คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 ตอนปลาย
ภายในเรือนหอคอยแปดเหลี่ยมที่มืดสลัว มีเพียงแสงไฟสีส้มจางบนโคมไฟที่คอยขับไล่มิให้ความมืดมิดเข้าครอบงำ สาวใช้ล็อตเต้ได้ถูกมิเตรองต์กันออกไปข้างนอกนับตั้งแต่อ่านคำสั่งของคณะปฎิวัติจบแล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงแค่มิเชลและมาเรียนในห้องแห่งความหลังตามลำพัง สหายในวัยเด็กทั้งสองต่างยืนหันหน้าเข้าหากันโดยไม่พูดจา แม้กระทั่งนัยน์ตาทั้งสองก็มิได้สบกัน
มิเชลเหม่อมองเพื่อนสาวอดีตผู้สูงศักดิ์ของเขาอย่างเยือกเย็น หากเป็นตัวเขาในสมัยก่อนคงต้องรีบไปปลอบประโลม หรือนึกคำพูดให้กำลังใจที่พลอยจะทำให้ตัวเขาเขินไปด้วย แต่ตัวตนในวัยเยาว์อันโง่เขลานั้นมันได้ตายไปแล้ว มิเชลในตอนนี้จึงได้แต่เพียงมองหญิงสาวที่พยายามข่มความกลัวอยู่ห่าง ๆ
มิเชลหยิบนาฬิกาพกสีเงินทรงกลมขึ้นมาดู ยังเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ
“ถึงเวลาแล้วงั้นหรือ ?” มาเรียนถาม
“ยังครับ ยังเหลืออีกประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ” มิเชลตอบ
ระหว่างที่มิเชลกำลังเก็บนาฬิกาลง มือขวาของเขากลับหมดแรงเอาดื้อ ๆ ปล่อยให้นาฬิกาหล่นกระแทกพื้น
ทั้งมิเชลและมาเรียนต่างมองเหตุการณ์นี้ด้วยความแปลกใจ
“มิเชล มือของเธอ...”
“ไม่ใช่เรื่องที่มาเรียนต้องสนใจหรอกครับ” ผู้ตรวจการหนุ่มก้มเก็บนาฬิกาด้วยมือซ้ายใส่กระเป๋า “ว่าแต่ พูดได้ขนาดนี้แสดงว่าเตรียมใจได้แล้วสินะครับ”
มาเรียนที่มัวแต่สนใจมือของมิเชลจนลืมความรู้สึกเกลียดเมื่อสักครู่ไปจนหมดสิ้น เธอลืมจนถึงขนาดเผลอเรียกชื่อของชายหนุ่มออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย การที่มิเชลกล่าวออกมาเมื่อสักครู่ออกมาเป็นการดึงองค์หญิงให้กลับมาสู่ความจริงอันโหดร้ายอีกครั้ง...
หญิงสาวละสายตาจากมือขวาที่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือหนังสีดำ หลบสายตาอันเย็นชาของมิเชล
“เธอเปลี่ยนไปมากเลยนะ” มาเรียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสื่อถึงความรู้สึกอันบอบช้ำ
“กาลเวลามันทำให้คนเปลี่ยนนะครับ”
“แปดปีที่ผ่านมานี่... ทั้งที่เคยสัญญาไว้ แต่เธอไม่เคยติดต่อเราเลย มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่มาเรียนต้องสนใจหรอกครับ”
“งั้นหรือ... เราไม่เคยนึกได้เลยว่าเธอจะโหดร้ายกับเราได้ขนาดนี้
“ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกินที่เราต้องพบกันในสภาพเช่นนี้”
“นี่มิเชล...”
“อะไรหรือครับ ?”
“เธอเกลียดเราหรือเปล่า”
มิเชลมิได้ตอบ องค์หญิงตกอับที่ก้มหน้ามาตลอดค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมามองชายตรงหน้าด้วยความแปลกใจ คราวนี้กลับเป็นฝ่ายมิเชลที่หลบสายตาแทน
“ผมทำในสิ่งที่สมควรทำครับ”
มิเชลเอ่ยอย่างอดกลั้นพลางหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูอีกครั้ง คราวนี้เขาประคองนาฬิกาพกอย่างระมัดระวัง ทำให้ไม่ทำหล่นเหมือนครั้งก่อนอีก
“เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว มาเรียนอยากจะทำอะไรเป็นครั้งสุดท้ายไหม ?”
มาเรียนหันไปมองรอบกายก่อนจะหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ทำให้มิเชลรู้สึกสับสนเหลือเกิน
“อย่างน้อย... เราอยากจะเล่นไวโอลินในห้องนี้อีกสักครั้งนะ”
.............................................
.....................................
.........................
..............
....
