คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : chatper 6 หรือว่าอาจจะเป็นเขา?
“งื้ออ ตัวเล็กก”
มือใหญ่คลำผ้าปูที่นอนข้างตัวก่อนจะค่อยๆลืมตาเมื่อสัมผัสได้ว่าคนที่กำลังร้องเรียกไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ จงอินลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางงัวเงียความสะลึมสะลือทำให้สมองพยายามประมวลผลว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน
จนดึงสติกลับมาได้ถึงนึกออกว่านี่คือห้องคยองซู...
เมื่อคืนนี้หลังจากที่จงอินวางสายจากคยองซูเขาก็รีบขับรถมาที่นี่เลย
ไม่อยากจะบอกว่าคยองซูสะเพร่ามากๆจนน่าโมโห
ทั้งที่อยู่เฝ้าบ้านคนเดียวแต่กลับไม่ล๊อคประตูอะไรเลย ประตูบ้านก็ไม่ล๊อค
ประตูห้องก็ไม่ล๊อค จงอินมั่นว่าคยองซูจะเอาตัวรอดได้...แต่ถ้าโจรมากันหลายๆคนจะทำยังไง
เปิดบ้านอย่างกับรอใครอย่างนั้นแหละ
“ตอนนี้เป็นไงบ้าง”
“ก็เรื่อยๆ”
“นี่คยองซูยังไม่เลิกบุหรี่อีกหรอ
ตั้งแต่ตอนนั้น..”
“แล้วทำไมกูต้องทำตามที่มึงบอก”
ขายาวๆหยุดลงที่ขั้นบันได
อีกเพียงสองก้าวจงอินก็คงได้รู้ว่าเสียงตอบโต้ที่คยองซูสนทนาด้วยเป็นใคร
แต่เพราะประโยคเมื่อกี้ทำให้จงอินยอมหลบอยู่ภายในบ้าน เขาแค่อยากรู้ว่าเสียงใหญ่ๆนั้นจะพูดอะไรต่อ...ใครกันนะที่มีอิทธพลกับคยองซูมากมายขนาดสั่งให้ทำนู้นทำนี่ได้
“ว่าแต่ตอนนี้มีแฟนใหม่หรือยัง?”
“ไม่เสือกดิ”
คยองซูตอบไปสั้นๆก่อนจะปล่อยควันสีหมอกออกมาพร้อมจังหวะการถอนหายใจ
แอบพลิกข้อมือดูนาฬิกานิดหน่อย เวลาเกือบเที่ยงแบบนี้จงอินน่าจะตื่นสักที เขาทั้งหิวทั้งหงุดหงิด อย่างน้อยจงอินน่าจะเข้ามาพาเขาออกจากบรรยากาศบ้าๆนี่ ....เขารำคาญจะแย่อยู่แล้ว
“ฉันก็ยังไม่เคยลืมนะว่าเรารักกะ...”
.
.
“คยองซู มึงกินข้าวยัง”
จงอินไม่ได้โง่และเขาเดาทางออกเลยว่าผู้ชายคนนั้นจะพูดอะไรต่อ และตอนนี้ภาพที่เห็นคือคยองซูกำลังนั่งกับผู้ชายตัวสูงคนนึง ดูๆแล้วน่าจะสูงกว่าเขาซะอีก ชายคนนั้นมองเขานิดหน่อยก่อนจะส่งยิ้มทักทายแต่กลับเป็นจงอินที่เสียมารยาท เขาแค่ปรายตามองคนตัวสูงและระยะห่างระหว่างหมอนั่นกับคยองซู
ถึงจะนั่งห่างกันคนละมุมแต่จงอินก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี
“ตื่นแล้วหรอ หิวยัง กับข้าวอยู่ในครัว”
“….”
“ไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป”
จงอินเดินกลับไปด้วยท่าทางหงอยๆ
จากที่หิวข้าวตอนนี้มันกลายเป็นความรู้สึกน้อยใจจนกินอะไรไม่ลงมากกว่า
คยองซูแค่มองหน้าเขาแล้วยิ้ม ทิ้งบุหรี่ลงพื้น เหยียบมัน และตอบกลับมาแค่สองสามคำ
แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเดินตามมาเลยด้วยซ้ำ จงอินไม่รู้จักผู้ชายคนนั้น
เหมือนที่บางครั้งจำชื่อเพื่อนคยองซูไม่ได้ แต่มันไม่เหมือนกัน
ไม่มีครั้งไหนที่เขาอยากจะงอแงใส่คยองซูมากขนาดนี้
เป็นใครก็ไม่รู้แหละ รู้แค่ไม่อยากให้เข้าใกล้
อยากจะจับคยองซูมัดเอาไว้จริงๆ
จะได้ไม่ต้องรู้จักใครอีกเลยนอกจากเขา..
