ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Psalms of the New World

    ลำดับตอนที่ #28 : Man on Fire (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 316
      0
      19 ม.ค. 51

                  "คงใช่ที่นี่นะ" 


                  รอสที่วิ่งอย่างเต็มกำลังเกือบสิบนาทีในสุดก็มาหยุดอยู่บริเวณด้านหน้าทางขึ้นภูเขาที่ดูคุ้นเคย  แต่ถึงกระนั้นป่าแถบนี้ก็ดูเหมือนๆ กันไปหมดซะทุกแห่งทำให้รอสยังไม่แน่ใจว่าใช่สถานที่นัดพบหรือไม่


                 "สวัสดีนิ" 


                 จู่ๆ ก็เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งกล่าวทักทายรอสจากทางด้านหลังซึ่งทำเอารอสสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจเนื่องจากรอสไม่คาดคิดว่าจะมีบุคคลอื่นอยู่แถวนั้นอีกด้วย


                  "ทางนี่จ้า" 


                  เด็กสาวผิวคล้ำในชุดนักเรียนปี 1 แบบเดียวกับรอสกำลังยืนยิ้มแฉ่งให้เขาโดยไม่สนเลยว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า  บนศีรษะของเธอมีที่คาดผมสีขาวที่คอยรวบผมสีดำอันหยิกหยอยไม่ให้ฟูฟ่อง  แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผมบางส่วนที่ฟูขึ้นมาได้อยู่ดี  นัยน์ตาสีดำอันคมคายและดูไร้เดียงสาจับจ้องตัวรอสอย่างเป็นมิตร  เธอสูงเลยไหล่ของรอสเพียงเล็กน้อย  ร่างผอมบาง  แทบจะไร้ซึ่งสัดส่วนโค้งเว้าอันเป็นสัญลักษณ์ของสตรีเพศโดยสิ้นเชิง 


                    แต่สิ่งที่ดูไม่เข้ากับร่างกายอันผอมบางเลยก็คือเป้สีเขียวขนาดมหึมาเธอแบกอยู่กลางหลัง  มันใหญ่กว่าร่างกะทัดรัดของหล่อนเสียด้วยซ้ำไป  ซึ่งตัวเป้เองก็แทบจะปริออกมาจากของที่ถูกยัดไว้ข้างใน โดยมีร่มคันยาวเสียบแนวขวางอยู่บนเป้โผล่ออกมา  แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังยืนตัวปลิวราวกับไม่ได้แบกอะไรไว้บนหลังเลย


                   "อ...เอ่อ..."  รอสตอบอย่างเกร็งๆ อันเนื่องจากเขายังไม่ชินนักที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิงตรงๆ ในสภาพปรกติสักเท่าไร (สภาพไม่ปรกติเช่นถูกเอาดาบไล่ฟันรอสชินไปเรียบร้อยแล้ว)


                  "ไม่ต้องพูดเกรงใจมากก็ได้นิ  ไหนๆ เราก็อยู่ชั้นปี 1 เหมือนกันนี่นา"  สาวน้อยผิวคล้ำยื่นมือขึ้นมา  "ชื่อ ตาลอสติเตส  นิ  เรียกสั้นๆ ว่าเตเต้ก็พอ  ยินดีที่ได้รู้จักนิ"


                  รอสลังเลสักพักก่อนที่จะค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นมาจับมืออย่างกล้าๆ กลัวๆ  


                 "ม...เมเปิ้ล....เมเปิ้ล  ไซรัส"  รอสจับมือตอบ


                  "ฮิ ฮิๆ  ยังไม่ทันเข้าโรงเรียนก็ได้เพื่อนใหม่แล้วนิ"  เตเต้ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง


                    "อ้าว...เธอไม่ใช่คนที่มารับฉันหรอกเหรอ"  รอสถามด้วยความแปลกใจ


                   "ไม่ใช่หรอกนิ  เราเป็นเด็กใหม่นะ...งั้น...หรือว่าเมเปิ้ลเองก็เป็นเด็กใหม่เหมือนกันเหรอนิ"  เตเต้มีสีหน้าตกใจขึ้นมาเล็กน้อย  "นึกว่าคนที่เข้าเรียนใหม่วันนี้มีแต่เราซะอีกนิ"


                   แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้พูดกันต่อ  ก็มีเสียงดัง ก็อบแก็บ  แว่วมาจากทิศทางขึ้นเขาซึ่งนำไปสู่โรงเรียนโซเฟีย  ม้าสีน้ำตาลแต้มขาวตรงหัวค่อยๆ โผล่ออกมาจากความมืดมิดของป่าเดินตรงมายังพวกเขาทั้งสอง 


                   "นั่นคงเป็นคุณม้าที่จะมารับพวกเราสินิ"  เตเต้ชะโงกหน้าไปดูม้าเทียมเกวียนที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขาทุกทีๆ


                    ในที่สุดเจ้าม้าตัวนั้นก็หยุดจอดห่างจากรอสเพียงไม่กี่ก้าว  มันใกล้ซะจนศีรษะของรอสสามารถรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ กลิ่นพิลึกๆ ที่เจ้าม้านั่นอย่างชัดเจน  เมื่อมองดูดีๆ ก็จะพบว่าบนเกวียนนั้นไร้ซึ่งคนบังคับ  มีเพียงเจ้าม้าสีน้ำตาลที่ลากเกวียนโดยเพียงลำพัง   เจ้าม้าตัวนั้นก้มหัวลงมาในระดับสายตารอส  นัยน์ตาสีดำขลับของเจ้าม้าจ้องมองรอสราวกับต้องการอะไรบางอย่าง


