ตอนที่ 3 : FAKE - Chapter 1
F A K E
Chapter 1
คอนโดมิเนียมหลายชั้นใจกลางเมืองนั่นคือที่พักแห่งใหม่ของแบมแบม เขาได้แต่เหลือบมองอาคารหรูแห่งนั้นผ่านหน้าต่างรถตู้ติดฟิล์มดำสนิท หน้าอาคารมีเหล่าเด็กสาวเกาะกลุ่มอยู่ตามฟุตบาท พอรถตู้จอดรอเพื่อเลี้ยวเข้าอาคาร เสียงตะโกนเรียกชื่อและป้ายก็ถูกชูขึ้นอย่างพร้อมเพรียง แบมแบมกะพริบตาก่อนจะเอนหลังพิงเบาะ เขาแว่วเสียงหัวเราะเบาๆ ของใครบางคนดังมาจากด้านหน้า แล้วก็เป็นจินยองที่เอี้ยวตัวมามองแล้วบอกเขาว่า
“เป็นแบบนี้ทุกวันแหละ อีกเดี๋ยวคงชิน”
เขาเม้มปาก พยักหน้าหงึกหงักรับรู้ ตอนนั้นรถก็เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถได้แล้ว เสียงเด็กสาวซึ่งเป็น FanC ค่อยๆ เบาลงจนไม่ได้ยิน พอรถจอดเรียบร้อยแบมแบมก็ก้าวตามหลังรุ่นพี่สองคนออกไป
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับพี่แจบอม”
แบมแบมรีบตะโกนบอก ผู้จัดการของพวกเราเพิ่งจะเปิดด้านหลังรถตู้ แล้วแจบอมก็เป็นคนไปดึงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของแบมแบมลงมา เด็กหนุ่มร่างเพรียวกุลีกุจอวิ่งไปทันที แต่หัวหน้าวง Chaos ทำเพียงเบือนหน้ามามองก่อนจะบอกเสียงเรียบว่า
“ไม่เป็นไร ไม่ได้หนักหนาอะไร”
“อันนี้ด้วยใช่ไหม?” แล้วจินยองก็เอ่ยขึ้น หันไปอีกทีก็เห็นว่าไปหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งมาถือเอาไว้แล้ว แบมแบมเลยได้แต่พยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าลากใบเล็กอีกใบลงมา
“หมดแล้วนะ” เสียงผู้จัดการวงอย่างคิมฮยอนอูเอ่ยถามขึ้น พอเจ้าของกระเป๋าทั้งหมดพยักหน้าด้านหลังรถก็ถูกปิดลง
“ข้าวของนายมีแค่นี้เองเหรอ?” จินยองหันมาถาม แบมแบมพยักหน้าขณะที่พวกเราเริ่มเคลื่อนขบวนไปทางลิฟต์ในชั้นจอดรถ
“ครับ มีแค่นี้ล่ะ”
“น้อยอ่ะ” เป็นแจบอมซึ่งกำลังลากกระเป๋าเอ่ยขึ้น “ตอนพวกเราย้ายมาอยู่ที่นี่ต้องใช้รถบรรทุกเลยล่ะ”
“ผมไม่ค่อยมีเสื้อผ้าอะไรพวกนั้นหรอกครับ ในกระเป๋านี่ก็มีแต่หนังสือเรียนภาษา” แบมแบมหมายถึงกระเป๋าใบเล็กที่เขากำลังลากอยู่นี่เอง
เราเก็บบทสนทนาเอาไว้ก่อนตอนก้าวเข้าไปในลิฟต์ ฮยอนอูกดหมายเลข 10 ลงไป แสงไฟสว่างขึ้นแล้วลิฟต์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัว แบมแบมยังยืนนิ่งอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมนั่น เขาแทบหายใจไม่ออก
คงเพราะชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนไปหลังจากวันนี้...
เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้วแบมแบมได้เข้าพบปาร์คซูฮยอน ประธานค่าย PS ที่จริงแล้วตอนนั้นแบมแบมกำลังคิดจะล้มเลิกความฝันในการเข้าวงการของตัวเองหลังจากผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาเริ่มจะปักใจเชื่อว่าเส้นทางการเล่นดนตรีไม่เหมาะกับตัวเองสักเท่าไหร่ เรานั่งพูดคุยกันในห้องประธานและอีกฝ่ายก็เอ่ยปากชวนให้เขาเซ็นต์สัญญาเพื่อเป็นมือกีต้าร์ในวง Chaos ซึ่งสมาชิกคนเดิมเพิ่งขอถอนตัวออกไปเรียนต่อ
แบมแบมรู้สึกเหมือนเขาฝันอยู่ คำพูดของประธานปาร์คเข้าหูซ้ายและดังก้อง อีกฝ่ายบอกให้เอาเก็บไปคิดก่อน แต่ในวันถัดมาแบมแบมก็ตัดสินใจเดินเข้ามาที่บริษัทอีกครั้งเพื่อเซ็นต์สัญญาและฟังข้อเสนอต่างๆ สุดท้ายเขาก็ได้จรดปากกาลงชื่อเป็นสมาชิกคนใหม่ของ Chaos วงป๊อปร็อคชื่อดังของเกาหลีใต้
นอกจากความฝันจะเป็นจริงแล้ว แบมแบมยังได้เข้ามาอยู่ในวงที่เขาชื่นชอบอีกต่างหาก เขาชอบเพลงของวงนี้ ชอบการเล่นดนตรี และไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มาเป็นสมาชิกของวง ในวันต่อมาแบมแบมถูกประธานเรียกพบอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับสมาชิกของ Chaos วันนั้นเขาก็เหมือนกับเด็กหนุ่มผู้กำลังจะได้เจอไอดอลของตัวเอง มือไม้ดูเก้งก้างไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน พอถึงเวลานัดพบคนที่ก้าวเข้ามาในห้องคือจินยองและแจบอม
‘มาร์คไม่ว่างครับ’
แจบอมเป็นคนรายงานสั้นๆ ให้ประธานปาร์คฟัง สำหรับเด็กใหม่อย่างแบมแบมเขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็พยักหน้ารับ ที่จริงแล้วมาร์คเป็นสมาชิกในวงที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษเพราะบทสัมภาษณ์และแนวความคิดต่างๆ เกี่ยวกับดนตรีตามนิตยสารและบทสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ อีกอย่างคือผู้ชายคนนั้นดูจะชอบฟังเพลงแนวเดียวกับแบมแบมด้วย เขาออกจะผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้เจอหน้า แต่ก็ดีใจที่ได้เจอแจบอมและจินยองด้วยตาตัวเองสักที
“ถึงแล้ว”
เสียงผู้จัดการดังขึ้น ประตูลิฟต์เปิดออก พวกเราลากกระเป๋าออกมาจากกล่องโลหะนั้น ผู้จัดการวางคีย์การ์ดลงบนจอ กดรหัสแล้วเสียงประตูก็ดังขึ้น
“เข้าไปก่อนเลยเด็กใหม่...” จินยองบอก เปิดประตูค้างไว้ให้แบมแบมเดินตามหลังผู้จัดการเข้าไปในห้องก่อน
“ยินดีต้อนรับนะแบมแบม” เสียงแจบอมดังขึ้นไล่หลังตอนแบมแบมมายืนกวาดตามองไปรอบห้องอยู่ตรงห้องนั่งเล่น
หอพักของศิลปินระดับชาติเป็นแบบนี้นี่เอง...
