ตอนที่ 20 : สัตว์อสูรตัวน้อย
แล้วก็เป็นไปตามที่นางคาด เมื่อจ้าวไท่หลงเห็นจางลี่หลิงในช่วงเช้าก็หน้ามืดครึ้มขึ้นหลายส่วน แต่แม่นางดรุนีน้อยนั้นอายม้วนจนหน้าแดงตัวแดงไปหมด อะไรจะเขินอายได้น่ากลัวเพียงนี้ จิวเหมยลอยหน้าลอยหน้าทำเป็นไม่รับรู้สายตาเชือดเชือนของสหายที่ส่งมาราวกับจะฆ่านางให้พรุนไปทั้งตัว
“เราไปกันเลยดีหรือไม่ เกรงว่าสายกว่านี้แดดจะร้อน” นางจูงมือจางลี่หลิงเดินนำทุกคนเข้าป่าตามด้วยทหารของท่านพ่ออีกห้านาย จ้าวไท่หลงเองก็เดินกระแทกเท้าตามมาติดๆ “นี่เจ้ากำลังทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มนะไท่หลง”
“ข้าจะทำให้ฟ้าผ่าเจ้าให้ดู!” ช่างโหดร้ายกับสหายยิ่งนักนะคุณชายจ้าว
เสียงสัตว์เล็กอย่างพวกจิ้งหรีดร้องเสียงดังระงมป่า บรรยากาศดูดีไม่น้อย ป่าสนขนาดใหญ่ที่มีแสงอาทิตย์เล็ดลอดลงมานั้นสวยงามราวภาพวาด นางมองหาตามพื้นดินที่ยังชื้นเพราะน้ำค้างเพื่อหาสมุนไพรและเห็ดสนที่สามารถทานได้ ไม่นานก็พบเห็ดสนที่ขึ้นอยู่ตามใต้ต้นสน นางรีบเข้าไปเก็บใส่ย่ามที่เตรียมมาทันที
“เห็ดอะไรหรือจิวเหมย”
“เห็ดสน เรามาในช่วงที่มันออกพอดี มีคนเชื่อว่าเห็ดนี้มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ กินแล้วจะอายุยืน ร่างกายแข็งแรง บำรุงกำลัง และอีกเยอะแยะ เช่นนั้นเจ้ามาช่วยข้าหาเห็ดเดี๋ยวนี้จ้าวไท่หลง เจ้าเองก็หาด้วยสิลี่หลิง จะได้เก็บไปให้ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าอย่างไรเล่า” นางขุดเห็ดออกมาให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง ดอกตูมกำลังสวยทีเดียว
เมื่อเห็นจิวเหมยตั้งใจเก็บเห็ดทุกคนก็เริ่มช่วยกันมองหาเห็ดที่ว่า ไม่รู้ว่ามันเพิ่งเกิดหรือไม่มีคนมาเก็บมันถึงได้ออกมามากมายเช่นนี้ เพราะไม่ไกลจากจุดที่จิวเหมยพบดอกแรกก็มีอีกหลายดอกโผลพ้นดินให้ได้เก็บอย่างสนุกสนาน
“ถ้าสรรพคุณเป็นเช่นที่เจ้าว่า เหตุใดไม่มีคนมาเก็บเล่า”
“อาจจะเพราะยังไม่มีใครเข้ามาก็เป็นได้ อีกอย่างเห็ดนี่เกิดเพียงปีละครั้งเท่านั้น และก็เป็นช่วงไม่กี่เดือน หากมาเก็บไม่ทันมันก็จะเน่าและใช้ประโยชน์ไม่ได้ ดอกที่ดีคือดอกที่กำลังตูมสวยไม่บานจนเกินไป”
“เช่นนั้นข้าจะเก็บให้หมดป่าเลย”
“เก็บแล้วก็ถมดินตรงที่เจ้าเก็บด้วยเล่า ปีหน้าเราจะได้มีเห็ดให้เก็บอีก” นอกจากเห็ดนางยังเจอสมุนไพรหลายชนิดอีกด้วย นางเก็บเรียบไม่มีเหลือ บางอย่างที่ต้องขุดเอารากเช่นโสมป่านางก็ขุดไม่มีท้อ รู้ตัวอีกทีย่ามที่นางเอามาก็เต็มจนล้น “ช่วงนี้ใกล้จะเข้าฤดูเหมันต์แล้ว ต้นไม้เริ่มจะร่วงเราก็เลยเก็บอะไรไม่ได้มาก ข้าชักอยากกลับมาอีกรอบ”
“ด้านนั้นมีน้ำตกด้วยจิวเหมย”
“ในน้ำก็ต้องมีปลา ไปกันไท่หลง เผื่อเจ้าจะได้ปลากลับไปย่าง” ได้ยินเช่นนั้นไท่หลงก็เดินนำลิ่วไปที่น้ำตกทันที ปลาเผาเกลือของจิวเหมยนั้นถือว่าเป็นสุดยอดของอาหาร ที่เด็ดอยู่ตรงสิ่งที่นางเรียกว่าน้ำจิ้ม แค่คิดน้ำลายก็เริ่มสอ จิวเหมยเองก็เดินตามสหายไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน น้ำตกที่เห็นนั้นไม่ได้ใหญ่มากนักแต่น้ำใสจนเห็นพื้นด้านล่าง
“ปลาเยอะแยะเลยจิวเหมย!”