                    ระหว่างที่รอสกำลังอ้ำอึ้งงงอยู่กับเจ้าม้าที่อยู่ตรงหน้า  เตเต้ก็เดินแซงรอสขึ้นมาก่อนชูบัตรนักเรียนให้เจ้าม้าตัวนั้นเห็นชัดๆ เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าม้าจึงสะบัดหัวไปด้านหลังเชิงเป็นสัญญาณว่าให้ไปนั่งบนเกวียนได้


                    เตเต้ยกเป้อันใหญ่โตนั้นขึ้นเหนือหัวราวกับยกแผ่นโฟม  เกวียนนั้นแทบจะยวบลงไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเป้ถูกวางไว้บนเกวียน   เมื่อวางเป้เรียบร้อยแล้วเตเต้จึงปีนขึ้นไปนั่งบนเกวียน  แล้วจึงชะโงกหัวออกมาคุยกับรอส


                   "เมเปิ้ล  แสดงบัตรนักเรียนให้คุณม้าดูสินิ " 


                   รอสที่นึกขึ้นได้ว่าต้องทำอะไรก็รีบกุลีกุจอหยับบัตรนักเรียนที่เขาเพิ่งได้มาเมื่อวานขึ้นมาแสดงให้เจ้าม้าเห็น  เจ้าม้าตัวนั้นจ้องมองบัตรอยู่เพียงครู่เดียวก่อนที่จะส่งเสียงร้องสะบัดหัวไปทางเกวียนอนุญาตให้ขึ้นเกวียนได้


                   เมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้ว  เจ้าม้าก็เริ่มออกตัวเดินไปตามทางที่รอสผ่านมาเมื่อวานก่อน  ผ่านป่าอันหนาทึบที่ปกคลุมท้องฟ้าซะมิด  เสียงของล้อไม้เทียมเกวียนดังเอียดอ๊าดกับเสียงกุบกับของของเจ้าม้าเทียมเกวียนตัดกับเสียงสัตว์ป่าและแมลงที่กู่ร้องเสียงดังเซ็งแซ่  ตัวเกวียนที่แล่นบนทางดินก็สั่นไหวตลอดทาง  บางทีล้อเกวียนก็ไปทับกับเศษหินหรือตกหล่มกระแทกพื้นดังโครมทำเอาท้องไส้คนโดยสารแทบจะหลุดออกมาเลยทีเดียว


                   "หา...อาจารย์ใหญ่ปันจมีเป็นคนรับรองเมเปิ้ลให้เข้าเรียนงั้นเหรอนิ" 


                   เตเต้มีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด 


                    "ใช่แล้ว...เอ่อ..."  รอสติดใจกับท่าทีอันแปลกใจของทุกคน  "...ตาลอสติเตส...การที่ครูใหญ่ปันจมีรับรองฉันเข้าเรียนมันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ" 


                    "เตเต้นิ...เรียกเราว่าเตเต้ดีกว่าน้า"  เตเต้ส่งยิ้มให้กับรอสก่อนจะทำท่าทางครุ่นคิดพยายามนึกเรื่องที่กำลังจะพูด   "อืมมม...นี่เมเปิ้ลไม่รู้เลยเหรอว่าโรงเรียนโซเฟียรับนักเรียนใหม่ยังไงอะนิ"


                     รอสส่ายหัว


                   "งั้นเดี๋ยวเราร่ายประวัติยาวเลยละกันนะ"  เตเต้จัดท่านั่งราวกับท่านผู้เฒ่ากำลังจะเล่านิทานให้หลานๆ ฟัง  "อะแฮ่ม...คืออย่างนี้นิ  โรงเรียนโซเฟียเมื่อครั้นก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นโรงเรียนสำหรับพวกลูกๆ ตระกูลชนชั้นสูง  หรือพวกเศรษฐีผู้ร่ำรวย เท่านั้นนิ  แม้แต่องค์ราชินีเองยังทรงศึกษาที่นี่เลยละนิ  อย่างคนธรรมดาๆ อย่างเรานี่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่เหยียบเข้าไปในโรงเรียนนิ  แต่ว่า...พอหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองทางโรงเรียนก็ทำการปรับปรุงระบบรับนักเรียนใหม่  เปิดรับสมัครคนธรรมดาๆ อย่างเราเข้าเรียนโดยผ่านการสอบอันหฤโหดนิ  นึกถึงตอนสอบแล้ว...กว่าเราจะสอบผ่านมาได้นี่ก็แทบร่อแร่เหมือนกันเลยนิ"


                    เตเต้หยุดพูดพักเหนื่อยสักครู่จึงค่อยเล่าต่อ


                    "แต่ทางโรงเรียนก็ยังอยากคงนโยบายการเป็นโรงเรียนสำหรับชนชั้นสูงอยู่นิ  ทางโรงเรียนเลยเปิดช่องทางให้อาจารย์ในโรงเรียนรับรองสิทธิ์นักเรียนให้เข้าเรียนได้โดยไม่ต้องผ่านการสอบ โดยอาจารย์หนึ่งท่านมีสิทธิ์รับรองนักเรียนได้หนึ่งคนต่อปีนิ  แน่นอน...นักเรียนที่เข้าโดยช่องทางนี้ส่วนมากต้องใหญ่ และมีเส้นสายพอตัวเลยจึงสามารถเข้าเรียนได้นิ...อ้อ...แล้วมีอีกวิธีหนึ่งคือเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ แต่กรณีนี้ค่อนข้างจะยากนิ  ดังนั้น เราจึงสรุปได้ว่าโรงเรียนนี้เปิดรับนักเรียน 3 ทาง โดยผ่านการสอบ  ใช้สิทธิ์ของอาจารย์ และ เป็นผู้มีความสามารถพิเศษละนิ"  


