ตอนที่ 31 : หมู่บ้านลี่โหว
นางกำลังเตรียมตัวเดินทางไปหมู่บ้านลี่โหว พร้อมกับท่านน้าลู่ไป๋ พี่เสี่ยวจิง จ้าวไท่หยางและจ้าวไท่หลง องครักษ์นั้นไม่อาจนับจำนวนได้ สามวันมาแล้วที่องครักษ์เงาผู้ที่นางส่งไปไม่ติดต่อกลับมาและนั่นเป็นสัญญาณให้นางเดินทางไปที่หมู่บ้านนั้น ก่อนเดินทางนางได้เตรียมสมุนไพรเท่าที่มีอยู่เกินครึ่งไปด้วยเพราะอีกครึ่งนั้นนางให้พี่เอ้อหลางเอาไปขายที่โรงหมอเช่นเดิม นางหยุดรักษาเป็นการชั่วคราวแต่ยังคงขายสมุนไพรอยู่ทุกวัน
“เหตุใดเจ้าไม่เอาสมุนไพรในมิติออกมาใช้เล่าเหมยเอ๋อร์ แม่ก็บอกอยู่ว่าเจ้าสามารถใช้ได้หากเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น แต่นี่เจ้ายังไม่แม้แต่จะแตะต้องสมุนไพรในนั้นเลยนะ”
“ยังไม่ถึงเวลาเจ้าค่ะ อีกอย่างลูกยังหาสมุนไพรเหล่านี้ได้เองยังไม่ต้องพึ่งพาสมุนไพรล้ำค่าในมิติหรอกเจ้าค่ะ”
“ยังไม่ถึงเวลาหรือ”
“ลูกต้องแน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดสงสัยหากลูกนำสมุนไพรพวกนั้นออกมาใช้นอกมิติเจ้าค่ะ แล้วนี่ท่านแม่จะไปหมู่บ้านลี่โหวกับลูกหรือไม่เจ้าคะ เห็นช่วงนี้ชอบหายเงียบไปบ่อยๆลูกก็คิดว่าท่านแม่ไปเกิดแล้วเสียอีก”
“แม่ก็ออกไปท่องเที่ยวของแม่บ้างสิ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าท้องพระคลังของวังหลวงนั้นมีทองมากมายเพียงใด”
“ท่านแม่ไปดูมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“ใช่ ไปฟังสตรีในวังหลวงว่าร้ายให้กันก็สนุกดี แม่ไม่ไปกับเจ้านะอยู่ดูแลพวกที่บ้านจะดีกว่า หากมีอะไรจะได้รีบไปบอกเจ้าได้” ช่วงที่นางจะไม่อยู่โดยไม่มีกำหนดนั้น จ้าวไท่หยางได้ให้องครักษ์เงาอีกจำนวนหนึ่งมาคอยสอดส่องดูแลคนในบ้านของนางเป็นการชั่วคราว หากมีท่านแม่อยู่ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย
นางออกเดินทางในช่วงบ่ายเพื่อที่จะไปถึงหมู่บ้านลี่โหวก่อนพระอาทิตย็ตกดิน ท่านน้าบอกว่าใช้เวลาเดินทางเพียงสองชั่วยามหากไม่รีบร้อนนัก พี่หยางกับท่านน้าลู่ไป๋เป็นผู้นำขบวน เราเดินทางกันด้วยม้าเนื่องด้วยสัมภาระไม่ได้มีมาก ยาที่นางหลอมก็ใส่ย่ามไว้อย่างดี มันมากพอที่จะรักษาคนทั้งหมู่บ้านได้อีกทั้งยังเหลือให้เก็บไว้ใช้ได้อีกนานเป็นปี
“พี่หยางยังไม่ได้เล่าให้ข้าฟังเลยเจ้าค่ะว่าเรื่ององค์ชายสามเป็นเช่นไรบ้าง”
“ตอนนี้ถูกขังอยู่ที่คุกหลวงรอการตัดสินโทษ พี่ได้ถวายสิ่งที่เจ้าพบในคลังขององค์ชายสามให้ฮ่องเต้แล้ว หากไม่ทรงตัดสินประหารชีวิตเห็นทีท่านพ่อของพี่คงไม่ยอมเป็นแน่ แต่เช่นไรก็ต้องรอการตัดสินพระทัยของพระองค์เสียก่อน”
“แล้วเสนาบดีผู้นั้นเล่าเจ้าคะ”
“ท่านพ่อของพี่สังหารไปแล้ว” ไม่เห็นจ้าวไท่หลงเล่าให้นางฟังเลย แต่เมื่อมองไปที่สหายก็เห็นอ้าปากค้างไปแล้ว เห็นทีจ้าวไท่หลงเองก็เพิ่งจะรู้พร้อมกันกับนาง “อากาศเย็นยิ่งนัก เจ้าคลุมผ้าอีกสักผืนเถิด พี่ไม่อยากให้เจ้าไม่สบาย”