แบมแบมไม่เคยอยู่ในห้องกว้างและใหญ่ขนาดนี้ ก่อนหน้าที่จะได้เข้ามาเซ็นต์สัญญากับบริษัทแห่งนี้เขาอาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดเท่ารูหนูเพราะเอาไว้แค่ซุกหัวนอนเท่านั้น ห้องชุดที่เขายืนอยู่ตอนนี้เลยเหมือนเป็นโลกใบใหม่ของแบมแบม
“อีก 2 ชั่วโมงจะมารับนะ แบมแบมเก็บของให้เรียบร้อยด้วยล่ะ” ฮยอนอูสั่งแล้วควงพวงกุญแจรถ
“พี่จะไปไหนอ่ะ?” จินยองขมวดคิ้วถาม “ไม่ช่วยน้องมันเก็บของก่อนเหรอ?”
“ไปตามมาร์ค เรามีงานต่อนะ ช่วยดูแลแบมแบมด้วย ฝากด้วยนะแจบอม” ฮยอนอูตอบคำถามจินยองก่อนจะหันมาสั่งแจบอมซึ่งพยักหน้ารับคำพูดของผู้จัดการวง
เสียงปิดประตูดังขึ้น แบมแบมหันกลับมาหาพี่สองคนในวง จินยองเผยรอยยิ้มส่งให้ก่อนจะชี้นิ้วไปยังประตูบานหนึ่ง แล้วบอกแบมแบมว่า
“นั่นห้องนาย”
“ห้องนายติดห้องน้ำ ห้องติดกันนั่นของมาร์ค ถัดมานั่นห้องพี่ ส่วนห้องที่อยู่ติดห้องครัวนั่นของจินยอง หน้าห้องนายมีโต๊ะคอมพิวเตอร์อยู่ ตอนนี้ประธานปาร์คคงยังไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ใช่ไหม? แต่ใช้คอมพิวเตอร์นั่นติดต่อกับเพื่อนๆ ได้ พวกเรามีโทรศัพท์กันหมดแล้วล่ะ”
แจบอมทำหน้าที่หัวหน้าวงได้ดี เริ่มต้นจากการอธิบายสถานที่คร่าวๆ ให้แบมแบมฟัง และมองหน้าไปด้วยตอนพูด ขณะที่เขาพยักหน้ารับรู้ แล้วพี่ทั้งสองคนในวงก็ช่วยลากกระเป๋าและสัมภาระไปส่งแบมแบมถึงห้อง แล้วแจบอมก็หมุนลูกบิดเอาของมาให้ในห้อง จากนั้นถึงได้หันไปหาแบมแบม
“ห้องนี้เป็นของนายแล้ว” แจบอมยื่นกุญแจห้องให้ แบมแบมกะพริบตาแล้วรับมันไปถือไว้
“นายเป็นสมาชิกใหม่ของวงเราแล้วด้วย ตอนนี้นายและพวกเรา...อาจจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่คงปรับตัวกันได้ในไม่ช้า แล้วมาทำเพลงสนุกๆ ด้วยกันนะ”
“ฝากตัวด้วยนะครับ” แบมแบมรีบโค้งให้หลังจากได้ยินคำพูดแบบนั้นของหัวหน้าวง จินยองยังคงยืนยิ้มอยู่ด้านหลังแจบอม
“ประมาณ 5 โมงเย็นพี่ฮยอนอูจะมารับไปทำงานต่อ เก็บของให้เรียบร้อยล่ะ แต่ถ้าไม่เสร็จไว้ค่อยมาทำต่อก็ได้”
แจบอมเอ่ยขึ้นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ส่วนจินยองยังยืนมองแบมแบมอยู่ แล้วอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มบอกเขาว่า
“พวกเราอยู่ตรงห้องนั่งเล่นนะ อยากให้ช่วยออกแรงทำอะไรก็บอกได้”
“ขอบคุณมากครับพี่จินยอง”
“อื้อ ไม่เป็นไร อย่างที่แจบอมบอกนั่นล่ะ นายมาอยู่ในวงของเราก็ดี ทั้งฉันและแจบอมน่ะอยากทำเพลงต่อ เพราะงั้นก็มาสนิทกันเร็วๆ เถอะ ฉันเคยดูคลิปในยูทูปที่นายเล่นน่ะ เก่งเลยล่ะ”
“ขอบคุณมากครับพี่จินยอง” แบมแบมยังคงเอ่ยคำเดิม จินยองหัวเราะก่อนจะโบกมือให้
“ไม่กวนแล้วล่ะ เก็บของเถอะ”
เสียงปิดประตูดังขึ้นไล่หลังจินยองที่เดินจากไป ในตอนนี้มีแบมแบมที่ยืนอยู่ในห้องเพียงคนเดียว เขามองสัมภาระของตัวเองสลับกับการเงยหน้าขึ้นมากวาดตามองห้องนอนซึ่งมันไม่ได้กว้างมากนักแต่ก็ดูเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีเตียงวางอยู่ชิดริมขวาของผนัง มีชั้นวางของโล่งๆ และตู้เสื้อผ้า แบมแบมเดินไปนั่งลงบนขอบเตียง เขากวาดตามองที่ซุกหัวนอนแห่งใหม่อีกหน ก่อนจะยิ้มบางออกมา
ชีวิตการเป็นไอดอลของเขาเริ่มแล้วสินะ
“เรียบร้อยรึเปล่าแบมแบม?”
