คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [★ Fic exo ★ ChanBaek] Ch 4 : Because i'm fool
Love of a friend
Chapter 4:
Because I'm a Fool
★★★★
난 바보라서 그런가봐 아프게해도 괜찮은가봐
ฉันโง่เองที่เป็นแบบนี้ ถึงมันจะเจ็บปวดแต่ก็ไม่เป็นไร
내가원해 잘해줬던걸 그것만으로 행복했던걸
ที่ฉันทำดีกับเธอ ก็เพราะว่าฉันมีความสุขที่ได้ทำให้เธอ
한번이라도 웃어주면 그미소로 행복해
แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอซักครั้งฉันก็มีความสุข
언제든 손 내밀면 닿을 그곳에 언제든
불러주면 들릴 그곳에 변함없이 그곳에 있어줄게
ที่ตรงนี้ฉันสามารถเอื้อมไปจับมือเธอไว้ตอนไหนก็ได้
ที่ตรงนี้ที่เธอจะเรียกฉันไปหาตอนไหนก็ได้ ฉันจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน
나 대신 지켜줄 사람 올때까지 잠시만 그녀
곁에 있을꺼야 바라봐도 행복한 사랑이야
ฉันจะอยู่ข้างๆ เธอไปแบบนี้ จนกว่าจะมีใครซักคนมาแทนที่ฉัน
เพราะนี่คือรัก ที่แค่ได้มองเธอฉันก็มีความสุข
아무것도 필요치 않아
ฉันไม่ต้องการอะไรตอบแทน
언제나 그대여서 쉴수 있도록 언제나 같은 모습으로 있을게
ดังนั้นถ้าเธออยากพัก เธอจะพิงมาที่ฉันเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไงฉันก็จะอยู่ตรงนี้เสมอ
인사도 없이 날 떠나간대도 감사하며 보낼께
ถึงเธอจะจากฉันไปโดยไม่ล่ำลา ฉันก็ยังขอบคุณ และปล่อยให้เธอไป
난 바보라서
ฉันเป็นคนโง่
★★★★
::Do Kyungsoo::
ผม นั่งกรอกตาไปมาภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสบายตาของโรงพยาบาล...ด้วยความ รู้สึกเบื่อหน่าย เข้าวันที่สี่แล้วนะ...ที่ผมต้องอยู่ในสภาพของคนที่ หัวแตก...ขาก็ต้องใส่เฝือกอ่อนไว้เพราะกระดูกเคลื่อนนิดหน่อยไม่ถึงกับหัก ดีนะ กระดูกซี่โครงไม่หักไปด้วยอ่ะ...อัฒจันทร์นั่น มันสูงเกินไปจริงๆนะ =w=
และสักพักจังหวะหัวใจของผมก็ต้องเต้นผิดปกติ ...เมื่อเจ้าของร่างที่สีตัดกับผนังของห้องพักผู้ป่วย เดินเข้ามาพร้อมกับหน้าง่วงๆแต่แสนมีเสน่ห์ ...และมิวายทำให้ผมยิ้มกว้างจนปากแทบฉีก ... เมื่อจงอินของผมซื้อขนมที่ผมชอบมาเต็มมือ... >O< เหมือนทุกวัน..
ใช่แล้วครับ...ตั้งแต่วันนั้นที่ผมตกจากอัฒจันทร์ จงอินที่เป็นคนอุ้มผมไปส่งห้องพยาบาลแล้วก็พาต่อไปที่โรงพยาบาล ผมรู้ว่าจงอินเป็นคนอุ้มผมก็ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วจงอินเอาแต่บ่นว่าผมอ้วน TT ผมเสียใจนะครับ หรือผมจะอ้วนแล้วจริงๆ
จงอินน่ะ มาเยี่ยมผมตอนพักกลางวันของทุกวันเลยล่ะครับแถมวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังอุตส่ามาอยู่เป็นเพื่อนผมทั้งวัน เวลาผมทำอะไรซุ่มซ่ามจงอินก็จะคอยดุผมเสมอ รู้หรอกน่า..ว่าจงอินเป็นห่วงผม ถึงจะขี้บ่นไปหน่อยก็เถอะครับ ฮี่ๆ
“หยุดยิ้มเหอะ...บอกแล้วไงว่าฉันแค่รับผิดชอบ ที่เตะบอลอัดนาย..”
“ ^___^ ”
“..ที่จริงนายเองก็ไม่หลบ..ฉันไม่จำเป็นต้องมาดูแลด้วยซ้ำ”
“ ^___^ ”
“ไม่เลิกยิ้มฉันกลับละ..”
