ตอนที่ 13 : หมอเทวดา
“คุณหนูหลิวจะทำอันใดหรือขอรับ”
“รักษาท่านพ่อเจ้าค่ะ ด้วยวิธีของข้าเอง เชิญพวกท่านออกไปด้านนอกด้วยเจ้าค่ะข้าต้องการสมาธิ”
“แต่ว่า...”
“หากพวกท่านรักษาไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ชีวิตของท่านพ่อข้าไม่อาจรีรอให้พวกท่านมานั่งคุยกันว่าพิษขนิดนี้ควรแก้เช่นไร จะเป็นพระคุณมากหากพวกท่านจะไปตามคุณชายจ้าวไท่หลงให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นให้ข้าอยู่ช่วยท่านดีหรือไม่คุณหนูหลิว” ท่านหมอชิงเหลียนเอ่ยอาสาช่วยเหลือ
“ข้าต้องการเพียงจ้าวไท่หลงเจ้าค่ะ!” นางยืนยันเสียงแข็งแต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมออกไปไหนจนต้องตวัดตามอง ไม่แปลกหากพวกเขาจะไม่ไว้ใจนางเพราะนางเป็นเด็กและเด็กเช่นนางจะเก่งกาจเหนือพวกเขาได้เช่นไร
“ทำตามที่นางต้องการเถิด พวกท่านออกไปรอด้านนอกแล้วให้ใครซักคนไปตามไท่หลงมาด้วย” จ้าวไท่หยางที่ยืนฟังอยู่นอกกระโจมอยู่นานแล้วเดินเข้ามาในกระโจมพร้อมทั้งเอ่ยปากให้พวกเขาทำตามที่จิวเหมยบอก ทั้งยังสั่งให้ทหารที่เฝ้าอยู่หน้ากระโจมไปตามน้องชายตัวเองมาพบนางที่นี่
“แต่ว่าท่านรองแม่ทัพจ้าวขอรับ นางจะช่วยท่านแม่ทัพได้เช่นไร”
“จะเช่นไรก็ช่าง แต่ข้าเชื่อใจเหมยเอ๋อร์”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะพี่หยาง”
“พี่จะรออยู่ด้านนอก หากเจ้าต้องการสิ่งใดเพียงเอ่ยปาก” ไท่หยางเห็นนางพยักหน้ารับแล้วก็เดินนำหมอทุกคนออกจากกระโจมสวนกับจ้าวไท่หลงที่วิ่งกระหืดกระหอบมาด้วยสภาพที่ไม่เรียบร้อยนัก พอวิ่งเข้าไปในกระโจมก็โดนสหายเอ็ดเสียงดังให้แต่งตัวให้เรียบร้อย ไท่หยางถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจในตัวน้องชาย
“เจ้าเรียกข้ามาเองนะจะมาว่าข้าได้เช่นไร ก็พวกเขาบอกให้รีบมา”
“เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะแต่วตัวให้มันเรียบร้อยกว่านี้”
“ช่างการแต่งตัวของข้าเถอะน่า ว่าแต่เจ้าเรียกข้ามาทำไมหรือ”
“มาช่วยข้านะสิ! หมอหลวงที่มาบอกว่าช่วยท่านพ่อไม่ได้ข้าจึงต้องช่วยเอง”
“อืม เช่นนั้นจะให้ข้าช่วยอะไรหรือ”
“ช่วยนั่งอยู่เงียบๆก็พอ” แล้วจะให้คนไปปลุกเขามาเพื่ออะไรกัน! “ข้าแค่อยากมีคนที่ไว้ใจได้อยู่ด้วย” เมื่อเห็นสหายเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม่ไกลก็กลับมาสนใจท่านพ่อ ชีพจรแสนเบาบางนั้นทำให้นางใจหาย นิ้วทั้งห้าสัมผัสที่ข้อมือแกร่งแล้วส่งธาตุดำเข้าไปดูดพิษออกมา เมื่อพิษร้ายถูกธาตุดำของนางก่อกวนก็เริ่มวิ่งพล่านไปทั่วทั้งตัวเป็นที่สยดสยอง