“มันอึดอัดเจ้าค่ะพี่หยาง ข้าใส่ชุดมาหลายชั้นเพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็รีบเดินทางกันเถิด เจ้าจะได้ไม่ต้องโดนลมหนาวมากนัก”
“ข้าก็เป็นสตรีเช่นกันนะเจ้าคะคุณชายใหญ่” พี่หยางปรายตามองพี่เสี่ยวจิงแล้วควบม้าขึ้นไปเคียงคู่กับท่านน้าลู่ไป๋ เสียงหัวเราะของพี่เสี่ยวจิงดังลั่นเมื่อเห็นท่าทางไม่สนใจเช่นนั้น “พี่หยางของเจ้าช่างเย็นชายิ่งนัก ฮ่าๆ” ท่านเองก็โรคจิตไม่แพ้กันหรอกเจ้าค่ะพี่เสี่ยวจิง เห็นพี่หยางอารมณ์เสียแล้วอารมณ์ดีเช่นนั้นหรือ “ข้าเห็นหน้านิ่งๆนั่นแล้วหมั่นไส้”
เราใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วยามก็มาถึงหน้าหมู่บ้าน มีองครักษ์เงาที่นางคุ้นหน้ามายืนรอรับ เมื่อเห็นพวกนางก็รีบเข้ามารายงานทันที “คารวะคุณหนู คารวะทุกท่านขอรับ ตอนนี้ภายในหมู่บ้านนั้นชาวบ้านล้วนหายเจ็บไข้กันแล้วขอรับ แต่ที่ข้ายังไม่กลับเพราะช่วงนี้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นขอรับ”
“ประหลาดอย่างไรหรือ”
“เรียนท่านลู่ไป๋ ข้าพบว่าต้นน้ำของแม่น้ำที่ชาวบ้านใช้ดื่มกินนั้นมีผู้เอามูลค้างคาวจำนวนมากมาวางไว้ขอรับ”
“แล้วได้แจ้งเตือนหัวหน้าหมู่บ้านหรือยังเจ้าคะ”
“ยังไม่ได้แจ้งขอรับ ข้าเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อเพราะนอกจากหัวหน้าหมู่บ้านแล้วยังไม่มีผู้ใดทราบว่าข้ามาเฝ้าดูอยู่หลายวันแล้วขอรับ อีกอย่าง ข้าอยากดูให้แน่ใจเสียก่อนขอรับว่าเป็นผู้ใดและเป็นคนในหมู่บ้านหรือไม่”
“เช่นนั้นพาข้าไปพบหัวหน้าหมู่บ้านก่อนแล้วเราค่อยไปดูยังจุดนั้นเจ้าค่ะ” หมู่บ้านลี่โหวนั้นไม่ได้ใหญ่โตเช่นที่หัวหน้าหมู่บ้านเคยบอก บ้านเรือนเป็นสองชั้นใต้ถุนสูงสร้างด้วยไม้มุงหลังคาด้วยหญ้าและไม่ได้มีเยอะมากนัก อาจจะไม่ถึงสองร้อยหลังด้วยซ้ำ องครักษ์เงาพานางไปยังบ้านของผู้นำหมู่บ้าน เขาออกมาต้อนรับด้วยความงุนงงแต่เมื่อเห็นว่านางเป็นผู้มาพบก็เชิญนางขึ้นบ้านอย่างยินดี “ขออภัยที่มาพบกะทันหันเจ้าค่ะ”
“อย่าได้เกรงใจขอรับ ข้าคิดจะไปพบท่านหมอเพื่อขอบคุณเรื่องสมุนไพรที่ให้คนเอามามอบให้อยู่พอดี แต่ยังไม่สามารถออกจากหมู่บ้านไปได้ในช่วงนี้ขอรับ”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเต็มใจช่วยเหลือ นี่เป็นองครักษ์ของข้าเจ้าคะ” นางผายมือไปทางชายชุดดำที่ยังยืนอยู่ด้านหลังของจ้าวไท่หลง “ข้าให้เขามาคอยช่วยเหลือหัวหน้าหมู่บ้านเสียหลายวันแล้ว”
“ขอรับ สมุนไพรของท่านหมอก็ได้ท่านผู้นี้นำมามอบให้ข้าด้วยตนเอง”
“องครักษ์ของข้าพบสิ่งผิดปกติบางอย่างที่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำที่พวกท่านใช้ดื่มกินเจ้าค่ะ ท่านจะพาข้าไปดูได้หรือไม่เจ้าคะ หากเป็นจริงจะได้แก้ไขได้ทัน”