“เห้ย เดี๋ยวสิจงอิน” ผมรีบหุบยิ้มทันทีและทำหน้าเรียบนิ่ง
“หึ..ไม่ต้องทำหน้านิ่งแบบนั้นก็ได้..แล้วเป็นไง มั่ง” จงอินวางถุงขนมไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ที่ข้างเตียงมานั่งคุยกับผมเหมือนทุกวัน
“แหะๆ ก็ฉันกลัวจงอินกลับไปนี่...แล้วก็...เอิ่ม...” จะบอกดีไหมว่าผมน่ะ สบายดีแล้ว ก็จงอินเอาแต่บอกนี่นา...ว่าแค่มารับผิดชอบที่ทำให้ผมต้องมาอยู่ในสภาพ นี้...
“แล้วก็อะไรอีกล่ะ? หืม?” ผมเม้มปากแน่น อย่างไม่ต้องการจะพูดออกไป กรอกตากลมโตของตัวเองมองจงอินอย่างชั่งใจ
“เอ่อ...คือ...”ผมกลืนน้ำลายลงคอ อย่างชั่งใจ... แปลก วันนี้จงอินแปลกไปหรือเปล่า??
“คือถ้า...ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่เป็นอะไรแล้ว...จงอินจะ มาดูแลฉันแบบนี้อีกไหม” ผมหลับตาปี๋กว่าจะตัดสินใจพูดออกไปได้ รู้สึกว่าใบหน้ามันร้อนไปหมดแล้วนะ
ผมลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆของจงอินและสัมผัสแผ่วเบาที่แก้ม เมื่อจงอินลูบใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา
“หน้าแดงหมดแล้วนะ J” จงอินว่าทำให้ผมต้องรีบยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง
“เอ่อ...คือฉัน...คือแบบ” ผมลูบหน้าตัวเองไป พลางกำลังหาข้ออ้างเรื่องที่เลือดถูกสูบฉีดมารวมตัวกันบนใบหน้า
“อากาศก็ไม่ร้อนนะ ออกจะหนาวด้วยซ้ำ หรือว่า...”
“อ่ะ..คือ เปล่านะ ฉันไม่ได้เขิน ไม่ได้ตื่นเต้น ไม่ได้เอิ่ม..ไม่ได้อะไรทั้งนั้นแหละ” ผมลูบมือที่รู้สึกว่ามีเหงื่อผุดออกมาจนชื้นไปหมดลงกับผ้าห่มลายแมวของ ผม...ที่ให้จงอินขับรถไปเอามันมาจากบ้านให้ ผมติดผ้าห่มนี่นา.. อีกอย่างพ่อที่เหลืออยู่คนเดียวในชีวิตผมก็ดันไปทำงานที่ดูไบ เห้อ ....
“อ๋อ~ โอเคๆ รู้แล้วว ว่าไม่ได้เขิน หึ”
“อะไรกันล่ะ ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะจงอิน..” ผมว่าแล้วก้มหน้างุดๆเมื่อจงอินลากเสียงซะยาวแบบนั้น ผมไม่น่าพูดคำว่าเขินออกไปเลย จงอินต้องรู้แล้วแน่ๆว่าผมเขิน
“ป่าวๆ ก้มหน้าทำไมล่ะ เงยหน้าขึ้นมาคุยกันสิ” ผมก้มหน้าหนักเข้าไปอีก จนคางชิดหน้าอกเลยล่ะ บ้าเหรอ ใครจะกล้าสบตากับจงอินบ่อยๆกันล่ะ ไม่รู้ล่ะ ใครกล้าก็ช่างเถอะ ไม่ใช่ผมคนนี้แน่นอน
“กะ..ก็”
“เป็นอะไร หืม?” ผมเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องเหลือกตาโตๆของผม ไม่สิแค่เรียกว่าเบิกตากว้าง เมื่อจงอินยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากใกล้ไปแล้ว ผมเลียริมฝีปากของตัวเองเมื่อมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้าชัดมากทุกรู ขุมขนบนใบหน้าของจงอิน ผมมองสำเร็จไปทั่ว ...อย่างไม่อยากจะพลาดแม้แต่ตารางมิลลิเมตรเดียว... ผมหายใจอย่างยากลำบาก...
ใกล้...ใกล้ไปแล้วนะ..ใกล้จนผมไม่กล้าที่จะหายใจ
ใกล้จนผมรู้สึกมึนๆหัว...ใกล้...
...ทำไมมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...เรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ...
