ตอนที่ 10 : 09 : แพ้ใจ [3/3]
“ไหนหนูลองหันข้างนิดนึง ดีมาก ไหนลองยิ้มหน่อย โอเคเลย”
หลังจากที่มาเจนตาตัดสินใจตกลงถ่ายแบบโฆษณาให้กับอ้อม เธอก็ได้รับการนัดหมายให้ไปหาที่สตูดิโอของบริษัทเพื่อแคสติ้งหรือทดสอบหน้ากล้อง ปรากฏว่าเมื่อมาถึง หญิงสาวก็ถูกคนเข้ามาจับแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนชุดอยู่ยกใหญ่
เมื่อการถ่ายภาพนิ่งเสร็จไป เธอจึงสามารถมานั่งพักได้ชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวถ่ายทำแบบมีบทต่อไป
“นี่เป็นบทของหนูนะ” อ้อมเดินเข้ามาหาร่างที่นั่งพักอยู่พร้อมกับบทที่พิมพ์ลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง “โฆษณาเครื่องดื่ม ทางลูกค้าเขาอยากได้แบบสดใสสดชื่น พี่อยากให้หนูแสดงความเฟรชออกมา ที่แบบดื่มตัวสินค้าแล้วโลกสวยขึ้นทันตา”
“อ่า..” มาเจนตาพยักหน้าระหว่างที่ฟัง เธอรับรู้แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า
“ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องคิดมากเลย ทำตัวทำใจให้สบาย” เมื่อเห็นว่าว่าที่นางแบบของตนเองยังมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย อ้อมจึงต้องหาวิธีการใหม่ “เดี๋ยวพี่ทำให้ดู อะแฮ่ม คิดถึงน้ำผลไม้ ดื่มพิ้งค์เพิร์ลสิคะ”
สาววัยสามสิบหยิบน้ำเปล่าขวดหนึ่งมาแสร้งว่าเป็นสินค้าแบรนด์พร้อมกับพูดสโลแกน จบแล้วจึงฉีกยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนหน้านั้นก็มีทำทีเปิดขวดดื่มบ้างเพื่อความสมจริง
“ว้าว ดูดีจังเลยค่ะ” มาเจนตาเห็นการแอคติ้งนั้นแล้วกล่าวชมออกมา
“งี้เลยนะ ยิ้มหวานๆ ตอนดื่มน้ำก็ยกให้เห็นโลโก้แบรนด์ชัดๆ มีจริตนิดนึง พี่ว่ายังไงหนูก็ผ่าน”
“อย่าเพิ่งคาดหวังเลยค่ะ หนูไม่รู้จะทำได้แค่ไหน”
ความมั่นใจมาเจนตาตอนนี้เท่ากับศูนย์ แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นมีความสามารถเพื่อให้ได้งานนี้ให้ได้ ใช่ว่าแค่หน้าตาดีรูปร่างดีแล้วจะได้ทำงานหน้ากล้องเสมอไป ทุกงานต้องใช้ความสามารถและองค์ประกอบอีกหลายอย่าง และคนที่ไม่ถนัดการแอคติ้งอย่างเธอนั้น การทำอะไรเช่นนี้มันยากเหลือเกิน
“โอเค ดีมากครับ”
เสียงนั้นดังมาจากด้านหลังกล้อง ก่อนการแคสติ้งวันนี้จะจบลง เธอเดินออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิมที่ใส่มาลบ คืนของที่ใช้ถ่ายวันนี้ให้กับทางสตูดิโอ
“เก่งมากเลย วันนี้ก็กลับไปพักได้เลยนะ ที่เหลือพี่จัดการต่อเอง” อ้อมเดินมาบอกกับว่าที่นางแบบคนใหม่ในสังกัดด้วยรอยยิ้ม
