ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    3 M บทเพลงของสองเราและหนึ่งตัว

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 ตอนปลาย

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 55


                    ภายในเรือนหอคอยแปดเหลี่ยมที่มืดสลัว  มีเพียงแสงไฟสีส้มจางบนโคมไฟที่คอยขับไล่มิให้ความมืดมิดเข้าครอบงำ  สาวใช้ล็อตเต้ได้ถูกมิเตรองต์กันออกไปข้างนอกนับตั้งแต่อ่านคำสั่งของคณะปฎิวัติจบแล้ว  ดังนั้นจึงมีเพียงแค่มิเชลและมาเรียนในห้องแห่งความหลังตามลำพัง  สหายในวัยเด็กทั้งสองต่างยืนหันหน้าเข้าหากันโดยไม่พูดจา  แม้กระทั่งนัยน์ตาทั้งสองก็มิได้สบกัน

     

                    มิเชลเหม่อมองเพื่อนสาวอดีตผู้สูงศักดิ์ของเขาอย่างเยือกเย็น  หากเป็นตัวเขาในสมัยก่อนคงต้องรีบไปปลอบประโลม  หรือนึกคำพูดให้กำลังใจที่พลอยจะทำให้ตัวเขาเขินไปด้วย  แต่ตัวตนในวัยเยาว์อันโง่เขลานั้นมันได้ตายไปแล้ว  มิเชลในตอนนี้จึงได้แต่เพียงมองหญิงสาวที่พยายามข่มความกลัวอยู่ห่าง ๆ

     

                    มิเชลหยิบนาฬิกาพกสีเงินทรงกลมขึ้นมาดู  ยังเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ 

     

                    ถึงเวลาแล้วงั้นหรือ ?  มาเรียนถาม

     

                    ยังครับ  ยังเหลืออีกประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ  มิเชลตอบ

     

    ระหว่างที่มิเชลกำลังเก็บนาฬิกาลง  มือขวาของเขากลับหมดแรงเอาดื้อ ๆ ปล่อยให้นาฬิกาหล่นกระแทกพื้น 

     

    ทั้งมิเชลและมาเรียนต่างมองเหตุการณ์นี้ด้วยความแปลกใจ

     

                    มิเชล  มือของเธอ...

     

                    ไม่ใช่เรื่องที่มาเรียนต้องสนใจหรอกครับ  ผู้ตรวจการหนุ่มก้มเก็บนาฬิกาด้วยมือซ้ายใส่กระเป๋า  ว่าแต่  พูดได้ขนาดนี้แสดงว่าเตรียมใจได้แล้วสินะครับ

     

                    มาเรียนที่มัวแต่สนใจมือของมิเชลจนลืมความรู้สึกเกลียดเมื่อสักครู่ไปจนหมดสิ้น  เธอลืมจนถึงขนาดเผลอเรียกชื่อของชายหนุ่มออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย  การที่มิเชลกล่าวออกมาเมื่อสักครู่ออกมาเป็นการดึงองค์หญิงให้กลับมาสู่ความจริงอันโหดร้ายอีกครั้ง...

     

                    หญิงสาวละสายตาจากมือขวาที่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือหนังสีดำ  หลบสายตาอันเย็นชาของมิเชล

     

    เธอเปลี่ยนไปมากเลยนะมาเรียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสื่อถึงความรู้สึกอันบอบช้ำ

     

    กาลเวลามันทำให้คนเปลี่ยนนะครับ 

     

    แปดปีที่ผ่านมานี่... ทั้งที่เคยสัญญาไว้  แต่เธอไม่เคยติดต่อเราเลย  มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ

     

                    นั่นไม่ใช่สิ่งที่มาเรียนต้องสนใจหรอกครับ

     

    งั้นหรือ... เราไม่เคยนึกได้เลยว่าเธอจะโหดร้ายกับเราได้ขนาดนี้

     

              ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกินที่เราต้องพบกันในสภาพเช่นนี้

     

                    นี่มิเชล...

     

                    อะไรหรือครับ ?

     

                    เธอเกลียดเราหรือเปล่า

     

              มิเชลมิได้ตอบ  องค์หญิงตกอับที่ก้มหน้ามาตลอดค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมามองชายตรงหน้าด้วยความแปลกใจ  คราวนี้กลับเป็นฝ่ายมิเชลที่หลบสายตาแทน

     

                    ผมทำในสิ่งที่สมควรทำครับ

     

    มิเชลเอ่ยอย่างอดกลั้นพลางหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูอีกครั้ง  คราวนี้เขาประคองนาฬิกาพกอย่างระมัดระวัง  ทำให้ไม่ทำหล่นเหมือนครั้งก่อนอีก

     

    เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว  มาเรียนอยากจะทำอะไรเป็นครั้งสุดท้ายไหม ?

     

    มาเรียนหันไปมองรอบกายก่อนจะหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ทำให้มิเชลรู้สึกสับสนเหลือเกิน

     

    อย่างน้อย... เราอยากจะเล่นไวโอลินในห้องนี้อีกสักครั้งนะ

     

              .............................................

                    .....................................

                    .........................

                    ..............
                    ....