เป็นจินยองที่เอ่ยถามขึ้นมาตอนแบมแบมเดินออกมาจากห้อง เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางห้องครัวเพื่อหาเครื่องดื่มดับกระหาย แบมแบมพบว่าแจบอมยืนอยู่ในนั้นและเพิ่งคว่ำแก้วลงบนตะแกรง อีกฝ่ายหันกลับมาแล้วขมวดคิ้วถาม
“จัดห้องเสร็จแล้วเหรอ?”
“อ๋อ ครับ ก็...ผมไม่ค่อยมีของอะไรให้จัด” แบมแบมหัวเราะออกมาแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำเปล่าแล้วเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับแจบอม
แบมแบมเดินไปนั่งบนโซฟาอีกตัว ให้แจบอมและจินยองจับจองโซฟาตัวยาว นักร้องนำของวงกำลังนอนเอกเขนกดูการแสดงสดของรายการเพลงที่กำลังฉายอยู่ แบมแบมเลยหันไปมองอย่างสนใจ
“นี่...แบมแบมชอบฟังเพลงแนวไหนบ้างเหรอ?” จินยองเริ่มเรียกชื่อแบมแบม คงอยากจะสร้างความสนิทสนมระหว่างพวกเรา
“ผมฟังเพลงได้หมดแหละครับ แต่วงที่ชอบก็มี Good Charlotte อืม... Simple plan หรือไม่ก็ All time low ครับ” แบมแบมเอนหลังพิงโซฟาพลางยกขวดน้ำดื่มอีกครั้ง
“ชอบคล้ายๆ มาร์คเลยนะ” แจบอมเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะในลำคอ “ถ้ามันกลับมาเป็นปกติน่าจะสนิทกันเร็ว”
“กลับมาเป็นปกติ...?” แบมแบมทวนคำขณะหมุนฝาปิดขวดน้ำ แจบอมหันไปมองหน้าจินยองแล้วหัวเราะรู้กัน ขณะที่แบมแบมยังนั่งงงกันอยู่ เขากำลังจะอ้าปากถามความเป็นมาของประโยคนั้นแต่แจบอมหยิบมือถือขึ้นมาแนบหูซะก่อน
“ครับพี่ฮยอนอู” แจบอมคุยโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งก็วางสายก่อนจะบอกแบมแบมและจินยองว่า
“พี่ฮยอนอูรอที่ลานจอดรถ ไปกันเถอะ”
เราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงลานจอดรถ แบมแบมเดินตามหลังแจบอมและจินยองออกมาจากลิฟต์ ตอนนั้นแบมแบมได้ยินคล้ายเสียงคนทะเลาะกันแต่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก แต่เหมือนกับว่าพอยิ่งเดินเข้าไปใกล้รถเสียงนั่นก็ยิ่งชัดขึ้น แจบอมเดินไปเปิดประตูนั่งคู่กับคนขับ ส่วนจินยองกระชากเปิดประตูรถตู้ออกกว้าง แล้วแบมแบมก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้หูแว่วไปเองหรอก แต่มีคนกำลังทะเลาะกันในรถตู้จริงๆ
พี่ฮยอนอูกับมือกลองวง Chaos นั่นเอง...
“พี่ไม่เข้าใจผมหรอก” เสียงมาร์คดังขึ้นแม้ประตูจะถูกเปิดกว้างก็ตาม แบมแบมยังไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย แต่จินยองผายมือให้เขาเข้าไปก่อน พลางส่งสายตาเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องใส่ใจ
“ทำไมจะไม่เข้าใจ อายุเท่าไหร่ทำไมยังทำตัวงี่เง่าได้ขนาดนี้?”
“พี่ฮยอนอู!” เสียงนั่นเถียงกลับ แบมแบมเดินมาจับประตูแล้วมองเข้าไปในรถ มาร์คนั่งอยู่เบาะหลังคนขับ ขณะที่ผู้จัดการของพวกเราเอี้ยวตัวมามองเหมือนจะให้สายตาทะลุเบาะหลังเพื่อด่ามือกลอง
“พี่ไม่เป็นผมพี่ไม่เข้าใจหรอก” มาร์คเอ่ยเสียงเรียบ ตอนนั้นเองที่หันหน้ามาสบตากับแบมแบมพอดี แต่เด็กหนุ่มทำแค่โค้งหัวให้แล้วเข้าไปนั่งเบาะด้านหลังมาร์ค
“ใครจะไปเข้าใจคนงี่เง่าแบบแก ถ้าทำตัวแบบนี้อีกฉันจะฟ้องประธานปาร์คให้จัดการแก”
“โธ่...พี่ก็ปล่อยๆ ผมไปเหอะน่า เห็นไหมว่าผมก็ไม่ได้ไปไหน ผมก็อยู่ที่ๆ ผมอยากอยู่นั่นล่ะ”
“เงียบซะมาร์ค ถือว่าพี่เตือนครั้งสุดท้าย”
สิ้นประโยคนั้นของพี่ฮยอนอู จินยองที่ขึ้นมาบนรถก็รีบดึงประตูปิด นักร้องนำของวงเลือกที่จะมานั่งเบาะข้างแบมแบม เกิดความเงียบชวนอึดอัดใจอยู่ครู่หนึ่งในรถ แล้วผู้จัดการวงก็เป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยการถอนหายใจแล้วติดเครื่องยนต์
“เอาล่ะ...เลิกพูดเรื่องบ้านี่ซะที แล้วมาร์คก็หยุดบ้าซะ”
“ผมไม่ได้บ้า” เสียงนั่นยังเถียงกลับไป แบมแบมกะพริบตาปริบอยู่ด้านหลังผู้ชายที่เขาเพิ่งเจอเป็นครั้งที่สอง แถมแต่ละครั้งที่เจอก็ไม่ใช่สถานการณ์ชวนให้เอ่ยทักทายหรือคุยด้วยสักนิด
“ถ้าขืนยังทำตัวแบบนี้อีก ไม่ใช่แค่นายที่เดือดร้อน แต่ทุกคนในวงจะซวยด้วย นึกถึงจิตใจคนมาใหม่อย่างแบมแบมบ้างเถอะ”
ฮยอนอูออกรถ แบมแบมได้ยินเสียงสบถอึกอักแผ่วเบาในลำคอของมาร์คเป็นภาษาอังกฤษ หางตาอีกฝ่ายเหลือบมองผ่านเบาะมาแค่แวบเดียวก่อนจะกระแทกหลังลงแล้วหยิบหูฟังมายัดใส่ก่อนจะตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกไปในทันที
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเลย”
จินยองหันมาบอก แต่แบมแบมไม่เห็นอยากจะเชื่อ จะไม่มีอะไรได้ยังไงในเมื่อมือกลองสุดหล่ออย่างมาร์คและผู้จัดการวงอย่างฮยอนอูปะทะฝีปากกันดังลั่น แถมฮยอนอูยังดูโมโหขนาดนั้นน่ะ แต่ตอนนั้นแบมแบมไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาแค่พยักหน้า เพราะคนมาใหม่อย่างเขารู้ได้เท่าที่คนเก่าอยากให้รู้