                      "งั้นเตเต้ก็เป็นกลุ่มที่ผ่านการสอบสินะ"  รอสกล่าว


                      "ใช่แล้วนิ  ส่วนเมเปิ้ลก็เป็นแบบที่สองโดยการรับรองของอาจารย์นิ"  เตเต้ยิ้มให้กับรอส


                      "งั้นเหรอ...งั้นมันคงแปลกมากสินะที่คนธรรมดาอย่างฉันเข้าเรียนโดยการรับรองของอาจารย์นะ"


                      "เปล่าหรอกนิ...บางทีอาจารย์เองก็เอานักเรียนธรรมดาๆ เข้ามาเหมือนกัน  แต่..."  เตเต้หันไปมองเจ้าม้าที่กำลังลากพวกเขาไปเรื่อย  "ที่เราว่าทุกคนประหลาดใจคือการที่อาจารย์ใหญ่ปันจมีคนนั้นเป็นคนรับรองเมเปิ้ลนะสิ"


                      "หา..." 


                      "อื้อ  งั้นเมเปิ้ลคงไม่รู้สินิ  ว่าอาจารย์ใหญ่ท่านนั้นนะ  ตั้งแต่อยู่มาท่านไม่เคยใช้สิทธิ์ของท่านรับนักเรียนเข้ามาเลยสักคนนิ  แม้แต่ผู้นำของตระกูลอดีตผู้ปกครองรัฐ เอสเซียง หรือประธานสภามาอ้อนวอนขอฝากลูกสาวเข้าเรียน  อาจารย์ใหญ่ปันจมียังปฏิเสธเลย  มันก็คงไม่แปลกหรอกนิที่คนอื่นๆ จะพากันตกใจนิ" 


                     ถึงแม้รอยยิ้มบนหน้าจะยังไม่จางหายไป  แต่รอสก็รู้สึกได้ว่าแววตาอันดำสนิทของเตเต้กำลังจ้องวิเคราะห์รอสอย่างถี่ถ้วน


                    "เอ่อ....ฉันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก  พอดีครูใหญ่ปันจมีเข้าใจปัญหาของฉันเลยรับฉันเข้ามาเรียนนะ"  รอสพยายามแก้ตัวพัลวัน  ใช่...ถึงแม้เขาจะมาจากอีกฟากหนึ่ง  แต่ประวัติปลอมของเขาก็ไม่ได้เป็นคนสลักสำคัญอะไรมากเสียไปกว่านักเรียนจนๆ ที่มาจากเทือกเขา คาเรซาน โดยมีแม่ที่ป่วยนอนรออยู่แค่นั้น


                     ....แล้วทำไมครูใหญ่ปันจมีที่ปฏิเสธข้อเสนอของผู้มีอำนาจมากมายกลับให้เขาเข้าเรียนล่ะ


                     เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกเตเต้พลันดึงรอสกลับมาจากห้วงความคิด


                     "ฮิฮิๆ ตกใจหมดเลย  นึกว่าเรากำลังนั่งคุยกับบุคคลสำคัญอยู่นะเนี่ย  เมื่อกี๊เราเกร็งแทบแย่นิ  แต่พอได้ยินสำเนียงตลกๆ ของเมเปิ้ลแล้วก็พอจะแน่ใจว่าเมเปิ้ลคงไม่ได้โกหกนิ..." 


                     รอสก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าจะมีใครบ้างมั้ยที่ไม่ใส่ใจกับสำเนียงของเขา  


                     ในที่สุดภาพของทะเลสาบสีฟ้าที่ประกายระยิบระยับก็ปรากฏขึ้นมา  เกวียนค่อยๆ เคลื่อนไปตามขอบผาผ่านทุ่งดอกไม้หลากสีสัน  มุ่งตรงไปยังอาคารอำนวยการสีขาวนวลที่ตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ


                     "เอ้า ซิล...ถึงแล้วนิ"


                    ทันทีที่เตเต้เคาะเป้เบาๆ  หัวของเจ้าแมวสีเทาแซมดำตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากเป้  มันหันมาจ้องมองรอสสักพักพร้อมปล่อยหาวออกมาวอดหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากเป้  ยืดตัวบิดขี้เกียจสักรอบ  ก่อนเดินไปนอนซุกบนตักเตเต้อย่างสบายอารมณ์


                   "ลูกชายเราเองนิ"  เตเต้กล่าวพร้อมกับมือลูบเจ้าเหมียวอย่างอ่อนโยน


                   เจ้าม้าเทียมเกวียนค่อยๆ จอดเทียบทางเข้าของตึกอำนวยการทรงโดมที่รอสมาสมัครเรียนเป็นครั้งแรก  โดยมีครูใหญ่ปันจมีกับหลินยืนรออยู่แล้ว   ครูใหญ่ปันจมีเพียงแค่โบกไม้คฑาทีเดียว  กระเป๋าของรอสและเป้อันเท่ากระบือของเตเต้ก็ลอยออกจากเกวียน ลงมาวางกับพื้นอย่างนุ่มนวล 


                    เมื่อรอสและเตเต้ที่อุ้มเจ้าแมวเหมียวลงมาจากเกวียนเรียบร้อยแล้ว  เจ้าม้าเทียมเกวียนก็ส่งเสียงร้องแล้วจึงเดินจากไปเมื่องานของมันเสร็จสิ้น


                   "หนูคือ ตาลอสติเตส  นักเรียนใหม่ที่จะมาวันนี้เหมือนกันใช่มั้ยจ๊ะ"  ครูใหญ่ปันจมีกล่าวกับเตเต้หลังจากทั้งสองกล่าวทักทายครูใหญ่ปันจมีเป็นที่เรียบร้อย