“นั่นมันอะไรน่ะจิวเหมย เหตุใดน่าขนลุกถึงเพียงนี้” นางไม่ได้ตอบสหายแต่เริ่มส่งธาตุดำเข้าไปรุนแรงมากขึ้น มันกำลังกลืนกินและผลักพิษออกทางผิวหนังของท่านพ่อ ไม่นานก็เริ่มมีจุดสีดำออกมาตามรูขุมขน มันมากมายจนแทบล้นทะลักออกมา ส่วนตัวที่วิ่งพล่านไปทั่วก็ถูกธาตุดำของนางกลืนกินไปจนหมด เตียงนอนของท่านพ่อกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆจากของเสียจากพิษ จ้าวไท่หลงจะลุกมาช่วยแต่นางไม่ให้แตะเพราะอาจจะเป็นอันตรายได้
ขับพิษอยู่ถึงหนึ่งชั่วยามท่านพ่อก็กระอักเลือดสีดำออกมาจำนวนมาก นางให้ไท่หลงใช้ผ้าเช็ดออกจากปากทุกครั้งแม้จะน่าสะอิดสะเอียดแค่ไหนก็เถอะ เมื่อครบสี่ชั่วยามเลือดที่ท่านพ่อกระอักออกมาก็เป็นสีแดงสดและพิษที่ขับออกทางผิวหนังก็เป็นน้ำใสๆของเหงื่อ นางจึงส่งธาตุขาวเข้าไปรักษาร่างกายภายในของท่านพ่อต่อ กว่าท่านพ่อจะปลอดภัยก็กินเวลาไปถึงแปดชั่วยาม ลมปราณของนางหมดไม่เหลือจนแทบสลบ
“เจ้าออกไปบอกพี่หยางให้คนมาช่วยทำความสะอาดให้ท่านพ่อหน่อยสิไท่หลง”
“ได้ๆ” ร่างของจ้าวไท่หลงหุนหันวิ่งออกไปพลางแหกปากเรียกพี่ชายดังลั่นค่าย
“เหมยเอ๋อร์!” จ้าวไท่หยางที่วิ่งพรวดเข้ามาถึงกับชะงักกับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
“พี่หยาง ท่านช่วยบอกให้ทหารมาทำความสะอาดตัวท่านพ่อให้หน่อยเจ้าค่ะ เกรงว่าให้นอนแช่พิษเช่นนี้จะไม่ดีนัก” ผู้เป็นรองแม่ทัพมองร่างท่านแม่ทัพที่เต็มไปด้วยของเหลวสีดำและแดงปะปนกัน กลิ่นเลือดกับกลิ่นของเสียตีกันไปหมดจนน่าเวียนหัว ไท่หยางเรียกทหารสี่นายเข้ามาช่วยยกร่างท่านแม่ทัพไปทำความสะอาดแล้วเรียกอีกสองนายมาช่วยทำความสะอาดเตียง “อย่าเอาไปทิ้งหรือฝังใกล้แม่น้ำนะเจ้าคะ นั่นนะพิษร้ายๆทั้งนั้น ส่วนผ้าให้เอาไปเผา”
“นั่นพิษ เช่นนั้นท่านก็แม่ทัพก็...”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อปลอดภัยแล้ว” แล้วสตินางก็ดับวูบไปในทันที
จ้าวไท่หลงที่เห็นว่าสหายสลบไปก็รีบจับตัวนางพิงตัวเองไว้แล้วให้พี่ชายไปตามหมอซักคนมาดูอาการนาง แม้จ้าวไท่หยางจะยังตกตะลึงที่ได้ยินว่าอาการของท่านแม่ทัพหายได้เพราะเด็กน้อยคนนี้แต่เพราะเป็นห่วงนางเช่นกันก็เลยรีบออกไปตามหมอที่ยังนั่งรออยู่ด้านนอกเช่นกัน
“เข้าไปดูจิวเหมยซักคน นางเป็นลมสลบไป”
“แล้วท่านแม่ทัพเล่าขอรับ”
