คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : Clash of the Titans ปะทะ (1)
แคว้นแกรนูร์ เวลา 15.07 น.
ภายใต้แสงแดดจ้ายามบ่าย ฌองล้มตัวลงนอนใต้ร่มเงาของหมู่ไม้อย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมกับท้องที่ร้องโอดครวญ กลีบใบไม้สีทองเลม่อนเริ่มจะร่วงโรยต้อนรับการมาของฤดูใบไม้ร่วง สายลมเอื่อยอ่อนลูบไล้ผิวกายที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาบ้าง
ฌองเหม่อมองท้องฟ้าที่ระยิบระยับผ่านร่มเงาของต้นไม้พยายามลืมความหิวที่กำลังก่อการประท้วงในท้อง บรรยากาศมันช่างสงบจนเขารู้สึกเบื่อหน่ายอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่เขารู้ดีว่าในตอนนี้ประเทศที่รักยิ่งของเขากำลังทำสงครามศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่ดูเหมือนสิ่งนั้นจะดูไกลเกินความเข้าใจของเด็กหนุ่มผู้โหยหาความผจญภัยเหลือเกิน
ป่านนี้พี่สาวของเขาจะเป็นอย่างไรแล้วหนอ ฌองได้แต่นึกถึงการผจญภัยที่พี่สาวของเขากำลังได้สัมผัสอยู่ มันต้องรู้สึกยอดเยี่ยมเหลือเกินสำหรับการที่ได้ทำหน้าที่รับใช้ชาติ ฌองนั้นแม้ว่าจะไม่ค่อยมั่นใจนักว่าตัวเขาจะทำอะไรได้มากน้อยเพียงใด แต่เลือดรักชาติของเขาก็ร่ำร้องให้เขาเดินไปเซ็นชื่อสมัครเป็นทหารอาสาที่จตุรัสกลางเมืองเสียอยู่ร่ำไป
ใบไม้ที่ทองที่ร่วงหล่นบนหน้าผากปลุกเขาตื่นจากความหวังอันไร้เดียงสา ฌองลุกขึ้นนั่งพลางปัดใบไม้ออกด้วยความรำคาญ ก่อนที่สายตาของเขาจะไปจับจ้องรองเท้าบู้ทหนังพื้นโลหะสำหรับบังคับหุ่นกลที่เขาเพิ่งถอดออก เขามองมันพลางถอนหายใจอย่างอย่างเศร้าหมอง รองเท้านั้นเป็นคู่ที่พี่สาวคนสวยใส่ไม่ได้แล้ว กระนั้น มันก็ยังหลวมไปสำหรับหนุ่มน้อยผู้นี้
“กลับบ้านไปซะเถอะเจ้าหนู โตกว่านี้ค่อยมาสมัครใหม่นะ”
คำพูดเชิงขบขันของสัสดีกับเสียงหัวเราะของคนอื่นยังคงก้องกังวาลในหัวไม่คลาย ใช่แล้วล่ะ ฌองเคยแอบแม่และพี่สาวไปสมัครทหารอาสาถึงสองครั้ง และก็ถึงไล่กลับบ้านทั้งสองรอบ ทั้งที่เพื่อนเขาที่อายุเท่ากันแอบโกงอายุสมัครเข้ากองทัพไปแล้วตั้งหลายคน ทั้งเอมิล ปาสกาล เรมี่ กลุ่มเพื่อนเขาทุกคนนอกจากตัวฌองที่ร่างกายยังไม่หลุดจากความเป็นเด็กเสียที
ฌองเริ่มขยี้ศีรษะด้วยความหงุดหงิด ทว่าก็ต้องหยุดลงด้วยความอับอายเมื่อพบว่าในตอนนี้เขาไม่ใช่คนเดียวที่อยู่บริเวณนี้ ภายใต้ร่มเงาสีทองของต้นไม้ฤดูใบไม้ร่วง เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังหัวเราะขบขันอยู่
“ข... ขำอะไรของเธอนะ” ฌองกล่าวทั้งหน้าที่แดงก่ำกับเด็กสาว
