ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dr.Pop's The White Road 1 (Re-birth)

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 2 : What Do You Want ? (Part 2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.46K
      7
      26 ก.ค. 51


    เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลพูด นาทีนี้เองที่ผมเพิ่งสังเกตว่ามีเด็กหนุ่มอีกคนยืนอยู่ห่างออกไป

                    !!

              ไอเย็นสีขาวก่อตัวขึ้นราวกับกลั่นตัวจากน้ำในอากาศ มันไหลเวียนเป็นเกลียวสู่มือเขา เจ้าซูวีรัสแม้จะขาขาด แต่มันก็ยังแหกปากร้องคำราม ดวงตามันวาวโรจน์ด้วยความแค้น เจ้ากระทิงไถเถือกร่างกายเข้าไปหาเป้าหมายผู้นิ่งเฉย  เรือนผมสีน้ำเงินของเด็กหนุ่มนิรนามโบกสะบัด และสายลมก็หอบเอาความเย็นจากตัวเขามาสู่ผม ศีรษะของซูวีรัสกวัดแกว่งไปมาดั่งจะขวิดร่างนั้น

    ให้แตกสลาย ฉับพลันทุ่งหญ้าก็สว่างโรจน์ด้วยเปลวไฟจากหางของมัน!  - ผมสัมผัสได้ถึงความร้อน และกลิ่นไหม้สมจริง! – ควันสีดำทมิฬก่อตัวเป็นเกลียวใหญ่ขึ้นไปในอากาศ ขณะที่สีแดงฉานจากเปลวเพลิงลุกลามเป็นวงกว้าง! –

    บัดนี้ลูกพลังน้ำแข็งสีฟ้าในอุ้งมือเด็กหนุ่มเรืองแสงจ้า

    ยามที่ผมมองลึกไปในดวงตา ก็พบว่าดวงตาเขาเป็นสีฟ้าสว่างไม่ต่างกัน

    ไอเย็นฟุ้งออกจากตัวเขาเหมือนหมอกขาว เข้าดับความร้อนทุกหย่อมหญ้าซูวีรัสแหกปากเกรี้ยวกราดอย่างโมโหโกรธา เด็กหนุ่มผลักฝ่ามือออกไป! ทันใดนั้นลำแสงสีฟ้าก็สาดเข้าใส่ซูวีรัส และเปลี่ยนมันให้กลายสภาพเป็นรูปปั้นน้ำแข็งทันใด! 

    ทัวร์ซาฟารีเวิร์ลนรกจบลง ควันไฟค่อยๆจางหาย ทุกอย่างเงียบกริบ

    แต่ผมยังตัวแข็งอยู่เนิ่นนาน

                    นายน่ะ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเรียก ผมหันไปมองเขาทั้งตาค้าง นายเป็นคนเจอมัน ไปจัดการมันซิ

              เอ่อ…”

                    เร็วซิเด็กหนุ่มผมตั้งอีกคนจูงมือผมเดินไป โอ้โห้ เจ้าซูวีรัสในน้ำแข็งเวลามองใกล้ๆ มันยิ่งดูตัวใหญ่จนน่ากลัว

                    เอ้า เขาผลักผมไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนเฝ้ารออะไรบางอย่าง

                    เอ่อ…”

    โอเค จะหาว่าโง่ก็ได้ แต่ผมตื่นเต้น ตกใจ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

              ใช้พลังแฝงซิ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเร่ง

                    โอ้ ใช่พลังแฝง ผมแสร้งทำท่าเข้าใจเหมือนเป็นอะไรที่ง่ายมาก

    เอาซิพอล มาถึงจุดนี้คงไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว

    คิดซิพอล พลังแฝง มันคืออะไร จำได้ใช่ไหมว่าตอนระเบิดที่สวนสาธารณะเป็นไง เอาล่ะ คราวนี้ก็คิดว่านายจะดึงพลังมาใช้อีกได้ไหม สุขุมเข้าไว้ นุ่มลึกเข้าไว้

    แต่ผมไม่รู้อะไรเลยนะ!

    ไม่เป็นไรๆ ไอน์สไตน์บอกเองว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้เป็นไหนๆ ฉะนั้นปล่อยใจ ปล่อยให้มันโบยบินไป คิดหาแรงบันดาลใจ ใช่ๆ นายเคยเห็นอะไรแบบนี้มาแล้ว โอเค มันอาจจะดูบ้า แต่ก็ไม่เสียหายท่าจะลอง - สองมือของผมยกขึ้นดวงตาจับจ้องเป้าหมาย หัวใจผมเต้นอย่างฮึกเหิม แล้วผมก็ผลักแขนออกไป!