“นางแจ้งแก่ข้าว่าปลอดภัยแล้ว จะเป็นเช่นไรก็ต้องรอท่านแม่ทัพฟื้นสติมาเสียก่อน ตอนนี้เข้าไปดูนางเถิด” หมอที่เป็นหมอประจำค่ายเป็นผู้เข้าไปดูนาง เมื่อเห็นนางเพียงเป็นลมไปเท่านั้นก็บดสมุนไพรมาให้นางได้สูดดม ระหว่างนั้นร่างของท่านแม่ทัพที่ถูกทหารสี่คนหามไปทำความสะอาดก็ถูกหามกลับมาที่เตียงที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
“น่าอัศจรรย์ขอรับ บาดแผลท่านแม่ทัพหายไม่มีเหลือแม้รอยแผลเป็น”
“เช่นนั้นข้าขอตรวจดูซักหน่อยเถิดขอรับ” หมอชิงเหลียนเอาสมุนไพรยัดใส่มือไท่หลงแล้วเข้าไปจับชีพจรผู้เป็นนายดู แม้ว่าจะตรวจเช่นไรก็ไม่พบพิษที่เขาจนปัญญาจะรักษาในตัวท่านแม่ทัพเลย “ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆขอรับ”
“นางทำได้เช่นไรกัน”
“พี่ใหญ่อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ที่เข้ามาอยู่ในนี้ก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนนางเฉยๆ”
“เจ้าไม่เห็นเลยหรือว่าทำเช่นไร”
“นางก็แค่แตะตัวท่านแม่ทัพเพียงเท่านั้นหาได้ทำอย่างอื่น หากท่านพี่อยากทราบคงต้องรอถามจากนางเอง” ไท่หยางถอนหายใจหนักแต่ก็ไม่เซ้าซี้น้องชายต่อ คงต้องรอให้นางฟื้นถึงจะสอบถามได้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจนักว่านางจะตอบ
ในขณะที่ค่ายทหารชายแดนกำลังตึงเครียด ทางเมืองหลวงที่จวนของรองเสนาบดีคลังเยว่ฉินหรงก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน เยว่ฉินหรงกำลังสนทนาอยู่กับเยว่กู่หรงผู้เป็นบิดาเพียงสองคนถึงข่าวที่เขาเพิ่งได้รับมา
“เจ้าแน่ใจหรือว่าได้ยินมาไม่ผิด”
“ไม่ผิดแน่ขอรับท่านพ่อ จ้าวไท่หลางป่าวประกาศเช่นนั้นคงไม่ผิดหรอกขอรับ”
“จะเป็นไปได้เช่นไร เราไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน”
“ข้าให้คนไปดูที่เหลาอาหารนั้นแล้วแต่ไม่พบ แต่ผู้คนแถวนั้นเขารู้จักกันดีว่าเจ้าของเหลาอาหารนั้นคือคุณหนูหลิวจิวเหมย แต่พวกเขาไม่รู้ว่านางเป็นบุตรสาวของผู้ใด แต่วันเปิดร้านนั้นมีจ้าวไท่หลางกับฮูหยินใหญ่จ้าวไปร่วมงาน ทั้งยังมีฮูหยินใหญ่ตระกูลหลิวไปร่วมด้วย แต่ท่านพ่อก็ทราบว่าฮูหยินหลิวผู้นั้นมีบุตรสาวเพียงคนเดียว”
“ใช่ และอายุเพียงไม่กี่หนาวเท่านั้น ยังเล็กอยู่มากหากจะเป็นเจ้าของเหลาอาหาร”
“อนุรองไม่มีบุตร”
“หึ เหมยอิงมีบุตรเช่นนั้นหรือ แม่ทัพผู้นั้นยังเต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บเช่นเดิม”