“กลับได้เลยเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ ถ้ามีอะไรพี่จะติดต่อไปหาอีกทีนะคะ อะนี่เอาไปดื่ม” อ้อมพูดและยื่นแก้วน้ำชามะนาวให้กับเธอ
“ขอบคุณค่ะ งั้นลาเลยนะคะ” ร่างบางรับแก้วมาถือจากนั้นจึงเดินออกมา แต่ระหว่างที่กำลังเดินถึงประตูทางออกนั้น คนที่ไม่ทันระวังก็เดินชนกับใครสักคนเข้า ไหล่เล็กกระแทกกับแขนของคนตัวสูงอย่างแรงจนหญิงสาวเกือบเซล้ม
โชคดีที่บุคคลดังกล่าวรีบคว้าร่างเอาไว้ทัน แต่ก็โชคร้ายตรงที่ชามะนาวในมือนั้นสาดกระเซ็นไปทั่วร่างของทั้งคู่จนเสื้อเป็นรอยเปียกน้ำ
“เป็นอะไรไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษนะคะ” มาเจนตาผละกายออกมาเมื่อตั้งสติได้ เธอรีบก้มหน้าก้มตากล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด “เปียกหมดเลย”
“ผมไม่ระวังเองแหละ” ชายหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ
ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็จ้องมองคู่กรณีเขม็งเพราะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเหลือเกิน จะว่าไปเขาหน้าตาเหมือนคนที่แสดงซีรีส์ของช่อง GNN เลยนะ ซีรีส์ดังที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในทวิตเตอร์ แม้จะไม่เคยดูแต่มาเจนตาก็เห็นผ่านตาบ่อยครั้ง
“คุณคือคุณชีวินหรือเปล่าคะ” หญิงสาวพยายามนึกชื่อของเขา
“รวินครับ ไม่ใช่ชีวิน”
อ้อ..จำผิดไปพยางค์เดียว
“อ๋อ คุณรวิน..คุณเป็นนักแสดงจริงๆ ด้วย” มาเจนตาได้คลายข้อสงสัยในใจลงได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นอะไรที่ได้เจอกับเขา เพราะโดยปกติหญิงสาวก็ได้เจอนักแสดงวัยรุ่นอยู่หลายคนในคณะตนเองอยู่แล้ว
ตรงกันข้าม หญิงสาวกับรู้สึกเหมือนมีของหนักหล่นทับใส่หัว ถ้าคนตรงหน้าเธอเป็นคนมีชื่อเสียง เสื้อที่เขาใส่คงราคาไม่ใช่น้อย เธอทำน้ำหกใส่จนเสื้อเปื้อนแบบนี้ ต้องชดใช้หลายตังค์แน่
“ไม่เป็นอะไรแน่นะ สีหน้าคุณดูไม่ดี” รวินไม่แน่ใจว่าตนเองเผลอทำอะไรให้อีกฝ่ายตกใจหรือเปล่า
“คือ เรื่องเสื้อคุณ เดี๋ยวฉันจะชดใช้ให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตัวละไม่กี่พันเอง”
ตัวละไม่กี่พันเอง เงินหลายพันนั่นเธอใช้เป็นสัปดาห์ แต่ถ้าเขาบอกไม่เป็นไร เธอก็ควรคิดว่ามันดีแล้ว หญิงสาวจะไม่ดื้อดึงเพื่อรับผิดชอบเหมือนนางเอกในละครเด็ดขาด ในเมื่อเขาไม่เอานั่นก็เป็นเรื่องดีนี่นา
แต่ก็รู้สึกผิดจังเลย อย่างน้อยไม่ต้องถึงขั้นซื้อเสื้อให้ใหม่ แต่ชดใช้เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่เธอไหวก็น่าจะดี หรือว่าจะขอเงินกับภูริพัฒน์มาซื้อเสื้อใหม่ให้คู่กรณีใหม่ดี? แต่ถ้าผู้ปกครองของเธอรู้ว่าเธอจะเอาเงินไปซื้อเสื้อให้ผู้ชายคนอื่น ผู้ปกครองเธอจะต้องไม่พอใจมากแน่ๆ