“จับเลย! เลือกเอาแต่ตัวใหญ่ๆนะไท่หลง” มีองครักษ์อีกสามคนลงไปช่วยคุณชายจ้าว นางชวนจางลี่หลิงไปนั่งรอตรงโขดหินมองสหายดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำตก แต่ปลานั้นดูเหมือนจะจับยากมากเพราะพวกมันว่องไว ไวจนนางแปลกใจ หรือเพราะอยู่ในป่าที่มีไอเวทย์เข้มข้นถึงได้ว่องไวกว่าปลาทั่วไป
ใช่ ป่านี้พลังเวทย์เข้มข้นมาก ไม่เช่นนั้นสัตว์อสูรคงไม่เต็มป่าเช่นนี้ พวกมันดื่มกกินเวทย์บริสุทธิ์ในป่าเพื่อช่วยในการเจริญเติบโตและความแข็งแกร่ง นางรู้ตั้งแต่เข้าใกล้ชายป่าแห่งนี้แล้ว และดูเหมือนบางอย่างในตัวนางจะดูดซับเวทย์บริสุทธิ์เหล่านี้เข้าร่างกายอย่างตะกละตะกรามทีเดียว แปลกมาก!
“งี้ด หงิงๆ”
“เสียงอะไรน่ะจิวเหมย!” จางลี่หลิงถึงกับกระโดดมาเกาะนางเพราะหวาดกลัว องครักษเองก็ตื่นตัวไม่แพ้กัน
นางลุกตามหาที่มาของเสียง แม้องครักษ์จะห้ามแต่ฟังจากเสียงแล้วไม่ใช่สัตว์ใหญ่และอาจจะกำลังบาดเจ็บ มีแม่นางลี่หลิงเดินเกาะแขนมาด้วย ส่วนไท่หลงนั้นนางให้จับปลาต่อไป นางสอดส่องหาตามพุ่มหญ้าไม่พบแต่ไปพบมันในโพรงของต้นไม้ใหญ่ เป็นพยัคฆ์ขาวตัวน้อยที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลจากการถูกทำร้าย นางรีบมุดเข้าไปหาทันทีหลังจากตรวจดูแล้วว่าไม่มีแม่หรือพ่อของมันอยู่ในนั้น
“มันบาดเจ็บ” อาการหนักมากทีเดียว
“ไปเถิดขอรับคุณหนู มันคงไม่รอด อีกเดี๋ยวคงมีสัตว์อสูรตัวอื่นได้กลิ่นและตามมาเป็นแน่”
“พวกท่านหันหลังไปก่อน เจ้าเองก็ด้วยลี่หลิง อย่าหันมาจนกว่าข้าจะบอก”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ ข้าจะไม่ทิ้งมันไปหากยังพอช่วยได้” พวกองครักษ์นั้นขัดคำสั่งนางไม่ได้อยู่แล้ว เห็นนางยืนยันเช่นนั้นก็กระจายตัวกันออกไปยืนคุ้มกันรอบๆ ส่วนลี่หลิงที่กลัวจนตัวสั่นก็ขัดนางไม่ได้เช่นกัน แถมยังไปยืนใกล้ทหารองครักษ์เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เมื่อเห็นว่าทุกคนหันหลังไปแล้วนางก็เริ่มสำรวจพยัคฆ์ขาวตัวน้อยทันที
พยัคฆ์ขาวเป็นสัตว์อสูรระดับสูง มีพลังเวทย์เข้มข้นหากโตเต็มที่ แต่เจ้าตัวน้อยนี่คงจะเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ของมันจะถูกทำร้ายตายไปแล้วหรอกนะ แม้จะยังตัวเล็กแต่พอเห็นนางก็แยกเขี้ยวขู่ฟ่อไม่ทิ้งลายพยัคฆ์
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะช่วยเจ้าเองพยัคฆ์น้อย” นางส่งธาตุขาวเข้าไปรักษาอาการภายในที่ค่อนข้างสาหัสของมัน เมื่อพลังเวทย์ที่เข้มข้นในร่างของมันเจอกับธาตุขาวของนาง ร่างน้อยของพยัคฆ์ก็ส่องแสงสีขาวนวลออกมา นางเห็นแบบนั้นก็ตื่นเต้นไม่น้อย เส้นใยสีขาวถักทอคลุมร่างของพยัคฆ์ขาวราวกำลังรักษา “สุดยอด”