แบมแบมถูกจับให้นั่งบนเก้าอี้หน้ากระจกอีกครั้ง ใบหน้าที่ถูกแต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางเมื่อเช้าเพื่อแถลงข่าวสมาชิกใหม่ตอนบ่ายถูกล้างออกหมดจด เครื่องสำอางโทนใหม่ถูกปาดลงบนหน้าอีกหน เขาได้แต่นั่งนิ่งๆ ทำตามคำสั่งของเหล่าพี่สาวซึ่งกำลังขมีขมันกับการทำงาน
เสียงไดร์เป่าผมเพื่อจัดแต่งทรงให้คนที่นั่งเก้าอี้ข้างๆ ดังขึ้นตามด้วยเสียงหัวเราะของแจบอมและช่างทำผม แบมแบมมองผ่านกระจกก็เห็นว่าจินยองนั่งเล่นไอแพด ส่วนปากกำลังคุยกับผู้จัดการที่นั่งอยู่ข้างๆ ในขณะที่มาร์คนั่งหลับตานิ่งๆ อยู่อีกฝั่งให้ทีมงานแต่งหน้าเหมือนแบมแบม
ทุกคนดูเป็นมืออาชีพ...
ในขณะที่แบมแบมคือเด็กอายุเพียง 18 ที่เพิ่งจะก้าวเข้าวงการบันเทิงแถมยังมาแทนที่คนเดิมเท่านั้น เขากลืนน้ำลายก่อนจะมองหน้าตัวเองผ่านบานกระจก แล้วก็ได้ยินเสียงแจบอมเอ่ยดังมาจากเก้าอี้ข้างๆ
“นายแต่งหน้าแบบนี้แล้วดูหล่อขึ้นเลย” เพราะคำชมนั้นเขาเลยได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เอ่ยขอบคุณไป พอเหลือบตาจะมาชวนคนข้างๆ คุยบ้างกลับกลายเป็นว่ามาร์คแต่งหน้าและทำผมเสร็จลุกเดินไปหาจินยองแล้ว
เอาไว้...คราวหน้าก็ได้...
หลังจากแต่งหน้าทำผม รวมไปถึงการเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย พวกเราก็มานั่งรวมกันอยู่บนโซฟา แบมแบมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างแจบอมกับจินยอง ส่วนมาร์คยืนอยู่ข้างจินยอง ทีมงานคนหนึ่งยืนถือกระดาษเอสี่ 3-4 แผ่นเย็บมุมเอาไว้ พลิกกระดาษแล้วเริ่มสั่งพวกเรา
“มี 3 ชุดต้องเปลี่ยน คอนเซปต์แรกเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่เปิดเทอมอีกครั้ง ส่วนถัดมาเป็นนักศึกษามหา’ลัย สุดท้ายเป็นหนุ่มวัยทำงานนะ คงใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ เดี๋ยวมีสัมภาษณ์นิดๆ หน่อยๆ ด้วย ไว้จะเรียกอีกที”
“ขอบคุณครับ”
พวกเราพึมพำตอบ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว สตูดิโอถ่ายภาพแห่งนั้นกว้างใหญ่ ฉากถูกเซ็ตไว้เป็นสีขาวล้วน ของประกอบฉากมีทั้งอุปกรณ์กีฬาและกระดานสีเขียวกับชอล์ก เราต้องถ่ายรูปรวมกันก่อนจะเป็นการถ่ายเดี่ยว
“เด็กใหม่น่ะครับ...เอ่อ...” ตากล้องเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นมา
“ผมชื่อแบมแบมครับ ฝากตัวด้วยนะครับ” แบมแบมก้าวออกมายืนข้างหน้าแล้วโค้งหัวให้ทีมงานทุกคนก่อน เขารู้ดี มันไม่ใช่ความผิดของทีมงานหรอก แต่เพราะแบมแบมเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในวงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะยังมีคนจำชื่อเขาไม่ได้
“อ่า...ขอโทษด้วยครับ แบมแบมย้ายที่กับจินยองด้วยครับ”
ตากล้องโบกมือให้ย้ายตำแหน่ง จินยองขยับตัวให้ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ตำแหน่งการยืนคือแจบอม จินยอง แบมแบมและมาร์ค ทีมงานยกรีเฟลกชั่นขึ้นสูง
“ยิ้มครับ สนุกกันหน่อย”
แบมแบมไม่เคยถ่ายแบบมาก่อน เขาไม่ค่อยถนัดกับการถูกหลายสายตาจับจ้องแล้วต้องฉีกยิ้มหวานแต่ในวันที่เซ็นต์สัญญาเขาก็ตระหนักได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาไม่เคยทำก็ต้องทำ เพราะนี่คืองาน นี่คือส่วนหนึ่งในการทำให้เขาเป็นที่รู้จักกับคนทั่วไป เขาฉีกยิ้ม ทุกครั้งที่ได้ยินคำสั่งจากตากล้องเพื่อบอกท่าทาง แบมแบมจะพยายามอย่างเต็มความสามารถ
เขาไม่อยากเป็นตัวถ่วง
“เขยิบชิดกันหน่อยครับ กอดคอคนข้างๆ หน่อย เอาล่ะครับยิ้ม” เสียงชัตเตอร์ เสียงตากล้อง แสงแฟลชยังสว่างวาบ นี่ยังเพิ่งชุดแรกของการถ่ายเท่านั้นและมันเพิ่งใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีแต่แบมแบมกลับรู้สึกเหมือนตาพร่าเบลอไปหมด
“มองหน้าคนข้างๆ ครับ”
แบมแบมเผลอหันไปหาจินยอง และตอนนั้นเองที่เขานึกได้ว่าตัวเองเปลี่ยนที่ยืนมาอยู่ข้างมาร์คแล้ว เสียงชัตเตอร์ดังลั่น ฝ่ามือมาร์คที่โอบคอออกแรงกดตรงไหล่จนแบมแบมรู้ตัว
“แบมแบมหันผิดด้านนะครับ เดี๋ยวเราเอาใหม่นะ”
“ขอโทษครับ” แบมแบมรีบเอ่ยปากบอกไป แต่ตากล้องดูจะไม่ถือสาหาความนัก อีกฝ่ายยิ้มให้คงพอจะรู้ว่าแบมแบมเป็นมือใหม่
แต่เสียงจิ๊ปากจากคนที่กดน้ำหนักมือลงบนไหล่นี่ต่างหากทำให้แบมแบมใจแป้ว เขาหันไปมองเสี้ยวหน้าของมาร์ค ในตอนนั้นแบมแบมเพิ่งรู้ตัวว่าอีกคนมองเขาอยู่ก่อนหน้าแล้ว พลางพะงาบปากไร้เสียงตรงหน้าแบมแบมแต่เขาอ่านปากอีกคนได้ว่าพูดอะไร
‘ตาบอดเหรอ?’