                   

             

              นายทำ

                    อะไร ? ทั้งสองพูดต่อกัน

                    เอ่อ ก็แบบว่าปล่อยพลังแฝง

    ผมตอบ ขณะอยู่ในท่าเดียวกับโงกุนตอนปล่อยพลังคลื่นเต่า

    สายลมพัดผ่าน

    ทุ่งหญ้าไม่ขยับ

    รอบกายเงียบกริบ

                    โอ้…” หนุ่มผมตั้งทำปากเป็นรูปตัวโอ เพื่อนผมสีน้ำตาลถอนหายใจ แล้วเดินเข้ามาสัมผัสมือเบาๆลงบนไหล่ผม

    เป็นเกียรติมากที่เราพบกัน เขาเม้มปากเหมือนคนที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะ ฟังฉันแล้วทำตาม โอเค๊

    อืมๆ ผมพยักหน้า น้ำตาจะไหล

    ก่อนอื่น เอามือลง นั่นแหละอย่างนั้น ใช่ๆ ช้าๆ ปล่อยวาง ผ่อนคลาย หายใจเข้าปอดลึกๆ โอเค ตอนนี้นายรู้ใช่ไหมว่ามือของนายอยู่ไหน ไหนมันอยู่ไหนเอ่ย?

    เอ่อ อยู่นี่…”

    โอเค นายเก่งมาก คราวนี้ยกมือขึ้นมา อ๊ะๆ ข้างเดียวๆ โอเค กำหนดใจไว้ที่มือ รู้สึกไหมว่ามันกำลังถูกยก

    อืม

    โอเค จากนั้นก็เอานิ้วจิ้มลงไปที่ไอ้กระทิงเป๋ตัวนี้ ชี้ซิ

    ผมทำตาม รู้สึกเหมือนเป็นคนปัญญาอ่อน

    และเคาะมันเบาๆพร้อมกับพูดว่า ฉันเท่ห์ลากไส้

    ฮะ?

    มันเป็นคาถา คนผมตั้งรีบเสริม เหมือนเวลาเราสวดแผ่เมตตา

    มันจะทำให้จิตวิญญาณของนายกระพือลมปราณออกมา คนผมสีน้ำตาลทำท่าทำทางประกอบ โอเค พร้อมละนะ เคาะแล้วพูดว่า ฉันเท่ห์ลากไส้

    ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก เอาล่ะวะ ถ้ามันจะทำให้ผมใช้พลังแฝงบ้าบอนี่ได้

    ฉันเท่ห์ลากไส้ ผมพูดแล้วก็เคาะ

    สะเก็ดน้ำแข็งกระเด็นออกมาจากจุดที่นิ้วสัมผัส เกิดรอยแตกระแหงออกไปทั่วรูปปั้นน้ำแข็ง และพริบตาต่อมาเจ้ากระทิงบ้าก็ เพล้ง! กระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย!

    เยี่ยม!” สองเพื่อนซี้ตะโกนลั่น ขณะที่เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของพลังน้ำแข็งยังนิ่งเฉย

    อันที่จริงเขาดูไม่ได้รู้สึกอะไรกับความสำเร็จของผมเลย

    ฉันเท่ห์ลากไส้ ผมยิ้มร่าเมื่อพูดคำนั้นอีกครั้ง รู้สึกรักมันเหลือหลาย

    นี่ไง ในที่สุดผมก็เข้าใจพลังแฝง!

    เท่ห์ลากไส้!

              ฉันจะบอกว่าคาถาบ้าบอนั่นไม่มีหรอกหนุ่มผมสีน้ำตาลพูด

                    โลกที่สวยงามของผมหยุดหมุน

                    พลังของเฟริสแช่แข็งไอ้บ้านั่นไว้อยู่แล้ว ต่อให้เด็กทารกตดใส่ก็ทำลายได้

    คนผมตั้งเสริม

                    อ้าว!!