“จริงหรือขอรับ! เช่นนั้นเชิญเลยขอรับข้าจะนำทางไปประเดี๋ยวนี้” พวกนางชักแถวเดินตามหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไปในป่าด้านหลังหมู่บ้าน เลียบแม่น้ำสายหนึ่งที่ไม่ใหญ่มากนัก นางพบว่าถึงแม้มันจะใสแต่กลับมีตะกอนบางอย่างลอยมากับน้ำด้วย เดินไม่กี่เค่อก็ถึงต้นน้ำที่เป็นน้ำตกสายยาวตกลงมายังแอ่งน้ำด้านล่างไหลออกไปเป็นแม่น้ำผ่านหมู่บ้าน
“ทางนั้นขอรับคุณหนู” นางเดินตามองครักษ์ไปก็พบว่ามีกองดินสีดำอยู่หลายกอง หากมองผิวเผินคงเหมือนกับดินทั่วไปแต่หากมองใกล้ๆจะได้กลิ่นเหม็นฉุนของมูลค้างคาวเป็นอย่างดี “พวกมันจะเอามาไว้ทุกเช้าเย็นขอรับ”
“มันคือสิ่งใดหรือขอรับท่านหมอหลิว”
“มูลค้างคาวเจ้าค่ะ ที่ผู้คนล้มป่วยถ่ายท้องอย่างหนักก็คงเป็นเพราะได้ดื่มน้ำที่ปนเปื้อนพวกมันเข้าไป โชคดีที่ข้าบอกให้ท่านต้มน้ำให้พวกชาวบ้านดื่ม มิเช่นนั้นข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะหายดีเช่นกัน”
“โชคดีจริงๆขอรับ เพราะตั้งแต่ข้าบอกให้ชาวบ้านต้มน้ำดื่มพวกเขาก็ทำตามมาตลอด”
“ช่วยกันทำความสะอาดกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ หากไม่มีมูลค้างคาวมาปนเปื้อนอีกสักสามวันพวกท่านก็สามารถใช้ดื่มกินได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ข้าก็ยังแนะนำให้ต้มน้ำดื่มไปตลอดเพราะน้ำพวกนี้นั้นแม้จะดูใสแต่ก็มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่มาก” พวกนางช่วยกันกวาดเอามูลค้างคาวออกจากต้นน้ำโดยนำไปใส่ใต้ต้นไม้ที่ห่างออกไปเพื่อเป็นปุ๋ย “ท่านต้องแจ้งแก่ชาวบ้านทุกคนด้วยนะเจ้าคะ ควรระวังให้มากเพราะอาจมีผู้ไม่หวังดีกับหมู่บ้านของท่าน”
“ช้าก่อนเหมยเอ๋อร์ หากคนผู้นั้นทำเช่นนี้ได้ทุกวันพี่เกรงว่าจะเป็นคนในหมู่บ้าน คอยจับตาดูไปก่อนหากจับตัวได้ค่อยแจ้งแก่ชาวบ้านเถิด”
“อ่า ข้าคิดน้อยไปจริงๆด้วยเจ้าค่ะพี่หยาง ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นก็เอาตามที่พี่หยางพูดนะเจ้าคะ” องครักษ์เงาเป็นผู้อาสาอยู่เฝ้าสังเกตการณ์โดยมีองครักษ์เงาอีกสี่คนอยู่ช่วยกันเฝ้าระวัง “หากจับตัวได้ก็ให้พาไปที่หมู่บ้านเลยนะเจ้าคะ ข้าจะอยู่ที่หมู่บ้านจนกว่าจะจับตัวผู้ทำผิดได้ รบกวนหัวหน้าหมู่บ้านช่วยหาบ้านให้ข้าสักหลังได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะจ่ายเงินเป็นค่าอยู่อาศัยให้เจ้าค่ะ”
“อยู่บ้านข้าก็ได้ขอรับ ข้านั้นอยู่ผู้เดียว มีห้องให้ท่านหมอกับแม่นางผู้นี้อยู่ได้ แต่ท่านอื่นคงต้องนอนกันกลางบ้านนะขอรับข้าจะเตรียมที่นอนให้ขอรับ”
“พี่หยางกับท่านน้านอนได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิจิวเหมย สบายมาก”
“พี่ก็นอนได้เหมยเอ๋อร์ ที่ชายแดนก็หาได้นอนสบายนัก” แต่ที่ข้าเคยเห็นคือกระโจมของท่านก็ใหญ่โตเอาการอยู่นะเจ้าคะพี่หยาง ที่นอนก็หนานุ่มแม้จะไม่ใหญ่มากแต่ก็นอนได้สบายเป็นแน่
“เจ้าไม่ถามข้าบ้างหรือ!”