จนสัมผัสนุ่มชื้นเกิดขึ้นที่ริมฝีปากของผม ผมเบิกตากว้างพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัว โครมคราม ตึกๆ ตักๆ เอิ่ม..มันควรจะเต้นเสียงดังแบบไหน ผมไม่รู้แล้ว มันอื้ออึงไปหมดเลย
“อื้อ..”ผมครางออกมาเบาๆเมื่อลิ้นร้อนของจงอินดูด กลืนลิ้นเล็กของผมจนมันแทบละลายอยู่ภายในปาก กับจูบแสนหวานของจงอิน ความรู้สึกวาบหวามแล่นเข้ามาจนทำให้ขนอ่อนของผมลุกขึ้นทั่วร่างกาย ความหวาน ความหวาบหวาม ความตื่นเต้น ความเขินอาย...มันประดังประดาเข้ามาทำให้หัวสมองของผมขาวโพลนไปหมด
“อ่า...ฮื่ออ..อื้อ” ผมกำเสื้อของจงอินไว้แน่น...พยายามจะตอบสนองกับจูบของจงอิน...แต่ผมต้องทำ ยังไงล่ะ..นี่มันครั้งแรกนะ..ผมควรจะทำอะไร ผลัก..ผลักจงอินออก แล้วตบแบบในละครหลังข่าว หรือควรจะเป็นลมไปแบบในนิยายเพ้อฝันที่ผมเคยอ่าน ... เอิ่ม.. ผมไม่รู้
“.///////.” จงอินถอนจูบออกไปแล้ว...ผมก้มมองมือของตัวเองที่ยังกำเสื้อของจงอินไว้แน่น นิ้วมือของผมสั่น..และหัวใจที่เต้นแรงและสูบฉีดเลือดขึ้นมาที่หน้าจนรู้สึก ร้อนฉ่าและชาวาบๆไปทั้งร่างกาย
“..จะ..จงอิน..เอ่อ....”ผมพึมพำแล้วก็เม้มปากแน่นเมื่อคิดถึงสัมผัสวาบหวานผ่านจูบแสนหวานที่จงอินมอบให้เมื่อสักครู่
“จูบเมื่อกี้..สำหรับความน่ารักของนาย และนี่...”
ฟอด!! ~
“สำหรับหน้าแดงๆแบบนั้น..แล้วก็..”
“พะ..พอแล้วนะ...ฉะ ฉันยังไม่ไดทำอะไรเลย ฉันไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นนะ ทำไมจงอิน..”ผมลูบแก้มข้างที่จงอินกดจมูกลงมาอย่างต้องการไล่อาการใจสั่นและ ความร้อนที่แล่นเข้ามา..แต่มันเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย
“ถึงนายจะไม่ได้ทำมัน...แต่ไอ้การที่นายไม่ได้ตั้งมันนี่แหละ...ทำให้ฉันอดใจไม่ไหว รู้ไว้เลย โดคยองซู”
“..อ่า..ฉะ..ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว...อย่าแกล้งฉันแบบนี้อีกนะ”ผมช้อนตามองจงอิน..ด้วยน้ำตาคลอเบ้า..
“เห้ย ร้องไห้ทำไม...เป็นอะไรไป..”จงอินถลาเข้ามาจับใบหน้าของผมเบาๆก่อนจะเกลี่ยน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
“กะ..ก็นั่นน่ะ..นั่นมันจูบแรกของฉันนะ..ทำไม..ทำไม จงอินขโมยมันไปง่ายๆแบบนี้ล่ะ”ผมยกกำปั้นทุบอกแข็งแกร่งของจงอินเบาๆ อย่าต้องการลงโทษ
“ช่วยไม่ได้ นายปิดเองที่น่ารัก โทษฉันไม่ได้หรอนะคยองซู”
“ละ..แล้วฉันไปทำแบบไหน..บอกฉันสิแล้วฉันจะไม่ทำมัน อีก..ฉันไม่อยากโดนจงอินแกล้งแบบนี้แล้ว...”ผมย่นจมูกใส่จงอินอย่างกังวล ถ้าจงอินแกล้งผมงี้บ่อยๆ ผมอาจจะหัวใจวายตายเอาได้ง่ายๆ
“นั่นสิ...แค่หายใจ..นายก็น่ารักแล้วล่ะ...อีกอย่างฉันไม่ได้แกล้งนายนะ ฉันทำเพราะว่าฉันอยากทำ”
“อยากจูบฉันก็จะจูบ อยากหอมฉันก็จะหอม...เข้าใจไหม?”
“อ่ะ..อ่า .//////.”
“แล้วอีกอย่างนะ ที่นายถามน่ะ...ฉันจะมาอยู่กับนายไปจนกว่านายจะหายดี”
“หืม?” ผมมองหน้าจงอินอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มน้อยๆกับคำพูดนั่น ดีใจ นี่เลยความรู้สึกนี้
“เข้าใจแล้วนะคยองซูของฉัน แล้วอีกอย่าง..ห้ามนายไปทำตัวน่ารักแบบนี้กับใครนะ...ฉันไปเรียนละ J” จงอินยิ้มให้ผมแล้วเดินออกไป ผมมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างละสายตาไม่ได้.. ทำไมทำให้ฉันใจเต้นแรงได้แบบนี้ตลอดเลยนะ คิม จงอิน
มา นั่งทบทวนแล้วก็งงเล็กน้อยนะครับ ว่าจงอินคนที่ไม่สนใจผมและเอาแต่ว่าผม...จงอินคนนั้น วันนี้เค้าไปไหนหรอครับ? ทำไมถึงส่งจงอินที่ทำให้ใจเต้นระรัวแบบนี้มาล่ะ ทำไมถึงส่งจงอินคนนี้มาขโมยจูบแรกของผมไปง่ายดายแบบนี้ล่ะ คนบนฟ้าคนไหนกำลังแกล้งผมอยู่ครับ ถึงได้ส่งให้จงอินคนนี้มาเอามันไปทั้งๆที่ผมเก็บจูบนี้ไว้ให้คิม จงอินขี้บ่นคนนั้นแท้ๆ.. ใครกำลังแกล้งผมอยู่กันแน่ครับ.. คิม จงอินสินะ... คิมจงอินที่ขี้บ่น กับคิมจงอินคนเมื่อครู่...คนไหนกันแน่ครับที่เป็นตัวตนจริงๆของเค้า...