     

                    มิเชลยืนมองอดีตผู้ที่เคยได้รับสมญานามว่า เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง ยืนจูนเสียงไวโอลินตัวโปรดเป็นครั้งสุดท้าย  มันเป็นไวโอลินตัวเดิมที่มิเชลสั่งให้มิเตรองต์ไปเอาคืนมาจากสาวใช้ล็อตเต้ เธอบิดตัวปรับสายอย่างระมัดระวังพร้อมกับค่อย ๆ สีไม้คันชักเทียบเสียงโดยไม่ต้องเทียบเสียงเลย

     

                    เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้เปียโนเทียบเสียงแล้วหรือ  มิเชลถาม

     

                    ก็ตลอดแปดปีที่ผ่านมานี่ไม่มีใครเทียบเสียงให้เราเลยนี่ 

     

              มิเชลได้ยินเช่นนั้นก็กำหมัดแน่น  แต่แรงกำนั้นก็เบาบางจนทำให้เขาไม่อาจกำหมัดได้เต็มกำลังดังที่หวังไว้

     

                    ถึงอย่างไรเสียผมก็เล่นเปียโนกับมาเรียนไม่ได้แล้วอยู่ดี  มิเชลตอบ

     

              มันเกี่ยวกับมือขวานั่นหรือเปล่า ?  มาเรียนเอ่ยพร้อมกับเหลือบมองมือของมิเชล

     

    นักปฏิวัติรีบหดซ่อนมือไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว

     

                    นั่นไม่ใช่เรื่องที่มาเรียนต้องสนใจครับ

     

                    มาเรียนได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน  ช่างน่าเสียดาย  ความจริงเราชอบเพลงที่เธอเล่นมากเลยนะ

     

                    ว่าแล้วมาเรียนก็จูนสายสุดท้ายครบ  ความจริงแล้วเธอเองก็เพิ่งจูนเสียงไปเมื่อครั้นที่หล่อนสีเพลงของวาลดินี่ไป  จึงให้ไม่ต้องเสียเวลากับการจูนเสียงครั้งนี้มากนัก

     

    นึกถึงพวกเราสมัยก่อนเลยนะ  ตอนที่เราเคยเล่นดนตรีด้วยกันบ่อย ๆ ที่บ้านของเธอในสถานทูตนะ  มาเรียนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ราวกับโหยหาความหลังเมื่อตอนที่เธอมีความสุขที่สุด  ตอนนั้นเจ้าโมนาร์ทเองก็อยู่ด้วยนี่เนอะ  ตอนนั้นอายุไม่กี่เดือนเอง  แต่มันก็ชอบกระดิกหางตามจังหวะเพลงอยู่เรื่อย  แม้แต่ตอนที่เธอไม่อยู่แล้วมันก็ชอบทำหน้าที่เป็นเมโทรโนมส่วนตัวให้เราเรื่อยเลยล่ะ  เจ้าโมนาร์ทนั่นนะ 

     

    แล้วโมนาร์ทไปไหนแล้วล่ะครับ 

     

    ตายตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้วล่ะ  มาเรียนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก  มันพยายามจะปกป้องเรา  มันเลยถูกพวกลูกน้องของเธอเตะจนตายไปแล้วล่ะ

     

    งั้นหรือ...

     

    แต่ไม่เป็นไรหรอกมิเชล  เธอหันมายิ้มให้กับเขา  มันเป็นรอยยิ้มที่ไร้ความสุข  ความเศร้า  หรือความรู้สึกที่ฝืนอารมณ์ที่แท้จริง  มันเป็นแค่รอยยิ้มจาง ๆ ของหญิงสาวที่ยอมรับในชะตาของตัวเอง  โมนาร์ทเป็นเด็กดีเสมอ  พระบิดาคงอ้าแขนรับมันไว้ในสวรรค์ของพระองค์แน่นอน  อีกประเดี๋ยวเราเองก็คงจะตามไปพบมันในไม่ช้าแล้วล่ะ...

     

    มิเชลได้แต่หลบเลี่ยงรอยยิ้มอย่างนั้นของมาเรียน  ผู้ตรวจการหนุ่มจะสบายใจกว่ามากหากนักโทษประหารสาวผู้นี้มองเขาด้วยเป็นศัตรูเหมือนตอนแรก  ทว่า  เธอกลับเพียงแค่มอบรอยยิ้มที่ดูราวกับจะมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งเสียอย่างนั้น...

     

    นี่ไม่ใช่รอยยิ้มที่เขาในอดีตอยากจะปกป้องเลยสักนิด

     

    มันบาดหัวใจเหลือเกิน  ทั้งที่เขานึกว่าได้ทิ้งความรู้สึกนี้ไปนับตั้งแต่วันที่เขาเข้าร่วมกับคณะปฏิวัติแล้วเสียอีก

     

    ไม่มีสวรรค์หรือนรกหรอก  มิเชลตอบ  ตายแล้วก็จบ  แค่นั้นเอง

     

    มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้  ที่ว่าตายแล้วก็จบกัน  มาเรียนเอ่ยก่อนจะเริ่มลากคันชักไปบนเส้นเสียงบนไวโอลินอย่างเชื่องช้าและสง่างาม  ผลิตเสียงแหลมนุ่มนวลออกมา  แต่เราไม่เห็นด้วยเรื่องที่ว่าสวรรค์หรือนรกไม่มีจริงนะ...

     

              ...อย่างน้อยที่ผ่านมาเธอเองก็คงได้เคยสัมผัสอะไรสักอย่างมาแล้วนี่นา

     

              ว่าแล้วมาเรียนก็เริ่มบรรเลงเพลงโซนาตา  จี เมเจอร์  ของบีฮาเว่นอีกครั้ง  มันเป็นเพียงเสียงไวโอลินอันเดียวดายที่ไม่มีเสียงเปียโนคอยเคล้าเคลียด้วยอีกแล้ว 

     

    บนหอคอยแปดเหลี่ยมของคฤหาสน์หลังน้อยมีเพียงเงาของชายหญิงคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนฉากม่านราวกับการแสดงละครหุ่นเงา  และเสียงเพลงไวโอลินที่ขับขานไปตามสายลมหนาว ด้วยเสียงเพลงจังหวะเริงร่าท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมัว 

    b g

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×