                    แต่เพราะท่านายมันโดนใจ

                    เราเลยคิดว่า เฮ้ ช่วยนายหน่อยจะเป็นไร

                    ยินดีด้วยที่นายทำได้

                    นายนี่มันเท่ห์ลากไส้

              ทั้งสองสลับกันพูดและหัวเราะอย่างเริงร่า ขณะที่ผมยืนเอ๋อ รู้สึกร่างกายรุมเร้าทั้งความอาย ความโกรธ ความแค้น และคิดหาหนทางว่าจะทำอย่างไร ถึงจะเอาเอาตับไตไส้พุงไอ้สองคนนี้มาร้อยเป็นเชือกไว้ออกกำลังกายเล่นๆ! – ดูใบหน้าพวกนั้นซิ ช่างมีความสุขยิ่งนักที่ได้กลั่นแกล้งผม มีความสุขกันนักใช่ไหมที่ได้ดูถูกผม ทำให้ผมเป็นตัวตลก ไม่ว่าโลกใบไหนก็ต้องมีคนแบบนี้ใช่ไหม ต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยไปใช่ไหม!

             

    หมดเวลา โปรแกรมกำลังดำเนินการพาท่านออกจากระบบ

     

                    เสียงคอมพิวเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยสีขาวที่สว่างจ้า เพียงพริบตา ผมก็กลับมาอยู่ในห้องสีดำดังเดิม

                    โอเค ทำได้ดีมาก อาจาย์แม็กเนสพูดกับนักเรียนเต็มห้อง อย่าลืมว่าตอนนี้เซิร์ฟเวอร์ของซีมูเลชั่นสปีด ปล่อยเครื่องอัพเกรดใหม่ๆหลายอย่าง หวังว่าพวกเราจะรู้วิธีใช้ประโยชน์จากมัน เลิกเรียนได้

                    เมื่ออาจารย์พูดจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป ผมชะเง้อมองหาไอ้ตัวแสบสองตัวนั้น แต่นักเรียนเบียดกันแน่นจนผมมองตามไม่ทัน

                    รู้ตัวอีกที ผมก็เหลือตัวคนเดียวในห้อง

                    ( เป็นอย่างนี้อีกแล้วซินะ )

                    ผมหัวเราะเบาๆให้กับภาพที่คุ้นตา

    ภาพที่ผมมักจะยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายในห้องอันว่างเปล่า

    ภาพที่ผมเฝ้ามองผู้คนพูดคุยกัน กอดคอกัน หยอกล้อกัน และหัวเราะกัน

     

                    และภาพที่ผมนึกอิจฉาคนที่ได้เป็นเพื่อนกัน

                   

    ปกติแล้วผมจะมีกระเป๋าเป้สะพายหลังติดตัวตลอดเวลา ใช่ว่าผมจะมีอะไรให้ใส่หนักหนา แต่ผมรู้สึกแค่ว่ามันเป็นอย่างเดียวที่จะเติมเต็มความเหงาให้ผมได้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่ต้องเดินออกจากห้องตามลำพังแบบตอนนี้ มันช่างเป็นความรู้สึกที่ขัดเขินและแสนโดดเดี่ยวเหลือเกิน ยามต้องเดินคนเดียวอยู่บนทางที่เอะอะจอแจไปด้วยผู้คน ผมมักมองภาพเหล่านั้นเหมือนวีดีโอที่ผ่านไปอย่างไร้เสียง พยายามแทรกตัวผ่านผู้คนแล้วโกหกตัวเองว่าพวกเขาไม่มีตัวตน หลายครั้งที่ผมโฟกัสสายตาไว้เพียงปลายเท้า เพื่อจะได้ไม่เห็นความจริงในกระจกว่าผมอยู่ตัวคนเดียว แม้ตอนนี้โลกใบใหม่จะมีอะไรๆก็ดูเพอร์เฟคหรูหรา แต่ความอ้างว้างจากโลกใบเก่าที่ผมจากมาเป็นอย่างไร ที่นี่ก็ยังเป็นอย่างนั้น

    มันทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมนะ ในเมื่อโลกใบใหม่สามารถเติมเต็มความต้องการเกือบทุกอย่างให้กับผม

                    แล้วทำไมถึงเติมเต็มเพื่อนซักคนให้กับผมไม่ได้ ?

                    ทำไม….?