ผมไม่รู้
ผมรู้แค่ว่าคิม จงอินที่ได้จูบแรกของผมไป ทำให้ผมยิ้มแก้มแทบแตกแล้วล่ะครับตอนนี้ >O<
::Byun Baekhyun::
“งื้อออออออออ” ผมเอียงคอมองคนที่ขยี้หัวผมแล้วขมวดคิ้วทันที
“เอ้า ก็นอนต่อไปสิ” คนหน้าตุ๊ดที่แกล้งผมเมื่อกี้พูดขึ้นและบอกทางสายตาประมาณว่า ‘มันขอโทษ’
“งึ่ย...” ผมส่งเสียงไม่พอใจออกไปและลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองเซฮุนด้วยหน้าหงิกๆ
“อะไรวะ ก็นอนต่อไปเถอะ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตื่น แค่เห็นว่าผมมันนุ่มๆดีเลยลองขยี้ดู”
“ =___=”
“ก็นะ แค่ลองเช็คไง ว่าหัวมันเน่าจริงๆรึเปล่า”
“โอ้ย!!!” ผมฟาดแขนเซฮุนแรงๆไปทีนึงอย่างไม่สบอารมณ์
“..............”ผมมองหน้าเซฮุนนิ่ง...
“ไอ้หมา...”
“...........” เหมือนมีก้อนอะไรแข็งๆมาจุกอยู่ที่ลำคอเต็มไปหมด
“เห้ยๆ อย่านะเว้ย อย่าทำหน้าแบบนั้นกูขอโทษ” เซฮุนกดศีรษะผมลงกับแผงอกแกร่ง ตามด้วยการลูบหัวเบาๆไปมา พร้อมกับเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกตัวเอง...อย่างสนิทสนม เวลาพวกเรามีเรื่องเครียดหรือไม่สบายใจสรรพนามแบบนี้มันจะช่วยให้คุยง่าย ขึ้น...เซฮุนมันรู้สินะ ถึงได้แทนตัวเองแบบนั้น
“อย่าร้องนะเว้ย มึงอยากให้มันรู้รึไง กลั้นไว้ก่อน”เซฮุนกระซิบกับผมเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ไอ้ฮุน..กู...” ผมว่าแล้วดันตัวมันให้ออกห่าง ก่อนจะช้อนตาที่คาดว่าน่าจะแดงแล้วของตัวเองมองมัน
“ไหวไหม..ไอ้หมา...ถ้าไม่ไหวกูจะพาออกไปข้างนอก”
“ไม่เป็นไรๆ กูไหว กูโอเค...” ผมพยายามกลืนก้อนแข็งๆที่จุกอยู่ลงท้องไปอย่างยากลำบาก
“แน่ใจนะเว้ย เสียงมึงสั่นๆว่ะ กินน้ำไหม เดี๋ยวกูลงไปซื้อให้...”
“อือ...” ผมถอนหายใจอีกครั้งเบาๆ...ก่อนจะยักหน้าให้เซฮุนเล็กๆ แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียนตามเดิม.. โต๊ะเรียนที่ไม่ใช่ของผม..โต๊ะเรียน ที่ไม่ใช่ที่เดิม...และมันอาจะเป็นที่ของผมอย่างแท้จริงก็ได้ หึ!
‘อยู่นี่เองไอ้ลูกหมา...มาคุยกันหน่อยดิ’ชานยอลว่าก่อนจะลากผมที่เดิมเรื่อยเปื่อยไปหลบมุมคุยกันในที่เงียบๆ
‘อะ...อะไรวะไอ้หูกาง’ ผมถามไปงั้นที่จริงแค่พยายามทำ หน้าตื่นๆปกปิดสภาพใบหน้าที่แท้จริง ที่พอได้ยินเสียงของต้นเหตุของความปวดหนึบ ก็ทำให้มันรู้สึกชาไปทั้งตัว
‘คือ...’
‘หืม?’ ผมเลิกคิ้วมองชานยอล
‘คือแบบ...แก...เอิ่ม...’