แบมแบมเม้มปาก เขามองหน้ามาร์คก่อนจะฉีกยิ้มตอนตากล้องสั่ง ขณะที่คนซึ่งเพิ่งต่อว่าเขาก็ยิ้มหวานให้เช่นกัน พอเสียงชัตเตอร์ดังลั่นเก็บภาพเรียบร้อย แบมแบมก็ขยับตัว
“มาร์ค...แบมแบมเพิ่งเคยถ่ายแบบนะ”
แจบอมเอ่ยเสียงเรียบต่ำมาจากอีกฝั่ง ในตอนนั้นแบมแบมได้ยินแค่เสียงสบถต่ำในลำคอของคนที่ถือได้ว่าเป็นหน้าตาของวง มาร์คแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วเอ่ยเสียงเบาหวิวได้ยินแค่เราเพียง 4 คนออกไปว่า
“แล้วไง? ก็ฉันอยากถ่ายให้มันเสร็จๆ ไป”
“มาร์ค...ทำตัวให้มันดีๆ หน่อย” จินยองหันมาเอ่ยดุบ้าง แล้วก็ได้กิริยาตอบกลับจากมือกลองเพียงการยักไหล่ก็เท่านั้น
หลังจากนั้นถ่ายภาพเซ็ตแรกเสร็จ เราก็เดินไปตรวจภาพที่มอนิเตอร์ก่อนจะเริ่มการถ่ายเดี่ยว ตอนนั้นเองที่แบมแบมถูกทีมงานเรียกไปสัมภาษณ์สั้นๆ ที่ห้องแต่งตัว เขาหย่อนกายลงนั่งบนโซฟา โค้งหัวให้ทีมงานที่มือข้างหนึ่งถือสมุดเล่มเล็กเอาไว้ มืออีกข้างหันไปหยิบเครื่องอัดเสียงก่อนจะเงยหน้าบอกแบมแบมว่า
“เพิ่งจะเคยสัมภาษณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกรึเปล่าคะ?”
“ครับ” แบมแบมพยักหน้า ได้รอยยิ้มเอ็นดูจากพี่สาวตรงหน้าแล้วอีกคนก็ปลอบเบาๆ ว่า
“ไม่ต้องกังวลนะ ตอบแบบสบายๆ คิดซะว่าเหมือนเรากำลังนั่งคุยกันก็ได้”
แบมแบมพยักหน้าและผ่อนคลายมากขึ้น เขารู้สึกตัวเองโชคดีขึ้นมานิดหน่อยที่ได้ร่วมงานกับคนที่เข้าใจว่ามันเป็นยังไงกับการเข้ามาแทนที่คนเดิม แถมเขายังเป็นเพียงผู้ชายอายุ 18 เท่านั้นด้วย แบมแบมไม่ได้อยากเป็นตัวถ่วง สมาชิกคนอื่นในวงก็ดูเหมือนจะเข้าใจและช่วยเหลือในส่วนนั้นด้วยการยอมรับและเปิดใจ แต่ทำไมกับมาร์คนี่มัน...