“แล้วเจ้าจะอยู่ด้วยหรือไม่เล่าไท่หลง”
“เจ้าตัดสินใจไปแล้วใยต้องถามข้าอีกเล่า!” เฮ้อ ช่วงนี้ช่างเอาใจยากจริง คงเพราะเมื่อวันก่อนได้เจอจางลี่หลิงกระมังจึงฟาดงวงฟาดงาเช่นนี้ ก็แค่บังเอิญเจอแล้วนางชวนมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยเท่านั้นเอง เช่นไรลี่หลิงก็เป็นสหายของนางเช่นกันหากทำเป็นไม่เห็นก็ดูจะน่าเกลียดไปหน่อยมิใช่หรือ
กลับมาถึงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนางก็ตั้งโต๊ะเปิดโรงหมอชั่วคราวทันที หัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ไปแจ้งแก่ชาวบ้านทุกคนว่านางเป็นหมอที่ให้สมุนไพรมาช่วยทุกคน ชาวบ้านต่างก็มารอรักษากับนางกันแทบทุกคน มีเอาอาหาร ผลไม้ และอะไรก็ตามที่พวกเขาพอจะหาได้มาให้นางด้วยเพื่อเป็นการขอบคุณ
“ไม่ต้องลำบากหรอกเจ้าค่ะ หัวหน้าหมู่บ้านของพวกท่านจ่ายเงินซื้อสมุนไพรพวกนั้นให้ข้าแล้ว”
“เงินน้อยนิดหรือจะคุ้มค่ากับสมุนไพรล้ำเลิศ พวกข้าหายดีได้ก็เพราะสมุนไพรของท่านหมอนะเจ้าคะ ได้โปรดรับน้ำใจจากพวกข้าไว้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะรับไว้เจ้าค่ะ ระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่ข้าจะรักษาพวกท่านโดยไม่คิดเงินนะเจ้าคะ อยู่ที่เมืองหลวงข้าก็ทำเช่นนี้ หากพวกท่านเจ็บป่วยแล้วพอจะเข้าไปที่เมืองหลวงได้ก็ไปพบข้าได้ที่โรงหมอของตระกูลหลิวนะเจ้าคะ”
“ช่างประเสริฐแท้ ขอบพระคุณหมอหลิวที่เมตตาเจ้าค่ะ” นางให้ไท่หลงกับพี่เสี่ยวจิงช่วยจัดแถวให้ พี่หยางช่วยนางหยิบจับสมุนไพรให้ทุกคนตามอาการที่นางบอก ซึ่งส่วนมากก็แข็งแรงดีแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงอ่อนแออยู่บ้างเล็กน้อย นางให้สมุนไพรแก้ไข้กับแก้ท้องเสียสำหรับทุกคนพร้อมทั้งแนะนำวิธีรับประทานให้อย่างชัดเจน
เมื่อชาวบ้านคนสุดท้ายกลับบ้านไปนางก็มาดูว่าชาวบ้านเอาสิ่งใดมาให้นางบ้าง ส่วนมากก็เป็นพืชผักผลไม้ที่พวกเขาปลูกเองกับที่หาได้ในป่า กล้วยสุกเครือใหญ่ที่แหว่งไปเกือบหวีแล้วเพราะฝีมือของสองพี่น้องตระกูลจ้าว
“ก็ข้ากับพี่ใหญ่หิวนี่นา”
“ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าสักคำ หากหิวก็ช่วยข้ายกของพวกนี้ไปที่ครัวเร็วเข้า ข้าขอใช้ครัวของท่านได้หรือไม่เจ้าคะท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าจะทำอาหารเผื่อท่านด้วยเจ้าค่ะ”
“เชิญตามสบายขอรับท่านหมอ ข้าอยู่ผู้เดียวอาจจะมีของใช้ไม่พร้อมนักนะขอรับ”
“เหตุใดท่านยังไม่ออกเรือนเล่าขอรับ”
“เสียมารยาทนะไท่หลง”
“ขออภัยขอรับ”
“ฮ่าๆ อย่าได้กังวลคุณชายน้อย ที่ข้ายังไม่ออกเรือนนั้นเพราะยังไม่มีสตรีใดถูกใจเท่านั้นขอรับ ที่ได้เป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้านก็เพราะข้าเคยช่วยเหลือพวกชาวบ้านจากโจรป่าไว้ ตั้งแต่นั้นก็อาศัยอยู่ที่นี่เรื่อยมาขอรับ”
“มีโจรป่าด้วยหรือขอรับ!”
