ไม่ชอบหวาน
✏
04
และแล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึงจนได้ วันที่จะบอกกับคนอื่นได้เต็มปากว่า เป็นนักศึกษาอย่างเต็มภาคภูมิ สาขาที่ผมเลือกเรียนเป็นสาขาที่ค่อนข้างจะเครียดอยู่พอสมควรนะ ต้องเป็นคนที่ละเอียดมาก ๆ ผมเคยได้ยินมาว่า คนที่ทำงานกับบัญชี คุณได้เอาขาข้างนึงเข้าไปไว้ในคุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมคิดว่าก็น่าจะจริง
ซึ่งก็ต้องขอบคุณวันนั้นที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกเรียนในเส้นทางสายอาชีพ ผมไม่เลือกที่จะเดินไปในเส้นทางสายสามัญ แต่กลับมีความรู้สึกที่อยากจะเรียนในด้านที่ผมสนใจมากกว่าจะเดินตามทางที่คนอื่นปูไว้ให้
ตอนแรกก็กังวลว่าที่บ้านจะอนุญาตให้เรียนรึเปล่า แต่ก็เกินความคาดหมาย เพราะนอกจากจะไม่คัดค้านแล้ว ทุกคนยังสนับสนุนผมจนถึงที่สุด โดยเฉพาะพี่ชายทั้งสองคน ที่ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ดูจะเห็นด้วยไปซะหมด จนคนอื่นมองว่าเป็นพี่ชายโอ๋น้อง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลยครับ เพราะพวกเขาแค่รักผมมาก ๆ ต่างหากล่ะ
"คิดอะไรอยู่"
เสียงเรียกของคนตรงหน้าทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย ลืมไปว่าตัวเองลงมารอพี่ภูมิอยู่โซฟาชั้นล่างได้สักพักแล้ว เพราะพี่ภูมิบอกว่าจะไปส่งที่วิทยาลัย
ผมตื่นก่อนพี่เขาทุกวันนั่นล่ะครับ เพราะต้องมาทำมื้อเช้าสำหรับสองคน ผมน่ะตื่นเร็วก็เลยทานไปก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ลืมทำใส่กล่องให้คนตรงหน้าหรอกนะ เพราะรู้ว่ายังไงพี่ชายคนนี้ก็คงจะตื่นมากินไม่ทันอยู่ดี
วันนี้พี่ภูมิอยู่ในชุดนักศึกษาแบบเต็มยศ ผมทรงอันเดอร์คัตถูกเซ็ตขึ้นไปดูสะอาดสะอ้าน มันช่วยทำให้ใบหน้าเรียวนั้นดูมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว แขนเสื้อเชิ้ตนักศึกษาถูกพับขึ้นไปจนเกือบถึงข้อศอก ทุกอย่างมันดูลงตัวกับร่างกายนี้ไปหมด ความขายาวๆและตัวสูง ๆ มันช่วยส่งให้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าดูดีมากๆเลย
น่าอิจฉาสุด ๆ
"มองอะไร" พี่ภูมิพูดก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม "หล่อเหรอ?"
ถึงคนถามจะไม่อาย แต่ก็ช่วยคิดว่าคนตอบจะอายบ้างเถอะนะ
"วันนี้จะไม่บอกว่าหล่อ เพราะว่าจะขอหล่อกว่า"
ผมยักคิ้วกวน ๆ ไปให้พี่ภูมิหนึ่งที พลางเดินเข้าไปหยิบกล่องข้าวมาจากในครัว พร้อมกับเดินตรงไปยังมินิคูเปอร์ที่จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้าน เพื่อจะนำกล่องข้าวฝีมือตัวเองเข้าไปเก็บไว้ในนั้น
ได้ยินเสียงพี่ชายตัวสูงเดินตามมาทางด้านหลัง แต่ไม่ยอมมาเปิดประตูรถให้สักที ผมจึงหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเจ้าของใบหน้านิ่ง ๆ นั่น กำลังบรรจงสวมหมวกกันน็อคอยู่
นึกว่าจะไปมินิซะอีก...
"พี่ภูมิจะเอาบิ๊กไบค์ไปเหรอครับ"
จริงๆผมไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ไปคันไหนก็ได้ แต่แค่สงสัยว่าเขาเซ็ตผมมาหล่อขนาดนั้น แต่จะควบบิ๊กไบค์ไปให้ลมตีเสียทรงเนี่ยนะ คิดอะไรอยู่?