“ปิดเรามาได้หลายปี แล้วเช่นนี้ท่านพ่อจะให้ข้าทำเช่นไรต่อขอรับ”
“ตามหานาง”
“ขอรับ” เยว่ฉินหรงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ หลานสาวของเขาเช่นนั้นหรือ อยากจะรู้จริงๆว่าหลิวตงเฉินจะปกป้องบุตรสาวได้อีกนานแค่ไหน ฮ้า ตำแหน่งเสนาบดีคลังคงไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วกระมัง
ฟากค่ายทหารชายแดน หลังจากจิวเหมยฟื้นคืนสติมาได้ก็เรียกให้ทุกคนที่อยู่ในละแวกกระโจมของท่านแม่ทัพและเห็นการกระทำของนางมาพบที่กระโจมของจ้าวไท่หยางเนื่องจากไม่อยากรบกวนท่านพ่อของนางที่ยังไม่ฟื้นสติ
“ข้าไม่อยากให้ผู้ใดรู้ว่าข้าเป็นผู้รักษาท่านพ่อเจ้าค่ะ”
“แล้วจะให้บอกวังหลวงเช่นไร”
“ให้เป็นผลงานของหมอหลวงทั้งสามคนไปเจ้าค่ะ”
“พวกข้าไม่อาจรับความชอบเป็นของตนเองได้หรอกขอรับคุณหนูหลิว”
“ถือว่าช่วยข้าเถิดนะเจ้าคะ หากมีคนล่วงรู้ว่าข้าเป็นผู้รักษาท่านพ่อได้เช่นหมอเทวดาเกรงว่าชีวิตข้าคงไม่ปลอดภัย ข้าอยากเป็นเพียงเจ้าของเหลาอาหารเท่านั้นไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากมาใส่ตัวเองเพิ่ม”
“แต่นี่เป็นความชอบของเจ้า ฮ่องเต้อาจจะประทานทรัพย์สินมากมายเป็นของรางวัล เจ้าไม่อยากได้หรือ”
“ของพวกนั้นข้าหาเองได้เจ้าค่ะพี่หยาง แต่ความสงบสุขในชีวิตข้าคงหาไม่ได้อีกแล้วหากเรื่องนี้หลุดออกไป เช่นนั้นข้าขอความกรุณาจากท่านหมอหลวงนะเจ้าคะ อย่าเอ่ยกับผู้ใดว่าข้าเป็นผู้รักษาท่านพ่อ”
“ท่านรองแม่ทัพขอรับ”
“ทำตามที่นางต้องการเถิด นางเป็นเด็กคงจะไม่ดีหากมีเรื่องยุ่งยากมาถึงนาง”
“เช่นนั้นพวกข้าจะทำตามที่คุณหนูต้องการ เพียงแต่ข้าอยากทราบได้หรือไม่ว่าท่านรักษาท่านแม่ทัพเช่นไร”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เป็นความลับของข้า” นางขยิบตาให้หมอหลวงอย่างหยอกล้อแล้วขอตัวออกไปดูท่านพ่อของนางต่อ แต่จะว่าไป ตั้งแต่นางมาถึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากน้ำ นึกปุบท้องร้องปับ “หิวจังเลย”
“ข้าคิดแล้วว่าเจ้าต้องหิวเพราะข้าก็หิวเช่นกัน เช่นนั้นไปโรงครัวกันเถิดสหาย”
“แต่จะมีอะไรให้เรากินหรือไท่หลง มันก็ดึกมากแล้วนะ”
“ค่ายทหารย่อมมีอาหารกักตุนไว้มากมายไม่ว่าจะเป็นของสดของแห้ง แม้อาจจะไม่สดใหม่แต่ก็ดีกว่าไม่มี แล้วอีกอย่างพี่ใหญ่ของข้าก็อนุญาตให้เราไปถล่มโรงครัวได้ตามสบาย เพราะฉะนั้น ช่วยทำของอร่อยๆให้สหายผู้นี้ด้วยเถิด”
