ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Psalms of the New World

    ลำดับตอนที่ #29 : Invisible Agent

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 336
      0
      19 ม.ค. 51

                    "เธอใช้ส่วนไหนของร่างกายคิดกันแน่ คุณ (เมลิซซ่า) ล็อบบ์!  เอาแมลงเพลิงขึ้นไปบนหออย่างนั้นนะ!"


                  น้ำเสียงหงุดหงิดสุดขีดของอาจารย์ที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ทำเอาทั้ง รอส และเมลิซซ่า ตัวเกร็ง  โดยเฉพาะเมลิซซ่าที่หน้าซีดไปเลย  ทั้งเนื้อทั้งตัวของทั้งสองต่างมอมแมม  เหม็นกลิ่นควันคลุ้งอย่างกับเป็นไส้กรอกรมควัน 


                 ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักครู่   ก่อนที่ไฟจะได้ลุกลามไปทั่วทั้งหอ  บังเอิญมีรุ่นพี่คนหนึ่งที่บังเอิญถนัดเวทย์สายน้ำเดินอยู่แถวนั้นพอดิบพอดี  ดังนั้นเหตุเพลิงไหม้ที่มีทีท่าจะลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตจึงถูกหยุดยั้งไว้ได้อย่างทันท่วงที  แต่มันก็สายเกินไปที่จะรักษาห้องของเมลิซซ่าไว้ได้  ทั้งเนื้อทั้งตัวของเมลิซซ่าเหลือเพียงเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมอยู่  ดาบหนึ่งเล่ม  กับผ้านวมไหม้ๆ ในมือที่เมลิซซ่าพยายามใช้ดับไฟ  ตรงกันข้ามกับรอสที่ยังไม่ได้เปิดกระเป๋า  ดังนั้นสมบัติของรอสทุกอย่างจึงอยู่รอดปลอดภัย


                 เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำเอาทุกคนในหอพักต่างพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด  บ้างก็สะดุด  หกล้ม  เจ็บกันระนาว  บางคนถึงกับกระโดดลงมาจากชั้นห้า (แต่มีเวทมนตร์ช่วยเลยรับแรงกระแทกไปได้แทบทั้งหมด)  ทำเอาคนอื่นเดือดร้อนไปตามๆ กัน


                แน่นอน  ทั้งรอส และ เมลิซซ่าลงเอยต้องไปพบกับอาจารย์ฝ่ายปกครองเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้โดยทันที  อาจารย์ท่านที่ รอส กับ เมลิซซ่ากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้คืออาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครอง และ หัวหน้าภาควิชาการใช้อาวุธขั้นสูง  "เอสเมอรัลด้า  ลิงซ์  เฟลิไดอี"  ผู้ที่รอสจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นหนึ่งในคณะผู้ที่สัมภาษณ์เขาเมื่อวานก่อน  และเป็นผู้ที่คัดค้านการเข้าเรียนของเขามากที่สุดอีกด้วย  อาจารย์เฟลิไดอีเป็นคนตัวสูงเพรียว  ผิวออกสีแทนเล็กน้อย  ผมสีทองแดงรวบเป็นมวย  หน้าตาดูเหมือนจะเพิ่งสามสิบต้นๆ แต่ดูจากตำแหน่งแล้ว  รอสเชื่อว่าอายุจริงๆ ต้องมากกว่านั้นแน่นอน  นัยน์ตามรกตอันแหลมเรียวเหลือบมองทั้งสองด้วยความเอือมระอา     


                "เอ่อ...คือหนูเอามันมาทำรายงานที่ค้างไว้นะค่ะ" 


                เมลิซซ่าตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ  เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ท่านนี้  ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก  เนื่องด้วยวิธีการมองคนที่ดูราวกับมองจากที่สูงกว่า  หรือด้วยท่าทางอันสูงส่งยากจะเอื้อมถึง ก็มิทราบ  ทำให้อาจารย์ท่านนี้เป็นตัวเลือกสุดท้ายที่นักเรียนทุกคนอยากพบในยามที่เกิดปัญหา