“คนห่าอะไรขี้เสือกชิบหาย”
คยองซูจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นการถอนหายใจครั้งที่เท่าไหร่ของวัน เสียงออดที่น่ารำคาญในตอนเช้าดังขึ้นจนคยองซูกลัวว่าคนที่นอนหลับอยู่ข้างบนจะตื่นทั้งที่พึ่งได้พักผ่อนไปไม่กี่ชั่วโมง แต่ยังโชคดีที่ชานยอลมาตอนที่เขาทำกับข้าวเสร็จแล้ว คยองซูคิดว่าการตื่นมาแต่เช้าทั้งที่แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะมัวแต่คอยระแวงว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาจะใช่คนที่รอหรือเปล่ามันไม่ได้ทำให้เขาหงุดหงิดเท่ากับการที่ต้องมานั่งตอบคำถามไร้สาระของชานยอล..สาบานได้ว่าถ้าไม่เห็นแก่ความสุภาพเสมอต้นเสมอปลาย คยองซูจะด่าให้หน้าสั่นเลย..
“อ้าว ทำไมมานอนตรงนี้ ไม่ไปแดกข้าวล่ะ”
“...”
“น่ะ อ้อนตีนอีกแล้ว ลุกเลย”
เพราะจงอินดื้อไม่ยอมลุก
คยองซูถึงได้ลงไปนั่งบนโซฟาที่มีคนขี้อ้อน(ตีน)นอนซบหน้าบนมือที่ประกบกันแทนหมอน
ถึงไม่ได้พูดอะไรแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจงอินหลับ พื้นที่แคบๆจนต้องนอนตะแคงเมื่ออีกคนทิ้งตัวลงนอนข้างๆ
มือใหญ่รั้งสะโพกกลมไว้ไม่ให้หงายหลังตกโซฟา จงอินขยับตัวขึ้นไปซุกหน้าลงกับซอกคอขาวอยากจะกอดอีกคนเอาไว้
ไม่อยากให้เดินไปไหน ไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้คุยกับใคร และความงอแงมันกำลังเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นอยากล้างสมองคนที่มีชื่อคยองซูอยู่ในหัว..จะได้มีแต่เขาคนเดียวที่รู้จักคยองซู
หรือถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะพับคยองซูเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ไปเลย น้ำก็ไม่อาบ สกปรก”
“อ่ะ ให้ดม หัวเหม็นเปล่า”
“อี๋~ หมาตายบนหัวมึงป่ะเนี้ย”
การที่จงอินไม่ได้ตอบหรือเถียงอะไรและมีแค่ลมหายใจแรงๆที่รดต้นคอนั่นพอจะทำให้คยองซูจับสังเกตอะไรได้บางอย่าง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับเขาซะแล้วสิ..
“อื้ออ สัส จะนอนก็นอนดีๆ อย่าแรด!”
แต่อารมณ์อย่างอื่นก็ไม่แน่...
สัมผัสแรงๆที่กระทบลงมาจนหัวสั่นกระบาลลั่นไม่ได้หยุดจมูกซนๆที่เริ่มไล้ไปตามลำคอขาว ปากก็ดูดเม้มเนื้อที่ไหลมารวมอยู่ใต้คางเหมือนมันเขี้ยว มือหนาเริ่มสอดล้วงไปถกเสื้อจนอยู่ในสภาพที่ควรจะถอดออกไปให้หายรำคาญ กลิ่นตัวของคยองซูมันเหมือนฟีโรโมน เนื้อตัวก็นุ่มนิ่มน่ากัดเหมือนเยลลี่ จะหอมจะจุ๊บตรงไหนก็มีเสียงไปหมด...น่ารัก ร่างกายคยองซูมันน่ารักมุ้งมิ้งจนอยากจะฟัดให้จมเตียงจริงๆ
ฟัดให้สมกับที่มีสิทธิได้ฟัดเพียงคนเดียว
“เบื่อโซฟาที่ห้องแล้วลองโซฟาที่บ้านมึงบ้างดีกว่า”
“อื้อออ”
"จงอิน อื้มม"
.