                    ผมถอนหายใจ แล้วเงยหน้ายิ้มรับความจริงอันแสนโหดร้ายครั้งใหม่ ตารางสอนบนนาฬิกาบอกว่าผมต้องเข้าเรียนวิชา จริยธรรม ที่ตึกไวท์พอยต์ มีลานแคปซูลวาร์ปอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้ ผมเดินตามพวกนักเรียนไป ทั้งที่ได้เบียดเสียดกับใครต่อใคร

                    แต่ก็ไม่มีคนไหนเป็นเพื่อนผมเลย

              เทคโนโลยีเกินคำว่าล้ำสมัยพาผมมาถึงห้องเรียนได้ในไม่กี่นาที

    ชั้นที่ห้าสิบของไวท์พอยต์มีเพียงห้องเดียวที่ขึ้นป้ายว่า ห้องประชุม -  เมื่อเปิดประตูเข้าไป คุณจะพบกับห้องวงกลมกว้างใหญ่ซึ่งมีโต๊ะเลคเชอร์แบบยาวเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ สีของมันเป็นสีฟ้าใสเหมือนมีของเหลวแปลกประหลาดไหลเวียนอยู่ในนั้น จำนวนนักเรียนในห้องนี้ดูหนาตากว่าที่ตึกไฟท์เตอร์หลายเท่า ขณะที่ผมเดินหาที่นั่ง สายตาผมก็สังเกตรอบกายและมั่นใจว่าห้องนี้ไม่ได้มีเพียงพวกไฟท์เตอร์ มีทั้งพวกที่ดูฉลาดสุดๆแบบรีเมียส พวกหน่อมแน้มแบบจูเลีย พวกผู้หญิงเปรี้ยวจี๊ดแบบเจอร์รี่ มีผู้ชายปัดแก้มซึ่งห่างไกลจากคำว่าไฟท์เตอร์ลิบลับ แล้วก็มีผู้หญิงที่พูดยานคางชัดทุกพยางค์ ซึ่งถ้าไม่ใช่พวกพลังจิตก็คงเป็นพวกโรคจิต ทุกคนดูแตกต่างหลากหลายมากมายเกินกว่าจะเก็บรายละเอียด

                     และแน่นอนบางส่วนในนั้น ย่อมมีคนที่เราไม่อยากเก็บรายละเอียดรวมอยู่ด้วย

                    เฮ้ย นายเท่ห์ลากไส้!”

                    เสียงนั่นดังมาจากโต๊ะเลคเชอร์ที่ถัดจากผมไปหนึ่งแถว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร ผมแกล้งมองผ่านและนั่งลงอย่างไม่คิดใส่ใจ

                    เท่ห์แล้วหยิ่งหรือไง?

                    กฏของการเอาตัวรอดในถิ่นที่ขโมยชุกชุมสอนผมว่า หากเรานิ่งเฉย หมาที่เห่าก็จะหยุดเห่าไปเอง

                    ได้ยินหรือเปล่า นายเท่ห์ลากไส้

                    แต่ดูเหมือนหมาที่นี่จะไม่หยุดง่ายๆ จะให้เปลี่ยนที่ตอนนี้ก็คงไม่ทันเพราะดูเหมือนนักเรียนจะเต็มห้องหมดแล้ว โชคดีที่ผมเรียนรู้ว่านาฬิกาไวท์โรดสามารถฟังเพลงได้ ผมสวมหูฟังไร้สาย เปิดสถานีวิทยุ และนักร้องเพลงร๊อคก็แผดเสียงร้องให้ฟังว่า

                    เท่ห์ลากซ้ายยย เท่ห์ลากไส้ รู้มั้ยเธอมันเท่ห์ลากไส้

                    ขอบคุณ

                    แต่จู่ๆบรรยากาศก็กลับตาลปัตร

    เสียงอึกทึกหายไป ทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้น

    คนกลุ่มหนึ่งปรากฏกายที่หน้าห้อง พวกแรกเป็นกลุ่มนักเรียนในชุดสูทสีขาว นั่นไง รีเมียส จูเลีย แล้วก็เอ่อเจอร์รี่ อีกพวกสวมชุดคลุมสีดำแบบนักบวช ผู้ซ่อนใบหน้าใต้เงามืดของฮู้ด

    ผมเป็นคนสุดท้ายที่ยืนขึ้น ด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นคนแบบนี้ที่ไหน ?

    ในหนังเรื่องเดอะ ดาวินชี่โค๊ด หรือว่า เอ็กซ์โซซิส ?