“อุจาดตา เจ้าคิดว่าทำตัวเหมือนเด็กแล้วจะน่ารักหรืออย่างไร ตัวเจ้าใหญ่เท่ายักษ์แล้วไท่หลง”
“เพราะตัวข้าโตเช่นนี้อย่างไรเล่าถึงมีสาวๆมาลอบชายตาให้ข้าไม่เว้นวัน” เด็กแก่แดดเอ้ย ถึงตัวจะใหญ่แต่เจ้าก็ยังเป็นเด็กอายุสิบขวบที่ยังไม่สิบเอ็ดอยู่ดี แต่อายุเท่านี้อสุจิก็พัฒนาและทำให้สตรีที่ไข่ตกท้องได้แล้วนี่นา หมอนี่คงไม่แก่แดดถึงขนาดนั้นหรอกกระมัง “เหตุใดเจ้ามองข้าเช่นนั้น สงสัยอะไรงั้นหรือ”
“เจ้าเคยมีสัมพันธ์กับสตรีมาบ้างหรือยังจ้าวไท่หลง”
“เจ้าถามอะไรของเจ้า! ข้าจะไปเคยได้เช่นไร ข้ายังเด็กอยู่นะ”
“เช่นนั้นก็ดี หากจะมีก็มีได้แต่ข้าไม่ได้ชี้แนะให้เจ้าไปมีอะไรกับใครหรอกนะ แต่หากจะมีแล้วจริงๆก็ควรจะป้องกันบ้างไม่เช่นนั้นสตรีผู้นั้นจะลำบาก หากนางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาเจ้าก็จะลำบากเช่นนั้น” จ้าวไท่หลงอ้าปากค้างกับคำพูดของสหายไปแล้ว นี่นางกำลังสอนเข้าเรื่องอะไรกันนี่!
“ข้าไม่ได้จะมีอะไรกับใครเสียหน่อย เจ้าหยุดพูดเลยนะ!”
“ข้าก็แค่บอกเจ้าเผื่อไว้ มันไม่ใช่เรื่องหน้าอายเสียหน่อย ฟังๆข้าไว้บ้างก็ไม่เสียหายนักหรอก ไปๆ ข้าหิวแล้ว” มันไม่เสียหายตรงไหน หากมีใครมาได้ยินคงคิดว่าเจ้าเป็นหญิงวิปลาสไปแล้วหลิวจิวเหมย หึ้ย สหายของเขาบ้าไปแล้ว “มีใครอยู่หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากจะมาขอทำอะไรทานซักหน่อย”
“อ้าว บุตรีท่านแม่ทัพนั่นเอง เข้ามาเถิดขอรับ มีของให้ท่านทำอาหารเยอะแยะไปหมด” นางเดินยิ้มเข้าไปในโรงครัวขนาดใหญ่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เครื่องครัว เห็นแบบนี้ชักคันไม้คันมือ “ข้าพ่อครัวหวังขอรับ”
“หลิวจิวเหมยเจ้าค่ะ นี่จ้าวไท่หลงน้องชายของท่านรองแม่ทัพจ้างไท่หยางเจ้าค่ะ”
“คารวะคุณชายจ้าวขอรับ”
“ไม่ต้องหรอกพ่อครัวหวัง ตามสบายเถิด ข้าเพียงตามจิวเหมยมาหาของกินเท่านั้น รบกวนด้วย”
“เช่นนั้นจะให้ข้าทำอะไรให้ทานดีขอรับ”
“ไม่รบกวนพ่อครัวหวังหรอกเจ้าค่ะ วันนี้ท่านเหนื่อยทำอาหารให้ทหารในค่ายมาทั้งวันแล้ว ข้าจะทำเองเจ้าค่ะ หากพ่อครัวหวังไม่รีบไปไหนก็รอชิมได้นะเจ้าคะ” พ่อครัวหวังตอบรับอย่างยินดีและนั่งมองนางหยิบจับของในครัวอย่างคล่องมือ อยากให้ช่วยอะไรก็เพียงเอ่ยปากขอให้ช่วยเท่านั้น “ให้คนไปถามพี่หยางกับท่านหมอหน่อยสิไท่หลงว่าจะรับอาหารด้วยหรือไม่ ข้าจะได้ทำเผื่อ” ไท่หลงเรียกทหารที่อยู่แถวนั้นมาแล้วไหว้วานให้ไปถามให้