พี่ภูมิหันมามองกันสักพัก ก่อนจะเดินไปหยิบหมวกกันน็อคอีกหนึ่งใบมายื่นให้ผม
"ไม่อยากนั่งรึไง"
"ไม่ใช่นะครับ แค่ถามดูเฉย ๆ" ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปรับหมวกกันน็อคจากใครอีกคนที่ยื่นมันมาให้ตรงหน้า
"ไปกันได้แล้ว"
สุดท้ายก็ต้องก้าวขาขึ้นพาดเบาะแข็ง ๆ นั่น ก่อนจะปีนขึ้นไปบนดูคาติคันสวย พลางใช้มือข้างที่ยังว่างอยู่เกาะไหล่ของพี่ชายตรงหน้าไว้ไม่ให้ตก
ทุกกิโลเมตรที่เจ้าบิ๊กไบค์วิ่งผ่าน เหมือนเร่งการสูบฉีดเลือดของหัวใจผมได้ดีมาก มันเต้นตุบตับราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก แค่คิดว่าจะได้เจอใครบ้าง จะต้องเจอเพื่อนแบบนั้น หัวใจมันก็ตุ้มๆ ต่อม ๆ
ขอให้เจอคนดี ๆ เถอะนะ...
ดูคาติสีแดงดำเคลื่อนตัวลงมาจอดหน้าวิทยาลัยเทคโนโลยีเบญจอมรบริหารธุรกิจ ตอนนั้นเองที่ผมเหมือนถูกดูดเข้าไปเพราะความใหญ่โตของที่นี่ วิทยาลัยที่ขึ้นชื่อด้านความเนี้ยบที่สุดแล้วในแวดวงการบัญชี และที่นี่เองแหละครับที่ผมตั้งใจสอบให้ติดจนได้มายืนอยู่ตรงนี้ วันนี้
ผมไม่แปลกใจหรอกว่าพี่ภูมิจะรู้ได้ยังไงว่าผมเรียนที่นี่ เพราะอาทิตย์พี่ชายของผม คงจะเป็นคนจัดการบอกทุกอย่างกับเพื่อนสนิทไปหมดแล้ว
"ตั้งใจเรียนล่ะ"
ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับพี่ชายตรงหน้าอีกครั้ง หลังจากมัวแต่ตกตะลึงกับความใหญ่โตมโหฬารของวิทยาลัยแห่งนี้
"ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง"
พี่ชายตัวสูงดับเครื่องยนต์ก่อนจะถอดหมวกกันน็อคออกมากอดไว้หลวม ๆ คงเห็นว่าผมไม่ยอมเดินเข้าไปสักที เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อน
"แล้วพี่ไม่มีอะไรจะแนะนำน้องหน่อยเหรอ ในฐานะรุ่นพี่ที่อาบร้อนมาก่อนไง"
"เรียนวิศวะจะให้แนะนำเด็กบัญชียังไงล่ะ"
"ก็แบบ...การใช้ชีวิตไง การเลือกคบเพื่อนไรงี้"
"เด็กบัญชีคงไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกมั้ง" พี่ภูมิพูดก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบถุงข้าวกล่องที่ผมถือไว้ในมือไปถือไว้แทน "ไปได้แล้ว เดี๋ยวต้องไปเดินหาตึกอีก"
"...ครับ"
อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกใจหาย อารมณ์เหมือนตอนอนุบาล ที่แม่มาส่งไว้โรงเรียนแล้วบอกว่า 'แม่กลับบ้านแล้วนะลูก' อะไรแบบนั้นเลย
ยืนถอนหายใจกับตัวเองอยู่สองสามครั้ง ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้รับสัมผัสอบอุ่นที่คาดไม่ถึงจากพี่ชายตัวสูงที่เอื้อมมือมายีหัวผมจนฟูฟ่อง
"ทำหน้าอะไรอย่างนั้น รีบไปเรียนจะได้รีบกลับบ้าน วันนี้จะพาขึ้นอีกสามดาว"
ผมยิ้มกว้างออกมา หลังจากได้รับคำพูดให้กำลังใจอ้อม ๆ จากคนตัวสูง "จริงนะ ?"
พี่ภูมิพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม พร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์ดูคาติคันโปรดให้กลับมาแผดเสียงอีกครั้ง
"ขอบคุณมากนะครับ "
พี่ชายเจ้าของบ้านขับรถออกไปได้สักพักแล้ว ผมก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองแล้วก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงสี่สิบห้า ก็เท่ากับว่ามีเวลาอีกสิบห้านาทีในการเดินหาห้องและตึก แต่ผมไปหาข้อมูลมาแล้ว ตึกสาขาบัญชีจะเป็นตึกสีเทา อยู่ตรงข้ามกับตึกสาขาการตลาด
นึกได้ดังนั้นผมจึงรีบออกตัวเดินอีกครั้งก่อนจะไม่ทันการ หลังจากเดินลัดเลาะผ่านตึกนั้นตึกนี้มาสักพัก ผมก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตึกสีเทา ที่ดูมีมนต์ขลัง แถมยังดูมีรังสีอะไรบางอย่างที่ชวนให้ขนลุกแปลก ๆ
"น้องปีหนึ่งเหรอ ?" ผมสะดุ้งโหยง เมื่อมีคนแปลกหน้าเดินมาเกาะที่ไหล่ ก่อนจะเอ่ยทักทายแบบเป็นกันเองสุด ราวกับว่ารู้จักกันมาก่อนชาติเศษ
"คะ...ครับ"
เอ่ยตอบกลับไปตะกุกตะกัก ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะลากผมเข้าไปข้างในโดยไม่บอกไม่กล่าว "เดี๋ยวครับ ! จะพาไปไหน?"