                    ไม่ใช่ซิ รู้สึกเหมือนเป็นอะไรที่เพิ่งเห็นเมื่อไม่นานมานี้

                    ( นึกออกแล้ว! )

    ยมทูต!

    คนพวกนั้นแต่งตัวแบบยมทูตที่ผมเห็นในสวนสาธารณะ ไม่ผิดแน่!

    เชิญรีเมียสเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบและมีเพียงเสียงพึ่บพั่บของเสื้อผ้ายามทุกคนนั่ง วันนี้หัวหน้าผู้คุ้มกฏ ท่านอับดุล ราดะฮินจะเป็นผู้นำการอบรม ขอเรียนเชิญ

    โอเค ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพวกเขาชื่อ ผู้คุ้มกฏ ไม่ใช่ ยมทูต” – ผู้คุ้มกฏคนหนึ่งก้าวออกมาจากแถวอย่างน่าเกรงขาม เขาเป็นคนเดียวที่เปิดเผยใบหน้า และไม่ว่าจะมองมุมไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีเค้าโครงของคนที่เราจะสามารถหยอกล้อด้วยได้ เขาดูเหมือนส่วนผสมของทหารที่ต้องจมปรักกับชายแดนพักใหญ่ บวกกับทหารที่ไม่เคยมีอะไรกับใครมานานปี ดูดีๆ เขาก็คล้ายทหารโรคจิตเหมือนกัน

                    สวัสดีนักเรียนชั้นปีที่หก เขาเอ่ยด้วยเสียงทรงพลัง และสะกดให้ผมหยุดหายใจ หลายคนอาจจะอยู่ที่นี่มาสิบปี บางคนหกปี และบางคนไม่ถึงปี แต่ที่แน่นอนคือไวท์โรดได้จำแนกชั้นปีของพวกคุณโดยยึดจากอายุ และสำหรับอายุสิบแปด ผมคิดว่าทุกคนคงสะกดคำว่ารับผิดชอบกันได้ถูกต้อง

                    โอเค นอกจากเหมือนทหาร เขายังเหมือนพวกอาจารย์ขาวีนที่ข่มนักเรียนหน้าเสาธงด้วย

                    แต่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานจากเซนเซอร์ห้องเรียนได้สรุปผลว่า มีนักเรียนเข้าสายในคาบแรกถึงสามสิบคน ซึ่งนั่นแสดงให้ผมเห็นว่าพวกคุณสะกดมันเป็น แต่ไม่ได้เข้าใจความหมายของมันเลย

                    เสียงของอับดุลทำให้เครื่องปรับอากาศที่เย็นเฉียบอยู่แล้วเย็นขึ้นกว่าเดิม ผมรู้สึกว่าขาสั่น ใจเต้นตุบๆ ทั้งที่มั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่หนึ่งในนั้นด้วยซ้ำ

                    นี่เป็นสิ่งที่ผมพร่ำบอกพวกคุณมาตลอด และถ้าจำได้เมื่อคาบจริยธรรมครั้งที่แล้ว ผมได้บอกคุณว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ใครบางคนก็ไม่เห็นค่าของมัน และในเมื่อบางส่วนไม่สามารถซึบซับคำสั่งนี้ใส่ลงไปในสมองได้ คนพวกนั้นก็สมควรได้รับการลงโทษ ลินซี่ แคกทัส!”

                    ทั้งที่ไม่ได้ตะโกนแต่ชื่อนั้นก็ถูกเรียกด้วยเสียงดังกระหึ่ม ทุกคนพร้อมใจกันหันไปอย่างถูกทิศโดยไม่ได้นัดหมาย ผมเห็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งหายใจกระตุกเหมือนถูกสาป ดูตาเธอซิ มันถ่างซะจนแทบจะกระเด็นออกมาจากเบ้าอยู่แล้ว!

              ยืนขึ้น!” อับดุลสั่ง เด็กคนนั้นสะดุ้ง กลุ่มเพื่อนจับมือราวกับจะสั่งลา แคกทัสค่อยๆลุก ท่าทางเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ อะไรคือสาเหตุที่คุณมาสายในวันจันทร์ที่ผ่านมา?