“เป็นยังไงบ้างคะกับการเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของ Chaos”
แบมแบมดึงตัวเองออกมาจากความคิดและปัญหาของกำแพงระหว่างเขาและมาร์ค เขาควรจดจ่อกับการทำงานเพียงอย่างเดียว พอคิดได้แบบนั้นแล้วแบมแบมเลยค่อยๆ พูดและอธิบายให้พี่สาวตรงหน้าฟัง ความเกร็งและกังวลก่อนการสัมภาษณ์หายไปแล้ว อย่างน้อยตอนนี้แบมแบมก็รู้สึกว่าเขารับผิดชอบหน้าที่ได้ดี
...และไม่ได้ถ่วงใคร
เกือบสามทุ่มพวกเราทั้งสี่คนถึงได้หอบเอาร่างมาบนรถตู้ หลังจากทำงานทั้งถ่ายแบบและสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว แบมแบมก็เข้าไปขอบคุณทีมงานให้หนักกว่าสมาชิกเดิมในวง เขารู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนเก่งกาจและทำพลาดมากกว่าคนอื่นเลยอยากทั้งขอบคุณและขอโทษทีมงานที่ทำให้ทุกอย่างล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ แต่ทีมงานก็ยิ้ม เอ่ยอวยพรว่ามือใหม่ทำได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว
แบมแบมเอนหลังพิงเบาะทันทีที่ขึ้นรถ จินยองตามเขามาติดๆ และมาร์คที่นั่งอยู่เบาะหน้า ส่วนหัวหน้าวงอย่างแจบอมก็ยังคงนั่งข้างคนขับและผู้จัดการวงตรงตำแหน่งเดิม
“เป็นไงบ้างแบมแบม” ฮยอนอูขับรถออกมาจากสตูดิโอแล้วเอ่ยถาม แบมแบมขยับตัวก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า
“สนุกดีครับ”
“ดีแล้วล่ะ สนุกกับมันไว้เถอะ งานจะได้ออกมาดี” ฮยอนอูเอ่ยชมมาจากด้านหน้า จินยองหันมายกนิ้วโป้งให้ แบมแบมเลยยิ้มรับ
แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอคนข้างหน้าทำให้เขาชะงักสีหน้าไป มาร์คขยับตัวนั่งเรียบร้อย กอดกระเป๋าสะพายแล้วก็เอ่ยออกไปว่า
“ตารางงานวันนี้มีแค่นี้เหรอพี่ฮยอนอู”
“อืม เดี๋ยวจะพาไปทานข้าวเย็น ทำไม?” เสียงผู้จัดการแข็งกระด้างขึ้นมากะทันหัน
“เปล่า ผมหิวแล้วล่ะ วันนี้เลิกช้ากว่ากำหนดเนอะ” มาร์คเอนหลังพิงเช่นเคย แบมแบมเม้มปากก่อนจะเบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่างรถ
“ขอโทษครับ” เขาเอ่ยพึมพำบอกคนที่อยู่เบาะหน้า นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเปิดปากพูดกับอีกฝ่าย ถ้าไม่นับว่าอีกคนต่อว่าเขาเรื่องทำงานพลาดในสตูดิโอนั่นน่ะ
“ช่างมันเหอะ ฉันก็ไม่ได้หวังว่านายจะเก่งหรอก ก็เพิ่งเข้ามานี่”
“มาร์ค”
เสียงเรียกชื่อดุๆ นั่นหลุดจากปากผู้จัดการ แล้วอีกคนก็เงียบลง ขณะที่แบมแบมยังมองออกไปนอกหน้าต่างรถซึ่งมีเพียงความมืด รถที่สวนไป และเสาไฟสาธารณะให้ความสว่าง
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงร้านเนื้อย่าง หลังจากฮยอนอูจัดการสั่งทุกอย่างเรียบร้อย พวกเราก็กำลังนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ แบมแบมจิบน้ำเปล่าและมองถ้วยกิมจิ ตอนนั้นเองที่โทรทัศน์ในร้านเปิดเพลงของวง Sunrise เขาเงยหน้ามองจอสี่เหลี่ยม แล้วเห็นภาพมิวสิควีดีโอของเพลงประกอบละครที่นักร้องดูโอ้คู่นั้นปรากฏอยู่
“เพลงนี้ดังมากเลยอ่ะ ไปไหนก็ได้ยิน เหมือนละครดังเพราะได้ Sunrise ไปร้องเพลงให้เลย” แจบอมชี้นิ้วไปยังจอแล้วเอ่ยขึ้น
“ขนาดเพื่อนสนิทผมยังใช้เพลงวงนี้เลย ไม่ใช้เพลงวงเรา” หัวเราะในลำคอแล้วแจบอมก็หันไปรับจานเนื้อที่สั่งเอาไว้และพนักงานเอามาเสิร์ฟพอดี
“สองคนนี้เป็นเพื่อนแบมแบมใช่ไหม?” จินยองเขยิบมากระซิบถามตอนที่วางเนื้อไว้ระหว่างพวกเรา แบมแบมหันไปเบิกตามองก่อนจะพยักหน้าหงึก
“รู้ด้วยเหรอครับ”
“อื้อ...เคยได้ยินคนเขาคุยกันน่ะ แล้วตอนนี้ยังติดต่อกันอยู่ป่ะ?” จินยองถามพลางคีบเนื้อลงย่าง เสียงเนื้อกระทบเหล็กร้อนๆ ดังขึ้นตามด้วยกลิ่นหอมเตะจมูกชวนให้น้ำย่อยทำงาน
“ก็...ผมไม่มีโทรศัพท์แล้ว ไม่ได้คุยกันแล้วล่ะครับ”
“หมายถึงตอนที่เขาเพิ่งเดบิวต์สิ” จินยองกระซิบถามอีก แบมแบมยิ้มทั้งที่ยังมองเตาและเปลวไฟที่สว่างอยู่ในนั้น ก่อนจะตอบไปว่า
“คุยครับ”
แบมแบมตอบคำถามนั้นไปสั้นๆ หลังจากนั้นปากของเราทั้งคู่ก็ไม่ว่างพอจะคุยกันต่อ ในเมื่อน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทวงหาความเป็นธรรม ทั้งแบมแบมและจินยองรวมไปถึงคนอื่นบนโต๊ะเลยเลือกจะก้มหน้าก้มตากินกัน
เสียงเพลงของ Sunrise ยังดังอยู่ในโทรทัศน์ แบมแบมเงยหน้ามองมือกีต้าร์ที่ชื่อยูคยอมและนักร้องนำเสียงใสอย่างยองแจ เขาพาลนึกถึงวันเก่าๆ ตอนพวกเรายังเป็นเด็กฝึกในค่ายเดียวกัน สองเดือนเราจะมีวันที่ออกมาทานอาหารดีๆ อย่างร้านเนื้อย่างและแชร์ค่ากินด้วยกัน
เราเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรูมเมท เป็นที่ปรึกษาและคอยปลอบใจกันและกันในวันที่อ่อนแอกับการฝึกอันหนักหน่วง จนกระทั่งทางค่ายตัดสินใจจะให้ยูคยอมและยองแจเดบิวต์เป็นศิลปินดูโอ้ แบมแบมถูกทิ้งให้เป็นเด็กเทรนอยู่เพียงคนเดียว ในวันนั้นแบมแบมรู้ดีว่าเพื่อนทั้งสองดีใจขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมากนักเพราะแบมแบมไม่ได้ผ่านเกณฑ์ของบริษัทด้วย เรากลับมาคุยกันถึงเรื่องอนาคตในหอพักที่แชร์อยู่ด้วยกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย จากนั้นก็กลายเป็นยูคยอมและยองแจคุยกันเรื่องเพลงที่อยากทำ
แบมแบมทนอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นและเขาคิดได้ว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่อึดอัด เพื่อนรักของเขาทั้งคู่ก็คงอึดอัดเวลาจะคุยถึงเรื่องวงที่ทำร่วมกัน เขาเลยตัดสินใจลาออกจากการเป็นเทรนในค่ายนั้นและไปออดิชั่นที่ค่ายอื่นแทน แม้ตอนแรกทั้งยองแจและยูคยอมจะคัดค้านแต่ก็คงไม่จริงจัง จากใจแล้วเพื่อนทั้งสองก็คงอยากให้เขาห่างออกมาบ้าง
ทุกอย่างดีขึ้นตอนแบมแบมออกมา เราคุยกันได้เหมือนเดิม ทั้งยองแจและยูคยอมก็คงคุยกันเรื่องเพลงได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ และแบมแบมก็ไม่ต้องทนเห็นท่าทางของเพื่อนสองคนที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ คุยกันเรื่องวง แต่หลังจากเพื่อนทั้งสองเดบิวต์ก็ถูกยึดโทรศัพท์ไป เราเลยขาดการติดต่อกันไปอีกหน ในช่วงนั้นแบมแบมได้แต่มองเพื่อนรักผ่านจอสี่เหลี่ยม กระทั่งเขากลับมาติดต่อกับทั้งคู่อีกครั้งเมื่อบริษัทอนุญาตให้ใช้มือถือได้ ก่อนที่แบมแบมจะกลายมาเป็นสมาชิกของ Chaos และกลายเป็นเขาเองที่ถูกสั่งห้ามใช้โทรศัพท์
เขาไม่เคยโกรธหรือน้อยใจเพื่อนทั้งสองหรอก และแบมแบมก็รู้ดีว่าทั้งยองแจและยูคยอมก็คงจะเข้าใจสถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้เช่นเดียวกัน
แบมแบมได้แค่รอให้วงของเขาพร้อม เมื่อเราปล่อยเพลงและแบมแบมได้ขึ้นเวทีซึ่งอยากทำมาโดยตลอด เขาก็ได้แต่หวังลึกๆ ว่าเขาจะได้เจอหน้าเพื่อนบนเวที แม้เราจะไม่ได้ร้องเพลงด้วยกันเหมือนตอนเทรน แต่ขอแค่เราได้ยืนบนเวทีเดียวกันก็เพียงพอ
เกือบสี่ทุ่มกว่าพวกเราทั้งสามคนก็มาถึงหอพัก สามคนนั่นล่ะ...เพราะมาร์คบอกให้พี่ฮยอนอูส่งลงกลางทางด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พอถามว่าไปไหนก็บอกแค่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะรออยู่ที่ตึกเตรียมซ้อม ฮยอนอูเลยยอมจอดรถให้ใกล้ๆ ประตูทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าแห่งหนึ่งพร้อมกำชับแน่นหนาว่าอย่าไปทำอะไรให้ใครเดือดร้อน แบมแบมว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ได้ฟังคำเตือนจากผู้จัดการเลยสักนิด เห็นแค่สีหน้าที่เหลือบมองเขาแวบเดียวก่อนจะกระชากประตูปิดแล้วเดินหายไปกับฝูงชน
แบมแบมอาบน้ำเสร็จแล้วมานั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่น ก่อนหน้านี้แจบอมเพิ่งบอกว่าพรุ่งนี้พวกเราแค่มีคุยเรื่องซิงเกิ้ลใหม่ที่บริษัทตอนสาย และตอนบ่ายอาจจะมีซ้อม เขาเอนหลังพิงก่อนจะเห็นว่าจินยองเดินถือโยเกิร์ตมาจากในห้องครัว ส่วนแจบอมเพิ่งออกมาจากห้องในชุดนอน
พวกเราสามคนมารวมตัวกันในห้องนั่งเล่น แบมแบมเม้มปาก ไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงแจบอมที่เอื้อมมือไปหยิบรีโมทและเปิดหาช่องอื่นดู แบมแบมเลยหันไปถามจินยองที่ดูจะเข้าถึงง่ายกว่าไปว่า
“พี่จินยองครับ...ผมมีอะไรอยากถามนิดหน่อย...”
“อืม...ว่าไง” อีกฝ่ายกลืนโยเกิร์ตแล้วหันมาพยักหน้า
“ที่เอ่อ...พี่มาร์คไม่อยากกลับห้อง เป็นเพราะผมรึเปล่าครับ?”
“ว่าไงนะ?” จินยองถามเสียงดัง เงยหน้าจากถ้วยโยเกิร์ตแล้วกะพริบตามองแบมแบม ขณะที่แจบอมก็หันมามองอีกคน แบมแบมอึกอักก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว
“เขาเกลียดผมรึเปล่าครับ คือ...เขาดู...ไม่ชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ยอมกลับหอด้วย เพราะผม...มาอยู่ที่นี่รึเปล่า?”
“อย่าไปคิดมาก” แจบอมเอ่ยเสียงขรึมขึ้นมาแทน ส่ายหน้าโบกมือบอกแบมแบม
“มันไม่อยากกลับหออยู่แล้วล่ะ ที่จริงมันไม่ค่อยนอนที่นี่มาสักพักแล้ว” พอแจบอมพูดแบบนั้นจินยองก็พยักหน้า อีกฝ่ายเลียริมฝีปากแล้วหันไปเหลือบตามองแจบอมก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบาไปว่า
“ผมพูดเรื่องนั้นได้ใช่ไหม?”
“บอกไปเถอะ เขาเป็นสมาชิกวงเรา” แจบอมพยักหน้า ส่วนสมาชิกใหม่อย่างแบมแบมก็ได้แต่หันไปมองคนนู้นทีคนนี้ที
“แบมแบมเคยเอ่อ...อ่านพวกข่าวกอสซิปดาราไหม?” จินยองเกริ่นถาม เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึก
“ก็อ่านบ้างครับ แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่”
“งั้นคงพอผ่านตาข่าวนี้ เรื่องมาร์คกับนักแสดงน่ะ คุณโอนาราไง ได้ยินข่าวนี้มาบ้างไหม?”
“อ๋อ...”