สรุปคือจะทานมื้อดึกกันทุกคน นางทำเป็นข้าวต้มหมูสับง่ายๆจะได้ไม่หนักท้องมาก เครื่องเคียงเป็นผัดผักบุ้ง ยำไข่ดาวที่ไม่มีมะนาวแล้วก็หมูหวาน เสร็จก็ช่วยกันจัดเป็นชุดๆยกไปให้รองแม่ทัพและท่านหมอทั้งสี่คน ส่วนนางกับไท่หลงแล้วก็พ่อครัวหวังกินกันในครัว ไท่หลงตักข้าวต้มเข้าปากตามด้วยยำไข่ดาวไม่มีเว้นจังหวะ เคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย
“เพียงข้าวต้มธรรมดาแต่เลิศรสมากขอรับคุณหนูหลิว ข้าขอสูตรไว้ได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้สิเจ้าคะพ่อครัวหวัง ไว้ข้าจะจดสูตรมาให้นะเจ้าคะ”
“สหายของข้าเป็นถึงเจ้าของเหลาอาหารเชียวนะขอรับ จะไม่รสเลิศได้เช่นไร”
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากคุณหนูแล้วขอรับ”
“ข้ายังไม่แน่ใจว่าต้องอยู่ที่นี่อีกนานเท่าใด แต่หากข้าว่างข้าจะมาช่วยพ่อครัวหวังนะเจ้าคะ” ไท่หลงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบานเพราะเขานั้นได้ฟังพี่ใหญ่บ่นเรื่องอาหารให้ค่ายมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าพ่อครัวหวังทำไม่อร่อยแต่เพราะมันเป็นเมนูเดิมๆไม่กี่อย่าง คนที่เรื่องมากเรื่องอาหารเช่นพี่ใหญ่ของเขาถึงได้บ่นไม่หยุด
เมื่อทานกันเสร็จก็ช่วยกันเก็บล้าง อาหารที่ยกไปให้จ้าวไท่หยางและหมอทั้งสี่คนก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือ ไท่หลงมาส่งนางที่กระโจมแล้วแยกไปพักผ่อน ร่างกายของนางเองก็เหนื่อยล้าเต็มทีแล้วเพราะตั้งแต่มาถึงนางยังไม่ได้พักเลย ไหนจะต้องรักษาท่านพ่อจนลมปราณแทบหมด กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาหลายชั่วยามถึงกับเป็นลมพับไป เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยหัวถึงหมอนนางก็หลับสนิทไปทันที ไม่มีอะไรต้องห่วงเพราะคนของพี่หยางอยู่ล้อมรอบกระโจมของนาง
รุ่งเช้าวันใหม่นางสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงร้องโหยหวนของจ้าวไท่หลง นางก็รีบลุกจากที่นอนออกไปดูเพราะคิดว่าสหายโดนทำร้ายแต่ที่ไหนได้กลับกำลังถูกลากไปวิ่งออกกำลังกายโดยจ้าวไท่หยาง พอหันมาเจอนางที่สภาพเพิ่งตื่นก็ส่งสายตามาขอความช่วยเหลือแล้วนางจะไปช่วยอะไรได้ วิ่งออกกำลังยามเช้าไปนะสหาย
“ช่วยข้าด้วยจิวเหมยยยยยย”
นางรีบกลับเข้ากระโจมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปช่วยพ่อครัวหวังในครัว พ่อครัวหวังกำลังวุ่นกับการเตรียมวัตถุดิบอยู่พอดี มีทหารรับใช้อยู่อีกสี่คนถือว่าไม่เยอะสำหรับโรงครัวที่ต้องทำอาหารจำนวนมากเช่นนี้