“รู้สึกผิดน่ะค่ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะคะ”
“ตอนนี้ผมรีบน่ะครับ ขอเบอร์ติดต่อแล้วผมจะโทรไปบอกนะครับ” รวินพูดจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาให้ร่างบาง “นี่ครับ ช่วยเมมเบอร์ไว้ให้หน่อยได้ไหมครับ”
“คะ ได้ค่ะ” มาเจนตารับมันมาไว้แล้วทำตามที่อีกฝ่ายขอโดยใช้เวลาอันสั้น
“ไว้เจอกันใหม่นะ” ชายหนุ่มพูดจบก็เดินผ่านร่างของเธอไป เห็นเพียงแผ่นหลังไวๆ หายเข้าไปในลิฟต์ของตึก
เมื่อเคลียร์สถานการณ์เรียบร้อย มาเจนตาจึงเดินออกมาด้านหน้าตึก ซึ่งมีรถคุ้นตามาจอดรออยู่ เพียงแค่เห็นหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินขึ้นรถไป
“มาเร็วจังนะคะ” มาเจนตาเอ่ยกับเจ้าของรถที่มารอรับ
“กลัวหนูรอ” ภูริพัฒน์ตอบ เขาออกตัวรถที่สตาร์ทไว้อยู่แล้วทันทีเมื่อเห็นร่างบางเข้ามานั่งเรียบร้อย “เป็นไงบ้างวันนี้”
“อืม ตื่นเต้นนิดหน่อยค่ะ ไม่รู้ว่ามันจะออกมาโอเคหรือเปล่า”
“เก่งแล้ว ยัยตัวเล็ก เลิกทำหน้านิ่วคิ้วขมวดได้แล้ว” เขาว่าพลางวางมือลงมาลูบเรือนผมของเธอ
“หนูกลัวแคสติ้งไม่ผ่านนี่”
“ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร หนูไม่ต้องทำงานก็ได้ พี่มีเงินเลี้ยงหนูทั้งชีวิตเลย” อยู่ๆ เขาก็พูดอะไรของเขา เขาจะเลี้ยงทั้งชีวิตนั่นฟังดูเป็นไปได้ยากกว่าให้เธอแคสติ้งผ่านเสียอีก
“พี่จะให้หนูเป็นแม่บ้านอยู่บ้านเหรอคะ” เธอหัวเราะเล็กน้อย
“เป็นแม่บ้านทำไม? หนูไม่ต้องทำงานบ้าน แม่บ้านน่ะจ้างเอาก็ได้ หนูอยู่เฉยๆ แล้วใช้เงินอย่างเดียวก็ได้”
[2]
“ไม่ได้หรอกมั้งคะ วันนึงพี่ทิ้งหนูขึ้นมาทำไง” หญิงสาวไม่คิดจะเอาทั้งชีวิตไปพึ่งพาผู้ชายคนเดียวไปทั้งหมดหรอกนะ เธอคิดเผื่อใจอยู่เสมอว่าไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรที่อยู่ตลอดไป
“คิดแต่เรื่องพี่จะทิ้งนะ หนูนั่นแหละจะทิ้งพี่ก่อนหรือเปล่า”
“เอาเป็นว่าให้หนูปอกลอกพี่ให้หมดก่อนค่อยทิ้ง”
“พูดจริงพูดเล่นเนี่ย?”
“ฮึ ก็พูดเล่นน่ะสิคะ” มาเจนตาหัวเราะอีกครั้ง “แล้วนี่เราจะไปไหนกันคะ”
เธอไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ตอนแรกก็คิดว่าเขาจะมารับกลับคอนโดแค่นั้น แต่พอเลี้ยวไปคนละทางมันก็เริ่มสงสัย
“ไปบ้านเฮียพิทช์น่ะ เคยเห็นหรือเปล่าที่เล่นกลอง หน้าตาเหมือนซิมป์สันส์”
มาเจนตาไม่ค่อยรู้จักคนในวงของอีกฝ่ายเท่าไหร่ หากจะมีคนรู้ก็น่าจะเป็นเพื่อนของเธอมากกว่า เพราะตามไปฟังเพลงที่พวกเขาเล่นอยู่หลายครั้ง แต่ว่าคนในวงก็หน้าตาดีทุกคนเกินกว่าจะมีใครหน้าตาเหมือนซิมป์สันส์