“ก็ฌองนะ...” เธอพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อจะพูดอย่างทรมานเหลือเกิน “มันตลก....มากเลยรู้ไหม จู่ ๆ ก็ขยี้ผมอย่างนั้นอย่างกับคนบ้าแนะ”
ฌองรู้จักเด็กสาวผู้นี้ดี ชาล็อต เครเมอร์ ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านตระกูลเครเมอร์ที่อยู่ริมน้ำ ใบหน้าอ่อนหวานเด็กสาวมีกระเล็กน้อย แต่มันก็ไม่เห็นเด่นชัดเลยเมื่อเทียบกับนัยน์ตาขี้เล่นสีอำพันที่กลมโตราวไข่ห่าน ปรกติแล้วชาล็อตมักจะมัดผมสีน้ำตาลเกาลัดยาวเป็นเปียสองข้าง แต่วันนี้เธอกลับรวบมันไว้ในผ้าโพกศีรษะ ร่างปราดเปรียวของเด็กสาวสวมใส่เสื้อกระโปรงสีน้ำตาลตัวเก่าที่ผูกผ้ากันเปื้อนไว้ช่วงเอว ดูจากการแต่งตัวของหล่อนแล้วบอกได้ไม่ยากว่าวันนี้เธอต้องช่วยพ่อแม่ทำงานแทนพี่ชายอีกแล้ว แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่ว่าเด็กสาวผู้นี้มาหาเขาทำไม แถมในมือของเธอยังถือตะกร้าปริศนาอีกด้วย
ชาล็อต เครเมอร์ เด็กผู้หญิงคนนี้ล่ะที่ฌองชอบแอบขับหุ่นกลมาอวดเสมอ
“เลิกหัวเราะได้แล้วน่า มันไม่เห็นขำเลย แล้วเธอมีธุระอะไรกับฉันรึ ?”
ถึงจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโหอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่อาจโกหกเสียงหัวใจที่เริ่มเต้นแรงพร้อมกับความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า
“เห.... แล้วเราอยากจะมาหาฌองบ้างไม่ได้เหรอจ้ะ ? สมัยก่อนเราไปหาตั้งบ่อยไม่เห็นเคยบ่น”
คำพูดของชาล็อตบีบหัวใจของเด็กหนุ่มให้เต้นโครมครามจนต้องหลบหน้าหนีนัยน์ตาขี้เล่นนั่น
“พูดมากน่า เด็กผู้ชายเล่นกับเด็กผู้หญิงมันน่าอายจะตาย”
“แหม่ เขินกับเขาเป็นด้วยเหรอจ้ะ ฌองผู้ห้าวหาญ” ชาล็อตทำเสียงล้อเลียนพยางเลียนแบบท่าทางขึงขังของเขา “ทีตอนไปสมัครทหารแล้วโดนเขาไล่กลับมาตั้งสองรอบยังทำมาแล้ว ไม่เห็นอายขนาดนี้เลย”
มันเป็นทั้งความอับอายและความโมโหเหลือเกินเมื่อได้ยินคำพูดที่ราวกับเหยียบย่ำแผลเก่าของเขา... และมันยิ่งรู้สึกแย่หนักเมื่อได้ยินจากปากของเด็กสาวผู้นี้ “ยุ่งน่า มันเรื่องของฉัน !” ฌองเผลอตวาดออกไปด้วยความฉุนเฉียว...
หลังพูดกระแทกไปอย่างนั้นแล้วฌองรู้สึกไม่ดีเลย เขารีบหันหน้าหาชาล็อตเพื่อจะกล่าวขอโทษ ทว่าเด็กหนุ่มก็ต้องสะอึกกับใบหน้าที่ดูเหงาหงอยของเด็กสาวตรงหน้า
“แต่เราดีใจนะที่ฌองไม่ได้ไปเป็นทหารเหมือนคนอื่นนะ”
“หมายความว่าไงนะ” หัวใจของฌองเต้นโครมครามเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเพื่อนสาว เขากลืนน้ำลายดังเอื้อกรอลุ้นว่าสิ่งที่เธอจะพูดต่อไปคืออะไร
ชาล็อตก้มหน้าเช็ดบางอย่างที่เบ้าตาก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ... “ก็... ถ้าฌองไม่อยู่แล้ว ฉันก็...”
