คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : The ride of the Valkyries มารี (5)
เวลา 15.01 น.
นายทหารทั้งสองกำลังสนทนากันอย่างคร่ำเคร่ง ในขณะที่มองซิเออร์โคลแบร์กำลังช่วยดันหัวไหล่ของลูกชายกลับเข้าที่ ถัดไปไม่ห่างคือผู้หมวดซาเวียร์ที่ยังคงนอนพิงกำแพงหมดสติอยู่
แล้วมารีได้ทำอะไรบ้างในช่วงเวลาอันคับขันเยี่ยงนี้ ?
เธอนั่งคุดคู้ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว นัยน์ตาของหล่อนเลื่อนลอยราวกับไร้วิญญาณ ภาพของคนอื่น ๆ กำลังดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดนั้นช่างดูไร้ความหมายเหลือเกิน เมื่อได้ยินเสียงระเบิดมารีจะสะดุ้งอย่างหวาดผวา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเสียสติไปแล้ว...
ความเจ็บปวดยังคงแสบทรวงบนแก้มไม่จาง อีกทั้งความรู้สึกเปียกชื้นเบื้องล่างยังคงตามมาเยาะเย้ยให้อับอายอยู่ไม่ขาด
ใช่แล้ว... มารีในตอนนี้มีสติดียิ่งกว่าครั้งไหน
ทว่า การมีสตินั้นเป็นเหมือนเครื่องทรมานที่กัดกร่อนจิตใจของหล่อน เมื่อตอนที่พ่ายแพ้ให้กับความกลัว สติสัมปชัญญะถูกดูดกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความหวาดกลัว ในหัวของหล่อนว่างเปล่า ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือความอับอายนั้นอันตธานหายไปจนหมดสิ้น เหลือแต่ความสิ้นหวังและการยอมจำนน กระนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อฝ่ามือของ ผบ. หวดเข้าที่แก้ม ลากสติของหล่อนออกมาจากโคลนตมแห่งความสิ้นหวัง ทำให้มารีรับรู้ถึงความน่าสมเพสของตนอีกครั้ง
มารีกลัว... กลัวเสียงระเบิด กลัวเสียงก้าวเดินของหุ่นกล กลัวสงคราม กลัวความตาย... แต่ก็รู้สึกอับอายที่หล่อนได้แต่ขี้ขลาดอยู่เช่นนี้
กระนั้น ถึงหล่อนจะอับอายแค่ไหน แต่ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังฉุดรั้งตัวเธอไว้ไม่ให้ก้าวไปไหน
ทั้งความกลัว ทั้งความอับอาย เธอรับรู้มันได้ชัดแจ้ง
เธอไม่ทราบหรอกว่าท่าน ผบ. และผู้กองเธโอดอร์วางแผนอะไร ในหัวของหล่อนมีทั้งเสียงของโลกภายนอกและเสียงจากความทรงจำปะปนมั่วไปหมด เสียงอวยพรอันอ่อนโยนของมารดา เสียงบ่นด้วยความหงุดหงิดแต่แฝงความเป็นห่วงเป็นใยของเจ้าฌองน้องรัก เสียงตะโกนโหวกเหวกของท่าน ผบ. ที่พูดถึง “กุญแจ” กับ “รองเท้า” คำหวานของมิเกลที่สัญญาจะปกป้องหล่อนกับเสียงโหยหวนของเขายามเมื่อมองซิเออร์ดึงไหล่เขากลับเข้าที่ หล่อนได้ยินเสียงดนตรีขับกล่อมตอนงานเทศกาลหว่านเมล็ดพืชสลับกับคำรามของเครื่องยนต์และเสียงปืนที่ยิงกระหน่ำไปทั่ว
และเมื่อถึงจุดหนึ่ง มารีรู้สึกได้ถึงเสียงกระซิบแผ่วเบาของชายผู้หนึ่งที่เธอเกือบจะลืมเลือนไปแล้ว เสียงกระซิบของชายผู้มีสำเนียงหนักของคนภาคเหนือแต่กลับอ่อนโยน
เสียงของผู้เป็นบิดา ราอูล มาลเดอร์...