“พูดเกินไป เพื่อนในวงของพี่ก็หล่อออก”
เท่านั้นแหละ ภูริพัฒน์ก็แทบจอดรถทันที ทว่าโชคดีที่ข้างหน้าติดไฟแดงเลยไม่ใช่การจอดแบบกะทันหัน
“แล้วคนในวง หนูคิดว่าใครหล่อสุด” ชายหนุ่มหันหน้ามาถามกับหญิงสาวอย่างจริงจัง
“เอ่อ...ไม่แน่ใจค่ะ ต้องไปเจอแล้วเทียบกันดูก่อน” เป็นคำตอบที่จริงใจ “แต่วันนั้น เพื่อนชี้ให้ดูคนที่เล่นคีย์บอร์ด เขาก็หล่อดีเหมือนกันนะคะ”
ภูริพัฒน์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
“แล้วมันกับพี่ใครหล่อกว่ากัน”
เธอแอบขำในใจ ทั้งที่อายุมากขนาดนี้แล้วก็ยังทำนิสัยเหมือนเด็กโดนแย่งความรักไปได้
“อืม...ขอคิดก่อนนะคะ”
“คิดอะไรนาน หนูต้องตอบว่าพี่สิ”
“อ้าว แบบนี้มันบังคับกันนี่นา”
“ทีพี่ยังมองว่าหนูน่ารักที่สุดเลย”
“จริงเหรอคะ” มาเจนตาเลิกคิ้วมองคนด้านข้างเล็กน้อย เธอยิ้มเล็กน้อยแต่พยายามไม่ตกหลุมพรางนั้น “ปากหวานแบบนี้ผู้หญิงคนอื่นเลยรุมชอบ”
“ผู้หญิงอื่นที่ไหน มีหนูคนเดียว” เขาโต้แย้ง
“อื้อ งั้นเหรอคะ”
“ทำไมต้องทำเสียงเหมือนไม่เชื่อด้วย”
“ไม่เห็นต้องทำให้เชื่อเลยนี่คะ เราไม่ได้คบกันจริงจังสักหน่อย”
ไม่ได้คบจริงจัง กลายเป็นประโยคที่ดังก้องอยู่ในหัวของภูริพัฒน์ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุอะไรแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มอึดอัดใจอยู่ดี แม้รู้ดีว่าส่วนหนึ่งจะมาจากตัวเองที่ไม่ชัดเจนทว่าก็ไม่สามารถทำมากกว่านี้ได้ การเปิดตัวมาเจนตาอาจจะส่งผลกระทบต่อเรื่องภายในครอบครัวของเขา รวมถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบ้านของน้ำเพชร ผู้มีสถานะเป็นคู่หมาย
แต่ก็ดูเหมือนจะมีแต่เขาที่คิดอย่างนั้น เพราะหญิงสาวกลับมีแต่ความเรียบเฉยราวกับไม่ได้คิดมากอะไร จนทำให้ภูริพัฒน์ต้องถอนหายใจยาว
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็นั่งรถมาด้วยกันจนถึงบ้านของพิทช์
“ไงมึง มาคนแรกอีกละ คิดถึงกูมากมั้ง” พิทช์มองร่างของรุ่นน้องในวงที่เดินเข้ามาในห้องซ้อมดนตรี จากนั้นก็เหลือบไปเห็นร่างบางที่เดินตามมาด้านหลัง “เดี๋ยวนี้พกเด็กมาด้วย”
“วันหลังเฮียก็พกมาดิ” ภูริพัฒน์ตอบกลับ
“ห้องกูเล็กแค่นั้น พกมาจะให้ยืนตรงไหนถึงจะหมดอะ”
“โอ้โหหหห” มือกีต้าร์แสร้งทำหน้าตกตะลึงใส่แต่ในใจก็รู้ดีอยู่แล้ว เขาหันไปมองคนที่เดินเข้ามาด้วยก่อนจะพาสาวเจ้าไปที่โซฟาตัวยาวมุมหนึ่งของห้อง “เดี๋ยวหนูนั่งรออยู่นี่นะ พี่ใช้เวลาไม่นาน”