อยู่ดี ๆ ก็มาลากกันไปทั้งอย่างนั้น ถึงผมจะหน้าโง่ แต่ผมก็โง่แค่หน้านะ ไอคิวระดับเทพเถอะ ตึกแค่นี้ผมหาเจอ
"ไม่ต้องพูดเพราะหรอก เราก็อยู่ปีหนึ่งเหมือนกัน"
อ้าว แล้วก็มาถามน้องปีหนึ่งเหรอ ไอ้เราก็นึกว่ารุ่นพี่...
"ชื่อไรอะ" เขาเอ่ยถาม
"ต้นข้าว"
"มีให้เรียกสั้น ๆ ไหม?"
"ไม่มี"
ต้นข้าวนี่ก็สั้นแล้วนะ...
"แล้วชื่ออะไรอะ?" ผมเอ่ยถามอีกคนบ้าง
"ไนซ์"
"มีให้เรียกสั้น ๆ ไหม?"
"ยังจะเอาสั้นอีกเหรอ?" เมื่อเห็นว่าผมหัวเราะลั่น ไนซ์จึงเข้ามาล็อกคอผมเบา ๆ "เห็นหน้าหวาน ๆ แอบกวนตีนนะ"
เดี๋ยวก่อน...นี่อีกคนแล้วเหรอเนี่ย ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่คนบอกว่าผมหน้าหวาน ไม่เห็นมีใครชมว่าหล่อบ้างเลย
ผมไม่ชอบหน้าหวาน!
เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะสี่โมงเย็น หลังจากที่มีไนซ์เป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตนักศึกษา เขาก็จูงแขนผมไปทุกที่ อันไหนไม่รู้ก็จะเข้าไปถามรุ่นพี่แบบที่ว่าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ผมรู้สึกโชคดีนิดหน่อยที่ได้มารู้จักกับเขา ลำพังคนขี้อายแบบผมคงไม่กล้าเดินเข้าไปถามใครหรอก
วันแรกก็ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก ส่วนมากอาจารย์ในรายวิชาต่าง ๆ จะแนะนำบทเรียนเนื้อหาคร่าว ๆ มากกว่า มีโอกาสได้เจอรุ่นพี่ปีสองบ้าง คณะบัญชีส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิง ลุคเนี้ยบๆ ก็สไตล์เขาล่ะเนาะ จะมีหลุดมาหน่อยก็ผมกับไนซ์นี่แหละ ที่ท่าทางไม่น่าจะเรียนบัญชี น่าจะไปเรียนอย่างอื่นมากกว่าคณะที่ต้องใช้สติเยอะ ๆแบบนี้อะนะ
"กลับยังไงอะ กลับด้วยกันไหม เราเอารถมานะ"
ไนซ์เอ่ยถาม ขณะที่ผมกำลังกดเบอร์หาใครสักคนอยู่ "ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ชายเรามารับอะ"
รอไม่นานคนในสายก็กดรับมัน ผมขอตัวจากเพื่อนใหม่สักพักเพื่อจะบอกพี่ภูมิว่าเลิกเรียนแล้ว
คุยรู้เรื่องว่าพี่ภูมิจะเลิกคลาสสุดท้ายในอีกสิบห้านาที ให้ผมหาที่นั่งรอไปก่อน ผมจึงเดินกลับมาหาไนซ์ที่นั่งรออยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ด้านหน้าทางเข้า
"ไนซ์กลับไปก่อนเลย เราอยู่ได้" ผมพูด ก่อนจะเก็บมือถือเครื่องเล็กลงในกระเป๋าเป้ใบใหญ่
"ไม่รีบ เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน"
"ตามใจ"
พูดอย่างนั้นเมื่อเห็นว่าทำยังไงเพื่อนตัวสูงก็คงไม่ยอมกลับ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ไนซ์เองก็ไม่ยอมลุกไปไหนสักที เขาหยิบมือถือขึ้นมาเล่น แต่สายตาหลุกหลิกนั่นเหลือบมองผมเป็นระยะ ๆ ราวกับว่ามีอะไรข้องใจอยากจะถาม แต่ก็ไม่ถามออกมา
"ไนซ์มีอะไรกับเรารึเปล่า?" แล้วก็เป็นผมเองที่ทนไม่ได้กับสายตาที่มองมาแบบสองจิตสองใจนั้น "ถามมาได้นะ ถ้าเราตอบได้จะตอบ"
ทันทีที่พูดอย่างนั้น เพื่อนตัวสูงก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะขยับเข้ามานั่งใกล้ผมจนชิด
"มีแฟนยัง?"