“ก็ ?”
“ฉันก็ไม่มีใครช่วยทำนาให้บ้านฉันสิ !”
จู่ ๆ ใบหน้าที่เหมือนจะเศร้าสร้อยพลันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบานแฉ่งราวกับยามเช้าของฤดูร้อน ฌองได้แต่เลิกคิ้วทำหน้าบอกบุญไม่รับ ความตื่นเต้นเมื่อสักครู่พลันฝ่อลงราวกับมีใครปล่อยลมออกจากหัวใจที่พองโต
“ก็จริง ๆ เลยนะ ทั้งพี่มิเชลกับพี่เปสเตียนก็ไม่อยู่ พี่สาวของฌองก็ถูกเกณฑ์ไปเหมือนกันใช่ไหมล่ะ แล้วหมู่บ้านเราจะเหลือสักกี่คนเชียวที่ขับหุ่นกลได้นะ ถ้าไม่ได้ฌองแล้วบ้านเราคงลำบากน่าดูเลย”
“อ้อ เหรอ...” ฌองกล่าวอย่างหมดแรงจูงใจจะคุยต่อ
“จริงสิ เกือบลืมแน่ะ” ว่าแล้วชาล็อตก็ยื่นตะกร้าสานที่เธอถือแต่แรกให้ “ของขอบคุณสำหรับช่วยงานจ้า พายแอ็ปเปิ้ลที่เรากับแม่ทำเองเชียวนะ กินแล้วก็จงทราบซึ้งในความอร่อยซะดี ๆ ล่ะ”
“หึ ใครกันอยากจะกินพายที่เธอทำเล่า”
ทว่า ท้องของฌองกลับหาได้คิดเช่นนั้นไม่ มันร้องบ่นโอดครวญออกมาต่อหน้าชาล็อตเมื่อเขาเพิ่งกล่าวประโยคนั่นเสร็จ
“อ...อย่าหัวเราะนะ”
มันไม่ทันแล้ว เพราะใบหน้าของเด็กสาวพองโตอัดแน่นไปด้วยความขบขันที่พร้อมจะระเบิดออกมาทักเมื่อ
...........................................
...............................
.....................
.......
ภายใต้ร่มเงาอันสงบเงียบของไร่ตระกูลเครเมอร์ เด็กชายและเด็กหญิงนั่งเหยียดขาหันหน้าออกไปมองไร่นาที่ถูกขุดเป็นแนวยาวจนสุดถึงริมน้ำที่อยู่ห่างไปประมาณสองกิโลเมตร มันถูกขุดไว้สำหรับการหว่านเมล็ดสำหรับการทำนาช่วงหน้าหนาว ตรงกลางผืนดินอันกว้างใหญ่มีหุ่นกลเกษตรกรรมคล้ายเศษเหล็กยืนตระหง่านสงบนิ่ง
“นี่ แล้วป้าแคทเป็นไงบ้างล่ะ” ชาล็อตหันมาถามเด็กหนุ่มที่กำลังเคี้ยวพายแอ็ปเปิ้ลอย่างเอร็ดอร่อย
“แม่เหรอ ก็สบายดีนะ” ฌองตอบทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยพายของเด็กสาว “ช่วงนี้แม่ต้องทำงานหนักแทนในส่วนของพี่ด้วยนะ แต่ตอนนี้ก็ยังดีอยู่ เป็นห่วงช่วงหน้าหนาวมากกว่า”
“เหรอ แล้วฌองได้จดหมายจากพี่มารีบ้างหรือเปล่าล่ะ” ชาล็อตกล่าว
“ฉบับสุดท้ายมาถึงเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนะ เห็นว่าจะออกรบแล้วอาจจะไม่ได้เขียนส่งอีกนานเลย แล้วทางพวกพี่ ๆ ชาล็อตล่ะ”
เด็กสาวส่ายหัว “เหมือนกันเลย หวังว่าพี่ ๆ จะปลอดภัยดีนะ” ว่าแล้วเธอก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจอย่างไร้ความเป็นกุลสตรี “ให้ตายสิ ทำไมพวกพี่ต้องไปตามที่เขาสั่งด้วยนะ”
“พี่เธอไปนะดีแล้ว รู้ไหมว่าถ้าหนีทหารแล้วต้องเจอโทษแค่ไหน” ฌองเริ่มเขมือบพายชิ้นที่สองอย่างรวดเร็ว “เธอเองก็น่าจะเคยได้ยินนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับคู่แฝดบ้าน เนย์ นะ”