“ค่ะ” เธอรับคำพลางเหลือบมองไปรอบห้องด้วยความสนใจ หญิงสาวไม่เคยมาเห็นห้องซ้อมดนตรีมาก่อนจึงเหมือนได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ แม้จะค่อนข้างรกไปบ้างจากพวกอุปกรณ์เครื่องดนตรีต่างๆ แต่ก็มีเสน่ห์ดี “ปกติพวกพี่ซ้อมกันทุกวันเลยเหรอคะ”
“ก็เกือบทุกวันนะ สัปดาห์นึงมีเจ็ดวัน มาไปแล้ว 6 วัน” พิทช์เป็นคนตอบคำถามเธอ “ซ้อมจริงแค่วันเดียว ที่เหลือกินเหล้า”
“...” มาเจนตาชะงักจากการอึ้งไปพักหนึ่ง
“ทำหน้าอึ้งแล้วน่ารักนะเนี่ย” คนเป็นมือกลองเอ่ยและยิ้มให้
“ของกู” ภูริพัฒน์รีบหันไปตวัดสายตาใส่พิทช์ทันที
“โวะไอ้นี่ นิดๆ หน่อย เหอะ” พิทช์ถอนหายใจหลังจากที่เห็นคนขี้หวงแยกเขี้ยวใส่
ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงออดดังขึ้นจากหน้าประตูบ้าน สมาชิกในห้องทั้งสามคนได้ยิน และคนที่มีปฏิกิริยามากที่สุดคือเจ้าของบ้านนั่นเอง
“ใครมาวะ” เจ้าของบ้านพึมพำ เขาวางมือจากการประกอบกลองชุดพลางเอื้อมมือไปเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเผยภาพเรียลไทม์จากกล้องวงจรปิดหน้าบ้าน
“ไม่ใช่พวกไอ้ฮาร์ตเหรอ” ภูริพัฒน์ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคิดว่าเป็นพวกเพื่อนในวง
“ไอ้ฮาร์ตมันไม่กดออดประตูหรอก มันเปิดเข้ามาเลย” พิทช์ตอบจากนั้นจึงค่อยๆ เบิกตากว้างพร้อมหันไปมองหน้านักร้องนำของวง “ไอ้เชี่ยเฟียส งานหยาบแล้วมึง”
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
“เจ้ากรรมนายเวรมึงมาบ้านกู”
“ใครวะ” ร่างสูงเดินไปดูหน้าคอมเพื่อคลายความแคลงใจ บนหน้าจอนั้นปรากฏภาพหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนรอด้านหน้า โดยมีแม่บ้านกำลังเดินมาเปิดประตูให้ “เขามาทำไมเนี่ย”
“กูจะรู้เหรอ เอาไงอะ จะให้ยัยน้องเพชรเข้ามาเจอเด็กมึงเหรอ”
มาเจนตาไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรกัน แต่เธอมั่นใจว่าตัวเองกำลังโดนพาดพิง ยิ่งภูริพัฒน์หันมาสบตากับเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวลนั้นก็ยิ่งชัดเจนว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
ในด้านของภูริพัฒน์ถอนหายใจ ชายหนุ่มไม่นึกว่าคู่หมายอย่างน้ำเพชรจะมาที่ห้องซ้อม เพราะอีกฝ่ายไม่เคยบอกล่วงหน้าไว้เลย และความเป็นไปได้ติดลบถ้าจะบอกว่าน้ำเพชรมาหาพิทช์ ฝ่ายนั้นน่าจะมาเพราะรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มากกว่า
“ไอ้หวังตายแน่ ตายแน่ไอ้หวัง” พิทช์หัวเราะ
“ไอ้เฮีย ออกไปรับหน้าให้หน่อยแล้วบอกว่ากูไม่ได้อยู่ที่นี่”
“โอ๊ย ยัยน้องเพชรเชื่อก็ออกลูกเป็นควายละ กูเพิ่งโพสต์สตอรี่ไอจีว่ากำลังจะซ้อมดนตรีเมื่อห้านาทีก่อน” เจ้าของบ้านเอ่ยแล้วถอนหายใจ