‘เร็วๆเหอะ อย่าลีลา..’ ผมบอกแล้วเสมองไปทางอื่นเพราะเริ่มคิดว่าตัวเองจะทำหน้าปกติไม่ได้แล้ว..จะบังคับไม่ให้เสียงสั่นไม่ได้แล้ว.. มันยาก..ยากขึ้นทุกที
‘แกย้ายไปนั่งข้างไอ้ฮุนก่อนได้ไหมวะ...แค่สักพัก..เอิ่ม...ไม่สิ...’
‘อะ..อะไรนะ’ ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั่น
‘คือ...เห็นเด็กใหม่แล้วใช่ไหมวะ จำได้ใช่ไหมวะ ที่ร้านไอติมวันนั้นอ่ะ...’
‘....’
‘คือ...ฉันว่า...ฉันชะ..’
‘อือ .. เดี๋ยวไปนั่งข้างเซฮุนก็ได้’ผมขัดชานยอลด้วยคำว่าตกลง อย่าไม่กล้าจะถามอะไรอีก...ผมรู้ รู้ว่าชานยอลจะพูดอะไรออกมา... และเพราะผมรู้ไง ผมถึงไม่กล้าฟัง...
ผมไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะฟังชานยอลบอกว่าชอบลู่หานหรอกนะ
เพราะอะไรไม่รู้นะ แต่แค่รู้สึกว่าลู่หานคนนี้เป็นคนที่น่ากลัว...ไม่ใช่น่ากลัวแบบนั้นนะ แค่ผมกลัว..
ผมกลัวไปเองแหละ ว่าชานยอล...น่ะ..ชานยอลน่ะ
แล้วที่บ้า คือมันเป็นไปตามที่ผมกลัวไง...แล้วผมต้องทำอะไรล่ะ...ผมเป็นแค่เพื่อนนี่นา..
ผมทำอะไรไม่ได้หรอก
‘ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม...ไปนะ’
‘อ่าวจะไปไหนวะ...’
‘ไปบอกลาโต๊ะกับเก้าอี้ก่อนนะเว้ย ไหนๆก็จะไม่ได้นั่งตรงนั้นอีกแล้ว J’ ผมว่าติดตลกพลางยิ้มให้ชานยอลอย่างร่าเริงที่สุด.. ร่าเริงที่สุดเท่าที่ผมในตอนนี้จะยิ้มได้
ผมคงไม่ได้นั่งตรงนั้นอีกแล้วล่ะ
ที่ข้างๆชานยอล...มันคงไม่ใช่ที่ของผมอีกแล้วล่ะต่อไปนี้
ห่าง...ห่างออกไปทุกทีแล้วสินะ
ไม่อยากจะคิดแล้วล่ะ ว่าถ้าผมพูดออกไปในตอนนั้น...ถ้าผมได้พูด..ตอนนี้จะเป็นแบบไหนกันนะ
ผม คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้ว ก่อนจะปล่อยให้น้ำใสใสไหลออกมาที่หางตาเพราผมยังหลับตาอยู่ไงล่ะ...ตาจะได้ ไม่แดงฮ่าๆ ผมรู้ไง ว่ามันไหลออกมาแน่ๆ เรื่องนี้มันทนกันได้ยากจริงๆว่ะ ผมซุกใบหน้าลงกับผ้าเช็ดหน้าให้มันซับน้ำตาให้ผม...
“ไอ้ลูกหมา มานอนอะไรตรงนี้วะ..แล้วทำไม...” ผมตะแคงข้างหันไปมองจงอินที่พึ่งเดินเข้ามา...หมดพักกลางวันไปเป็นชั่วโมงละ.. มันพึ่งมา
“อือ...ไปไหนมาวะมึงอ่ะ...เกือบทุกวันเลยนะ”
“หือ..สรรพนามแบบนั้นมึงเป็นอะไรไปวะ”ผมเห็นได้ทันทีว่าหน้าง่วงๆอันเป็นอิมเมจของจงอินหายไป พร้อมกับสรรพนามแบบนั้นที่ออกมาจากปากผม
“เปล่า กูแค่เบื่อๆ มึงมีปัญหาไรล่ะ”ผมหันกลับไปนอนในท่าเดิม
“ไอ้ยอลๆ มึงมานี่ดิ๊ มาดูนี่เลยไอ้หมาเป็นอะไรวะ กูไม่อยู่แปปเดียวมีเรื่องอะไรวะ”
เชี่ย จงอิน...