                    เอ่อ….คือ

                    อย่ามาทำเสียงแอ๊บแบ๊ว!” เสียงอับดุลดังสนั่นยังกับฟ้าผ่า แคกทัสหลับตาปี๋เหมือนคนกลัวผี พูดให้เพื่อนๆได้ยิน

                    คือหนู เธอหายใจเข้าออกถี่ๆ บรรยากาศรอบห้องถูกปกคลุมด้วยความกลัวโดยสมบูรณ์แบบ หนูตื่นสาย

                    ไม่เลย เธอต้องย้อนกลับไปที่ต้นเหตุอับดุลลดระดับเสียง

                    หนูทำการบ้านดึก

                    เหลวไหล! ข้อมูลจากระบบหอพักบอกว่าคุณเล่นแชทถึงตีหนึ่ง แล้วตอบผมหน่อยว่าอาจารย์คนไหนสั่งให้คุณดาวน์โหลดคลิปนักร้องเกาหลีตั้งแต่ตีสองถึงตีสาม ฮะ!” อับดุลแผดเสียงลั่น แคกทัสเม้มปาก น้ำตาซึม

    ตัดคะแนนจิตพิสัยสิบคะแนน นั่งลง

    เพื่อนๆประคองเด็กสาวที่สภาพเหมือนแฟนคลับหลังหมดแรงจากการกรี๊ดนักร้องในคอนเสิร์ต ทั้งห้องกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง ดูจากสีหน้าแววตา ผมแทบจะบอกได้เลยว่าใครคืออีกยี่สิบเก้าคนที่เหลือ

    มาโคโมรี่ ซีเวสเตอร์ เด็กอ้วนที่นั่งถัดไปจากผมกระตุกเหมือนโดนช๊อต ต้องให้บอกไหมว่ายืนขึ้น ?

    ซีเวสเตอร์ลุกด้วยท่าทางที่ประหม่าที่สุดเท่าที่ใครคนหนึ่งจะสามารถทำได้ ลมหายใจหอบของเขาดังชัดเต็มสองรูหูของผม มือที่วางอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์สั่นสะท้านจนผมรู้สึก

    ทำไมถึงคุณมาสายยี่สิบนาทีในวันจันทร์ที่ผ่านมา?

    ผะผมผมไม่ สะบายครับ ซีเวสเตอร์ก้มมองโต๊ะ และผมเห็นอับดุลที่ยิ้มชั่วร้ายแบบตัวโกงผู้หยั่งรู้

    เป็นอะไร ?

    ผะ….ผม ปวดท้อง

    นั่นก็เพราะคุณไปหาซื้อยาลดความอ้วน ทั้งที่หมอสั่งห้ามใช่ไหม!”

    ผะผม เปล่า นะครับ

    ยังจะเถียง หรือต้องให้ผมแสดงหลักฐาน!”

    ผะผม

    คุณกินยาลดความอ้วน แต่ก็ตะบี้ตะบันยัดอาหารใส่ท้อง สถิติจากตู้เย็นบอกว่าคุณกินพิซซ่าวันละถาด มันบด แล้วก็สเต็กสันใน แล้วอย่างนี้จะไม่ป่วยได้อย่างไร คุณไม่รู้จักการรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง ไม่เคยรู้จักพอ ตัดคะแนนจิตพิสัยสิบคะแนนโทษฐานมาสาย และอีกสิบคะแนนโทษที่คุณไม่เชื่อฟังคำแนะนำจากแพทย์ มิสเตอร์ซีเวสเตอร์ ผมบอกได้เลยว่าคุณเหลือคะแนนอีกเพียงสิบคะแนนเท่านั้นที่จะเสียได้ และถ้าคุณเสียมัน คุณจะต้องซ้ำชั้น ต้องกลับไปเรียนใหม่กับพวกรุ่นน้องที่เขารู้จักวิธีควบคุมอาหารดีกว่าคุณ ได้ยินผมไหม!”

    ดะได้ยินครับซีเวสเตอร์ตอบเสียงอ่อยเคล้าน้ำตา

    ผมถามว่าได้ยินไหม!”