“กูว่าละ ทำไมเขารู้ว่ากูอยู่นี่ เพราะมึงนี่เองไอ้เฮีย”
“มึงอะ ออกไปเลย”
“ใครมาเหรอคะ” มาเจนตารู้ว่านี่ไม่ใช่ธุระของเธอ แต่ก็อดถามไม่ได้ ยิ่งเห็นสีหน้ากังวลของภูริพัฒน์ก็ยิ่งแปลกใจ
“ไม่มีอะไร เดี๋ยวพี่มานะ กูฝากกี้หน่อย ห้ามทำอะไรกี้นะ” ประโยคแรกๆ ชายหนุ่มตอบเธอ ส่วนประโยคท้ายเขากันไปเอ่ยกับรุ่นพี่ในวง
[3]
เจ้าของร่างสูงพูดเสร็จก็เดินออกไปจากห้องซ้อมทันที ภูริพัฒน์เดินมาตามห้องโถงแล้วเจอกับน้ำเพชรที่กำลังเดินเข้ามาเช่นเดียวกัน
“อ้าวพี่เฟียส เจอพอดีเลยค่ะ เพชรมาหา”
“ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา”
“ก็อยากเซอร์ไพรส์ไงคะ ไหนๆ วันนี้พี่ก็มาซ้อม เพชรเลยอยากมาดู” น้ำเพชรยิ้มเล็กน้อยจากนั้นจึงชูถุงกระดาษในมือขึ้นมา “นี่ เพชรซื้อของกินเข้ามาด้วยนะ พี่น่าจะชอบ”
“ขอบคุณมากนะ แต่จริงๆ ไม่ต้องก็ได้” ภูริพัฒน์รับของเหล่านั้นไว้
“ไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะ เพชรเต็มใจให้พี่” หญิงสาวพูดพลางมองไปยังประตูเข้าห้องซ้อม “แล้วนี่จะเริ่มซ้อมกันหรือยังคะ เพชรอยากนั่งดูด้วย”
“ก็รอพวกไอ้ฮาร์ตมาน่ะ คงซ้อมนาน พี่ว่ามันน่าเบื่อนะ”
“นั่งดูพี่เฟียสซ้อมดนตรีไม่เห็นน่าเบื่อเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคล่าสุด ชายหนุ่มก็อดถอนหายใจไม่ได้ ดูท่าว่าจะพูดอย่างไรคนตรงหน้าก็คงดื้อดึงจะอยู่ต่อจนได้ สุดท้ายเขาจึงหมดมุกแล้วยอมให้น้ำเพชรเข้าห้องซ้อมไปด้วย
“สวัสดีค่ะพี่พิทช์” น้ำเพชรที่เห็นเจ้าของบ้านก็ยกมือไหว้พร้อมยิ้มแย้ม “เพชรขอโทษที่วันนี้ไม่ได้แจ้งว่าจะมานะคะ”
“อ่อ ไม่เป็นไรๆ บ้านพี่ใครก็เข้าออกได้ตามใจทั้งนั้น โจรยังเข้าได้เลยเชื่อมะ” พิทช์ที่ทำหน้าเหวอตอนแรกก็รีบปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่คนที่ดูจะสงสัยมากที่สุดก็หนีไม่พ้นหญิงสาวอีกคนที่นั่งรอในห้อง จังหวะที่น้ำเพชรคุยกับพิทช์เสร็จเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่เธอหันไปเจอมาเจนตาที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของห้อง
“เอ๊ะ แล้วนี่ใครคะ”
“รุ่นน้องของเฮียพิทช์น่ะ” อยู่ๆ ภูริพัฒน์ก็ตอบ
งง เชื่อว่าเกินครึ่งในห้องนี้...งง โดยเฉพาะกับหญิงสาวที่เพิ่งมีสถานะใหม่เป็นรุ่นน้องของพิทช์ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เอ่อ ใช่จ้ะ” พิทช์เองก็รับบทได้ดีไม่มีหลุด แม้เขาจะแอบคิดในใจว่า ‘อ้าว กูเฉยเลย’ ก็ตาม
“อ๋อ ยินดีที่ได้เจอนะคะ เราชื่อน้ำเพชร”
“ค่ะ ชื่อมาเจนตาค่ะ แต่เรียกแม็กกี้ก็ได้ค่ะ”