ผมคิดในใจเมื่อได้ยินเสียงของจงอินที่ตะโกนเรียกคนที่ผมไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ามากที่สุด
“ไหนอะไรวะ..มันเป็นอะไรไอ้จงอิน”
“ไม่รู้ว่ะ อยู่ๆแม่มก็ลุกขึ้นมาพูด กูมึง กับกูอ่ะ มันต้องมีเรื่องไรแน่ๆ”
“ไอ้ลูกหมา...เป็นไรวะ”
“เปล่า..กูไม่ได้เป็นไร แค่เบื่อๆ” ผมว่าด้วยเสียงอู้อี้ ไม่หันไปมองคู่สนทนา
“ไม่เป็นอะไรได้ไงวะ ทำไมเปลี่ยนสรรพนามแบบนั้นล่ะ” ชานยอลเดินมาอีกฝั่ง คงเพื่อมามองหน้าผมสินะ
“ทำไมวะ อยากเปลี่ยนอ่ะ อยากพูดอะไรแบบไหน ก็เรื่องของกูดิวะ” ผมลืมตาไปสบกับชานยอลแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ลุกขึ้นมาคุยกันดีดีเลย ตกลงเป็นอะไร อย่าให้คิดเองนะไอ้ลูกหมา”
“เหอะ...มึง จะคิดอะไรก็เชิญอ่ะ ตามสบาย..อยากทำอะไรมึงก็ทำเถอะ” ผมบอก เพราะถ้าชานยอลคิดเองแล้วคิดได้ก็ดีนะ เรื่องที่ให้ผมมานั่งตรงนี้อ่ะ ถ้าคิดไปถึงเรื่องนั้นได้คงจะดีมาก เพราะผมไม่มีทางพูดออกไปแน่
“อะไรของมันวะไอ้ดำ...ตกลงเป็นอะไรเนี่ย...แบคฮยอน”
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้เป็นอะไร..กูสบายดีกลับไปในที่ของมึงเหอะ อย่ามายุ่งกะกูออกไปจากที่ของกูด้วย”
“อ่าวเห้ย มึงไม่เคยเป็นแบบนี้นะเว้ย ไม่ให้กูยุ่งได้ไงวะ ไอ้นี่”ชานยอลจับตัวผมให้ลุกขึ้นไปคุยกับมันดีดี
“ก็กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไร...มึงจะไปไหนก็ไปเถอะ เชี่ยนี่”
“มึงเป็นแบบนี้แล้วบอกว่าไม่เป็นไร จะให้กูเชื่อได้ยังไงวะเนี่ย กูเป็นห่วงนะแบค มึงเป็นเพื่อนของกูนะเว้ย”
“เออ ก็ใช่ไง กูอ่ะเพื่อนมึงไง แล้วกูก็ไม่ได้เป็นอะไร จบไหม” ผมว่าแล้วกรอกตามองเพดาน อย่างรู้สึกแปลกๆ ผมทำอะไรอยู่นะ ผมแค่อยากให้ชานยอลรู้ว่าผมไม่พอใจแต่ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำอะไรแบบไหน ผมคิดออกแค่นี้จริงๆ ปล่อยให้อารมณ์มันพาไป...
“โห คือกูควรจะจบใช่ไหม ทำไมมึงทำแบบนี้กับกูวะ...กูไปก็ได้แต่มึงบอกหน่อยเหอะว่ามึงเป็นอะไร” น้ำเสียงตัดพ้อของชานยอลดังขึ้น ทำให้ใจผมแกว่งไปครู่หนึ่ง ผมมองชานยอลอย่างรู้สึกยากลำบาก...ผมควรจะบอกไปดีไหมว่าผมเป็นอะไร...
“มัน โมโหหิวไงล่ะ พวกมึงนี่ไม่รู้อะไรเลย วันนี้มันไม่ได้กินข้าวเนี่ย กูลงไปซื้อมาให้มันอยู่เนี่ย ไม่งั้นมันแดกหัวกูแน่” เสียงของเซฮุนดังขึ้นพร้อมกับผมที่รู้สึกเหมือนถูกช่วยชีวิต
“เอาไปเลย กินๆไปเลยมึง จะได้ไม่ต้องทำหน้าเหมือนอยากจะกินหัวกูนะ ไอ้หมา...” คำสุดท้ายเซฮุนพูดพร้อมกับส่งซิกมาให้อย่างให้ผมรับมุข
“เออ ช้าเป็นชาติเลยนะ..มึง กูหิวจนจะแดกยีราฟได้ทั้งสวนสัตว์เปิดเขาตะแคงแล้วเนี่ย” ผมว่าพร้อมกับกระชากถุงขนมในมือเซฮุนมา
“ตกลงว่าแม่มโมโหหิว..?”
