ตอนที่ 5 : - { Behind the illusion } - // บทที่ ๐๔ : ความหลังของนางร้าย
“พี่เริ่มหายเจ็บหรือยัง?” จินยองเอ่ยถามเจสสิก้าอย่างเป็นห่วงพลางเงยหน้าขึ้นสบกับดวงหน้าหวานที่เขาเฝ้ารอคอยมาตลอด
“อื้ม! พอแล้วล่ะนายไปคุยงานของนายเถอะ” เจสสิก้าตอบพลางพยักก่อนจะก่อนจะเอ่ยปากไล่แล้วชักเท้ากลับมาอยู่ที่เดิม
“ทำไมพี่เอาแต่ไล่ผมล่ะ?” จินยองที่ทนไม่ไหวที่คนตรงหน้าเอาแต่เอ่ยปากไล่เขาตั้งแต่เจอหน้าก็เอ่ยถามพลางเลิกคิ้วสูง
“พี่อยู่กับนายแล้วอึดอัด..เข้าใจนะ” เจสสิก้ายอมเอ่ยปากโกหกคำโตออกไปก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นเพื่อหวังว่าจะเดินหนีคนตรงหน้าไปแต่เท้าเจ้ากรรมกลับไม่ยอมทำตามที่สมองสั่งส่งผลให้เธอต้องกลับไปนั่งลงที่เดิมอย่างช่วยไม่ได้
“พี่อย่าเพิ่งรีบลุกสิเท้าพี่มันยังไม่หายนะ” จินยองเอ่ยปากดุคนตรงหน้าก่อนจะกดไหล่ให้อีกคนนั่งลงเมื่อเห็นเจสสิก้ายังไม่ละความพยายามที่จะลุกขึ้นเพื่อจะหนีเขาไป
“ทำไมนายต้องมาดุพี่ล่ะ?” เจสสิก้าถามพลางเบ้ปากเล็กน้อยที่โดนขัดใจ
“ก็พี่ดื้อนี่นา ดื้อไม่เปลี่ยนเลยด้วย...พี่รอผมตรงนี้แหละ” จินยองบอกแกมดุคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยปากสั่งแล้วย่อตัวลงถอดรองเท้าส้นสูงของคนตรงหน้าออกทำเอาเจสสิก้าอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“นายจะมาถอดรองเท้าพี่ทำไม?”
“เถอะน่าพี่เลิกสงสัยได้แล้วเดี๋ยวผมมานะ” จินยองตอบแบบปัดๆก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินออกไปโดยไม่ลืมที่จะเอารองเท้าส้นสูงของเจสสิก้าหยิบติดมือไปด้วย
เวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีจินยองก็เดินกลับมาพร้อมกับกล่องบางอย่างที่มองจากลักษณะภายนอกแล้วคงจะเป็นกล่องรองเท้า เมื่อเจสสิก้าเห็นดังนั้นก็อดจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้และก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่จินยองเดินมาก่อนจะย่อตัวลงต่อหน้าเธอ
“นายไปเอารองเท้าใครมา?” เจสสิก้าเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อจินยองเปิดกล่องที่ถือมาก็ปรากฏว่าในกล่องนั้นมีรองเท้าคัทชูสีฟ้าอ่อนซึ่งเป็นสีโปรดของเธอ
“ก็รองเท้าของพี่ไง ^^” เอ่ยปากตอบพลางส่งยิ้มไปให้ก่อนจะหยิบรองเท้าคัทชูในกล่องขึ้นมาวางลงกับพื้นด้านหน้าร่างของเจสสิก้าก่อนจะยื่นมือไปจับเข้ากับข้อเท้าอย่างเบามือแล้วพามันมาวางลงที่รองเท้าคัทชูที่เขาวางเตรียมเอาไว้
“รองเท้าพี่? นายอย่ามามั่วได้มั้ยพี่ไม่เคยมีรองเท้าแบบนี้” เจสสิก้าทวนคำพูดของคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยปากเถียง
“ก็ผมเป็นคนซื้อให้พี่แต่ก็ไม่มีโอกาสให้เพราะเราสองคน...เลิกกันก่อน” จินยองตอบคำถามคนตรงหน้าในขณะที่วุ่นอยู่กับการใส่รองเท้าให้ร่างบางก่อนจะผละมือออกจากเท้าของเจสสิก้าและก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาพูดจบประโยคโดยคำหลังนั้นเสียงของเขาดูจะเศร้างลงเล็กน้อย
“นายกำลังจะรื้อฟื้นเรื่องเก่าใช่มั้ย? พอเถอะอดีตก็คืออดีตตอนนี้พี่ลืมมันไปหมดแล้ว” บอกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใยพลางเมินหน้าไปทางอื่นคล้ายกับว่าไม่ต้องการเห็นใบหน้าของรักเก่า
“ผมรู้ว่าพี่ยังไม่ลืมผมขอแค่โอกาสในการอธิบายเรื่องวันนั้น” จินยองบอกด้วยน้ำเสียงขอร้องพลางจ้องใบหน้าเรียวสวยของเธอไม่วางตา
“นายหมดโอกาสตั้งแต่วันที่เราสองคนเลิกกันแล้ว...ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือแล้วก็รองเท้าคู่นี้นะพี่ขอตัวไปหาเพื่อนพี่ก่อนแล้วกัน” เจสสิก้าตอบคำตรงหน้าด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใยเหมือนเดิมก่อนจะพูดจาตัดบทแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องภาพที่แทยอนไปกับทีมงานก่อนหน้าด้วยอย่างทะลักทุเลเพราะเท้าของเธอมันยังไม่หายเจ็บดี ส่วนจินยองก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางมองร่างเจสสิก้าที่เริ่มเดินห่างออกไปด้วยสายตาอาลัยอาวรในใจของเขาอยากจะเข้าไปช่วยจะแย่แต่เขารู้ดีว่าคนดื้อแบบนั้นช่วยไปก็มีแต่จะผลักไสกัน
ตอนนี้เจสสิก้าพาร่างของตัวเองมาอยู่ภายในห้องแต่งตัวที่เธอกับแทยอนใช้กันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนจริงๆตอนแรกก็จะไปหาแทยอนที่ห้องภาพนั่นแหละแต่พอคิดว่าเพื่อนของเธอคงกำลังทำงานอยู่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดมาที่นี่ แต่เธอว่าตอนนี้เธอคิดถูกนะเพราะตอนนี้ในห้องแต่งตัวนั้นไม่มีใครอยู่เลยมันเงียบมากทำให้เธอสามารถทบทวนในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น
ตอนแรกเธอก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้เจอเขาอีกเธอคิดว่าแค่เจอในงานนั้นก็พอแล้วยังจะมาเจอในวันเดียวกันอีกเหมือนกับมีคนลิขิตเอาไว้ ทั้งที่จริงๆแล้วเธอตัดใจจากผู้ชายใจร้ายคนนั้นมาได้ก็นานแล้วแต่ทุกอย่างที่ทำมาก็พังทลายหมดเมื่อเจอหน้าเขาแถมวันนี้เขายังจะมาทำดีกับเธออีกทำให้เธอเริ่มไขว้เขวเกือบจะให้อภัยคนตรงหน้าแต่ภาพในอดีตก็ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเธอทำให้เธอต้องรีบเดินออกไปทั้งที่ตอนนี้เธอยังเจ็บขาไม่หาย
เมื่อเดินเข้ามาภายในนี้แล้วเจสสิก้าก็เดินไปเลื่อนเก้าอี้แล้วหย่อนสะโพกลงนั่งด้วยท่าทางอ่อนแรงก่อนจะก้มหน้าลงมองรองเท้าคัทชูคู่สวยมันเป็นสีที่เธอชอบมากที่สุดจริงๆเธอก็แอบดีใจที่เขายังจำรายละเอียดเล็กๆของเธอได้แต่มันก็แค่นั้นแหละ
เจสสิก้าจอง : แทยอนแกถ่ายเสร็จหรือยังฉันอยากกลับแล้ว?