“อ้าว คุณหนูหลิว มาเช่นนี้จะมาช่วยข้าหรือขอรับ”
“เจ้าค่ะ ข้าอยากช่วย” ได้ยินเช่นนั้นพ่อครัวหวังก็ไม่เกรงใจนางอีกต่อไป นางได้รับหน้าที่ช่วยพ่อครัวหวังปรุงอาหารซึ่งก็เป็นอาหารง่ายๆเช่นซุปหัวไชเท้าเนื้อตากแห้ง เต้าหู้ทอดจืดๆ ที่นางเห็นแล้วรับไม่ได้ก็เลยทำซอสหวานโรยด้วยถั่วใส่ถ้วยเคียงไปด้วย ใครอยากจิ้มก็จิ้มใครอยากกินจืดๆก็กิน อีกเมนูเป็นผัดผักรวมใส่หมูที่นางปรุงเอง แต่ยังทำอาหารไม่เสร็จทหารที่นางจำได้ว่าเฝ้าอยู่หน้ากระโจมท่านแม่ทัพก็วิ่งมาตามพร้อมกับข่าวดี
“ท่านแม่ทัพฟื้นแล้วขอรับ!” นางวิ่งออกจากครัวตามทหารผู้นั้นไปในทันที
“ท่านพ่อ!”
“ช้าๆก็ได้จิวเหมย ท่านแม่ทัพไม่หนีไปไหนหรอก”
“ท่านพ่อรู้สึกเช่นไรบ้างเจ้าคะ” แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวแต่ก็ดูดีขึ้นมาก ร่างสูงใหญ่ผ่ายผอมลงเล็กน้อยจากการนอนไม่ได้สติอยู่หลายวัน นางก็มัวแต่ห่วงท่านพ่อจนไม่ทันสังเกตุว่าในกระโจมมีผู้ใดอยู่บ้างแล้วบรรยากาศเป็นเช่นไร
“พ่อรู้สึกดีขึ้นมากแล้วเหมยเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้วลูกพ่อ”
“ไม่ลำบากเจ้าค่ะ ท่านพ่อปลอดภัยลูกก็ดีใจแล้ว แล้วนี่หารืออะไรกันอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่หรอกลูก เจ้ามาก็ดีแล้วพ่อมีเรื่องอยากพูดคุยกับเจ้า”
“เช่นนั้นพวกข้าออกไปก่อนนะขอรับท่านแม่ทัพ” จ้าวไท่หยางนำทีมคนในห้องออกจากกระโจม นางกระซิบสหายเบาๆว่าวันนี้นางช่วยพ่อครัวหวังทำมื้อเช้า จ้าวไท่หลงได้ยินเช่นนั้นก็วิ่งฉิวออกไปก่อนใครคงไม่พ้นไปโผล่ที่โรงครัว
“ท่านพ่อมีอะไรจะพูดกับลูกหรือเจ้าคะ”
“เรื่องอนุรอง พ่อคิดว่าพิษที่พ่อได้รับนั้นมาจากนางแต่ไม่เคยระแคะระคายใจ ทั้งยาสมุนไพรที่นางอ้างว่าบำรุงร่างกาย ทั้งยังอาหารต่างๆที่นางขยันเอามาให้พ่อ พ่อก็คิดว่านางคงอยากเอาใจก็เลยไม่สงสัย”
“ท่านพ่อแน่ใจได้เช่นไรเจ้าคะว่าเป็นแม่รอง อาจจะเป็นคนนั้นที่ท่านพ่อไว้วางใจก็เป็นได้”
“พ่อให้คนสืบความจากมันมาดีแล้ว มันหมายเอาชีวิตพ่อก็จริงแต่ก็เป็นเพียงทหารปลายแถวทำได้เพียงเป็นสายคอยส่งข่าวเท่านั้น อีกอย่าง ก่อนที่พ่อจะกินอะไรในค่ายทหารจะมีการตรวจพิษก่อนเสมอป้องกันไว้ เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะได้รับพิษจากที่นี่” ก็คงไม่พ้นนางสารเลวผู้นั้น!