นางออกเอามือที่แตะตัวพยัคห์ขาวออกปรากฏว่าทุกอย่างหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่พอนางวางมือแตะลงไปใหม่ทุกอย่างก็ค่อยๆก่อตัวขึ้น เพียงไม่นานร่างของพยัคห์ขาวตัวน้อยก็รักษาหายแล้วผุดลุกนั่งเลียมือเลียเท้าของตัวเองได้
“ไง เจ้าตัวน้อย หายดีแล้วสิ” พยัคห์ขาวได้ยินเสียงนางก็เดินเข้ามาหาแล้วเลียมือนางอย่างเอาใจ “พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ กลับไปหาเขานะ ระวังตัวด้วยเดี๋ยวจะโดนทำร้ายอีก” เจ้าตัวน้อยเงยหน้ามองนางแล้วส่ายหัวเล็กๆของมันแต่นางกลับเข้าใจได้เป็นอย่างดีเพราะความเศร้าโศกของมันนั้นช่างหดหู่ยิ่งนัก พ่อแม่ของมันตายหมดแล้ว
“จิวเหมย! เจ้าอยู่ที่ไหน จิวเหมย” เสียงจ้าวไท่หลงตะโกนเรียกนางเสียดังลั่นป่า นี่จะเรียกให้สัตว์อสูรมาหรืออย่างไรนะสหาย องครักษ์ก็เอ่ยเร่งนางไม่หยุด เจ้าตัวน้อยนี่ก็มองนางตาละห้อย โอ้ย เอาก็เอา!
“เจ้าไปอยู่กับข้าดีหรือไม่ แต่ห้ามทำร้ายมนุษย์นะ แล้วก็ทำตัวนิ่งๆเงียบๆไว้” พยัคห์น้อยมองมาตาแป๋วแล้วก็พยักหน้ายอมไปกับนาง นางอุ้มพยัคฆ์ขาวขึ้นแล้วเรียกทุกคนให้กลับไปรวมกับไท่หลง ทหารเห็นว่านางอุ้มมันไปด้วยก็เอ่ยทัดทานไม่เห็นด้วย “ข้าจะดูแลมันเอง มันตัวเล็กเท่านี้ยังพอฝึกได้ พวกท่านไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ”
“จะดีหรือจิวเหมย เช่นไรมันก็เป็นสัตว์อสูรนะ แล้วนี่มันหายแล้วหรือ เจ้าทำได้เช่นไร”
“ยังหรอก แต่ข้าจะพามันไปด้วย เจ้าอย่าได้กังวลลี่หลิง ข้าไม่ยอมให้มันทำร้ายผู้ใดเป็นแน่ ไท่หลงเรียกแล้วเรากลับกันเถอะ” เมื่อมาถึงจุดที่สหายยืนรออยู่จ้าวไท่หลงมองพยัคฆ์ขาวในอ้อมแขนของนางแล้วหน้าซีด “ได้ปลามาเยอะหรือไม่เล่า”
“สิบตัว แต่นั่นเจ้าจะเอาพยัคฆ์เมฆาไปไหนหรือจิวเหมย เจ้าไม่ควรอุ้มมันเช่นนั้นนะ”
“ข้าจะเอามันไปเลี้ยง” นางเอาพยัคฆ์น้อยไปล้างคราบเลือดออกที่น้ำตกแล้วอุ้มมันแนบอกเหมือนเดิม ก่อนจะชวนทุกคนกลับไปที่กระโจม “ปลาตัวใหญ่เชียวไท่หลง เจ้าเก่งมาก”
“ข้าจับไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว!” อ้าว เช่นนั้นหรือ “แล้วมันหายบาดเจ็บแล้วหรือ” พยัคห์น้อยนอนเป็นผักไร้เรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมกอดของนางจนมองไม่รู้ว่ามันตายแล้วหรือไม่ แต่นางไม่ตอบเพราะองครักษ์และแม่นางลี่หลงไม่ทราบว่านางสามารถรักษาได้ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองก็เลยเร่งให้สหายเดินกลับกระโจม “เจ้าไม่รู้หรือว่ามันเป็นสัตว์อสูรระดับสูง อันตรายมากนะที่เจ้าจะเอามันไปเลี้ยง”
“ข้าบอกว่าจะเลี้ยงก็คือจะเลี้ยงสิไท่หลง”
“เจ้านี่มันชอบหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ โดนมันกัดตายเมื่อใดข้าจะไม่ไว้ทุกข์ให้เจ้าเลย คอยดู!”