เมื่อก้มมองรองเท้าที่อดีตคนรักเอามาให้ไม่นานเจสสิก้าก็ละสายตาจากมันพลางหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดเข้าไปในโปรแกรมไลน์แล้วเขียนข้อความก่อนจะกดส่งไปถามเพื่อนของเธอ
คิมแทยอน : ยังเลยตอนนี้เพิ่งได้แค่ไม่กี่ภาพอีกแล้วดูท่าคงอีกนานแหละ
เมื่ออีกฝ่ายได้รับข้อความไม่นานก็ตอบกลับมาเจสสิก้าก็อ่านทุกตัวอักษรที่อีกฝ่ายส่งมาให้ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้เธออยากจะกลับบ้านเต็มทีไม่ใช่เพราะเธอง่วง หรือเธอเหนื่อยจากการทำงานแต่แค่อยากจะรีบออกไปจะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้าของอดีตคนรัก
เจสสิก้าจอง : โอเคฉันรออยู่ห้องแต่งตัวนะ
เจสสิก้าส่งข้อความตอบกลับไปก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมแล้วโน้มตัวลงไปเล็กน้อยเพื่อนวดที่ข้อเท้าที่เริ่มจะปวดขึ้นมาอีกครั้ง
“บ้าจริงจะปวดอะไรนักหนานะ” เจสสิก้าสบถออกมาอย่างหงุดหงิดในขณะที่กำลังออกแรงนวดที่ข้อเท้าแต่มันก็ไม่เห็จะดีขึ้นเหมือนกับที่จินยองเป็นคนนวดให้เลยสักนิด
“จะไปคิดถึงทำไมเล่ายัยบ้าเอ๊ย!” เจสสิก้าเอ่ยปากต่อว่าตัวเองเมื่อจู่ๆในหัวก็พลันไปคิดถึงใบหน้าของจินยองที่กำลังนวดเท้าให้เธออยู่
#ทางด้านแทยอน
หลังจากที่รับข้อความจากเจสสิก้าแล้วแทยอนก็เปิดอ่านโดยที่ข้อความที่ส่งไปนั้นเป็นคำโกหกทั้งหมด ตอนนี้เธอไมได้ถ่ายแบบอย่างที่บอกไปแต่ตอนนี้เธอกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์เพื่อรอเวลา
“นี่ฉันกลับบ้านได้ยังอ่ะ?” แทยอนละสายตาจากจอโทรศัพท์ก่อนจะเงยหน้าถามผู้ชายหน้าหวานที่เอาแต่นั่งคัดเลือกรูปที่พวกเธอถ่ายแบบกันวันนี้
“รอให้จินยองกลับมาก่อนดิคุณ” ลูฮานตอบเสียงดุเล็กน้อยโดยสายตายังจดจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“โน่นไงมาแล้วน่ะถ้างั้นฉันกลับได้แล้วใช่ป่ะ?” แทยอนแอบเบะปากเล็กน้อยก่อนที่สายตาจะเหลือบไปร่างของคนมาใหม่ที่กำลังเดินมาดูจากการแต่งตัวก็คงเดาไม่ยากอีกอย่างเธอก็เคยเห็นหน้าเขามาแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง?” แต่เหมือนคำถามของแทยอนจะไม่ได้รับความสนใจจากผู้ชายหน้าหวานตรงหน้าเมื่อคนมาใหม่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคนลูฮานก็เปิดปากถามคนที่เป็นหุ้นส่วนบวกกับเป็นพี่น้องคนสนิท
“ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยพี่สิก้าไม่คิดจะฟังเลยสักนิด” จินยองถอนหายใจออกมาพลางส่ายหัวก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆพลางเลื่อนเก้าอี้มาแล้วหย่อนสะโพกลงนั่ง
“แล้วเขามีท่าทียังไง?” ลูฮานถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ก็ตอนแรกก็เหมือนจะใจอ่อนแต่จริงๆพี่สิก้าใจแข็งชะมัด” จินยองตอบพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้
“เถอะน่าค่อยๆง้อไปฉันว่าเจสสิก้าก็คงยังรู้สึกดีกับแกนั่นแหละไม่งั้นจะมีท่าทีใจอ่อนเหรอ?” ลูฮานบอกคนเป็นรุ่นน้องที่ควบฐานะเป็นหุ้นส่วนของนิตยสารของเขาพลางเอื้อมมือไปตบบ่าให้กำลังใจซึ่งจินยองก็ตอบรับโดยการส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้
“นี่! ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่นะ” เมื่อเห็นว่าตัวเองเริ่มจะหายไปรวมกับอากาศแทยอนก็โพล่งขึ้นมาเสียงเข็มเล็กน้อยทำให้ทั้งสองคนหันไปมองโดยอัตโนมัติ