                "นี่เธอไม่ใช้สมองที่มีรอยหยักอันเล็กน้อยคิดเลยเหรอว่าของติดไฟง่ายเป็นข้อห้ามของหอต้นไม้นะ" 


                "ต...แต่ว่า  หนูก็เก็บมันไว้อย่างดีนะค่ะ  ถ้าเกิดว่า..."  เมลิซซ่ามองตาเขียวปั๊ดมาทางรอส  "(ยัย) เธอคนนี้ไม่ไปเล่นซนกับมันซะก่อนนะค่ะ"


                 "แต่เธอก็เป็นเจ้าของแมลงเพลิงไม่ใช่รึ"  อาจารย์ เฟลิไดอี เหลือบชายตามามองทางรอส ก่อนจะหันมากล่าวกับเมลิซซ่า  "แล้วคงจะโทษเด็กนี่ไม่ได้ด้วย  อย่าง คุณ ไซรัป  ดูจากสำเนียงแล้วก็ทราบได้ทันทีว่ามาจากสถานที่อันห่างไกล (เรียกสั้นๆ ว่าบ้านนอกนั่นแล)  คงจะไม่รู้จักหรอกว่าแมลงเพลิงคืออะไร  จริงมั้ย  คุณ ไซรัป"


                  รอสทำได้แต่ยืนทำหน้าเอ๋อไม่รู้เรื่องรู้ราว  เออออไปตามอาจารย์ทั้งๆ ที่รอสก็รู้ตัวว่ากำลังโดนดูถูกอยู่  แต่เรื่องแค่นี้มันจิ๊บจ้อยถ้าเทียบกับภารกิจที่เขาต้องรับผิดชอบในขณะนี้


                  "เชื่อเลย  ยังไม่ทันจะเข้าเรียนด้วยซ้ำก็เรื่องซะงามหน้าแล้ว  อาจารย์ปันจมีคิดยังไงถึงเอาเด็กนี่เข้ามานะ"  อาจารย์เฟลิไดอีบ่นกับตัวเอง  แต่ถึงกระนั้นรอสก็ได้ยินทุกคำพูดของอาจารย์  "เฮ้อ...อย่างนี้ครูเองก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพักการเรียนพวกเธอแล้วล่ะ"


                   "พักการเรียนเหรอค่ะ!"  น้ำเสียงของเธอสั่นเทาด้วยความใจหาย  หน้าของเธอซีดเซียวลง  รอสเองก็ตกใจไม่แพ้เมลิซซ่าเช่นกัน  เพราะนั่นจะเป็นการทำให้แผนการของเขาต้องพังทลายในชั่วพริบตา  เขาเองก็ไม่มีเวลามากพอที่จะรอได้อีกแล้ว


                    ในระหว่างนั้นเอง  เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนประตูห้องจะถูกเปิดออกพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของครูใหญ่ปันจมี


                   "นี่ฉันมารบกวนเธอรึเปล่า  เอสเมอรัลด้า"  ครูใหญ่ปันจมีค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ


                  "อ้อ  อาจารย์ปันจมีมาได้เวลาพอดีเลยค่ะ  เชิญนั่งก่อนเลยค่ะ" 


                   อาจารย์ เฟลิไดอี ค่อยๆ ยืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพเวลากล่าวกับอาจารย์ที่ตำแหน่งสูงกว่ากว่า  แต่ถึงกระนั้น  อาจารย์ เฟลิไดอี ยังคงไว้ซึ่งท่าทางของผู้สูงศักดิ์ และสง่างามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครูใหญ่ปันจมีเลยแม้แต่น้อย  ทันทีที่อาจารย์เฟลิไดอี โบกมือเบาๆ  เก้าอี้ไม้ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตรงหน้าครูใหญ่


                   "ไม่เป็นไรหรอก เอสเมอรัลด้า  ฉันมาแค่สักครู่เท่านั้นล่ะ"  ครูใหญ่ปันจมีโบกมือปฏิเสธ  ก่อนเก้าอี้ตัวนั้นจะเคลื่อนตัวกลับไปยังที่เก่า  "ว่าแต่  อาจารย์มีธุระอะไรกับเด็กสองคนนี้งั้นเหรอ  เห็นว่าหนูเมเปิ้ลไม่มาสักทีเลยลองเดินออกตามหา  ไม่คิดว่าจะอยู่กับเธอนะ" 