“มันจะเชื่องกับข้าแน่นอน”
“มันไม่เคยเชื่องกับผู้ใด ข้าเคยอ่านในตำราว่ามันเป็นหนึ่งในสัตว์อสูรที่ดุร้ายที่สุด ทั้งยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าพลังของมันนั้นเป็นเช่นไรเพราะไม่มีผู้ใดเคยพบหรือบันทึกเรื่องของมันไว้เลย แต่เจ้ากลับจะอุ้มมันกลับไปเลี้ยง”
“ไท่หลง เจ้ารู้เพียงว่ามันดุร้ายจากในตำรา แต่ด้านอื่นของมันเจ้าเองก็ยังไม่รู้ เหตุใดถึงด่วนตัดสินมันนักเล่า”
“มีพยัคฆ์ตัวใดไม่ดุร้ายบ้างเล่า” นางคร้านจะเถียงกับสหายก็เลยทำเงียบไว้แล้วรีบเดินกลับกระโจมเพราะพยัคห์น้อยของนางเริ่มจะตัวสั่นเพราะหนาวเสียแล้ว พอถึงกระโจมนางก็ให้ไท่หลงไปส่งแม่นางลี่หลิงแล้วกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเลย แม้จะอิดออดบ้างแต่ก็ยอมไปแต่โดยดี นางไม่ได้อยากจับคู่ให้หรอก เพียงแต่อยากเป็นสหายกับจางลี่หลิงไว้ก็เพื่ออนาคตของนางเท่านั้น ส่วนนางก็อุ้มพยัคห์น้อยเข้ากระโจมตัวเองแล้วหาผ้ามาเช็ดตัวให้มันจนแห้ง
“เจ้านอนอยู่ในนี้ก่อนนะ ข้าจะออกไปดูของที่เก็บมา” ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเข้ามาเพราะฟางเอ๋อร์ย้ายไปอยู่กระโจมเดียวกับท่านพ่อแล้วก็แม่ใหญ่แล้ว พยัคห์น้อยก็นอนมุดในผ้าห่มตามที่นางบอกเป็นอย่างดี
นางออกมาดูปลาที่ไท่หลงกับองครักษ์จับมาแล้วเห็นว่ามีแต่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้นก็เลยจะทำเผาเกลืออย่างที่เคยทำ ผักสดยังพอมี เครื่องทำน้ำจิ้มก็เตรียมมาพร้อม เมื่อไท่หลงกลับมาหานางก็ให้ก่อไฟทำมื้อเที่ยงซะเลย
“พี่ใหญ่ยังไม่กลับมาเลย แต่มีทหารเอาสัตว์ที่ล่าได้ออกมาแล้วนะ เป็นกวางตัวใหญ่กับหมูป่า เจ้าอยากได้เนื้อมันหรือไม่ข้าจะเอามาให้เอง”
“เนื้อกวางทั้งมีกลิ่นสาปและเหนียว แต่เนื้อหมูป่าก็ไม่เลว งั้นเอาแต่เนื้อหมูป่าก็แล้วกัน” ได้ยินสหายว่าเช่นนั้นไท่หลงก็วิ่งไปยังโรงครัวของราชสำนักที่กำลังแล่เนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้วันนี้ ทุกกระโจมสามารถมาขอเนื้อได้ที่นี่หากต้องการ เขาขอมาสองส่วนสำหรับทั้งตระกูลจ้าวของเขาเองและตระกูลหลิวของจิวเหมย ได้เนื้อมาเยอะพอควรก็กลับไปหาสหาย จิวเหมยเห็นเนื้อที่ไท่หลงเอามาถึงกับตาโตเพราะไม่คิดว่ามันจะมากมายเช่นนี้ “เจ้าเอามาไมมากมายเช่นนี้ไท่หลง”
“ก็ข้าก็บอกเขาว่าขอรับส่วนของตระกูลหลิวมาด้วย พวกเขาก็ให้มาเท่านี้แหละ”
“เช่นนั้นเจ้าอยากกินอะไรเล่า”
“สุดแล้วแต่เจ้าเถอะ” เช่นนั้นก็ทำเป็นหมูตุ๋นน้ำผึ้ง หมูซอสบาบีคิวที่ทำง่ายๆแม้เครื่องไม่ครบก็ประยุกต์เอาได้ ซุปเห็ดแล้วก็เห็ดย่างเป็นของเคียง ส่วนปลาก็เอามาเผาห่อผักกินกับน้ำจิ้ม มื้อเที่ยงวันนี้คงเป็นมื้อใหญ่พอควรทีเดียว ครัวหลิวจิวเหมยกำลังจะเปิดแล้วเจ้าค่ะ