เดี๋ยว...ไอ้คำถามที่ไม่ยอมออกมาจากปากสักทีนี่แค่ 'มีแฟนยัง' แค่นี้น่ะเหรอ?
"ยังไม่มีหรอก"
นึกว่าจะถามอะไรที่มันยากกว่านี้เสียอีก ว่าแต่หน้าผมเหมือนคนมีแฟนขนาดนั้นเลยรึไง เขามากกว่าที่ควรจะถูกผมถามน่ะ
"แต่ก็เคยมี นานมาแล้วอะ"
"เหรอ ผู้หญิงผู้ชายอะ?"
หือ? แล้วทำไมผมต้องมีแฟนเป็นผู้ชายอะ?
"อืม...ก็มีหมดนะ" ถึงอย่างนั้นก็เลือกจะตอบออกไปอย่างนี้ แล้วเขาก็ดูจะตกใจกับคำตอบของผมไม่น้อยเลย
นี่เชื่อว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชายจริงดิ?
"ที่จริงเราเป็นไบ..."
"จริงจัง!?"
"จริงจัง ..." ผมเว้นระยะห่างของคำพูดไว้สักพัก เพื่อมองท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเพื่อน แต่มันก็ดันตลกมาก ๆ เหมือนกัน
"ไบโพล่าอะ"
พอเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นมาก ๆ ตอนแรกของเขาค่อย ๆ กร่อยลง ผมก็อดจะขำออกมาไม่ได้ ไนซ์ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะกลอกตาขึ้นฟ้าเอือม ๆ เขาคงไม่คิดว่าผมจะเล่นมุกใส่สินะ แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะมองผมว่ามีแฟนเป็นผู้ขายเหมือนกัน
เห็นว่าผมหัวเราะเขาไม่หยุด เพื่อนตัวสูงจึงเอื้อมมือมาคว้าคอเสื้อผมไว้อีกครั้ง พร้อมกับเปลี่ยนเป้าหมายมาจี้ที่เอวผมไปด้วย
"เดี๋ยว! เราหายใจไม่ทัน ไนซ์! หยุด!"
แทบจะดิ้นลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว แต่เพื่อนตัวสูงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดจี้เลย
"ทำอะไรกัน"
ทั้งสองชีวิตหยุดชะงักลงไปทันที เมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาขัดจังหวะ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเสียงนี้มันดูคุ้นจังเลยนะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน...
"พี่ภูมิ!"
กวาดสายตาไปมองบิ๊กไบค์คั้นนั้น แล้วก็พบว่าใช่บุคคลที่ผมคิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย เพราะมัวแต่เล่นกับเพื่อนก็เลยไม่ทันได้มองว่าพี่ภูมิขับรถมาจอดตั้งแต่ตอนไหน
"เอ่อ...พี่ชายเรามารับแล้วอะ เรากลับก่อนนะไนซ์"
ผมหันไปเอ่ยลาเพื่อน เมื่อเห็นว่าบรรยากาศมันเริ่มอึมครึมแปลก ๆ เขาเองก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับโบกมือไล่เป็นเชิงบอกว่าให้ผมรีบ ๆ ไป เห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังจ้องมาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทันที
"สวัสดีครับ พี่ภูมิมาตั้งแต่ตอนไหนอะ?"
ไม่ทันได้สังเกตพี่เขาจริง ๆ ผมก็เลยถามแบบนั้น หลังจากพี่ชายตรงหน้าเอาแต่ทำหน้าบึ้งไม่ยอมพูดยอมจา ไม่รู้ไปโกรธใครมา
"ตั้งแต่บอกว่าเป็นไบ"
"ผมแค่พูดเล่นกับเพื่อนเฉย ๆ เอง"
ดันมาได้ยินจุดไคลแมกซ์ซะด้วยนะ ผมเอื้อมไปหยิบถุงกล่องข้าวที่ห้อยอยู่แฮนด์รถมาถือแก้เขิน ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งนึงเพื่อปีนขึ้นด้านหลัง พลางนึกมุกอีกมุกนึงขึ้นมาได้พอดี
"พี่ภูมิเองก็เป็นไบเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?"
เงียบ ... ตามไม่ทันอะดิ
"ไบค์เกอร์ไง!..."
"..."
กริบ...
ไม่ขำเหรอ...
ไม่ขำเลยสักนิด...
แกล้งขำให้กันหน่อยก็ไม่ได้รึไง!
TBC.
#ไม่ชอบหวาน
-Lafinz-
เห้ยย!! 55555555