                   "ค่ะ  เรียกหนูว่าเตเต้ก็พอค่ะนิ"  เตเต้ยืนยิ้มหวานกล่าวกับครูใหญ่ด้วยน้ำเสียงสดใส


                    "งั้นหนูคงจะรู้จักกับ หนูเมเปิ้ล  ที่มากับหนูแล้วนะ  ขอให้ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ"


                    "ค่ะ"  น้ำเสียงของเตเต้เต็มไปด้วยความร่าเริงโดยไม่มีความรู้สึกเกร็งเมื่ออยู่ต่อหน้าครูใหญ่ท่านนี้แม้แต่น้อย  ซึ่งตรงกันข้ามกับรอสอย่างสิ้นเชิง


                    ครูใหญ่กวาดสายตามองทั้งสองด้วยสายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน


                   "งั้นเดี๋ยวให้หลินพาพวกหนูเข้าหอเลยละกันนะ  อ้อ...หนูเตเต้คงยังไม่รู้จักสินะ  นี่คือ หลิน ซัน  หัวหน้ากลุ่มอาสาสมัครรักษาความเรียบร้อยของโรงเรียนนี้  เป็นรุ่นพี่ของพวกเธอนะจ๊ะ"


                    หลิน ซัน  หญิงมาดเจ้าชายที่แม้แต่รอสยังอิจฉาเล็กน้อยในความเท่ของเธอ  ผู้ไม่เคยแยแสสิ่งรอบข้างนอกจากหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  บัดนี้สายตาอันคมคายของหล่อนกลับจ้องเตเต้อย่างไม่กระพริบตา  ใบหน้าอันสงบนิ่งบัดนี้แฝงไปด้วยความแปลกใจราวกับได้พบกับบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอะเจอในที่นี้


                    "........."


                    เหมือน หลิน จะอ้าปากเพื่อกล่าวอะไรบางอย่างออกมา  แต่เธอก็ปิดปากไม่ได้พูดอะไรออกมา 


                    "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ  รุ่นพี่หลินนิ  หนู่ชื่อ ตาลอสติเตส  แต่เรียกแค่ เตเต้ ก็พอนิ"  เตเต้ทักทายหลิน พร้อมๆ กับส่งยิ้มหวานทักทายรุ่นพี่ชั้นสูงกว่าด้วยความนอบน้อม


                     "......."

     
                     "เอาล่ะ  เมื่อรู้จักกันหมดแล้วงั้นครูขอฝากสองคนนี้ไว้กับเธอเลยก็แล้วกันนะ"  ครูใหญ่ปันจมีกล่าวกับหลินก่อนจะหันมาพูดกับรอสต่อ  "อ้อ...แล้วหนูเมเปิ้ลหลังจากเอาของไว้ในหอเสร็จแล้วมาหาครูที่อาคารอำนวยการหน่อยนะ  เดี๋ยวครูต้องจัดการเรื่องวิชาที่หนูจะลงเรียนด้วย" 


                      "ค...ค่ะ"  รอสตอบ


                     เมื่อธุระทุกอย่างได้พูดออกมาจนหมดแล้ว  ครูใหญ่ปันจมีก็ขอตัวปล่อยทิ้งให้หลินดูแลรับผิดชอบรุ่นน้องทั้งสองต่อ


                     "............."


                     หลินไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก  เดินนำทั้งสองที่ต่างแบกกระเป๋ากันคนละไม้คนละมือ  ไปยังหอพักตามที่ได้รับมอบหมาย  นอกจากทั้งสามที่สวมเครื่องแบบของโรงเรียนแล้ว  นักเรียนคนอื่นๆ ต่างใส่ชุดไปรเวทเดินกันให้ขวักไขว่   นักเรียนส่วนใหญ่เมื่อรับรู้ถึงการมาของหลิน  ก็มักจะกล่าวทักทายด้วยความนอบน้อมอย่างถึงที่สุดเท่าที่รุ่นน้องพึงกระทำต่อรุ่นพี่ได้  แม้แต่คนที่รอสคิดว่าอยู่ชั้นเดียวหรือสูงกว่าก็ยังให้ความเคารพยำเกรง หลิน อย่างถึงที่สุด  เมื่อหลินเดินผ่านพวกเธอไป  รอสสังเกตได้ถึงแววตาอันเป็นประกายลุกโชนที่พวกหล่อนจับจ้องเบื้องหลังของหลิน  เสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ นั้นดังไปตลอดทางที่หลินเดินผ่าน  ในขณะเดียวกันพวกหล่อนก็ส่งสายตาอิจฉาริษยาใส่ รอส และ เตเต้ อย่างร้อนแรงเสียจนจะเป็นแสงเลเซอร์ที่ยิงออกมาจากตาของไซคล็อปได้เลยทีเดียว   บ้างก็คุยซุบซิบนินทาเรื่องที่พวกเขาเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งจะมาเรียนเอาป่านนี้ 


                       "รุ่นพี่หลินนี่ดังเหมือนกันนิ" 


                     เตเต้แอบกระซิบคุยกับรอสซึ่งรอสก็ได้แต่พยักหน้าตอบไปงั้นๆ  เพราะตอนนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดีกับการที่ตกเป็นเป้าสายตาโดยเหล่าผู้หญิงที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อพวกเขาที่ริอาจได้ยืนเคียงข้างรุ่นพี่สุดเท่


                     แต่ว่า  นอกจากคนอื่นๆ ที่พากันกรี๊ดกร๊าดในตัวหลินแล้ว  ก็ยังมีบางคนที่พฤติกรรมตรงกันข้ามกับชาวบ้านเขาเหมือนกัน...


                    "โย่!  เมเปิ้ล!"