มารีไม่ทราบหรอกว่าคุณพ่อกำลังกล่าวอะไรกับเธอ แต่มันทำให้หัวใจอันสั่นไหวสงบลงได้เหลือเกิน
ใช่แล้ว เพราะสงครามมันน่ากลัวอย่างนี้ คุณพ่อถึงได้ไม่เคยภูมิใจกับสิ่งที่ท่านต้องเผชิญมาเลย ขนาดคุณพ่อที่ได้รับการขนานนามว่า “สายฟ้าสีเงินแห่งอารียอง” ยังหวาดกลัวสงครามขนาดนั้น ฉะนั้นการที่ผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอจะขี้ขลาดได้ถึงขนาดนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
กระนั้น เสียงบางเสียงในหัวก็คัดค้านออกมาอย่างหวาดหวั่น มารีเอ๋ย แต่ตอนนี้ตัวเธออยู่ในสงครามแล้ว ถึงจะยอมรับได้แล้วว่าสงครามมันน่ากลัวแค่ไหน...มันก็สายไปแล้ว ไม่มีใครฟังข้ออ้างของเธออีกแล้วนอกเสียจากพระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์คงได้ฟังข้ออ้างนั้นเมื่อตอนที่หล่อนไปเข้าเฝ้าหน้าประตูสวรรค์แล้วล่ะ
เมื่อถึงตอนนั้น ใบหน้าของซิลวีก็ผุดขึ้นมาในมโนภาพของเธอ มันเป็นภาพรอยยิ้มครั้งสุดท้ายที่มารีเห็นตอนงานเลี้ยงก่อนออกรบ เธอจำได้ดี คำพูดสุดท้ายที่ซิลวีกล่าวกับหล่อนนั้นไม่ค่อยน่าพิสมัยเสียเท่าไหร่ แต่กระนั้นมารีก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่คำพูดสุดท้ายที่ซิลวีพูด
“.....เพราะฉะนั้น รอจนถึงตอนนั้นหน่อยนะ”
ทว่า ซิลวีก็ไม่กลับมา หล่อนตายแล้ว ภายใต้ผ้าคลุมสีเขียวนั่น ป้ายชื่อเปื้อนเลือดที่เธอได้รับมา
ซิลวีตายแล้ว
แล้วตัวเธอล่ะ จะตามหล่อนไปอีกหรือเปล่า หรือเธอจะปล่อยให้คนอื่นตามซิลวีไปอีกอย่างนั้นหรือ ระหว่างนั้นเอง ภาพของกองซากศพทหารจักรวรรดิในหลุมนั่นก็ปรากฏขึ้นแทน นัยน์ตาไร้วิญญาณนับสิบนับร้อยจ้องมองมารี และหนึ่งในนั้นคือใบหน้าเปื้อนเลือดของซิลวีที่ค่อยคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...
เสียงเหล็กกระทบดังสนั่นปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ วิคเตอร์วิ่งกระหืดกระหอบมายังมองซิเออร์โคลแบร์พลางสั่งว่า “ฝากดูผู้หมวดด้วย” ก่อนจะวิ่งกลับไปหาผู้กองเธโอดอร์ที่กำลังยืนเท้าเปล่า ระหว่างนั้นเอง มารีรู้สึกได้ถึงแววตาอันแห้งแล้งของ ผบ. เหลือบมองหล่อน มันเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา แต่นั่นมันก็เพียงพอที่จะทำให้มารีเห็นว่ามันเป็นแววตาที่ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
มันเศร้าเสียจนรู้สึกว่า ทั้งตัวหล่อนและ ผบ. นั้นไม่ต่างกันเสียเท่าไหร่เลย
แต่ถึงแววตาของ ผบ. จะเศร้าแค่ไหน เขาก็ยังเผชิญหน้าอย่างกับอันตรายอย่างกล้าหาญ เมื่อสิ้นเสียง “ตอนนี้ล่ะ ไปได้!” นายทหารทั้งสองก็ถีบตัวออกจากที่กำบังก่อนจะวิ่งไปตามทางของตน ระหว่างนั้นเอง มิเกลที่ไหล่เข้าที่แล้วก็รีบเขยิบตัวเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าของมิเกลกลืนกินแนวทัศนวิสัยของมารีทั้งหมด แต่กระนั้นมันไม่ใช่ภาพใบหน้าของชายหนุ่มที่มารีกำลังมองอยู่...
เธอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นของร้อยเอกเอมิลที่ยังถือปืนลูกโม่อยู่ในมือ ควันขาวยังลอยฉุยออกมาจากปากกระบอก
“จงฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือเลยนะครับ เมื่อถึงวันนั้นแล้ว ผมเชื่อว่ามาดมัวแซลจะต้องได้รับการปลดปล่อยเช่นเดียวกับผมในวันนั้นอย่างแน่นอน”
มารีทราบดีว่าสิ่งที่เอมิลกล่าวมามันไม่เกี่ยวกับสิ่งที่มารีกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้เลย แต่ในใจลึก ๆ นั้นเธอกลับคิดต่างออกไป
ตอนนี้ไม่มีใครปกป้องเธอได้แล้ว ทั้งพ่อ ทั้งมิเกล หรือแม้กระทั่ง ผบ. เดเวโรว์
“ใช่แล้ว ถ้าฆ่ามันก่อนก็จบสินะ”
มารีเริ่มรวบผมที่ยุ่งเหยิงเป็นหางม้าด้วยไม่สนว่ามิเกลจะมีหน้างุนงงกับสิ่งที่เธอพึมพำออกมา เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง มารีทราบได้ทันทีว่านี่เป็นเสียงระเบิดของหุ่นกล และในตอนนั้นเองที่สายตาของมารีเหลือบไปเห็นภาพที่ท่าน ผบ. กำลังล้มกลิ้งอยู่กับพื้น เขากำลังกระเสือกกระสนอยู่กับการหาอะไรบางอย่าง
“มารี หลบเร็ว”
มิเกลกดหัวของมารีหมอบกับพื้น เพียงไม่เท่าไหร่ เงาดำมืดก็ลากผ่านศีรษะของพวกเขาพร้อมพื้นที่สั่นสะเทือนเป็นจังหวะ
เจ้าหุ่นกลแพนเซอร์กำลังมุ่งหน้าไปทาง ผบ.