นางให้ไท่หลงเหลาไม้ไผ่สำหรับเสียบเห็ดย่าง ส่วนนางก็หมักหมูบาบีคิวไว้แล้วตั้งหม้อทำหมูตุ๋นน้ำผึ้งเพราะต้องใช้เวลานานกว่าหมูจะนุ่มเปื่อยได้ที่ หุงข้าวอีกหนึ่งหม้อ อีกหม้อทำซุปเห็ดสน ปลาจะเผาเป็นอย่างสุดท้าย ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามกว่าทุกอย่างจะเสร็จ ฝ่ายที่เข้าไปล่าก็กลับออกมาพอดี
“ท่านพ่อบาดเจ็บหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงมีเลือดติดที่ชุดของท่าน”
“เลือดกวางน่ะเหมยเอ๋อร์ พ่อสบายดี”
“ท่านพ่อจะเข้าไปล่าอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่แล้วล่ะ วันนี้พอเท่านี้ วันพรุ่งก็คงกลับกันแล้ว”
“เช่นนั้นท่านพ่อไปอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ ข้าเตรียมมื้อเที่ยงไว้เรียบร้อยแล้ว”
“จริงสิเหมยเอ๋อร์ วันนี้พ่อคงต้องไปร่วมโต๊ะเสวยกันองค์ฮ่องเต้ คงไม่อาจอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าได้ แม่ใหญ่ของเจ้ากับฟางเอ๋อร์ก็ไปกับพ่อเช่นกัน เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่ พ่อเห็นว่าเจ้าไม่ใคร่จะชอบงานเลี้ยงนักก็เลยมาถามเจ้าก่อน” โชคดีที่ท่านพ่อมาถามนางก่อน หากต้องไปนั่งปั้นหน้ายิ้มนั้งกินแบบเกร็งๆเห็นทีจะไม่ใช่นาง
“ไม่ไปเจ้าค่ะ คงไม่มีราชโองการประหารลูกมาทีหลังใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ”
“ฮ่าๆ ฮ่องเต้ไม่ทรงสั่งประหารผู้ใดโดยพละการได้หรอกเหมยเอ๋อร์”
“เช่นนั้นลูกขออยู่กินที่นี่ดีกว่าเจ้าค่ะ เจ้าล่ะไท่หลง จะไปหรือไม่”
“ไม่ไป แค่พี่ใหญ่กับไท่เว่ยไปก็เพียงพอแล้ว ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่ดีกว่า”
“เช่นนั้นข้าอยู่กับไท่หลงเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ลูกทำอาหารไว้เยอะท่านพ่อจะเอาไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
“เอาสิ พ่อจะให้ทหารมายกไป พ่อขอไปอาบน้ำก่อน” เมื่อท่านพ่อเข้ากระโจมไปชำระตัวนางก็แบ่งอาหารที่ทำเสียเยอะไว้ให้ทหารยกไปพร้อมท่านพ่อ ส่วนของนางกับไท่หลงนั้นแบ่งไว้ก็มากทีเดียวเพราะสหายของนางไม่ยอมหากจะเก็บไว้เพียงแต่พอกิน ท่านพ่ออาบน้ำออกมาก็ให้ทหารมายกถาดอาหารของนางตามหลังไป
“เจ้าทานก่อนได้เลยนะไท่หลง ข้าจะเตรียมเนื้อให้เสี่ยวหู่”
“เสี่ยวหู่คือผู้ใด”
“ก็พยัคฆ์อย่างไรเล่า ข้าตั้งชื่อให้มันว่าเสี่ยวหู่” หู่ที่แปลว่าพยัคห์ นางเตรียมเนื้อหมูต้มให้มันเป็นอาหาร ไม่รู้ว่าจะชอบหรือไม่ หากไม่ชอบก็คงต้องคลุกข้าวกับน้ำแกงให้แล้วล่ะพยัคห์น้อย เตรียมเสร็จก็เดินเข้าไปอุ้มมันออกกินข้างนอก สอนให้มันกินอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดีจริงๆที่มันฟังที่นางพูดเข้าใจ
