“บางอย่างที่อันตรายมากเจ้าค่ะ แต่ข้ายอมเสี่ยงหากมันจะทำให้เราทุกคนปลอดภัย”
“บอกพี่ไม่ได้เชียวหรือ”
“เดี๋ยวพี่หยางก็จะรู้และเข้าใจเองเจ้าค่ะ ข้าจะรอพี่หยางนะเจ้าคะ”
“รอเช่นนั้นหรือ รอสิ่งใดกัน” นางเพียงยิ้มแต่ไม่บอกสิ่งใดเพิ่มเติม
“ดาวเหนือช่างส่องสว่าง หากหลงทางมันจะนำทางเราไปในทิศทางที่ถูกต้อง ดึกแล้วกลับไปนอนกันเถิดเจ้าค่ะ” เพราะวันพรุ่งยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก พี่หยางมาส่งนางถึงหน้าห้องนอน แต่ก่อนที่รองแม่ทัพจ้าวจะหมุนตัวกลับไปนอนยังที่ของตนเองนางก็ดึงข้อมือหนานั่นไว้เสียก่อน “พี่หยางเจ้าคะ ข้าจะรอพี่หยางนะเจ้าคะ”
“เหตุใดเจ้าต้องรอพี่ พี่ต่างหากมิใช่หรือที่ต้องรอเจ้า เข้านอนเถิดเหมยเอ๋อร์”
ก็หวังว่าพี่หยางจะเข้าใจในสิ่งที่นางจะบอก
จ้าวไท่หยางมองสตรีที่เขาพึงใจอย่างนึกคิด คำพูดของนางนั้นใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่อีกใจก็ไม่อยากให้นางทำ เช่นไรวันพรุ่งคงต้องรีบกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขากลับมาล้มตัวนอนที่กลางบ้าน ที่นอนซ้ายขวานั้นเป็นของน้องชายและฟ่านลู่ไป๋ ส่วนท่านเว่ยเถานั้นนอนที่ห้องของเขา
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนางคุณชายจ้าว”
“เฮ้อ ข้าคัดค้านสิ่งใดได้หรือไม่เล่าขอรับ”
“ที่นางทำก็เพื่อท่านเพื่อทุกคน แต่ไม่ต้องกังวลเพราะข้ากับเสี่ยวจิงไม่มีทางปล่อยให้นางเป็นอันตราย”
“ขอรับ ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะดูแลนางเป็นอย่างดี”
“นอนเถิด เช่นไรเจ้าก็เปลี่ยนใจนางไม่ได้หรอก” ทุกคนหลับสนิทแต่ในบ้านมีการเคลื่อนไหว จ้าวไท่หยางรับรู้แต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากนอนนิ่งๆ ไม่นานที่นอนข้างๆก็มีการขยับตัวแล้วลุกหายไปในที่สุด ช่วงเช้าวันใหม่จึงเป็นอะไรที่วุ่นวายที่สุดเพราะน้องชายของเขาเซ้าซี้ไม่เลิก
“จิวเหมยถูกจับตัวไปหรือขอรับ!”
“เรียกว่ายอมให้ถูกจับตัวไปจะดีกว่า”
“เหตุใดเป็นเช่นนั้นขอรับพี่ใหญ่ เหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น!”
“เราต้องเชื่อในการตัดสินใจของนางนะไท่หลง”
“แต่ว่า...”
“ท่านลู่ไป๋กับเสี่ยวจิง รวมทั้งองครักษ์เงาทั้งหมดตามนางไปด้วย เหลือเพียงเจ้ากับพี่เท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี่ เราต้องรีบกลับเมืองหลวงแล้วไปช่วยนางพร้อมทหารและองครักษ์ เข้าใจหรือไม่”
“ก็ได้ขอรับพี่ใหญ่ หากนางกลับมาครานี้ข้าจะโกรธจนไม่พูดด้วยเลย” โทษฐานที่ไม่ชวนสหายเช่นเขาไปด้วย!
ฟากของจิวเหมยนั้น นางสลบไม่ได้สติมาตลอดทาง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พบว่าตนเองอยู่ในห้องห้องหนึ่งที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีสิ่งใดนอกจากตัวนางเอง
“ผ่านมาสองวันแล้ว เจ้ารีบลุกล้างหน้าล้างตาเถิด อีกประเดี๋ยวพวกมันคงมาพบเจ้า” โล่งอกจริงๆที่พี่เสี่ยวจิงตามนางมาถึงที่นี่โดยไม่ถูกจับได้เสียก่อน “ท่านลู่ไป๋กับองครักษ์เงาก็อยู่”
“หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลให้ลงมือได้เลยนะเจ้าคะ เอาให้เรียบ” โชคดีจริงๆที่พกระเบิดมาด้วย หึหึ
“ได้เสมอ” พี่เสี่ยวจิงกลายเป็นเงาชั่วคราว นางไม่นึกห่วงพี่เสี่ยวจิงกับท่านน้าเลยสักนิด ทั้งคู่มีฝีมือเรียกได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น มีพวกเขาอยู่นางอุ่นใจยิ่งนัก
“อย่าไว้ใจผู้ใดนะจิวเหมย จ้าวไท่หยางคงกำลังเตรียมไพร่พลเดินทางมาที่นี่ ข้าให้เงาผู้หนึ่งกลับไปแจ้งแล้ว”
“เจ้าค่ะท่านน้า ระวังตัวกันด้วยนะเจ้าคะ” นางลุกจากที่นอนไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น เพราะโดนรมยาสลบมาหลายชั่วยามทำให้มึนอยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือว่าไม่เกินคาดการณ์ของนางมากนักในสิ่งที่เกิดขึ้น ทำตัวแสนดีช่วยเหลือผู้คน นางก็เอะใจอยู่แล้วว่าทุกอย่างช่างเหมาะเจาะกับช่วงที่นางไปพักที่หมู่บ้านนัก ที่ยังไม่รู้ก็คือ พวกมันต้องการสิ่งใดจากนาง
“ตื่นแล้วหรือขอรับท่านหมอหลิว”
“เป็นท่านจริงๆสินะ ฝูเว่ยเถา!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จิวเหมยต้องไม่เป็นอะไร ทำสิ่งที่ใจคิดแล้วรอพี่หยางมารับกลับบ้านนะ
ถ้าจะบอกว่าหัวหน้าไม่ใช่คนปากโป้งก็คงยากเพราะนางเอกยังไม่รู้ว่าเป็นใครและไม่น่าสนิทใจขนาดที่จะแสดงสิ่งนี้ให้ดูได้ หรือคนที่อยู่ไม่ใช่หัวหน้าหมู่บ้านคะ?
หายไปเลย
ลงอีกหลายตอนนะค่ะสนุกดีค่ะ
เข้ามาส่องหลายรอบแล้ว วันนี้พักผ่อนเรอะคะ รอน้องจิวเหมยคะ
รอค่ะ สนุกมาก
ขอบคุณค่ะ