.
“ไม่เอาและ หิวข้าว ไปกินข้าวดีกว่า”
“ห๊ะ?”
จงอินลุกข้ามตัวคยองซูเดินหนีเข้าไปในครัวโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ อยู่ๆก็ทิ้งความต้องการให้โดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล ค้างคาและว้าเหว่
นี่แหละความจงอิน...เหมือนจะหายงอน แต่ถ้านึกขึ้นได้ก็งอนใหม่ จริงๆจงอินเป็นแบบนี้จนเขาชินแล้วล่ะ..แต่
แต่
แต่
..แต่ใครจะรับผิดชอบน้องคยองของเขาล่ะ ฮือออ
“ท้องเสียหรอ เข้าห้องน้ำซะนานเชียว”
“สัส เดี๋ยวก็ถีบไปนู้น”
คนตัวเล็กได้แต่มองค้อนกับคำพูดกวนประสาทของอีกฝ่าย เกลียด..คยองซูเกลียดสีหน้าตอแหลของจงอินตอนนี้จนอยากจะสาดด้วยต้มจืด
อยากจะด่าว่าเป็นเพราะมึงนั้นแหละที่ทิ้งให้กูนั่งเอ๋อประติดประต่อเรื่องไม่ถูกอยู่คนเดียวบนโซฟา
ยังจะมีหน้ามาพูดมากอีก จงอินนี่มันจงอินจริงๆเลย!
“อ่ะๆ กินซะนะน้องคยองของงินงิน”
กับข้าวถูกตักใส่จานของคยองซูจนพูน ทั้งขำทั้งสงสารและสะใจในเวลาเดียวกัน เขายังงอนคยองซูอยู่ถึงจะบอกไม่ได้ว่างอนอะไรมากกว่ากันระหว่างการที่คยองซูไม่เดินตามมา หรือ การที่ตื่นมาเห็นคยองซูคุยกับคนอื่น.. แต่จงอินคิดว่ามันน่าน้อยใจทั้งคู่นั้นแหละ คยองซุชอบสนใจคนอื่นมากกว่าเขาตลอด
ทีนี้รู้หรือยังว่าถ้าเขาไม่สนใจจะเป็นยังไง หึหึ สาแก่ใจจงอินจริงๆ
“น้องคยองบ้านมึงดิ มันแดกข้าวได้ที่ไหนล่ะ!”
สีหน้าเหวี่ยงๆของคยองซูไม่ได้ทำให้จงอินสลดเลยแม้แต่น้อย
คนฝั่งตรงข้ามยังคงนั่งขำเหมือนสะใจจนน่าฟาด
น้องคยองบ้าบออะไรใครเขาสอนให้พูดจาทะลึ่งขนาดนี้บนโต๊ะอาหาร
นอกจากจะแล้งน้ำใจแล้วยังไร้มารยาทสิ้นดี!
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดำเนินไปเรื่อยๆพร้อมกับคำหยาบที่ปล่อยออกมาเป็นล้านล้านคำ
สีหน้าของจงอินมันดูไม่สู้ดีเท่าไหร่ เสียงหัวเราะมันดูไม่จริงใจเหมือนตอนที่เราพิมพ์ห้าห้าห้าแต่หน้านิ่ง
เหมือนกำลังนอยด์แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ก็กลายเป็นน้อยใจ บางทีเล่นกันอยู่ดีๆจงอินก็เงียบ แววตาหงอยๆนั้นทำให้คยองซูหงุดหงิด เขาไม่อยากสำคัญตัวหรอกนะ แต่ถ้าตอนเป็นแฟนกัน
อาการแบบนี้มันเรียกว่า ‘หึง’
หึงแต่งี่เง่าไม่ยอมพูด
“มันชื่อชานยอลเป็นแฟนเก่ากูเอง”
“อ่อ..”
สุดท้ายความอึดอัดก็บังคับให้คยองซูพูดมันออกมาก่อน ดวงตากลมลอบมองอีกฝ่ายที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยที่ไม่พูดหรือไม่เงยหน้ามามองเขาอีก แปลกดีที่มันรู้สึกภูมิใจแบบเขินๆ ในหัวมันมีแต่เสียงเชียร์และเสียงตบมือเข้าจังหวะว่า หึงเลย หึงเลย หึงอีก หึงอีก ก้องไปหมด คยองซูไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เขาดูร้ายกาจแค่ไหนแต่เขาจะแกล้งจงอินต่อไปเรื่อยๆ..