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าไม่เคยมีผู้ใดเลี้ยงสัตว์อสูร”
“ข้าไม่รู้ มันก็เป็นเพียงแค่สัตว์ไท่หลง หากเราดูแลมันดีๆมันก็ย่อมดีกับเราตอบ”
“มีเพียงเจ้านั่นแหละที่คิดเช่นนั้น จิวเหมย! นี่มันหมูอะไรกันเหตุใดทั้งนุ่มทั้งอร่อยเช่นนี้!” นี่ก็เรียกเสียตกอกตกใจหมด “หลิวจิวเหมย เจ้ามันอัจฉริยะจริงๆสหายจ้า อร่อย นี่ก็อร่อย”
“ให้แม่นางลี่หลิงมาเรียนทำอาหารกับข้าไว้แต่เนิ่นๆดีหรือไม่ พอแต่งเข้าจวนเจ้านางจะได้ทำให้เจ้ากินอย่างไรเล่า ข้าจะสอนจะหมดเปลือกเลยนะสำหรับว่าที่ฮูหยินของเจ้า” เอ้า เหตุใดมามองกันแรงเช่นนี้ คิกคิก “ดีกับนางหน่อยจะเป็นไรไป เจ้าก็รู้หากแต่งนางเข้าจวนก็ย่อมเป็นการดีต่อพี่ใหญ่ของเจ้า อำนาจของตระกูลจางจะส่งเสริมให้จ้าวไท่หยางนั้นมีอำนาจมากขึ้น เจ้าไม่อยากช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าหรืออย่างไร”
“เจ้าที่จะเป็นฮูหยินของพี่ใหญ่ก็จะยิ่งได้ประโยชน์จากเรื่องของข้าเช่นนั้นสิ”
“เจ้าช่างเป็นสหายที่แสนฉลาด แต่ข้าหาได้ฝืนใจเจ้าไม่นะไท่หลง หากเจ้าไม่ชื่นชอบนางจริงๆก็สุดแล้วแต่เจ้า เช่นไรก็ยังพอมีเวลา ค่อยๆดูค่อยๆคิดกันไป ความรักไม่ใช่แค่พบหน้าเพียงครั้งก็จะตกหลุมรักได้หรอกนะ”
“เจ้าจะจับคู่ข้ากับนางเช่นนั้นสิ”
“ไม่ใช่เสียหน่อย ที่ชวนนางไปด้วยวันนี้ก็เพราะเห็นนางเหงาหงอยอยู่ผู้เดียวต่างหาก เจ้าไม่เห็นหรือว่าพี่สาวจากจวนอื่นนั้นต่างก็ไม่ใคร่ชอบพอนางนัก หากไม่ชวนไปด้วยกันนางคงไม่พ้นต้องไปนั่งดีดพิณร้องเพลงจนมือเจ็บเสียงแห้งเป็นแน่ หากความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไม่เป็นไปเช่นที่นางหวัง อย่างไรก็ยังเป็นสหายกันได้”
“เช่นนั้นหรือ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้าไม่ใช่เจ้าเสียหน่อยที่ขยันจับคู่ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าเสียเหลือเกิน”
“จิวเหมย เจ้าจำไว้นะ หากข้าจะแต่งงานข้าก็อยากแต่งด้วยผู้หญิงเพียงคนเดียวเหมือนที่ท่านพ่อไม่มีอนุภรรยาในจวนเลยแม้แต่คนเดียว ท่านพ่อรักเพียงท่านแม่ไม่เคยมองสตรีอื่นให้ท่านแม่ระคายใจแม้เพียงครั้ง ข้าอยากเป็นเช่นท่านพ่อ”
“เจ้าเป็นเช่นท่านพ่อของเจ้าได้ไท่หลง เพราะข้าเองก็อยากเป็นสตรีเพียงคนเดียวในใจของสามีเช่นกัน”
“พี่ใหญ่ของข้าย่อมมีเจ้าเป็นฮูหยินเพียงผู้เดียวเป็นแน่”
“แน่ใจหรือ บางทีพี่ใหญ่ของเจ้าอาจจะอยากได้อนุเต็มจวนก็เป็นได้”
“กลิ่นน้ำส้มคลุ้งเชียวสหายข้า”
“จะกินเงียบๆหรือจะกินด้วยน้ำตาสหายข้า”
“เจ้าช่างเป็นสตรีที่ป่าเถื่อนยิ่งนัก!”