                   "ค่ะ...ดิฉันกำลังสอบสวนเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดจากความสะเพร่าของทั้งสองที่ทำให้นักเรียนคนอื่นๆ ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงค่ะ  ดังนั้น  ดิฉันก็อยากจะได้ความคิดเห็นจากอาจารย์เหมือนกัน  ในฐานะที่เป็นอาจารย์ปกครองของ คุณไซรัป ด้วย" 


                   "ฉันพอจะได้ยินมาบ้างแล้วล่ะ"  ครูใหญ่หันมามองทั้งสองด้วยความอบอุ่น  ปราศจากความรู้สึกกดดันตรงข้ามกับอาจารย์เฟลิไดอีอย่างสิ้นเชิง  "แต่ครูก็อยากฟังความจากหนูเมลิซซ่าอีกทีล่ะจ้ะ"


                     เมลิซซ่าเริ่มเล่าเหตุการณ์ให้ครูใหญ่ปันจมีฟังอีกครั้งด้วยท่าทางอันกระอักกระอ่วน


                     "งั้นหรือ"  สีหน้าของครูใหญ่ปันจมีนั้นยังสงบนิ่งเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด  "แล้วที่หนูเมเปิ้ลไม่รู้จักแมลงเพลิงนั้น...."


                     "ขนาดแมลงเพลิงเด็กคนนี้ยังไม่รู้จัก  แล้วตอนเวลาเรียนจะไม่มีปัญหาแน่งั้นหรือค่ะ  อาจารย์ปันจมี"  อาจารย์เฟลีไดอีกล่าวแย้งขึ้นมาราวกับจะย้ำว่าที่ครูใหญ่ปันจมีรับรอสเข้ามานั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาด


                     "อืมมมม"  ครูใหญ่ปันจมีหลับตาคิดอยู่สักครู่  ก่อนจะหันไปกล่าวกับรอส  "หนูเมเปิ้ลอาจจะไม่รู้จักแมลงเพลิง  แต่ถ้าครูถามว่า  'แร่ไพไรท์' แล้วละก็  หนูพอจะบอกได้ไหมว่ามันคืออะไร"


                     รอสยืนนิ่งไปสักครู่ดูราวกับเขาลังเลที่จะพูดออกมา  รอสหันไปมองครูใหญ่ปันจมีเชิงขอยืนยันคำสั่งอีกครั้ง  ครูใหญ่ปันจมีเพียงพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้


                   "แร่ไพไรท์  เป็นแร่ที่....."  แล้วข้อมูลอันละเอียดยิบบวกกับน้ำเสียงโมโนโทนก็เริ่มพรั่งพรูออกมาจากปากของรอสสร้างความตกตะลึงให้กับเมลิซซ่า  แม้กระทั่งอาจารย์เฟลิไดอีที่แสนหยิ่งยังแสดงถึงท่าทีประหลาดใจให้เห็นออกมาทางสีหน้า  โดยคิ้วของอาจารย์เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ  ".... มักจะพบอยู่ในใต้พื้นพิภพ  แร่ไพไรท์ดิบในสภาพที่ยังไม่ได้สกัด  เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนจะเผาไหม้ให้ความร้อนสูง  ติดไฟง่าย  เนื่องจาก..."


                   "พอแค่นี้ละเมเปิ้ล  ขอบคุณมากนะจ๊ะ  หนูให้ข้อมูลมากกว่าที่ครูรู้ซะอีก  จริงมั้ย  อาจารย์เอสเมอรัลด้า"  ครูใหญ่ปันจมีหันไปยิ้มให้กับอาจารย์เฟลิไดอี  ก่อนจะหันกลับมาคุยกับรอสต่อ  "แร่ไพไรท์ที่หนูรู้จักนะ  ก็คือ แมลงเพลิงนั่นล่ะจ้ะ"


                   "งั้นถ้าคุณ ไซรัป เชี่ยวชาญเรื่องแมลงเพลิงขนาดนี้แล้วย่อมต้องทราบถึงอันตรายของมันด้วย  แต่ทำไมยังไปยุ่งกับมันล่ะ"  อาจารย์เฟลิไดอีกล่าวทักขึ้นมา