มิเชลยืนมองอดีตผู้ที่เคยได้รับสมญานามว่า “เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง” ยืนจูนเสียงไวโอลินตัวโปรดเป็นครั้งสุดท้าย มันเป็นไวโอลินตัวเดิมที่มิเชลสั่งให้มิเตรองต์ไปเอาคืนมาจากสาวใช้ล็อตเต้ เธอบิดตัวปรับสายอย่างระมัดระวังพร้อมกับค่อย ๆ สีไม้คันชักเทียบเสียงโดยไม่ต้องเทียบเสียงเลย
“เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้เปียโนเทียบเสียงแล้วหรือ” มิเชลถาม
“ก็ตลอดแปดปีที่ผ่านมานี่ไม่มีใครเทียบเสียงให้เราเลยนี่”
มิเชลได้ยินเช่นนั้นก็กำหมัดแน่น แต่แรงกำนั้นก็เบาบางจนทำให้เขาไม่อาจกำหมัดได้เต็มกำลังดังที่หวังไว้
“ถึงอย่างไรเสียผมก็เล่นเปียโนกับมาเรียนไม่ได้แล้วอยู่ดี” มิเชลตอบ
“มันเกี่ยวกับมือขวานั่นหรือเปล่า ?” มาเรียนเอ่ยพร้อมกับเหลือบมองมือของมิเชล
นักปฏิวัติรีบหดซ่อนมือไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่มาเรียนต้องสนใจครับ”
มาเรียนได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “ช่างน่าเสียดาย ความจริงเราชอบเพลงที่เธอเล่นมากเลยนะ”
ว่าแล้วมาเรียนก็จูนสายสุดท้ายครบ ความจริงแล้วเธอเองก็เพิ่งจูนเสียงไปเมื่อครั้นที่หล่อนสีเพลงของวาลดินี่ไป จึงให้ไม่ต้องเสียเวลากับการจูนเสียงครั้งนี้มากนัก
“นึกถึงพวกเราสมัยก่อนเลยนะ ตอนที่เราเคยเล่นดนตรีด้วยกันบ่อย ๆ ที่บ้านของเธอในสถานทูตนะ” มาเรียนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ราวกับโหยหาความหลังเมื่อตอนที่เธอมีความสุขที่สุด “ตอนนั้นเจ้าโมนาร์ทเองก็อยู่ด้วยนี่เนอะ ตอนนั้นอายุไม่กี่เดือนเอง แต่มันก็ชอบกระดิกหางตามจังหวะเพลงอยู่เรื่อย แม้แต่ตอนที่เธอไม่อยู่แล้วมันก็ชอบทำหน้าที่เป็นเมโทรโนมส่วนตัวให้เราเรื่อยเลยล่ะ เจ้าโมนาร์ทนั่นนะ”
“แล้วโมนาร์ทไปไหนแล้วล่ะครับ”
“ตายตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้วล่ะ” มาเรียนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก “มันพยายามจะปกป้องเรา มันเลยถูกพวกลูกน้องของเธอเตะจนตายไปแล้วล่ะ”
“งั้นหรือ...”
“แต่ไม่เป็นไรหรอกมิเชล” เธอหันมายิ้มให้กับเขา มันเป็นรอยยิ้มที่ไร้ความสุข ความเศร้า หรือความรู้สึกที่ฝืนอารมณ์ที่แท้จริง มันเป็นแค่รอยยิ้มจาง ๆ ของหญิงสาวที่ยอมรับในชะตาของตัวเอง “โมนาร์ทเป็นเด็กดีเสมอ พระบิดาคงอ้าแขนรับมันไว้ในสวรรค์ของพระองค์แน่นอน อีกประเดี๋ยวเราเองก็คงจะตามไปพบมันในไม่ช้าแล้วล่ะ...”
มิเชลได้แต่หลบเลี่ยงรอยยิ้มอย่างนั้นของมาเรียน ผู้ตรวจการหนุ่มจะสบายใจกว่ามากหากนักโทษประหารสาวผู้นี้มองเขาด้วยเป็นศัตรูเหมือนตอนแรก ทว่า เธอกลับเพียงแค่มอบรอยยิ้มที่ดูราวกับจะมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งเสียอย่างนั้น...
นี่ไม่ใช่รอยยิ้มที่เขาในอดีตอยากจะปกป้องเลยสักนิด
มันบาดหัวใจเหลือเกิน ทั้งที่เขานึกว่าได้ทิ้งความรู้สึกนี้ไปนับตั้งแต่วันที่เขาเข้าร่วมกับคณะปฏิวัติแล้วเสียอีก
“ไม่มีสวรรค์หรือนรกหรอก” มิเชลตอบ “ตายแล้วก็จบ แค่นั้นเอง”
“มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ที่ว่าตายแล้วก็จบกัน” มาเรียนเอ่ยก่อนจะเริ่มลากคันชักไปบนเส้นเสียงบนไวโอลินอย่างเชื่องช้าและสง่างาม ผลิตเสียงแหลมนุ่มนวลออกมา “แต่เราไม่เห็นด้วยเรื่องที่ว่าสวรรค์หรือนรกไม่มีจริงนะ...
...อย่างน้อยที่ผ่านมาเธอเองก็คงได้เคยสัมผัสอะไรสักอย่างมาแล้วนี่นา”
ว่าแล้วมาเรียนก็เริ่มบรรเลงเพลงโซนาตา จี เมเจอร์ ของบีฮาเว่นอีกครั้ง มันเป็นเพียงเสียงไวโอลินอันเดียวดายที่ไม่มีเสียงเปียโนคอยเคล้าเคลียด้วยอีกแล้ว
บนหอคอยแปดเหลี่ยมของคฤหาสน์หลังน้อยมีเพียงเงาของชายหญิงคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนฉากม่านราวกับการแสดงละครหุ่นเงา และเสียงเพลงไวโอลินที่ขับขานไปตามสายลมหนาว ด้วยเสียงเพลงจังหวะเริงร่าท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมัว
b g
ความคิดเห็น