“ช่วงก่อนนั้นมีมากขอรับ เหตุเพราะหมู่บ้านนี้เป็นทางผ่านจะเข้าเมืองหลวง ผู้คนเดินทางผ่านไปมาแต่ก็มีบ่อยครั้งที่มาเพื่อปล้นอย่างเดียว พวกท่านก็เห็นว่าหมู่บ้านนี้นั้นมีบุรุษน้อยคนทั้งยังไม่เป็นวรยุทธ์ ข้าเองก็ไม่ได้มีเป้าหมายต้องไปที่ใดจึงอาสาอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือพวกเขาขอรับ”
“ใจท่านช่างประเสิรฐยิ่งนัก”
“พวกชาวบ้านเองก็มีบุญคุณกับข้าขอรับ ข้ามีข้าวมีอาหารโดยไม่ขาดแคลนก็เพราะพวกเขา หากไม่นับเรื่องเจ็บป่วยล้มตายของชาวบ้าน ข้าอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีขอรับ”
“ชีวิตเรียบง่ายเจ้าค่ะ พอมีพอกิน อยู่ที่ใดก็ย่อมสุขใจสุขกายที่นั่น ข้าเองก็ทำสวนปลูกข้าวเช่นกัน เป็นหมอก็เพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ที่ปฎิเสธท่านไปในคราแรกนั้นเพราะยังไม่มั่นใจนัก ให้อภัยข้าด้วยเจ้าคะ”
“ข้าเข้าใจขอรับท่านหมอ เป็นผู้ใดไปขอซื้อสมุนไพรมากมายเช่นนั้นก็ย่อมระแวงเป็นเรื่องธรรมดาขอรับ”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะตอบแทนความมีน้ำใจของท่านด้วยการทำอาหารเย็นให้สุดฝีมือเจ้าค่ะ” นางอยากได้เนื้อสัตว์เพราะของที่ชาวบ้านเอามาให้นั้นล้วนเป็นพืชผักเสียส่วนใหญ่ พอได้ยินเช่นนั้นพี่หยางก็กอดคอน้องชายแล้วชวนท่านน้าลู่ไป๋ออกจากบ้านไปทันที นางกับพี่เสี่ยวจิงจึงเข้าครัวหุงข้าวกับเตรียมผักไว้รอ เพราะนางมั่นใจว่าที่สองพี่น้องตระกูลจ้าวกับท่านน้าลู่ไป๋ออกไปนั้นไม่พ้นไปล่าสัตว์ที่ป่าด้านหลังหมู่บ้านมาให้นางทำอาหารเป็นแน่ แล้วก็เป็นเช่นดังคาด ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้นท่านน้าลู่ไป๋กับพี่หยางก็แบกหมูป่าตัวใหญ่มาให้นาง
“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไรเจ้าคะ ข้าทำไม่เป็น” นางไม่เคยถลกหนังหมูหรอกนะ!
“ฮ่าๆ เอาลงมาด้านล่างก่อนเถิดขอรับ ข้าจะเผาเอาขนกับเอาเครื่องในมันออกให้ก่อน”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านหัวหน้าหมู่บ้าน”
“เรียกข้าว่าเว่ยเถาก็ได้ขอรับ” พี่หยางกับท่านน้าลู่ไป๋ช่วยกันแบกหมูลงไปด้านล่างอีกครั้ง ท่านเว่ยเถาใช้ฟางข้าวจุดไฟแล้วรมตัวมันให้ขนไหม้ จากนั้นก็ใช้มีดกรีดหน้าท้องเพื่อเอาเครื่องในของมันออก นางกรีดร้องห้ามแทบไม่ทันเมื่อพวกเขาจะเอาเครื่องในพวกนั้นทิ้ง ของดีของเด็ดจะทิ้งได้เช่นไรกัน
“มันทานได้หรือ”
“ได้สิเจ้าคะ! อร่อยมากด้วย ไส้พวกนี้ก็กินได้หมดเจ้าค่ะ” นางถึงกับต้องลงไปกำกับด้วยตนเอง นางให้แบ่งไปให้ชาวบ้านด้วยเพราะมันมีเยอะมาก ส่วนเครื่องในจำพวกไส้อ่อนไส้ตันนางเก็บเรียบ เดี๋ยวเจอไส้ย่างกับน้ำจิ้มแจ่วของนางแล้วจะจิ้มกินไม่หยุด “ข้าไม่มีเครื่องเทศเลยเจ้าค่ะ ขอแบ่งกับชาวบ้านจะได้หรือไม่เจ้าคะท่านเว่ยเถา”