                    คนที่เดินเข้ามาทักทายรอสโดยไม่สนใจกับการมีตัวตนอยู่ของ หลิน อย่างที่นักเรียนหญิงคนอื่นเป็น  คือ สาวผิวแทน (แจ๊ส) ที่รอสพบเจอโดยบังเอิญตอนที่ช่วยเจ้าหมาน้อยถือเป้  เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อน  กางเกงยีนขาสั้น  เบื้องหลังสาวผิวแทนคนนั้นมีสาวน้อยผิวขาวผมสีดำยาว (คอนเน่) ที่รอสไม่เคยพบเห็นมาก่อน  ยืนเกาะแขนหลับอยู่เบื้องหลังสาวผิวแทนคนนั้นอย่างเขินอาย  เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน  กระโปรงพลีตยาวสีดำ


                    "เธอ...คนเมื่อตอนนั้น...รู้จักชื่อฉันได้อย่างไร"  รอสกล่าวกับแจ๊ส อย่างงงๆ  ที่หล่อนเข้าเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมทั้งๆ ที่แม้แต่ชื่อของเธอรอสเองยังไม่รู้เลย  แล้วเขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยบอกชื่อเธอไปตอนไหน


                    "โทษทีที่ไม่แนะนำตัวในตอนนั้น..."  แจ๊สและคอนเน่เดินร่วมขบวนไปกับรอสด้วย  "ไม่ต้องสนใจชื่อจริงชั้นร็อก  เรียกแค่ว่า แจ๊ส ก็พอ"


                     "เอ...เอ่อ...ช...ช...ชื่อ  คอเนเลีย ค...เค..."  คอนเน่เริ่มแนะนำตัวบ้าง  แต่เสียงของคอนเน่ที่เบาราวกับมดจามอยู่แล้ว ยิ่งค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ จนไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เธอพูดเลย


                     "เรียกเธอว่า คอนเน่ก็พอแล้ว  ชื่อจริงเธอมันยิ่งใหญ่เกินตัวเธอนะ"  แจ๊สตัดบทคอนเน่ที่มัวแต่อมพะนำพูดอุบอิบอยู่คนเดียว 


                      "เอ่อ...ส่วนฉันชื่อ..." 


                      ก่อนที่รอสจะได้แม้กระทั่งแนะนำตัวนั้น  แจ๊สก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน


                       "เมเปิ้ล  ไซรัส  อายุ 17 ปี  เกิด ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน อ้าย  ถิ่นที่อยู่มาจากหมู่บ้านอันห่างไกลในเขตเทือกเขาคาเรซาน....."  แล้วแจ๊สก็สาธยายประวัติสมมุติของรอสได้อย่างครบถ้วนอย่างน่าประหลาดใจ 


                      "เธอทราบได้อย่างไร"  รอสถามแจ๊สด้วยความแปลกใจ


                      "ทั้งๆ ที่ประวัติก็ดูธรรมด๊า ธรรมดา...แต่ทำไม๊อาจารย์ใหญ่คนนั้นถึงใช้เส้นให้เธอเข้ามาได้น่อ"    แจ๊สเผยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ออกมา  "ต้องเป็นคนสำคัญมากๆ แน่....เธออาจเป็นเจ้าหญิงจากที่ไหนซักแห่ง...ไม่สิ...หรือว่า...


                     เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจากส่วนกลางที่มาตรวจเรื่องพิลึกๆ ของโรงเรียนนี้...."


                     รอสหัวเราะเฝื่อนๆ  ถึงจะเป็นคำพูดทีดูออกจะเดาสุ่ม  แต่อย่างน้อยแจ๊สก็พูดถูกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตัวรอส  ใช่  เขาเป็นเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ  เพียงแต่เขาถูกส่งมาจากอีกฟากหนึ่งของเวิ้งน้ำแค่นั้นเอง 


                    "อาจารย์ใหญ่ปันจมีอาจจะแค่สงสารเมเปิ้ลเค้าก็ได้นิ..."  เตเต้พูดแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ เหมือนกับพยายามจะแก้ตัวให้รอส


                    "เห...เธอคงจะเป็นเด็กใหม่ที่จะมาวันนี้นี่  ชื่อตาลอสติเตสใช่มะ  อุตส่าห์ถ่อมาไกลจากอาจายาน่าเลยนี่นา"  แจ๊สหันมามองเตเต้พร้อมกับบอกชื่อและที่อยู่เสร็จสรรพ


                   "ว้าว...รู้ได้ไงว่าเรามาจากอาจายาน่านิ"  เตเต้ถามด้วยความตื่นเต้น


                  "ความลับทางราชการจ๊ะ"  แจ๊สตอบเตเต้


                  รอสที่ยังแปลกใจอยู่ว่ายัยแจ๊สคนนี้ล่วงรู้ข้อมูลของตัวเขาได้อย่างไร  แม้แต่ข้อมูลของเตเต้ยัยแจ๊สคนนี้ก็ยังรู้


                  ยายนี่ไปเอาข้อมูลพวกนั้นมาจากไหนกันแน่!