จบมื้อเที่ยงจ้าวไท่หลงก็กลับกระโจมไปงีบหลังช่วยนางเก็บทุกอย่างล้างจนเสร็จ มาแบบไม่มีสาวใช้ก็ต้องทำเองทุกอย่างเช่นนี้แหละ นางเองก็เข้ากระโจมเพื่อพักผ่อนเช่นกัน นอนเล่นคุยเล่นกับเสี่ยวหู่ไปซักพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงฟางเอ๋อร์ดังเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล ท่านพ่อกับแม่ใหญ่คงกลับมาแล้ว
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกแปลกๆกันนะเสี่ยวหู่ มันร้อนๆหนาวๆเช่นไรชอบกล” เจ้าพยัคห์น้อยผงกหัวขึ้นมามองนางแล้วกลับไปนอนต่อ กินแล้วก็นอนเจ้าจะอ้วนจนกลิ้งได้แน่ๆเสี่ยวหู่! “พาเจ้าไปแนะนำตัวกับท่านพ่อดีกว่า” นางอุ้มเจ้าตัวน้อยออกไปกระโจมข้างๆที่เป็นของท่านพ่อ ฟางเอ๋อร์กำลังกินขนมอย่างอร่อยเชียว
“พ่อคิดว่าเจ้านอนหลับเสียอีกก็เลยไม่ไปกวน”
“เพียงพักเท่านั้นเจ้าค่ะ ลูกจะพาเจ้าตัวน้อยเสี่ยวหู่มาแนะนำให้ท่านพ่อ แม่ใหญ่แล้วก็ฟางเอ๋อร์ได้รู้จักเจ้าค่ะ ลูกจะพาเสี่ยวหู่ไปเลี้ยงที่บ้านด้วย พอดีว่าลูกเจอมันบาดเจ็บระหว่างเข้าไปในป่าก็เลยช่วยเอาไว้”
“เหมยเอ๋อร์! นั่นพยัคฆ์เมฆาใช่หรือไม่!”
“เห็นไท่หลงบอกเช่นนั้นนะเจ้าคะท่านพ่อ พ่อแม่ของมันตายแล้วลูกก็เลยเอามาเลี้ยง มันเองก็อยากมากับลูกเจ้าค่ะ ท่านพ่อตกใจเรื่องใดหรือเจ้าคะหรือว่าลูกไม่ควรเลี้ยงมัน”
“มันเป็นสัตว์อสูรระดับสูง ยากนักจะหาตัวพบเพราะมักอาศัยอยู่ในป่าชั้นใน ในบันทึกเองก็ไม่พบเรื่องของมันมากนัก จะเรียกว่าเป็นสัตว์ในตำนานก็ว่าได้ ไม่มีผู้ใดพบเจอมันมานานมากแล้ว เหตุใดถึงออกมาไกลถึงป่าชั้นนอกเช่นนี้”
“มันจะเป็นอันตรายหรือไม่เจ้าคะหากออกมาอยู่ข้างนอกป่าเช่นนี้”
“หากตัวยังเล็กแค่นี้ก็อาจจะเป็นอันตราย เพราะคนที่ต้องการสัตว์อสูรระดับสูงนั้นมีมากนัก แต่หากตัวโตเต็มที่ก็ยากจะมีใครทำอันตรายได้ หากลูกจะเลี้ยงก็ย่อมได้มันจะช่วยปกป้องเจ้าได้ในอนาคต”
“มันน่ารักจังเลยเจ้าค่ะพี่ใหญ่ น้องเล่นกับมันได้หรือไม่เจ้าคะ มามะเสี่ยวหู่ มาเล่นกับพี่สาว” เด็กน้อยตบมือแปะๆเพื่อให้เสี่ยวหูเข้าไปหา แต่เจ้าตัวน้อยที่นางปล่อยลงพื้นเพื่อให้มันได้เดินเล่นกลับเอาแต่นอนไม่กระดุกกระดิก
“มันเพิ่งจะหายบาดเจ็บน่ะฟางเอ๋อร์ เอาไว้มันหายดีก่อนค่อยเล่นกับมันนะ”
“มันบาดเจ็บหรือเจ้าคะ น่าสงสารจัง” มือน้อยลูบหัวเสี่ยวหู่เบาๆ แล้วปลอบว่าเดี๋ยวก็หาย เด็กน้อยเอ้ย
“จริงสิ อาหารของเจ้าได้รับคำชมมากมายเชียวล่ะเหมยเอ๋อร์”