                   "ถ้าผ...หนูทาบว่ามันเป็นแร่ไพไรท์ละก็  หนูไม่มีทางที่จะไปยุ่งกับมันหรอกค่ะ"  รอสเอ่ยปากแย้งอาจารย์เฟลิไดอีเป็นครั้งแรก


                   สายตาของอาจารย์เฟลิไดอีเหลือบมองรอสราวกับกำลังมองดูมดตัวเล็กๆ บนพื้นสักครู่  "แต่ถึงยังไงก็ต้องมีบทจัดการลงโทษทั้งสองอยู่ดี  โดยเฉพาะ คุณล็อปป์  ที่นำแมลงเพลิงขึ้นไปทั้งๆ ที่ทราบถึงอันตรายของมัน"


                   "เอสเมอรัลด้า  เธอไม่ลองให้โอกาสทั้งสองนี่หน่อยเหรอ  เมเปิ้ลเองก็เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่  ยังไม่ค่อยประสีประสากับกฎ หรือข้อบังคับของโรงเรียนมากนัก  เมลิซซ่าเองก็เป็นเด็กดี  คอยทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือโรงเรียนมาโดยตลอด  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็น่าจะเป็นการลงโทษที่เพียงพอต่อความเลินเล่อของเธอแล้วล่ะ  ว่ามั้ย"     


                    รอสในเวลานั้นรู้สึกว่าน้ำเสียงของครูใหญ่ปันจมีราวกับเป็นน้ำเสียงของพระผู้มาโปรดผู้ให้อภัยกับบาปทุกๆ อย่างบนโลกนี้  เมลิซซ่าที่เตรียมใจว่าจะต้องถูกต่อว่าอีกรอบเหมือนเมื่อคราวก่อนพลันรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของครูใหญ่ปันจมีจนน้ำตาแทบจะไหลเลยทีเดียว


                    อาจารย์เฟลิไดอียืนนึกพิเคราะห์อยู่สักครู่ก่อนจะตัดสินใจด้วยอาการออกจะไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่จะไม่เอาโทษทัณฑ์ตามที่ครูใหญ่ปันจมีเสนอ  "ถ้าอาจารย์ปันจมีกล่าวขนาดนี้ละก็  ดิฉันเองก็คงไม่ขัดหรอกค่ะ"


                   "ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวเด็กสองคนนี้ไปก่อนละนะ  ดูเหมือนจะมีเรื่องให้จัดการหลังจากนี้อีกเยอะเลย"  ครูใหญ่ปันจมีกล่าวด้วยรอยยิ้มอันสงบราวกับผู้อิ่มบุญ    


                    "ถ้างั้น" อาจารย์เฟลิไดอีเหลือบมองไปยังประตูห้อง "เดี๋ยวดิฉันเองก็มีธุระกับพวกชอบสอดรู้สอดเห็นข้างนอกเหมือนกันค่ะ"


                    ทันใดนั้น  ผนังห้องที่อยู่ด้านเดียวกับประตูก็พลันอันตรธานหายไป  เผยให้เห็นแจ๊สที่กำลังเอาหูแนบฟังกำแพงล่องหนไปแล้วอย่างชัดเจน  โดยข้างๆ คอนเน่ที่โดนแจ๊สบังคับเอาหูแนบกับกำแพงด้วย  ส่วนที่ยืนรอคอยอย่างกระวนกระวายใจอยู่ด้านนอกคือ แพทตี้ ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับกำแพง  จึงพยายามเตือนแจ๊สที่ยังไม่รู้ตัว 


                    แต่มันก็สายไปแล้ว


                    กว่าที่แจ๊สกับคอนเน่จะรู้ตัว  อาจารย์เฟลีไดอีก็มายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าทั้งสองที่ถูกขวางกั้นโดยเพียงกำแพงที่โปร่งใสแล้ว  เพียงแค่คอนเน่เผลอไปสบตากับอาจารย์เท่านั้น  ตัวเธอก็แข็งทื่อล้มเป็นลมไปทันที  ราวกับเจ้าลูกหมาตัวน้อยๆ ที่กำลังเผชิญหน้ากับพยัคฆ์เจ้าป่าแล้วถูกเจ้าป่าเอาตีนเหยียบอย่างนั้นล่ะ 