“ท่านหมออยากได้สิ่งใดบ้างหรือขอรับ”
“เอาทุกอย่างที่มีเจ้าค่ะ” ท่านเว่ยเถาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาและจะเป็นผู้ไปขอแบ่งจากชาวบ้านมาให้เอง มีท่านน้าลู่ไป๋หอบเนื้อตามไปด้วย “พี่เสี่ยวจิงช่วยข้าแยกเนื้อกับหนังนะเจ้าคะ ส่วนที่เป็นไขมันก็เอาออกให้มากที่สุด”
“หมูย่างๆ ข้าอยากทานหมูย่าง” หมูย่างก็หมูย่าง ทำไส้ย่างกับตุ๋นส่วนเนื้อเครื่องในด้วยก็แล้วกัน
ท่านเว่ยเถาได้เครื่องเทศมาเยอะทีเดียว แม้เครื่องจะไม่ครบแต่โชคดีที่มีน้ำผึ้ง นางตุ๋นเครื่องในกับส่วนที่เป็นสามชั้นก่อนเป็นอย่างแรกระหว่างรอเนื้อหมูที่หมักไว้ย่าง แต่นางไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าเพราะต้องคั่วพริกกับข้าวไว้ทำแจ่ว มีผักที่คล้ายต้นหอมด้วย หอมแดงก็มี นี่นางขอเอากลับไปปลูกที่บ้านด้วยเพราะกลิ่นแรงถูกใจมาก ท่านเว่ยเถาบอกว่าเป็นหอมป่า กลิ่นจะแรงและหอมมาก ถูกใจนางยิ่งนัก
“ไส้นั่นไม่เห็นจะน่าอร่อย”
“ก็รอข้าย่างเสร็จก่อนสิไท่หลง นี่ของดีเลยนะ กินแกล้มสุรายิ่งจะอร่อยยิ่งขึ้น รู้จักหรือไม่แกล้มสุราน่ะ”
“ข้าไม่เคยลิ้มลองสุราสักครั้งจะรู้ได้เช่นไร เจ้าเคยเช่นนั้นหรือ!” จะบอกได้เช่นไรว่าจันทร์ จัทรสุบรรณน่ะเป็นหญิงสาวที่คอทองแดงขนาดไหน การดื่มเหล้าในค่ายทหารหาใช่เรื่องแปลกและนางก็ดื่มเพื่อเข้าสังคม
“ข้าไม่เคย แต่รู้มาอีกที จริงหรือไม่จริงคงต้องให้ท่านน้ากับท่านเว่ยเถาเป็นผู้ตัดสินเถิด แต่ถึงไม่แกล้มสุราก็อร่อยเคี้ยวเพลินเชียวนะ” ได้ยินนางพูดเช่นนั้นท่านเว่ยเถาก็ไปยกโถสุรามาเตรียมไว้ทันที ท่านน้าลู่ไป๋เองก็คงจะเปรี้ยวปากไม่น้อย นางจึงย่างไส้ให้ลองชิมกันก่อนสักชิ้น ใช้ถ่านเบาในการย่างเพราะนางกลัวไหม้แล้วมันจะไม่อร่อย
พี่เสี่ยวจิงเป็นผู้ย่างไส้ ส่วนนางก็ตำข้าวคั่วกับตำพริกแห้งไว้รอ ใช้ความเค็มจำเกลือ ความหวานจากน้ำผึ้งและโรยผงปลาแห้งเพื่อเพิ่มรสชาติ ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วใส่ต้นหอมกับหอมแดงซอยลงไป อาหารอีสานง่ายๆสไตล์แม่นางหลิวก็พร้อมเสิร์ฟ นางหั่นไส้ที่สุกแล้วแบบพอดีคำแล้วกินเป็นตัวอย่างให้ดูจนทุกคนต้องกลืนน้ำลายตาม ฮ่าๆ
“เหนียวหนุบ อร่อยยิ่งนักเจ้าค่ะ” แม้แจ่วจะไม่มีรสเปรี้ยวแต่ก็กลมกล่อมกำลังดี
“จริงหรือ”
“ก็ลองสิ” ทุกคนมีท่าทีลังเลเพราะสภาพไส้มันไม่น่าดู แต่ท่านน้าลู่ไป๋ผู้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดนั้นหยิบเข้าปากไปก่อนเป็นคนแรก เคี้ยวไปไม่นานก็หยิบชิ้นที่สองที่สามเข้าปากไปติดๆ จ้าวไท่หลงมองไปกลืนน้ำลายไปด้วยแต่ก็ยังไม่ยอมหยิบเข้าปาก “พี่หยางกับท่านเว่ยเถาลองดูสิเจ้าคะ”
“อร่อยยิ่งนักจิวเหมย กลิ่นหอม เหนียวแต่เคี้ยวเพลินเช่นที่เจ้าพูด ยิ่งกินกับสุรายิ่งเข้ากันยิ่งนัก!”