จะได้รู้ซะบ้างว่าเขารู้สึกยังไงกับแบคฮยอน..
“ตอนนั้นคบกันประมาณห้าหกเดือน”
“....”
“แต่มันเป็นคนโคตรดีอ่ะ รักกูเป็นห่วงกูสารพัด”
จงอินได้แต่ฟังแล้วก็พยักหน้า ถ้าคนเราสามารถปิดการได้ยินได้จริงๆเขาคงทำไปแล้ว เขาไม่ได้ถามมีแต่คยองซูนั้นแหละที่พูดเองเออเองไม่ยอมหยุด
ไม่เห็นจะมีใครอยากรู้เลย
“แต่แม่งโคตรตลกเลย มันเคยพากูไปเข้าคอร์สเลิกบุหรี่ด้วยนะ”
“....”
“มันบอกว่าสูบบุหรี่แล้วตายเร็ว มันกลัวกูตายก่อนมัน”
คยองซูยังคงพูดต่อไปโดยที่ไม่ได้เกรงใจสีหน้าของจงอินเลย กลับกันยิ่งเห็นจงอินทำหน้าแบบนั้นมันก็ยิ่งอยากเล่าอยากจะแกล้งให้เข็ด มันก็แค่เรื่องธรรมดาเรื่องนึง คยองซูคิดว่าชานยอลเป็นคนดีจนดูตลก นึกกี่ครั้งมันก็ยังขำไม่หาย ตอนที่เขาป่วยก็เอาขวดน้ำตัวเองให้เขาดื่ม สุดท้ายชานยอลก็ติดไข้ตามแต่ก็ยังมาบอกว่าจะได้ป่วยเป็นเพื่อนกัน ที่น่าขำก็คือ ชานยอลเป็นหนักกว่าเขาจนลงต้องไปนอนโรงพยาบาล หลังจากนั้นไม่นานคยองซูก็ขอเลิกกับอีกฝ่ายเพราะทนความเจ้ากี้เจ้าการไม่ไหว
เป็นห่วงน่ะเป็นห่วงได้ แต่ถ้ามากจนน่าอึดอัดมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน..
“ถ้ามันดีมากนักก็กลับไปคบกับมันเลยดิ!”
ยิ่งคิดจงอินก็ยิ่งรู้สึกสงสารตัวเอง ทำไมเขาต้องมานั่งฟังอะไรแบบนี้ มันอาจจะดูตลกสำหรับคยองซูแต่จงอินไม่เห็นตลกด้วยเลย เขาไม่ชอบเห็นคยองซูยิ้มแบบนั้นเวลาที่พูดถึงใคร ชานยอลอะไรนั้นอาจจะเป็นคนดีจริงๆก็ได้แต่ไม่รู้ทำไมในหัวมันก็มีแต่ความอคติล้วนๆ ความจริงพวกเขาก็เป็นแค่เพื่อนกัน ถ้าคยองซูจะเจอคนดีๆสักคนมันก็ไม่ผิด แต่จงอินไม่เชื่อหรอกว่าชานยอลจะดูแลคยองซูดีอะไรนักหนา เผลอๆถ้าเปรียบเทียบกันเขาอาจจะทำได้ดีกว่าก็ได้..ถึงแม้คยองซูจะไม่เคยรู้สึก
แต่จงอินก็ไม่เคยเป็นห่วงใครขนาดนี้แล้วกัน
ทำไมไม่เห็นชมเขาบ้างเลย..
“...”
คยองซูได้มองคนที่ลุกออกไปด้วยความคิดที่รู้สึกว่าตัวเองอาจเล่นแรงเกินไป เขาไม่น่าแกล้งจงอินแบบนั้นเลย จากโซลถึงอิลซานมันไกลแค่ไหนใจเขาก็รู้ ก็มีแต่จงอินที่อุตส่าห์มาหาทั้งที่ตอนนั้นมันก็ดึกมากแล้ว เสียงบ่นงุ้งงิ้งว่าทำไมไม่ล๊อคห้องมันก็น่าจะชัดเจนไม่ใช่หรอ..
ก็คงมีแต่คยองซูนั้นแหละที่แกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร..