แบมแบมพยักหน้า กอสซิปดาราข่าวนี้เคยดังอยู่ตอนแทฮยอนยังไม่ออกจากวงด้วยซ้ำ ไม่มีภาพหลุดแต่สำนักข่าวที่ปล่อยข่าวลือนั้นอ้างว่ามีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เป็นคนใกล้ชิดนางเอกสาวหน้าคมออกมาพูดว่ามือกลองวง Chaos กับนักแสดงสาวดาวรุ่งกำลังคบกันอยู่ มันกลายเป็นประเด็นอยู่พักใหญ่ก่อนที่คนจะเลิกสนใจเพราะค่ายของนักแสดงสาวออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง ในขณะที่ฝั่ง PS ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป แล้วข่าวนั้นก็เงียบหายไปภายในระยะเวลาอันสั้น
“ที่จริงข่าวนั่นน่ะเรื่องจริง สองคนนั้นคบกัน” จินยองเอ่ยขึ้น
แบมแบมพยักหน้ารับ เขาไม่ได้คิดหรอกว่ามาร์คจะมีแฟนเป็นใครเพราะเนื้อแท้ที่แบมแบมชอบอีกฝ่ายคือทัศนคติและแนวเพลงต่างหาก แต่เขาก็ยังงงอยู่ดีว่ามันเกี่ยวอะไรกับการที่มาร์คหายไปจากหอ
หรือที่จริงแล้วไปหาแฟน?
“แต่ตอนนี้ไม่ได้คบกันแล้วล่ะ น่าจะเลิกกันมาสักพัก มาร์คมันเลยเป็นซะแบบนี้” จินยองว่า ก่อนจะยักไหล่แล้วเอนหลังพิงโซฟา
แบมแบมครางรับ พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่อยากกลับหอ คนอกหักก็คงอยากอยู่คนเดียว พอได้รับรู้เหตุผลแบบนั้นแล้วแบมแบมก็วางใจไปได้ อย่างน้อยอีกคนก็ไม่ได้เกลียดขี้หน้าเขา
“เข้าใจหน่อยนะ พักนี้อารมณ์มันแปรปรวน” แจบอมเอ่ยเสียงอ่อนบอกแบมแบมซึ่งพยักหน้ารับ
“ที่มันหายหัวไปทุกวันนี่ก็ไปเมาน่ะ บางทีก็ไปนั่งสงบสติของมันคนเดียว แต่...มาร์คมันคุมสติได้ มันไม่ได้ดื่มจนเสียการเสียงาน เพียงแต่พี่ฮยอนอูไม่ชอบให้มันไปทำแบบนี้เพราะกลัวนักข่าวเห็นหรือมีคนถ่ายรูปได้ แต่ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนั้นหรอก เราเลยไม่ได้บอกประธานปาร์คเรื่องที่มันหายหัวไปแทบทุกคืน แล้วพวกเราก็คิดแล้วว่าปล่อยมันเศร้าบ้างสักพักก็ได้ อีกหน่อยพอเรากลับมาทำเพลง มันก็คงเลิกทำแบบนี้ไปเอง เพราะมันมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ”
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
แบมแบมพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นพวกเราก็คุยกันเรื่องอื่น แจบอมบอกเรื่องเวลาที่ฮยอนอูจะมารับพรุ่งนี้ตอนสาย แล้วเราก็หันไปจดจ่อกับหน้าจอโทรทัศน์ แบมแบมรู้สึกว่าวันหนึ่งของเขามันช่างยาวนานเหลือเกิน
มาลงฟิคดึกมาก ต่อไปคงได้ลงฟิคตอนหลังเที่ยงคืนนะคะ
หรือถ้าวันไหนจะลงเร็วก็เดี๋ยวคงเห็นเราทวิตเองแหละ
ฟิคตอนนี้คงยังไม่มีอะไรมากค่ะแต่เราว่าคงเห็นความเป็นมาของตัวละครมากขึ้น
ได้รู้ที่มาที่ไปของความงี่เง่าด้วย ส่วนตอนหน้าทุกอย่างจะเข้มข้นขึ้นนิดหนึ่ง
ตอนที่ลงอินโทรมาคนเดาไปเป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ นี่เริ่มคิดว่าตัวเองวางพล็อตซับซ้อนไปไหม 5555
แต่เอาเป็นว่าฟิคเรื่องนี้ไม่ใช่ฟิคหน่วงๆนะคะ ฮืออ อย่าโดนเพลงหน้าฟิคหลอกกกกกกกกกกก
เราจะพยายามแต่งแล้วรีบมาลงนะคะ ช่วงนี้ว่าง 2-3 วันจะพยายามแต่ง
ชอบไม่ชอบช่วยคอมเม้นต์บอกกล่าวความในใจหรือจะติดแท็ก #ficfakemb ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ
ปล.ขายของ เปิดจองฟิค Social Casualty & Slee with me อยู่นะคะ >>> กดตรงนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อกหักแล้วพาลน้องเหรอพี่มาร์ค
ใช้ไม่ได้นะแบบนี้
จินยองกับเจบีน่ารักดูเป็นผู้ใหญ่
ผิดข้าด
ตอนแรกเราคิดว่ามาร์คน่าจะคบกับแทฮยอนหรือเปล่า แล้วพอแทฮยอนออกไปแล้วแบมแบมมาแทนที่เลยเกิดการไม่ชอบหน้ากัน ที่ไหนได้ ...
ก็นึกว่าไม่ชอบใจที่แบมมาแทนที่แทฮยอน
ละทำไมจะต้องทำตัวใจร้ายใส่น้องด้วยเล่า
ฮึ่ย เดี๋ยวตีเลย
น้องแบมสู้ๆ
ช่วงเริ่มต้นอะเนอะแบม ก็ลำบากหน่อย สู้ๆนะฮับ
แต่ก็ดูเหงาๆ แถมยังเจอมาร์คเหวี่ยงใส่อีก น่าสงสารจริงลูกเอ้ยย
คือชอบบบบบบบบบนึกภาพตามได้เป็นฉากๆเฉยเลยอ่ะ ไรท์เก่งมากเลยน้าาา สู้ๆฮะ♡
มันหน่วงมากเลย คือมันเหมือนชีวิตจริงของเด็กเทรนมาก ไรท์เขียนดี
แต่งดี สื่ออกมาได้ดีจริงๆอ่ะ T^T