“ใช่เจ้าค่ะท่านน้า เป็นของทานเล่นแกล้มสุราได้เป็นอย่างดี” นางคิดว่าที่ผู้คนไม่นิยมทานกันอาจจะเพราะมันทำความสะอาดยากและไม่น่าอร่อยเท่านั้น “ยิ่งไส้ตันยิ่งอร่อยเจ้าค่ะ เจ้าไม่ลองหน่อยหรือไท่หลง”
“อร่อยหรือไม่ขอรับพี่ใหญ่”
“อร่อย เจ้าก็ลองดูสิหลงเอ๋อร์” ท่านน้าลู่ไป๋กับท่านเว่ยเถาหยิบเข้าปากกันไม่หยุดจนแทบหมดจานอยู่แล้ว เสียดายที่นางเอาส่วนลิ้นไปดุ๋นหมดแล้วไม่เช่นนั้นจะย่างให้ลองชิมกัน “ทานได้ไม่อันตรายหรอก ก็เหมือนหมูย่างที่เจ้าชอบนั่นแหละ ยิ่งจิ้มกับน้ำจิ้มที่เหมยเอ๋อร์ทำยิ่งอร่อยเข้ากันยิ่งนัก”
“ช้าหมดอดไม่รู้ด้วยนะ” เมื่อชิ้นแรกได้เข้าปากชิ้นต่อไปก็ถูกหยิบเข้าปากไปเรื่อยๆจนคนย่างย่างแทบไม่ทัน
เมื่อย่างไส้จนหมดนางก็ให้พี่เสี่ยวจิงย่างหมูต่อ ในตอนนี้นางเร่งสุมไฟเตาตุ๋นเนื้อให้แรงขึ้นเพื่อเร่งให้เนื้อเปื่อยพร้อมทานเร็วขึ้น ข้าวก็สุกแล้วเช่นกัน กลุ่มสี่หนุ่มก็ยังคงจิ้มไส้ย่างเข้าปากไม่หยุด ตอนแรกทำเป็นไม่อยากเอาเข้าปากนะจ้าวไท่หลง ดูตอนนี้สิ หยิบเข้าปากไปครั้งละสามชิ้น
“ช่างอร่อยยิ่งนัก อร่อยยิ่งนักจิวเหมย” ข้ารู้แล้วสหาย เจ้าพูดคำว่าอร่อยไม่ขาดปากจนจะหมดจานอยู่แล้ว
มื้อเย็นวันนี้อิ่มหนำกันทุกคน หมูตุ๋นของนางเกลี้ยงหมอแบบที่ไม่เหลือแม้แต่น้ำ มันอร่อยเพราะเครื่องเทศกับหมูนั้นเข้ากันได้ดี นางเพียงปรุงรสด้วยเกลือเท่านั้น ความหวานได้จากหัวไชเท้าที่นางใส่เข้าไปด้วย นางแบ่งให้องครักษ์เงาที่มาด้วยโดยให้ผลัดเปลี่ยนกันมาทาน ผู้ที่เฝ้าอยู่ต้นน้ำก็เช่นกัน หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน แต่นางดันนอนไม่หลับ
“นอนไม่หลับหรือเหมยเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะพี่หยาง อยากจะไปเดินเล่นสูดอากาศสักหน่อย” นางหยิบผ้าคลุมมาด้วยเพราะอากาศเย็นมาก
“เช่นนั้นพี่จะพาไป หยิบผ้าคลุมมาอีกสักผืนเถิด ข้างนอกเย็นกว่าในบ้านยิ่งนัก” นางหยิบผ้าคลุมเพิ่มอีกหนึ่งผืนแล้วเดินตามพี่หยางลงจากบ้าน คนในหมู่บ้านนั้นนอนเร็ว ฟ้ามืดได้ไม่นานก็ดับไฟเข้านอนกันเสียแล้ว สตรีนอนดึกเช่นนางจึงนอนไม่หลับอย่างไรเล่า “คืนนี้ฟ้าสว่าง พระจันทร์กลมโต ดวงดาวระยิบระยับช่างงดงามยิ่งนัก”
“เจ้าค่ะ งดงามมาก” อากาศก็เย็นมากเช่นกัน
“แต่เจ้างดงามกว่าดวงดาวพวกนั้นเสียอีก”
“จริงหรือเจ้าคะ พี่เพียงพี่หยางเท่านั้นที่ชมข้าเช่นนี้”
“ให้พี่เป็นผู้เดียวที่ชมเจ้าเถิด เหนื่อยหรือไม่เหมยเอ๋อร์ เจ้าทำงานหนักมาก พี่กับท่านแม่ทัพหลิวนั้นเป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก แต่ท่านแม่ทัพเชื่อในการตัดสินใจของเจ้า พี่เองก็เชื่อในตัวเจ้าเช่นกัน แต่ก็นึกเป็นห่วงทุกครั้งที่ไม่ได้อยู่ใกล้”