“เออดิ...แล้วถ้ามันเป็นอย่างอื่น มันจะเป็นอะไรวะ..มึงพอจะคิดออกไหม ชานยอล..” ประโยคแรกเซฮุนพูดกับจงอิน ส่วนอันหลังนี่ทำให้ผมแทบจะปรี่เข้าไปต่อยปากเซฮุน
“เห้ยพวกมึง... ไปนั่งที่ใครที่มันเลยกูไม่มีสมาธิกินเนี่ย” ผมว่าพลางแกะถุงขนมปัง..เอิ่ม..เชี่ย!! ไส้ถั่ว เซฮุนมันซื้ออะไรมาวะ มันอยากโดนผมต่อยจริงๆใช่ป่ะเนี่ย ช่างมันยัดเข้าปากก่อนเดี๋ยวพวกมันรู้ว่าผมโกหก
“อ้าวเห้ย อะไรวะชานยอล กูจะกินนนนนนนน” ผมแหวขึ้นเมื่อขนมปังมรณะไส้ถั่วกำลังจะเข้าปากผมอยู่แล้วแต่ชานยอลดันแย่งมันไปจากมือของผม
“จะกินได้ไง นี่มันไส้ถั่ว มึงซื้อมาได้ยังไงวะไอ้เซฮุน” ชานยอลหันไปต่อว่าจงอินในประโยคหลัง แต่มันกลับยักไหล่แล้วไม่สนใจ
“ก็กูจะกินอ่ะ บอกให้มึงกลับไปไง อะไรนักหนาวะ”
“เออรู้แล้วว่าหิวอ่ะ แต่จะกินไอ้นี่ได้ไงว่าแบคฮยอน”
“เอ้าทำไมวะ อะไรนักหนาล่ะเนี่ย กูหิวกินหมดแหละถึงกูจะไม่ชอบกินถั่วก็เถอะ”
“ต่อให้มึงหิวแค่ไหนกูก็ไม่ให้กิน มึงไม่ใช่แค่ไม่ชอบถั่ว แบคฮยอนมึงแพ้ถั่ว!”
“อ่าว...เหรอ ..?? กะ..กูแพ้ถั่วหรอ...” ผมว่าแล้วมองชานยอลก่อนที่จะหันไปมองเซฮุนอย่างขอความช่วยเหลือและอยากตบไป พร้อมๆกับ ที่มันซื้อขนมปังรสนี้มา แต่มันก็ยักไหล่ให้อย่างกวนๆ
“เออดิ ไอ้นี่แม่ม ไม่ค่อยห่วงตัวเองอ่ะ คอยแต่ให้กูเป็นห่วงอยู่ได้ ถ้ากูไม่อยู่ป่านนี้มึงไม่ผื่นขึ้นทั้งตัวเลยหรอวะ”
“หึ่ย ก็กูลืมอ่ะ..” ผมว่าพลางเปิดขวดชาเขียวแล้วกระดกอย่างรู้สึกร้อนๆ
“เอ่อ...ชาน ยอล คือเรา...แบบ...” เสียงเล็กๆนั่นทำให้ผมหันไปมองต้นเสียงที่เรียกชื่อของชานยอล... ความรู้สึกร้อนๆที่ข้างแก้มของผมหายไปมัน..ถูกแทนที่ด้วยความร้อนผ่าวที่ขอบ ตาแทน ผมกลืนชาเขียวลงคออย่างยากลำบาก ทำได้แค่ก้มหน้ามองมือตัวเอง
“อะไรหรอลู่หาน เป็นอะไร”ชานยอลวางขนมปังไส้ถั่วลงพร้อมกับจับมือของลู่หาน เป็นห่วงแบบออกนอกหน้า...
“คือ...เรา...”
“มีเรื่องอะไร ป่ะไปคุยที่อื่นก็ได้ ถ้าตรงนี้นายไม่กล้าพูด”
ชาน ยอลจูงมือลู่หานเดินออกไปแล้ว... จงอินกลับไปนอนหลับที่โต๊ะของมัน..เซฮุนเบือนหน้าหนีผมไปมองทางอื่น... และผม...ผมที่กำมือตัวเองไว้แน่น กัดริมฝีปากจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด...
สุดท้าย...ชานยอลก็เป็นห่วงผมแค่นี้
สุดท้าย...ผมมันก็หมดความหมายเมื่อใครคนนั้นในใจของชานยอลเข้ามา
ผมก็ได้แต่อยู่ในที่ตรงนี้ ที่ของผม ที่ชานยอลนึกอยากจะมาสนใจก็มา...แต่พอลู่หานมา ผมก็ไม่อยู่ในสายตาของเค้าอีกต่อไป...
แต่ ผมก็ยังจะอยู่ตรงนี้...คอยเป็นอะไรก็ได้..ให้ชานยอลได้พักพิงยามที่เค้าไม่ มีใคร...เมื่อไหร่ที่ชานยอลต้องการผม เมื่อไหร่ที่ชานยอลไม่มีใคร ผมจะอยู่..อยู่รอให้ชานยอลเดินเข้ามาหา ... จะจับมือของชานยอลไว้.. ในฐานะเพื่อนแบบนี้ต่อไปก็ได้....