                     "ซวยแล้วสิ"


                     เมื่อคอนเน่สลบไป  ก็เหลือทิ้งไว้แต่แจ๊สที่ต้องยิ้มใจดีสู้เสือที่เพิ่งพยักหน้าเชิงบอกให้เธอเข้ามาพบ 


                     ส่วนแพทตี้ที่ยืนอยู่ข้างนอกอย่างเรียบร้อยก็ได้รับการละเว้น  เพียงแค่ถูกสายตาสีมรกตสุดเหี้ยมเหลือบมอง  ซึ่งแพทตี้ก็พงกหัวสวัสดีอาจารย์เฟลิไดอีงกๆ อย่างรู้หน้าที่


                      "งั้นพวกเธอตามครูมาเลยแล้วกันนะจ๊ะ"  ครูใหญ่กล่าวกับรอสและเมลิซซ่าก่อนเดินนำทั้งสองสวนกับแจ๊สและคอนเน่ที่กำลังเดินอย่างเสียวไส้เข้ามาในห้องราวกับกำลังย่างก้าวเข้าสู่ถ้ำเสือที่มีแต่แม่เสือกำลังแยกเขี้ยวรอคอยอยู่


                      แล้วประตูห้องก็ปิดลง  เหลือแต่เพียงแจ๊ส  คอนเน่ที่ยังสลบเหมือดอยู่  และอาจารย์เฟลีไดอี  ที่ยืนตรงอย่างองอาจอยู่กลางห้อง 


                      "เอาล่ะ  มีธุระอะไรกับครูงั้นหรือ  คุณนักเรียน" 

    .................................................
    .............................................
    ....................................
    ..............................
    ............
    ....

                      หลังจากที่จัดแจงธุระกับนักเรียนเจ้าปัญหาทั้งสองเรียบร้อยแล้ว  ครูใหญ่ปันจมีก็เดินกลับมายังห้องทำงานอันสงบเงียบของตน  โต๊ะทำงานไม้ที่ดูราวกับจะงอกออกมาจากดินตั้งอยู่ตรงกลางห้องทรงกลมที่สว่างไสวจากแสงแดดยามสายข้างนอก 


                      เมื่อครูใหญ่ก้าวเท้าเข้ามาข้างในแล้ว  ประตูไม้ด้านหลังก็ค่อยๆ ปิดลง  หน้าต่างทั้งหลายก็ค่อยๆ ปิดกันอย่างพร้อมเพรียง  ไฟบนแชนเดอเลียเหนือศีรษะขึ้นไปกลางห้องถูกจุดขึ้นสร้างแสงสีส้มสลัวๆ ส่องสว่างทั่วห้อง


                     ครูใหญ่ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างช้าๆ  เอนหลังลงกับพนักพิงอย่างเหนื่อยอ่อน  พลางบ่นพูดกับตัวเอง


                     "เฮ้อ...เวลาร่างกายมันแก่ตัวลง  ทำอะไรๆ มันก็เหนื่อยไปหมดไม่เหมือนสมัยสาวๆ เลย.........


                     ว่ามั้ยคะ  ท่านผู้ตรวจการณ์"


                     "รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"


                      ภายในห้องที่ไร้ซึ่งผู้อื่นนอกจากตัวของครูใหญ่ปันจมีเอง  กลับมีเสียงคำพูดโต้ตอบกับครูใหญ่ดังก้องกังวานในห้องโดยไม่สามารถจับทิศทางที่มาของเสียงได้  น้ำเสียงของ "ท่านผู้ตรวจการณ์" ตอบออกมานั้นออกแหบแห้งผิดแผกจากผู้คนทั่วๆ ไป แต่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจอันล้นเหลือ


                     "ตั้งแต่แรกที่ท่านเริ่มตามดิฉันเมื่อตอนไปรับพวกนักเรียนใหม่นั่นล่ะค่ะ"  ครูใหญ่ปันจมีไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย  กลับมีสีหน้าพึงพอใจที่อีกฝ่ายแสดงตัวออกมาเสียทีเสียด้วยซ้ำ