“ไม่เหนื่อยหรอกเจ้าค่ะ เช่นที่ท่านพ่อบอก ข้าเป็นผู้ตัดสินใจเองที่จะทำเช่นนี้ คราแรกที่ตัดสินใจออกมาอยู่ตัวคนเดียวเพียงลำพังนั้นข้าก็กลัวเจ้าค่ะ แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ ข้ามีความทรงจำที่ไม่ดีนักต่อจวนของท่านพ่อ การขอออกมาอยู่ข้างนอกนั้นข้าคิดถูกแล้วเจ้าค่ะ ข้ามีความสุขเจ้าค่ะพี่หยาง ไม่ต้องกังวลเรื่องข้าเลย”
“เช่นนั้นพี่ก็วางใจ แต่หากเหนื่อยขอให้เจ้ารู้เอาไว้ว่าพี่หยางผู้นี้จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณที่เข้าใจข้าและเชื่อในตัวข้าเจ้าค่ะ”
“พี่ไปเจอสิ่งนี้ที่ตลาดมาและคิดว่ามันเหมาะกับเจ้า มันอาจจะไม่ใช่ของล้ำค่านักแต่พี่ก็อยากให้เจ้า เจ้าจะรับมันไว้ได้หรือไม่เหมยเอ๋อร์” พี่หยางยื่นปิ่นหยกรูปดอกเหมยมาให้นาง มันไม่ได้ดูมีค่าอะไรมากมายนักแต่ก็ทำให้นางยิ้มกว้างอย่างชอบใจ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับมา “ถึงตอนนี้เจ้าจะปักปิ่นไม่ได้แต่พี่ก็อยากให้เจ้าเก็บไว้ เมื่อถึงวันนั้นพี่ก็หวังว่าเจ้าจะใช้มันให้พี่ได้ชมสักครั้ง”
“เจ้าค่ะ ข้าจะปักปิ่นนี้ให้พี่หยางได้ชมจนเบื่อเลย”
“อีกไม่กี่วันพี่ต้องกลับชายแดนแล้วนะเหมยเอ๋อร์ และไม่มีกำหนดกลับเมืองหลวง เจ้าจะคิดถึงพี่หรือไม่”
“พี่หยางจะคิดถึงข้าหรือไม่เล่าเจ้าคะ”
“พี่ย่อมต้องคิดถึงเจ้าทุกลมหายใจ มีเพียงเจ้าที่อยู่ในใจพี่”
“เช่นนั้นข้าก็จะคิดถึงพี่หยางเจ้าค่ะ” ความรักไม่จำเป็นต้องสงสัยว่าเกิดขึ้นเมื่อใด หากทั้งสองมีใจตรงกันพี่หยางชอบนางเมื่อใดนั้นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ สำคัญที่ชายตรงหน้านางเลือกนางเป็นสตรีในดวงใจเพียงคนเดียวของเขาเท่านั้นก็พอ
“ระวังขอรับ!” เสียงองครักษ์เงาตะโกนก้องเตือนภัยแต่ช้าไปเสียแล้วเมื่อธนูดอกใหญ่พุ่งแหวกอากาศมาที่พวกนางจนไม่อาจหลีกหนีได้ทัน พี่หยางรวบตัวนางเข้าอ้อมกอดแล้วหันหลังรับธนูดอกนั้นด้วยตนเอง
ฟิ้ว ปึก!
“พี่หยาง!” ร่างสูงใหญ่ของจ้าวไท่หยางทรุดลงกับพื้นโดยมีนางในอ้อมกอด “พี่หยางเจ้าคะ พี่หยาง!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พวกเดียวกับที่ทำเรื่องน้ำใช่ไหมเนี่ย
ตอนแรกก็ฟินดีๆแต่ทำไมคะทำไมตัดฉับที่พี่หยางโดนยิงได้ยังไง แงๆๆๆๆๆ
ได้แสดงบทพระเอกแบบละครไทยแล้ว หุๆ
ธนูโดดหัวป่าวหว่าค้างๆ
สนุก อ่านเรื่อยๆ เพลินๆ
ขอบคุณค่ะ