“ไอ้หมา ป่ะกลับบ้านกัน”
“หืม...ว่าอะไรวะไอ้ติ๋ม”
“มึงคิดว่าไอ้ยอลมันจะกลับบ้านกับมึงเหมือนเมื่อก่อนแล้วหรือไง”
จึก! รู้สึกเหมือนมีอะไรมาแทงเลยเนอะ..เหมือนเมื่อก่อน..นั่นสิ ไม่มีอะไรเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ.. หึ
“อ่ะ..เออว่ะ ฮ่าๆ กู..กูก็ว่างั้นอ่ะ ป่ะดิป่ะ ไปส่งกู....” ผมเก็บกระเป๋าแล้วจูงมือเซฮุนออกจากห้อง
“เดี๋ยวดิเห้ย ไอ้ลูกหมา แกจะไปไหน” ชานยอลวิ่งตามมาพร้อมกับจับข้อมือผมเอาไว้
“กลับบ้านไง ถามแปลกๆ เลิกเรียนแล้วนะมึง” ผมตอบทั้งๆที่ตาของผมยังมองอยู่ที่ข้อมือ ไม่กล้าที่จะสบตาร่างสูงตรงหน้า
“มึง..หรอ นี่ยังไม่หายอารมณ์เสียอีกแล้วหรอวะ แล้วอีกอย่างก็กลับด้วยกันทุกวันอ่ะเห้ย แล้วจะกลับกะไอ้ฮุนได้ไง”
“นี่ไอ้ติ๋ม เดินไปรอที่รถก่อนไปเดี๋ยวตามไป” ผมหันไปบอกเซฮุน แล้วเซฮุนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อะไรวะ ตกลงจะไม่กลับกะฉันแล้วหรือยังไง แกเป็นอะไรไอ้ลูกหมา”
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่...จะให้เป็นให้ได้เลยใช่ไหม”
“ก็แค่รู้สึกว่ะ ว่ามันแปลกๆ ... แล้วทำไมต้องไม่กลับด้วยกันล่ะ...หืม?”
“ไม่แปลกหรอกเว้ย กูไม่ได้แปลกอะไรเลยนะ”
“ไม่แปลกได้ไงวะ สรรพนามก็เปลี่ยน แล้วนี่คือกลับด้วยกันทุกวันแล้วไหงวันนี้จะกลับกับคนอื่น”
“เซฮุนไม่ใช่คนอื่น แล้วอีกอย่าง...มึงคิดว่าจะมีอะไรเหมือนเดิมได้ตลอดไปหรอวะชานยอล..” ผมพูดประโยคหลังเสียงเบา รู้สึกหวิวๆแปลกๆอยู่นะ...นั่นสิ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมได้ตลอดไป ไม่มีอะไรเหมือนเดิม.. ไม่มีอีกแล้วสินะ
“ห๊ะ? เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ไม่เข้าใจนะเว้ยไอ้ลูกหมา”
“ก็นะ มึงเรียกกูว่าลูกหมามาเกือบห้าปีได้แล้วป่ะวะ กูโตแล้ว อย่าเรียกกูแบบนั้นอีกเลยว่ะชานยอล...”
“อะไรวะ มึงเป็นอะไรเนี่ย”
“เออๆ ช่างมันเถอะ ถือว่ากูไม่ได้พูดอะไรออกเลยก็แล้วกันนะเว้ย... แล้วเรื่องที่จะไม่กลับกะมึงอ่ะคือ..”
“.....”
“คือ มึงต้องไปทำคะแนนแล้วล่ะกูว่า...ลู่หานน่ารักขนาดนั้นอ่ะ มีคนมาจีบเยอะแหงๆ ...ไปส่งเค้าซะสิ..กูกลับเองได้..” ผมพูด ไม่เคยรู้สึกอยากปากหน้าตัวเองเท่านี้มาก่อนเลย...ผมพูดอะไรออกไปวะ
ผมพูดให้คนที่ผมรัก...
ผมพูดให้ชานยอลไปจีบลู่หาน
“เออเนอะ...ทำไมกูคิดไม่ได้ ขอบใจเว้ยไอ้ลูกหมา มึงจะเปลี่ยนไปหรืออะไรยังไงก็ช่างกูจะเรียกมึงแบบนี้แหละ J” ชานยอลยกยิ้มให้ผมก่อนที่จะรีบวิ่งตรงกลับไปที่ห้องเรียน...
ผมทำแบบนี้ทำไม
ผมมันโง่จริงๆเลย
ชานยอลจะรู้ไหม... ว่าผมประชด...
เหอะ.. อย่างชานยอล...ชานยอลไม่รู้หรอก
ผมมันโง่ ทำไมผมโง่แบบนี้นะ
โง่..ที่ไม่บอกความรู้สึก
โง่..ที่เอาแต่ประชด
โง่..ที่ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากชานยอล
โง่...ที่ไม่คิดจะรั้งชานยอลไว้
โง่ที่ยังรอชานยอลอยู่ตรงนี้ แค่รอให้ชานยอลมาหาผมเอง ในฐานะเพื่อน
โง่....ที่คิดว่าถึงผมจะเจ็บก็ไม่เป็นไร
โง่ๆๆๆๆ และโง่...ที่ไม่ยอมตัดใจจากชานยอลสักที... เพราะแค่รอยยิ้ม..แค่ได้เห็นรอยยิ้มของชานยอลผมก็มีความสุข ที่คิดว่าจะลืม..ก็หายไปหมด ความคิดพวกนั้นหายไปหมดเลย ....
เจ็บ
TBC
★★★★
ความคิดเห็น