“น้องชอบมากเลยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่เก่งที่สุด” ชอบจนโดนแม่ใหญ่แซวว่าตัวอ้วนกลมหมดแล้ว
“ท่านแม่ทัพขอรับ! ขออภัยขอรับแต่ข้ามีเรื่องมาแจ้ง”
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถิดรองแม่ทัพเจียง”
“หน่วยลาดตระเวนของเราพบเจอว่ามีสัตว์อสูรระดับสูงจำนวนมากรวมตัวกันและกำลังมุ่งออกจากป่าชั้นในขอรับ พวกข้าเกรงว่าพวกมันจะออกมาถึงป่าชั้นนอกแล้วจะเป็นอันตรายต่อฝ่าบาทได้ขอรับ”
“แจ้งฝ่าบาทหรือยัง”
“ท่านรองแม่ทัพจ้าวไปเข้าเฝ้าเพื่อถวายรายงานแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็เตรียมรับมือให้พร้อม หากวันพรุ่งฝ่าบาทมีรับสั่งให้เดินทางได้ยามใดเราจะเร่งเดินทางกันทันที” สัตว์อสูรระดับสูงรวมตัวกันงั้นหรือ เหตุใดนางถึงได้ตื่นเต้นกับข่าวนี้นัก ตื่นเต้นจนใจเต้นไม่หยุด เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
“อึก” นางทรุดตัวลงกับพื้นแล้วกระอักเลือดออกมาแบบที่ไม่มีใครได้ทันได้ตั้งตัว ท่านพ่อเห็นนางเป็นเช่นนั้นก็รีบเข้ามาประคองแล้วเอ่ยถามนางอย่างร้อนใจ แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้เช่นกันเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ยังไม่ทันจะเอ่ยปากบอกให้ผู้เป็นบิดาคลายใจไม่ต้องเป็นห่วง ร่างกายภายในของนางก็ร้อนขึ้นจนร่างกายแบบแยกออกเป็นเลี่ยงๆ แล้วสติของนางก็ดับวูบไปทันที
“เหมยเอ๋อร์! ตามหมอหลวง ตามหมอหลวงมาประเดี๋ยวนี้!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นเพราะอะไรทำไมถึงเป็นเช่นนี้
ตรงวรรคนี้ (นางออกเอามือที่แตะตัวพยัคห์ขาวออกปรากฏว่าทุกอย่างหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่พอนางวางมือแตะลงไปใหม่ทุกอย่างก็ค่อยๆก่อตัวขึ้น เพียงไม่นานร่างของพยัคห์ขาวตัวน้อยก็รักษาหายแล้วผุดลุกนั่งเลียมือเลียเท้าของตัวเองได้)
ไรท์ จะเขียนแบบนี้ใช่มั้ย? ???????????? (นางเอามือที่แตะตัวพยัคห์ขาวออกปรากฏว่าทุกอย่างหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่พอนางวางมือแตะลงไปใหม่ทุกอย่างก็ค่อยๆก่อตัวขึ้น เพียงไม่นานร่างของพยัคห์ขาวตัวน้อยก็รักษาหายแล้วผุดลุกนั่งเลียมือเลียเท้าของตัวเองได้)
ลี่หลิงคู่กับไท่หลงรึเปล่า
อย่าให้คู่กันเลยน๊า
ลี่หลิงอ่อนแอเกิ๊น
ฮิฮี่..ชอบฉากนางน้องกับไท่หลงเถียงกันจัง น่ารักมุ้งมิ้ง
มาต่อนะคะ สนุกๆๆ
ขอบคุณค่ะ
สนุกมากๆค่ะ อ่านเพลิน มาอัพไวๆนะคะ
ค้างงค่าาา ฝากไรท์เอาไม้สอยลงมาที 555