    ได้ยินครับ!” ซีเวสเตอร์เร่งเสียง ริมฝีปากสั่นระริก หน้าแดงก่ำ

    นั่งลงได้

              แล้วจากนั้นรายนามของผู้มาสายประจำสัปดาห์ก็ถูกประจานต่อไปอย่างต่อเนื่อง โอเค โลกที่ผมอยู่ให้ความสำคัญกับการตรงต่อเวลา แต่ก็ไม่เคยมีใครต้องเสียหน้าขนาดนี้ เจด้า ทอมสัน โดนประจานว่าเธอมัวแต่คุยกับแฟนต่างสถาบันจนไม่เป็นอันหลับอันนอน, นิก ชาเซล บอกว่าเขาต้องติววิชาให้น้องชาย แต่ความจริงคือเขาไม่มีน้อง, มากาเร็ต ฟูรี่ บอกว่าเธอรอขึ้นรถด่วนนานมาก อันนี้ใครๆก็รู้ว่าเธอโกหก, ส่วน จอห์น ปีแอร์ ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าเขาดาวน์โหลดคลิปโป๊จากเว็บไซด์ อับดุลจึงขยายความว่าเป็นเว็บไซด์ชายรักชาย

                    ไม่มีอะไรที่จะแย่กว่านี้อีกแล้ว

    แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนที่ถูกประจาน แต่ความรู้สึกของคนพวกนั้นก็ถ่ายทอดมาถึงผม บรรยากาศในห้องประชุมช่างตึงเครียดหมองหม่น ผู้ประสบภัยแต่ละคนล้วนมีความละอาย ขายหน้า และโกรธแค้นอย่างเด่นชัด

                    โฮการ์ด บิสมัส!”  

    ในที่สุดการประหารก็ดำเนินมาถึงรายสุดท้าย

    ครับ

    ชายหนุ่มผมสีฟ้าตั้งโด่เด่ยืนขึ้น เขาดูเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ไร้ความหวาดกลัว

    เหตุผลของคุณคือ?

    แค่ดูหนังจนดึกก็เท่านั้น เขายักไหล่อย่างกวนประสาท นักเรียนทั้งห้องมองเขาที มองอับดุลทีอย่างลุ้นระทึก

    ใช่ คุณดูหนัง

    ทำนองนั้นบิสมัสหัวเราะเบาๆด้วยรอยยิ้ม เขาทำให้ผมนึกถึงพวกนักเลงในคอร์เคลอีกครั้ง อับดุลไม่ละสายตาไปจากเขา การสนทนาหยุดไปครู่หนึ่ง ขณะที่ทุกคนเริ่มพนันผู้ชนะในใจ

    มิสเตอร์ บิสมัส ผลการเรียนระดับชั้นปีที่ห้าของคุณได้เท่าไหร่

    ก็สองจุดสองห้า

    รู้ไหมว่าทำไม ?

    เพราะอาจารย์บางคนอคติเกินไป ไม่ยอมรับว่านักเรียนมีความสามารถ

    เสียงพึมพำดังขึ้นในหมู่นักเรียน พวกผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆต่างยกนิ้วให้เขา อับดุลเงียบขรึม

    แต่ไม่ใช่ลักษณะของผู้แพ้ เขาเหมือนภูเขาไฟที่สงบก่อนการปะทุครั้งใหญ่

    เปล่าเลย ไม่ใช่เพราะอาจารย์อคติเกินไป แต่เพราะคุณมันเป็นพวกมั่นใจเกินไปต่างหาก อับดุลบอก โฮการ์ด บิสมัสตากระตุก คุณคิดเสมอว่าตัวเองเก่ง คิดไปเองว่าคุณทำได้ทุกสิ่ง แต่เปล่าเล๊ย คุณไม่เคยตอบโจทย์ได้ตรงเป้า

    คุณพูดอะไร เด็กหนุ่มหัวเราะ ดูออกว่าพยายามข่มความประหม่า

    เขาต้องการให้คุณทำอย่างหนึ่ง แต่คุณก็ทำอย่างหนึ่ง คุณอีโก้จัดจนไม่ฟังใคร ไม่เปิดใจคิดตลอดว่าตัวเองเจ๋ง ตัวเองเท่ห์ แต่จริงๆ คุณมันก็แค่พวกปลายแถวที่ไม่รู้จักตัวเอง บางทีผมอาจจะเสนอให้เปลี่ยนกระจกในห้องคุณใหม่ เผื่อมันจะช่วยให้คุณเห็นตัวเองในสิ่งที่เป็นมากกว่านี้

    คุณพูดเกินไปแล้วนะ บิสมัสเอ่ยอย่างมีน้ำโห

    คำก็เกินไป สองคำก็เกินไป อะไรที่มันแทงใจดำ คุณก็ว่าเกินไปทั้งนั้น นี่แหละสาเหตุที่คุณไม่เคยเรียนได้มากกว่าสองจุดห้าเลยซักเทอม เกรดคงตัวและมีแต่จะแย่ลงๆ ถ้าหากคุณลองมองตัวเองให้ดีกว่านี้ ตัดอคติต่อคนอื่นมากกว่านี้ คุณคงจะสะกดคำว่าพัฒนาเป็นกับเขาบ้าง

    แล้วคุณล่ะมีความสุขนักหรือไง นึกว่าเจ๋งนักเหรอที่เที่ยวประจาน แดกดันคนอื่น!”