“ถ้าจัดการเจ้าหุ่นนี่ได้ก็จบสินะ !”
โดยที่ตัวเองก็ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มารีสะบัดตัวจากอ้อมกอดของมิเกล ถีบตัวทะยานออกจากที่หลบภัย เธอกำลังวิ่งอยู่ใต้เจ้าหุ่นกลหุ้มเกราะตัวมหึมาราวกับคนบ้า ระหว่างนั้นเองก็เกิดระเบิดขึ้นบนตัวหุ่นกลทำเอาตัวมารีเสียหลัก แต่นั่นมันก็ไม่ได้หยุดเท้าของหล่อนได้เลย มันเป็นโอกาสดีที่มารีจะวิ่งนำหุ่นกลที่มัวแต่ง่วนอยู่กับการทำลายผู้ที่เพิ่งโจมตี
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ถ้ากลัวก็แค่ต้องกำจัดมันทิ้งซะ
มารีวิ่งอย่างเต็มแรง ร่างของหล่อนพุ่งทยานไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ผมหางม้าสีแดงฉาดปลิวลู่ไปตามลมราวกับเปลวเพลิงแห่งชัยชนะ เป้าหมายคือ ผบ. เดเวโรว์ที่กำลังควานหาบางอย่างบนพื้น มารีเห็นสิ่งที่คาดว่า ผบ. เดเวโรว์กำลังหาอยู่... กุญแจสลักเป็นเกลียวยาวสำหรับติดเครื่องของหุ่นกล ในตอนแรกเธอเพียงแค่อยากจะช่วยท่าน ผบ. หาของอะไรบางอย่าง ทว่า การกระทำต่อจากนี้มันผิดจากที่หล่อนคิดไว้ในตอนแรกไปหมด
ใช่แล้ว แค่กำจัดมันทิ้งซะ ทุกคนก็จะไม่ต้องเดือดร้อนอีก
เธอคว้ากุญแจนั่นไว้ แต่แทนที่จะคืนให้กับ ผบ. เธอกลับรีบวิ่งไปยังหุ่นกลสีเขียวที่นอนอยู่
“ทำอะไรของเธอนะ !”
ผบ. เดเวโรว์ตะโกนไล่หลังเศษฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย กระนั้นมารีไม่สนใจอีกแล้ว เธอรีบเลิกผ้าคลุมบริเวณส่วนหัวก่อนจะมุดตัวเข้าไปในผ้าคลุม ปีนไปบนตัวหุ่นกลอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเสียบกุญแจที่รูไข เกราะส่วนหน้าก็แง้มออกมา พอมีที่ว่างให้เธอรีบสอดตัวเข้าไปในห้องบังคับทันที
แสงไฟสลัวภายในห้องบังคับสว่างพอที่จะทำให้มารีเข้านั่งประจำที่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เธอสอดเท้าเข้าล็อคกับแป้นควบคุม คาดเข็มเข็ด ทุกการกระทำราวกับเป็นอัตโนมัติไม่มีการเคลื่อนไหวที่เสียเปล่า เมื่อไขกุญแจเดินเครื่อง เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์เกียตที่กำลังเผาผลาญแร่ไพไรท์บริสุทธิ์ดังคำรามขึ้นพร้อมกับเข็มหน้าปัดบนแผงควบคุมที่หมุนชี้ไปจนสุดอีกด้าน จอภาพสีเขียวค่อย ๆ เรืองแสงขึ้น
พออยู่ในนี้แล้วมารีรู้สึกจิตใจสงบขึ้นกว่าเดิมมากเหลือเกิน แม้ว่าหญิงสาวยังรู้สึกชื้นบริเวณเบาะที่นั่งอยู่แต่มันก็ยังดีกว่าจมกองฉี่โดยไม่ได้ทำอะไร เธอก็จัดการตบหน้าตัวเองเสียหนึ่งฉาดก่อนจะสอดแขนเข้าไปในคนบังคับที่ตรึงแขนไว้กับแขนเหล็กที่มีข้อต่อแบบเดียวกับแขนมนุษย์
“เจ้าคนขับแพนเซอร์เอ๋ย เรามาเต้นรำกันเถอะ”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Edit Log: 3 Feb, 2011: จบตอน
Edit Log: 4 Feb, 2011: แก้ไขบทบรรยายเล็กน้อย
ความคิดเห็น