“เช่นนั้นท่านพ่อจะทำเช่นไรเจ้าคะ” นางนั้นวางแผนจะเข้าไปเยี่ยมแม่รองอยู่แล้วแต่ยังไม่ทันได้ไปก็มีเรื่องของท่านพ่อเข้ามาเสียก่อน “ข้าเองก็อยากรู้เพิ่มเติมว่าที่ท่านแม่ป่วยตายเพราะพิษนั้นเป็นเพราะนางด้วยหรือไม่”
“พ่อจะไม่ลังเลหากต้องสังหารจิวเหมย! และตอนนี้นางก็ถูกขังไว้ในห้องขังที่จวนเรียบร้อยแล้ว”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เร่งเดินทางมาก 2 วันจากปกติ 3 วัน แถมเจอฝน ก็น่าจะถึงค่าย ค่ำ ๆ หรือดึก ๆ ด้วยซ้ำ อย่างดีก็เย็ยฝน ๆ แต่จากบริบท น่าจะดึกมากกว่า
มาถึง นางเอกไปรักษาพ่อต่ออีก 8 ชั่วยาม = 16 ชม.
ก็เท่ากับข้ามวัน ไปบ่าย ๆ เย็น ๆ วันถัดไป
นั่นคือไม่ได้กินข้าวมา 1 วันเต็ม บวกกับรักษาพ่อ จึงเป็นลม
ฟื้นมายังไม่ได้กินข้าว แต่มีแรงไปทำกับข้าวให้คนอีกเกือบ 10 คน กิน
มีอีกหลายจุดที่แปลก ๆ ขัด ๆ นะคะ
อย่างเช่น มีคำว่า "ทีม" ในบทบรรยาย ของท่านรองแม่ทัพด้วย ซึ่งดูไม่เข้ากันกับตัวละครยุคนี้เลยค่ะ
อยากให้ไรท์ลองปรับดู จะได้อ่านลื่นไหลขึ้นค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
จัดการให้เด็ดขาดสักทีเถอะ ดูสิทำไว้ซะขนาดนี้
แต่ล่ะคนมาให้นางเชือด
สนุกค่ะ รออ่านต่อนะค่ะ
เอาจริงถึงตระกูลตงเป็นตระกูลใหญ่ แต่วางยาฮูหยินใหญ่นี่เข้าข่ายให้หย่าได้ทันทีแล้วต้องโดนโทษหนักจากกฎหมายแล้วนะ ไปวางยากับสามีอีกนี่ประหารได้หลายชั่วโคตรฐานกบฏได้เลยนะ บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและสมคบคิดกับศัตรู จริงๆเลยเถิดจนไม่สามารถตัดสินกันแต่ในจวนแล้วนะ คราวนี้ต้องเอาเข้าศาลกับสภาแล้วจักรพรรดิต้องลงมาเองล่ะ เพราะมันเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติไปแล้ว
เป็นคนใกล้ตัว นางอนุรแงท่ีวางยาพิษทุกคนในจวน. ละก็ทำมานาน ล้วแ้วย อยากรู้ว่าทำไปทำไม โกรธแค้นอะไรนักหนา ดีนะที่นางเอกเป็นหมอเทวดาจึงช่วยพ่อของตัวเองได้รอดปลอดภัย ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณไรท์ค่ะ
ชอบอ่านแนวเรื่องนี้มากๆ
อีเมียรองมันเป็นไส้ศึกแน่ๆ