แต่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเกทับซะหน่อย
ยังไงซะ..จงอินก็ดีที่สุดอยู่แล้ว
“มานั่งทำอะไรตรงนี้”
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อย..”
เสี่ยวหน้าของจงอินมันดูจริงจังจนคยองซูคิดว่ามันคงไม่ได้เรื่อยเปื่อยเหมือนที่ปากว่า มือเล็กยกขึ้นป้องลมก่อนที่มวนกระดาษสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้ตามการมาเยือนของความร้อน จงอินส่ายหัวนิดหน่อยตอนที่เขาส่งมันให้ ขายาวๆแกว่งไปมาเหมือนเด็กไม่รู้จักโต คนตัวเล็กหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะปล่อยควันออกมาทางปาก เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย..
มันเงียบจนน่าเบื่อ หน่วงจนน่าหงุดหงิด
“ถ้ามึงเลิกบุหรี่ได้นะ มึงจะมีตังค์ไว้ซื้อนาโชส์ตั้งหลายวอน”
“….”
“หรือมึงจะเก็บไว้ทำอย่างอื่นก็ยังได้”
จริงๆจงอินก็ไม่ได้ชอบที่เห็นคยองซูเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่รู้จะบอกโทษของบุหรี่ว่าอะไรเพราะตัวเขาเองก็ยังสูบอยู่เหมือนกันถึงจะไม่บ่อยก็เถอะ และยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่มีเงินมากขนาดที่จะจะซื้อคอร์สเลิกบุหรี่อะไรนั้นได้หรอกนะ จงอินแค่รู้ว่าคยองซูชอบกินขนมอันนั้นมากที่สุดและคิดว่าถ้าใช้มันเชิญชวนก็อาจจะได้ผล
แต่ถึงไม่ได้ผลจงอินก็ไม่รู้สึกแย่อะไรหรอก..
เพราะเขาตามใจคยองซู
และไม่อยากทำให้คยองซูอึดอัด..
“แต่ถ้าไม่ กูก็จะสูบเป็นเพื่อนมึงเอง”
บุหรี่บนนิ้วที่คีบไว้ถูกแย่งไปอย่างหน้าตาเฉย คยองซูไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่จงอินทำ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจงอินงอนอะไรเขาเพิ่มหรือกำลังประชดอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คยองซูจะไม่พูดแบบนั้น เขากับชานยอลมันจบไปแล้วจริงๆ มันเหลือแต่ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จงอินน่ะเป็นคนโง่ แค่นี้ก็ดูไม่ออก ขนาดชานยอลที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนยังดูออกเลย..
-----
'ผู้ชายคนนั้นเป็นใครหรอ?'
'เพื่อนกู ชื่อจงอิน'
'....'
'มองหน้ากูแบบนั้นหมายความว่าไงชานยอล?'
'ฉันไม่เชื่อหรอก แค่ความเป็นเพื่อนมันซื้อรอยยิ้มของคยองซูไม่ได้'
'.....'
'แล้วก็ไม่มีเพื่อนคนไหนที่คยองซูยอมเสียเวลาตื่นมาทำอาหารเช้าให้กินแบบนั้นหรอกนะ..'
-----
คยองซูได้แต่มองควันจางๆลอยออกมาจากริมฝีปากของจงอิน มันรู้สึกดีแล้วก็รู้สึกผิดแปลกๆ สามปีที่ผ่านมาคยองซูก็พยายามเลิกมันแล้วแต่มันก็ไม่เคยสำเร็จซักครั้ง เมื่อก่อนจงอินไม่ใช่คนสูบแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ชอบสูบนอกจากเครียดหรือเศร้าจริงๆ มือเล็กดึงบุหรี่ออกจากปากของร่างสูง ทิ้งมันลงกับพื้นก่อนจะขยี้มันเหมือนจะได้ทำแบบนี้เป็นครั้งสุดท้าย
“แต่ก่อนไม่เคยคิดอยากจะเลิกแบบเด็ดขาดเลยนะ”
“…”
“แต่ตอนนี้คิดว่าจะพยายามจริงจังแล้วล่ะ”
“….”
"สูบบุหรี่มันตายเร็ว"
"...."
“ไม่อยากให้ไคมาตายเป็นเพื่อน”
ใครกันนะที่มีอิทธพลกับคยองซูมากมายขนาดสั่งให้ทำนู้นทำนี่ได้?
TBC.
#ฟิคมันพูดยาก
ความคิดเห็น