                 "นี่  แจ๊สใช่มั้ย"  รอสพยายามตีพูดคุยตีสนิทกับแจ๊สอย่างไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย  "คือฉันอยากทราบว่าเธอล่วงรู้ข้อมูลตัวฉันมาจากไหนเหรอ" 


                  "บอกแล้วไงว่าเป็นความลับ  เข้าคำนี้ใช่มั้ย  ความ ลับ นะ"


                  แจ๊สทำหน้าตายียวนหน้าถีบพอๆ กับซาฮาเลย  เพียงแต่ดูเหมือนแจ๊สรับรู้ถึงความต้องการของรอส  เธอจึงค่อยๆ เขยิบเข้ามาชิดตัวรอสพร้อมกล่าวลอยๆ  ออกมาเหมือนคุยกับตัวเอง


                  "แต่ว่านะ...ถ้าเป็นสมาชิกชมรมของชั้นละก็  ชั้นอาจจะยอมบอกวิธีให้ก็ได้นะ"


                  แจ๊สเหลือบมองรอสด้วยสายตาของหมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่กำลังเตรียมตระครุบกระต่ายน้อยๆ ที่ไม่รู้ประสีประสา


                   "สมาชิกชมรม....เหรอ"


                   ทันทีที่รอสกล่าวขึ้นมา  แจ๊สก็ไม่รอช้าควักม้วนเอกสารออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้พร้อมปากกาขนนกที่จุ่มหมึกเตรียมไว้เรียบร้อยโดยคอนเน่  ก่อนจะยื่นทุกอย่างให้รอส


                   "งั้นก็เขียนชื่อตัวบรรจงตรงนี้  แล้วก็เซ็นตรงนี้ด้วย"  แจ๊สยัดปากกาขนนกใส่มือรอสแล้วคลี่เอกสารนั่นให้รอสเซ็น


                   "ด...เดี๋ยวก่อน  ฉันแค่..."  


                    "เอาน่า  สมัครๆ ไปเถอะ  อยากรู้ไม่ใช่เหรอ  ไม่ถึงกับตายหรอกน่า" 


                    แจ๊สคยั้นคยอให้รอสเซ็นชื่อในเอกสารทั้งๆ ที่รอสเองยังไม่ทันได้อ่านรายละเอียดในเอกสารเสียด้วยซ้ำ  รอสเองที่ไม่มีอะไรที่จะต้องเสี่ยงไปมากกว่านี้อยู่แล้วก็เซ็นชื่อสมัครชมรมที่รอสไม่รู้แม้กระทั่งชื่อไปตามที่แจ๊สบอก


                   ....โดยหารู้ไม่ว่าที่แจ๊สบอกว่ามันไม่ถึงกับตายนะ  มันไม่ก็ตายจริงอยู่หรอก ...แค่เกือบๆ เท่านั้นล่ะ 


                    แต่นั่นมันเรื่องในอนาคตที่รอคอยรอสอยู่โดยที่รอสไม่คาดคิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อทั้งตัวเขา และภารกิจอย่างใหญ่หลวง   เมื่อรอสเซ็นเสร็จ  เอกสารในมือรอสก็ลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะม้วนตัวเองอย่างเรียบร้อย  แจ๊สรีบคว้าเอกสารนั้นกลางอากาศพร้อมๆ กับฉกปากกาขนนกในมือรอสคืน


                    "ชั้นขอขอบคุณเธอจากใจเลยจริงๆ นะเมเปิ้ล  ในที่สุดความฝันตลอดหนึ่งเทอมที่ผ่านมาก็เป็นจริงซะที"  สีหน้าของแจ๊สนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความลิงโลดสุดขีด  นัยน์ตาสีทองของเธอเบิกกว้างด้วยความปิติยินดีเสียยิ่งกว่าตอนรู้ผลว่าสอบติดโรงเรียนโซเฟียเสียอีก  "คอนเน่  พวกเราไปยื่นเรื่องกันก่อนที่จะไม่ทันเวลาเถอะ  ชั้นไม่อยากเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีแล้ว"


                   แจ๊สรีบลากคอนเน่ผละออกจากกลุ่มรอสโดยทันที 


                    "เฮ้ย...แล้วเรื่องความลับนั่นล่ะ!"  รอสตะโกนไล่หลังแจ๊สที่จากไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  โดยไม่บอกอะไรรอสตามที่เคยเปรยออกมาเลยแม้แต่น้อย


                     "เจอกันตอนสามโมงเย็นที่ห้อง ๕๐๓  หอพักต้นไม้ที่เธออยู่นั่นล่ะ  อย่าช้าล่ะ!"


                    แล้วแจ๊สกับคอนเน่ก็เดินสวนทางในทิศตรงกันข้ามจากไปซะอย่างนั้น  ปล่อยทิ้งให้รอสประณามความงี่เง่าของตัวเอง


                  "จริงเซ่....นี่มันพวกผู้หญิงนี่นา  จะเชื่ออะไรพวกป่าเถื่อนไม่รักษาสัจจะพวกนี้ได้"
    (เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงไม่เกี่ยวข้องกับ บุคคล สถานที่  สมาคม หรือ เหตุการณ์จริงแต่ประการใด)

     
                  รอสคิดด่าตัวเองในใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าเตเต้กำลังหัวเราะขบขำกับกับใบหน้าเซ็งตัวเองสุดขีดของรอส   แม้แต่หลินเองก็ดูเหมือนรู้ว่าเกิดจะเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรก  เหลือบมามองรอสเล็กน้อยด้วยความเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย  แต่เมื่อสายตาของหลินสบกันกับของเตเต้  เธอก็รีบหันหน้ากลับไปมองข้างหน้าตามเดิม    


                  จากนั้นไม่นาน  พวกเขาก็มาถึงหอพักต้นไม้ของนักเรียนปี 1 ที่ทำให้รอสอดทึ่งในความมหัศจรรย์ของมันไม่ได้ทุกครั้งที่ได้มองจากเบื้องล่าง   พวกเขาทั้งสามเดินผ่านกลุ่มเด็กนักเรียนสองสามคนที่แทบจะทำตัวไม่ถูกเมื่อพบกับรุ่นพี่ หลิน ในหอของนักเรียนปี บางคนก็เป็นปลื้มที่ได้พบกับหลินซะจนแทบตกจากบันไดเลย  แต่ถึงกระนั้นหลินก็คงเดินนำพวกรอสต่อไปโดยไม่สนใจท่าทีเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย  เหมือนกับเป็นเรื่องที่หล่อนชินชาไปเสียแล้ว 