    อย่าได้คิดขึ้นเสียงกับผม!

    อับดุลแผดเสียงดังสนั่น เพียงเท่านั้นทั้งห้องประชุมก็สั่นสะเทือนราวกับถูกเขย่าด้วยอุ้งมืออสูรกาย! โฮการ์ด บิสมัสนิ่งสนิทเหมือนตายทั้งยืน ดวงตาเขาว่างเปล่า และท่าทีหยิ่งผยองเมื่อครู่ก็หายไป ความจริงเขาดูเหมือนไม่หายใจด้วยซ้ำ หลายคนตาค้าง หลายคนอ้าปากหวอ

    พระเจ้า พลังมหาศาลเมื่อกี้มันอะไรกัน!!

    ตัดยี่สิบคะแนนสำหรับความประพฤติ อ้อ มิสเตอร์ บิสมัส คุณเตรียมดรอปการเรียนปีนี้ได้เลย แม้โฮการ์ดจะทำท่าเหมือนลูกกระสุนที่พร้อมจะพุ่งใส่อับดุลกลางหน้าผาก แต่เพื่อนๆก็ต่างพูดจาหว่านล้อม และในที่สุดก็โน้มน้าวให้เขานั่งลงได้

    จำไว้ว่ามาตรการนี้จะถูกใช้ไปตลอดจนกว่าจะไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง สิ่งที่ผมทำก็เพื่อต้องการขัดเกลาให้พวกคุณเติบโตไปเป็นคนที่ดีทั้งความสามารถและวินัย

    พูดอย่างนี้กันทุกคน

    ผมให้เวลายี่สิบวินาทีเพื่อส่งรายงานเรื่อง การประท้วงในประเทศไทย

    ฮะ ?

    เมื่ออับดุลพูดจบ นาฬิกาจับเวลาสีแดงฉานก็สว่างขึ้นกลางอากาศ พร้อมกับรูปสี่มิติของโฟลเดอร์สีขาวกล่องใหญ่ บรรยากาศความแตกตื่นลนลานอลม่านแผ่ไพศาลไปทั่ว วินาทีต่อมาเสียงติ๊ดๆจากนาฬิกาก็ดังระงม ตามด้วยพึ่บพั่บ เมื่อภาพสี่มิติของกระดาษสีขาวพุ่งออกจากไอคอมตัวโน้นที ตัวนี้ที ราวกับฝูงนกที่บินเร็วจี๋สู่โฟลเดอร์!

    แต่ผมดูจะเป็นคนเดียวที่ยังสับสน

    และดูจะเป็นคนเดียวที่ไม่มีงานส่ง!

    ในที่สุดการนับถอยหลังก็สิ้นสุด ตัวเลขหยุดอยู่ที่ 00:00:00

    ภาพโฟลเดอร์สี่มิติหายไป พร้อมกับการปรากฏของหน้าจอใหม่ที่แสดงรายนามผู้ส่งงาน  

    และเมื่อการนับเสร็จสิ้น ผมก็รู้สึกว่าได้ชีวิตกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง

    ในห้องนี้มีนักเรียนสองพันแปดร้อยหกสิบคน แต่มีคนส่งงานสองพันสองพันแปดร้อยห้าสิบเก้าคน ใครคือหนึ่งคนที่เหลือ ?

    เกิดภาพแบบว่าทุกคนหันไปทั่วห้องอีกครั้ง

    แม้จะรู้ตัวผู้ต้องสงสัยอยู่เต็มอก แต่ผมก็ทำเนียนไปกับเขา

    มิสเตอร์พอล เอลแกน

     

    โอเค การแสดงสิ้นสุด

     

     

     

     

     

     

     

    …To Be Continue…

     

    THE WHITE ROAD

    Rebirth

     

    CHAPTER 2 – Part 3

     

    26 July 2008

    08.00 pm

    Only On http://my.dek-d.com/drpop

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×