                     "งั้นหรอกหรือ"  ท่านผู้ตรวจการณ์ที่ยังไม่เผยตัวตอบ


                     "ว่าแต่ท่านคงไม่ได้แค่มาเยี่ยมคนรู้จักเก่าแก่ที่เป็นไม้ไกล้ฝั่งอย่างดิฉันหรอกนะคะ" ครูใหญ่ยังเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม


                     "ถ้ามาด้วยเรื่องแค่นั้นได้ก็ดีสิ"  ท่านผู้ตรวจการณ์กล่าวต่อไป  "แต่ก็อยากที่กล่าวมานั่นล่ะ  ข้ามาคราวนี้ด้วยเรื่องราชการ  รายละเอียดคงเปิดเผยไม่ได้หรอก"


                    "งั้นในนามของตัวแทนของโรงเรียนโซเฟีย  ดิฉันยินดีที่จะให้ความร่วมมือท่านทุกอย่างที่...."


                    "ปันจมี  เจ้ากับข้าก็รู้จักกันมานาน  ถ้าข้าต้องการความร่วมมือกับเจ้าใยข้าต้องกระทำการลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย" 


                     ครูใหญ่ปันจมียังคงยิ้มอยู่อย่างไม่ยี่หระกับคำพูดของท่านผู้ตรวจการณ์


                    "งั้นหรือค่ะ"


                     มีเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ จากท่านผู้ตรวจการณ์


                     "ในฐานะที่เจ้ากับข้าก็คบหากันมานาน  ข้าอยากจะเตือนเจ้าไว้หน่อยก็แล้วกัน...ตอนนี้พวกผู้ใหญ่ทางรัฐบาลแห่งชาติกำลังจับตามองทางนี้อยู่นะ"


                     "แหม  ท่านมาบอกดิฉันอย่างนี้ไม่แย่หรอกเหรอค่ะ"  ครูใหญ่กล่าว


                      "อย่างเจ้าเรื่องแค่นี้คงจะรู้ตัวอยู่แล้วล่ะ  ว่าแต่เจ้านะไม่แย่กว่ารึ  ปกติไม่เคยเห็นรับนักเรียนเข้ามาเลยไม่ใช่รึ  ใยครานี้ถึงรับเอาเด็กท่าทางเอ๋อๆ ที่ไม่รู้จักแม้แต่แมลงเพลิงเข้ามาล่ะ"


                       ครูใหญ่ปันจมีก็เพียงแต่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา


                       "นอกจากชื่อ แมลงเพลิง แล้ว มันยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ปรกติจะไม่ค่อยมีใครในอาราเนียรู้จักมากนักนอกจากคนแก่ๆ อย่างดิฉันเพียงสองสามคนเท่านั้นล่ะค่ะ"


                      "งั้นหรอกหรือ"  ท่านผู้ตรวจการณ์เงียบหายไปสักครู่  "ถ้างั้นข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้วล่ะ  ไว้คราหลังถ้าไม่ติดงานราชการพวกเราคงจะได้ไปชมดอกไม้กันอีกนะ"


                      "ดิฉันจะตั้งตารอถึงวันนั้นเลยค่ะ"


                      ถึงตอนนั้นเสียงท่านผู้ตรวจการณ์ก็เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย  ราวกับไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้องเลยตั้งแต่แรก  ใบหน้าของครูใหญ่ปันจมียังคงรอยยิ้มอันอบอุ่นไว้อยู่ 


                       "ใช่แล้วล่ะ  มีน้อยคนนักในดินแดนฝั่งของอาราเนียที่จะรู้ว่า แร่ไพไรท์ คืออะไร..... นอกจากเพียงไม่กี่คนที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีที่แล้วที่จะรู้จักชื่อนี้  ก็มีอีกเพียงพวกเดียวเท่านั้นที่เรียกแมลงเพลิงว่า แร่ไพไรท์....


                        คือพวกที่มาจากอีกฟากหนึ่งของกำแพงน้ำนั่นเอง!"

    จบตอนซะเลยดีกว่า 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×