                    พวกเขาทั้งสามขึ้นไปตามทางเดินไม้ที่วนไปตามลำต้นอันใหญ่โต  ผ่านประตูห้องและหน้าต่างมากมายที่แซมๆ อยู่ตามลำต้น  บริเวณรอบๆ ทางเดินจะมีรากไทรห้อยลงมาจากกิ่งไม้ด้านบนเต็มไปหมด  ในที่สุด  หลินก็มาหยุดตรงชั้นสามหน้าประตูไม้ที่ติดป้าย ๓๑๑  ตรงสุดปลายทางเดิน


                   "นี่คือกุญแจห้องของเธอ  รักษาให้ดีๆ ล่ะนะ..........แล้วอย่าลืมไปหาครูใหญ่ปันจมีตามที่นัดไว้ด้วยละ"  หลินยื่นกุญแจดอกหนึ่งให้รอสก่อนเดินจากไป 


                   "งั้นเดี๋ยวเราจะมาเยี่ยมนิ" 


                  เตเต้กล่าวกับรอสพร้อมกับเดินตามหลินไปปล่อยให้รอสจ้องมองดูเตเต้จากด้านหลังที่เห็นแต่เพียงเป้ใบใหญ่ที่เดินได้เท่านั้น


                  รอสวางกระเป๋าลง พลางดูลูกกุญแจสีเงินในมืออย่างงงๆ 


                  "ไอ้นี่มันใช้ไง?"       
     

                  ตั้งแต่เกิดมารอสไม่เคยเห็นสิ่งที่เรียกว่ากุญแจแท้ๆ  แบบนี้มาก่อน  กุญแจในความเข้าใจของรอสคือคีย์การ์ด หรือไม่ก็แถบรหัสคำสั่งอิเล็คโทรนิคที่ไว้ใช้ปลดล็อค  เจ้าแท่งยาวๆ มีร่องสลักแปลกๆ ตรงปลายแบบนี้รอสไม่มีเบาะแสเลยว่ามันใช้อย่างไร 


                   รอสลองเอากุญแจนั้นโบกไปมารอบๆ ประตู  แต่ประตูก็ยังไม่ยอมเปิด  ลองบิดตรงลูกบิดกลมๆ ที่รอสก็ไม่รู้ว่าอะไร  มันก็ไม่ยอมเปิด  แม้แต่ลองทุบประตู  ดึงลูกบิดนั่นสุดแรงเกิด  หรือตะโกนบอกให้มันเปิดออก  ประตูเจ้ากรรมบานนี้ก็ไม่เปิดออกเสียที  จนสุดท้ายกว่ารอสจะรู้ว่าต้องเอาเจ้าแท่งประหลาดๆ นั่นยัดใส่รูใต้ลูกบิด  แล้วค่อยไขเพื่อเปิดประตู ก็กินเวลาไปพอสมควร 


                   ตัวห้องนั้นดูกว้างกว่าที่เห็นภายนอกมาก  กว้างกว่าแฟล็ตที่รอสอยู่ในกองทัพด้วยซ้ำ  ถึงแม้บรรยากาศภายในห้องจะดูทึบไปหน่อยเพราะไม่ได้เปิดผ้าม่านรับแสงแดด  แต่รอสไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย  ตัวห้องนั้นแบ่งเป็นสองระดับ  มีส่วนพื้นที่สำหรับเก็บวางรองเท้า  แต่รอสที่ไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านก็เดินย่ำเข้าไปข้างในห้องทั้งๆ ที่ยังใส่รองเท้า  แต่ก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูเมื่อเข้าในห้องแล้ว


                   ภายในห้องรอสต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายอย่างถึงที่สุด  บนพื้นทำด้วยไม้ขัดมันเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ระเกะระกะเต็มไปหมด  รอสเผลอแม้กระทั่งเหยียบชุดนอนวันพีชสีเขียวอ่อนที่วางกองอยู่กับพื้น   ตรงริมผนังด้านซ้ายของห้องมีเตียงสองชั้นตั้งอยู่   ผ้าปูเตียงชั้นล่างหลุดลุ่ยยับยู่ยี่  ผ้าห่มบางส่วนกับหมอนข้างกองอยู่บนพื้น  ส่วนตัวหมอนกับปลอกก็แทบจะหลุดจากกัน


                   อีกฟากของห้องเป็นโต๊ะทำงานสองโต๊ะวางเรียงติดกัน  มีข้าวของ และหนังสือวางซ้อนๆ กันอย่างไม่เป็นระเบียบอยู่เต็มไปหมด  มีขวดหมึกถูกเปิดทิ้งไว้โดยมีปากกาขนนกปกคาอยู่  มีกองเอกสารกระจายไปทั่ว  มีแม้กระทั่งเสื้อชั้นในพาดตรงพนักพิงเก้าอี้  ตู้ไม้ที่อยู่ตรงปลายสุดของห้องถูกเปิดอ้าทิ้งไว้  เสื้อผ้าข้างเหมือนถูกสักแต่ยัดๆ เข้าไปโดยไม่มีการพับเก็บแม้แต่น้อย  ข้างๆ ตู้มีดาบสองเล่มวางอิงข้างๆ ตู้ไว้  รอสแทบไม่อยากจินตนาการเลยว่าเจ้าของห้องเดิมนั้นจะเป็นคนแบบไหนกันแน่ 


                   รอสต้องใช้เท้าเขี่ยของเพื่อทำทาง  ตอนนี้คงยังไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะเปิดกระเป๋าแน่  เขาจึงวางกระเป๋าไว้ข้างๆ เตียงแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้จ้องมองสภาพห้องด้วยความสลดใจ  สมแล้วที่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน  รอสคิดในใจ 


                  สายตาของรอสพลางไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานท่ามกลางกองกระดาษและหนังสือ  มันเป็นละอองเรืองแสงลอยไปมาอยู่ในขวดโหลแก้วที่ปิดไว้อย่างมิดชิด  มันดูคล้ายกับหิ่งห้อยที่รอสเคยเจอ  แตกต่างเพียงสีแดงฉาดราวกับเปลวเพลิงของมันที่ดูราวกับกำลังจะมอดดับลง 


                 รอสถือวิสาสะหยิบขวดโหลนั้นขึ้นส่องใกล้ๆ 


                "นี่มัน...." 