“ก็นะ” ชาล็อตบิดคอก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมายืนอย่างกระปรี้กระเปล่า “แต่ว่าพวกพี่เขาเก่งอยู่แล้วล่ะ ฝีมือขับหุ่นกลตอนช่วงงานเทศกาลไม่มีใครเทียบพี่ฉันได้เลย อย่างพวกทหารจักรวรรดิกิ๊กก๊อกอะไรนั่นไม่คณามือพี่ชายของเราหรอก”
เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ ทว่า เธอก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหัวเราในลำคอจากเพื่อนชายที่อยู่ข้างเคียง
“หึหึ แต่พี่ชายของชาล็อตนะยังสู้พี่สาวฉันไม่ได้หรอกนะ”
“เห... เรื่องแบบนี้เอามาจากไหนเรอะ” ชาล็อตยืนเท้าสะเอวพลางมองฌองแก้มงอนตุบป่องที่ฌองดูถูกว่าพี่ชายทั้งสองของเธอมีฝีมือด้อยกว่าพี่สาว
ฌองยัดพายชิ้นสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะลุกขึ้นมาปัดเศษอาหารบนหน้าตักอย่างใจเย็น “ฉันไม่ได้กะจะดูถูกพี่มิเชลกับพี่เปสเตียนหรอกนะ แต่ว่า...” ว่าแล้วฌองก็ชี้ไปยังผืนดินที่เขาเพิ่งขุดเป็นร่องเตรียมการสำหรับการหว่านเมล็ด “เธอน่าจะรู้นะว่าการจะดูว่าใครมีฝีมือการบังคับหุ่นกลแค่ไหนให้ดูจากวิธีการเดินนะ และการพรวนดินนี่ก็ต้องอาศัยการเดินที่ซับซ้อนใช้ได้เลยล่ะ อย่าได้ดูถูกมันไปเชียว เห็นที่นาที่ฉันเพิ่งไถไหม ระดับมือสมัครเล่นอัจฉริยะอย่างฉันใช้เวลาประมาณสามวันถึงจะเสร็จ..”
พื้นที่ที่ฌองไถนั้นครอบคลุมพื้นที่ริมน้ำจนเข้ามาแนวต้นไม้ที่นั่งอยู่ เบ็ดเสร็จแล้วเป็นพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร
“ถ้าเป็นระดับพี่มิเชลหรือพี่เปสเตียนคงจะไถได้มากกว่าฉันประมาณสองหรือสามเท่าภายในเวลาสามวัน ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่ไม่เลวเลยล่ะ ไม่สิ เรียกว่ายอดเยี่ยมมากเลย...”
ชาล็อตเอียงหน้าก่อนจะถามเพื่อนชายที่อยู่ดี ๆ ทำตัวยิ่งใหญ่เสียเกินหน้าเกินตา
“แล้วของพี่มารีล่ะ”
ฌองไม่ได้ตอบคำถามโดยทันที เขากวักมือเรียกชาล็อตให้เดินตามเขาไปยังอีกฟากหนึ่งของแนวกันดิน และผืนดินที่ปรากฏต่อหน้าฌองและชาล็อตนั้น....
“ส่วนนี่คือฝีมือที่พี่มารีทำไว้ก่อนจะไปรบนะ”
มันเป็นผืนดินที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ตั้งแต่คันดินจนจรดแนวสันเขาที่อยู่ตรงเส้นขอบฟ้า มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผืนดินที่ถูกไถแล้วเป็นอย่างดี พื้นที่ของมันกว้างกว่าส่วนที่ฌองรับผิดชอบไม่รู้กี่เท่า
“พี่ทำเสร็จทั้งหมดภายในสามวัน”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: 5 Feb, 2011: จบตอน
Edit Log: 5 Feb, 2011: แก้ไขคำผิดกับชื่อฌองเล็กน้อย
ความคิดเห็น