มาเจนตาทำเพียงถอนหายใจ เธอไม่ได้แย้งคำพูดของภูริพัฒน์แม้จะเคลือบแคลงใจไม่น้อยว่าผู้หญิงคนที่มาใหม่นี้เป็นใคร ทำไมเขาจะต้องโกหกเรื่องของเธอ แต่แล้วอย่างไร หญิงสาวก็ไม่ได้อยู่ในสถานะจะขัดแย้งอะไรชายหนุ่มได้ เขาก็คงทำเพราะเหตุผลจำเป็น ไว้เธอค่อยถามทีหลังก็ได้
“เพชรเป็นคู่หมั้นของพี่เฟียสค่ะ”
แต่เหมือนจะไม่จำเป็นต้องถามแล้ว เพราะมาเจนตาได้รู้คำตอบที่ตนเองสงสัยจากคำพูดล่าสุดของน้ำเพชรเรียบร้อย
“เพิ่งรู้ว่าพี่เฟียสมีคู่หมั้นด้วย น่ารักเหมาะสมกันมากเลยนะคะ” มาเจนตาพูดกับน้ำเพชรจากนั้นจึงส่งยิ้มแฝงนัยยะไปให้ภูริพัฒน์ที่ยืนถัดไป
“โอ๊ะ ได้กลิ่นคนจะซวย” อยู่ๆ พิทช์ก็พูดโพล่งออกมาทำเอารุ่นน้องในวงหันไปจ้องตาเขม็ง
“แล้วพวกฮาร์ตใกล้มายังวะ มันจะซ้อมตอนสี่ทุ่มเหรอ” ภูริพัฒน์ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องไปถามหาสมาชิกในวงอีกสองคน
“ใกล้ละ มันบอกรถติดตรงสี่แยกก่อนทางเข้าบ้าน”
“เออดี”
จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก สมาชิกอีกสองคนก็เดินทางมาถึงห้องซ้อม
“ทำไมคนเยอะจังวะ งานมีตติ้งเหรอ ไม่บอกก่อนล่ะ จะได้เซ็ตผมหล่อๆ” ฮาร์ตที่เป็นคนเปิดประตูเข้ามาเป็นคนพูด เขาดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นบุคคลอื่นนอกจากสมาชิกวงแกตเตอร์ในนี้ด้วย
“อ้าว น้องเพชรก็มาดูซ้อมเหรอจ๊ะ” ปกป้องที่เดินสะพายกระเป๋าเบสเข้ามาก็ส่งยิ้มให้หญิงสาวคนแรกที่คุ้นเคย “แล้วนี่น้องมาเจนตาก็มา เดี๋ยวนะไอ้พี่เฟียส”
“แปลกไรวะ รุ่นน้องกูจะมาดูกูซ้อมอะ” พิทช์รีบดักขึ้นก่อนที่ปกป้องจะพูดอะไรที่มันโป๊ะแตก
สองคนที่มาใหม่ก็ยืนงงกันเล็กน้อย แต่พอเห็นการส่งซิกของมือกลองแล้วก็เออออตามกันเหมือนเตรียมกันมาอย่างดี
“อ๋อ น้องมาเจนตารุ่นน้องเฮียพิทช์นี่เอง” ฮาร์ตพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้ภูริพัฒน์ เหมือนมีคำพูดแฝงในรอยยิ้มว่า ‘มึงนี่มันเหี้ยจริงๆ นะเพื่อน’
“มาๆ ครบแล้วก็รีบเตรียมอุปกรณ์แล้วรีบซ้อมเถอะ” ภูริพัฒน์ว่าจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของมาเจนตาก็แจ้งเตือนเด้งข้อความของภูริพัฒน์
Puri : ไว้พี่จะอธิบายให้ฟัง
Magenta : ไม่เห็นต้องอธิบายเลยค่ะ หนูเข้าใจ
Puri : ไม่ กี้ไม่ได้เข้าใจ
เมื่ออ่านข้อความล่าสุดจบ หญิงสาวก็เงยหน้าไปมองเจ้าของข้อความพร้อมถอนหายใจ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เลยไม่แน่ใจว่าความรู้สึกหงุดหงิดที่เกิดขึ้นนี่มาจากสาเหตุอะไร
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอทู๊กกกกกกวัน นร้าจร้าาาาา
รอค่าาา อัพทุกวัยเลยนะ เป็นกำลังใจให้นะคะ