               แกร็กๆ...


                ก่อนที่รอสจะทราบว่าสิ่งนั้นคืออะไร  ก็มีเสียงก็อกแก็กอยู่หน้าประตู 


                "อ้าว...นี่ชั้นลืมล็อคห้องเหรอเนี่ย"


               เสียงของหญิงสาวที่มาพร้อมกับประตูที่ค่อยๆ แง้มออกมาพร้อมกับแสงสว่างที่ตัดกับบรรยากาศมืดครึ้มภายในห้องที่  เสียงดัง แอ๊ด~ ของบานประตูของดูราวกับจะกรีดหัวใจรอสให้เป็นเสี่ยงๆ 


               ใช่แล้ว...หัวใจรอสแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้รับรู้ถึงบุคคลที่ยืนอยู่หน้าห้อง


                เคร้ง!


               เสียงของดาบที่หล่นผล็อยลงมาจากมือของผู้มาเยือนบ่งบอกถึงความประหลาดใจสุดขีดของเธอที่ไม่ต่างจากรอสนัก


                "ย...ยัยนักวางเพลิง!"
     

           
                "ย...ยายนักดาบบ้าเลือดนั่น!"


                เสียงของทั้งสองประสารกันได้อย่างลงตัว  บุคคลนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก  เมลิซซ่า คู่แค้นเจ้าเก่าของรอสนั่นเอง  นัยน์ตาสีแดงขุ่นของหล่อนเบิกโพลงราวกับเพิ่งไปเจอผีมาอย่างนั้น  มืออันสั่นเทาของหล่อนค่อยๆ ชี้ใส่หน้ารอส


                 "ท.....ทำ....ทำไมเธอมาอยู่ในห้องช้านนนนน!"  น้ำเสียงเมลิซซ่าสั่นระรัวด้วยความช็อคอย่างรุนแรง


                 นี่มันเลวร้าย  เลวร้ายสุดขีด  ยิ่งกว่าที่รอสคาดการณ์ไว้เสียอีก  เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาคือคนที่เพิ่งเอาดาบไล่เสียบเขาเมื่อวานก่อนนี้เอง  ซ้ำยังเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกว่าจะเป็นโคลัมบัสเสียอีก


                 เพล้ง!


                 รอสพยายามตั้งสติเตรียมรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป  แต่มันก็ไม่ดีพอที่จะไม่ให้เผลอปล่อยขวดโหลในมือหล่นลงกับพื้น  ขวดโหลนั้นแตกทันทีเมื่อสัมผัสกับพื้น  ปลดปล่อยละอองเรืองแสงนั้นออกมา  ทันทีที่ละอองเรืองแสงนั้นสัมผัสกับกองกระดาษที่วางกระจัดกระจายบนพื้น  เพลิงสีแดงฉาดก็ลุกขึ้นมา  มันค่อยๆ ลามไปติดกระดาษแผ่นอื่นๆ อย่างรวดเร็ว


                 "เฮ้ย! หล่อนรีบดับไฟสิย่ะ"  เมลิซซ่าตะโกนใส่รอสอย่างบ้าคลั่ง  "แมลงเพลิงมันติดไฟแล้ว!"


                 "จะบ้าเหรอ!  ไปเอาน้ำมาดับมันเร็วเข้า  ไม่ก็ใช้เวทมนตร์ดับมันซะซี่"  รอสพยายามย่ำบนกองเพลิงเพื่อดับไฟ  แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะดับลงเลยแม้แต่น้อย  กลับยิ่งลามไปติดกองกระดาษที่อยู่บนโต๊ะอีก


                 "เธอนั่นล่ะ  รีบๆ ใช้เวทมนตร์ดับไฟสิย่ะ  รายงานชั้นจะไหม้หมดแล้ว!"  เมลิซซ่ากล่าวกับรอสอย่างตื่นตระหนก พร้อมกับเร่งรุดไปช่วยดับไฟอีกแรง


                 "ชั้นใช้เวทมนตร์เป็นซะที่ไหนเล่า  เธอนั่นล่ะ  รีบๆ ใช้เร็วเข้า!" รอสคำราม


                 เพลิงชักลุกโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ กินพื้นที่ไปครึ่งค่อนห้อง  จนรอสต้องรีบถอยห่าง 


                  "ชั้นเองก็ใช้เวทมนตร์ไม่เป็นเหมือนกัน!"  ประโยคที่เมลิซซ่าพูดออกมาแทบทำให้รอสสะดุ้ง  


                 "ไฟไหม้!  ใครก็ได้ช่วยดับที!"      
       

    @@@@@@@@@@@@@@@@@

    เฮ้อ...กว่าจะจบมันช่างสาหัสอะไรเช่นนี้  ไม่อยากจะบอกว่าอิมเมจของห้องเมลิซซ่าก็เอามาจากห้องผมเนี่ยล่ะ  เพียงแต่ไม่มียกทรงกะเสื้อนอนเกลื่อนตามพื้นแค่นั้นเอง  เหอๆๆ  แต่การ์ตูนเกลื่อนพื้นเลย 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×