“อะไรของคุณอีกเนี่ย?” ลูฮานถามพลางเลิกคิ้วสูง
“ฉันกลับบ้านได้แล้วใช่มั้ย?” แทยอนถามคนหน้าหวานพลางกดเสียงต่ำเพื่อเป็นการบ่งบอกอารมณ์ของเธอในตอนนี้
“ตามสบายเถอะผมไม่ได้มัดขาคุณไว้นี่” ลูฮานตอบแทยอนอย่างกวนประสาทพลางยักไหล่อย่างกวนอวัยวะเบื้องล่างซึ่งแทยอนก็มองค้อนใส่เล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นพรวดพราดพลางหยิบกระเป๋าแล้วเดินกระแทกเท้าปึงปังออกไป
“ผู้หญิงคนนั้นหน้าคุ้นๆนะพี่?” จินยองพูดขึ้นหลังจากที่แทยอนเดินออกไปแล้ว
“ก็คนที่เล่นเป็นนางเอกในเรื่อง Beauty Girl แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของแฟนเก่าแกด้วย” ลูฮานตอบให้คนตรงหน้าหายสงสัยซึ่งจินยองก็พยักหน้าอย่างรับรู้
#ทางด้านบริษัทฝึกหัดนักแสดง
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่นักเรียนในคลาสเรียนและฝึกซ้อมกันอย่างหนักเพราะอีกแค่ไม่กี่วันทางโรงเรียนก็จะคัดเลือกนักเรียนบางคนให้ลองไปแคสติ้งหน้ากล้องดูทำให้หลายๆคนฝึกฝนกันอย่างหนักเพื่ออนาคตที่จะเข้าวงการของพวกเขา
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันสำหรับการเรียนในวันนี้แต่ก่อนที่ครูจะปล่อยให้กลับไปพักกันครูมีข่าวดีจะมาบอกสำหรับนักเรียนทุกคนนะ J” เสียงของครูผู้ฝึกสอนการแสดงดังขึ้นพร้อมกับพูดเปรยจนสามารถเรียกความสนใจจากนักเรียนในคลาสได้
“ข่าวดีอะไรเหรอคะ?” เสียงของนักเรียนคนหนึ่งในคลาสยกมือขึ้นก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนอยากรู้
“ตอนนี้มีการเปิดให้นักแสดงไปแคสติ้งในละครเรื่อง ‘My Lady Girl’ ในวันพรุ่งนี้แล้วทางผู้จัดละครก็เปิดโอกาสให้นักเรียนของเรา 3 คนได้ลองไปแคสติ้งกันซึ่งรายชื่อของคนที่มีสิทธิ์ไปแคสติ้งก็อยู่ในมือของครู”
“จริงเหรอคะ!? หมายความว่าในพวกเราจะมี 3 คนที่จะมีโอกาสได้ชิมลางในการเล่นละครอย่างนั้นสิดีอ่ะ!” เสียงของนักเรียนในคลาสอีกคนพูดขึ้นด้วยความดีใจระคนตื่นเต้น
“ใช่แล้วล่ะอยากรู้กันมั้ยว่าเป็นใคร?” ครูผู้ฝึกสอนตอบก่อนจะถามกลับซึ่งนักเรียนในคลาสแต่ละคนก็พยักหน้าเป็นคำตอบ
“เอาล่ะคนแรกคือปาร์คชานยอล คนที่สองคือทิฟฟานี่ฮวัง และคนสุดท้าย...ซอฮยอน” เมื่อทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกันคนเป็นครูก็เริ่มอ่านรายชื่อที่อยู่บนกระดาษในมือของตนซึ่งคนที่มีชื่อก็ได้รับการตอบรับจากเพื่อนๆเป็นอย่างดี
“ซอฮยอนแกได้แคสด้วยอ่ะสุดยอดไปเลย!!” ยุนอาพูดขึ้นอย่างแสดงความดีใจกับเพื่อนของตนที่ตอนนี้ยังคงอึ้งไม่หาย
“ไม่คิดจะแสดงความยินดีกับฉันบ้างเหรอวะยัยเหม่ง?” ชานยอลเอ่ยถามยุนอาที่เอาแต่แสดงความยินดีกับซอฮยอน
“เออๆดีใจด้วยนะ” ยุนอาหันมาบอกชานยอลก่อนจะหันไปแสดงความดีใจกับซอฮยอนต่อ
“ยินดีด้วยนะที่นายได้ไปแคส” ทิฟฟานี่เดินเข้ามาพลางทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะเอ่นแสดงความยินดี
“อืม...เธอก็เก่งนะที่ได้ไปแคสด้วย” ชานยอลตอบรับก่อนจะเอ่ยแสดงความยินดีกลับให้ทิฟฟานี่
“นายชมฉันเหรอ?” ทิฟฟานี่ถามกลับ
“คงกำลังด่าเธอมั้ง” ชานยอลตอบกลับทิฟฟานี่อย่างกวนๆก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบหูทั้งสองข้างก่อนจะเชื่อมันต่อกับโทรศัพท์แล้วกดเปิดเพลง
“ฉันได้ไปแคสจริงๆเหรอ?” ซอฮยอนที่เหมือนจะยังไม่หายอึ้งเอ่ยปากถามยุนอาเพื่อความแน่ใจ
“ก็ใช่น่ะสิไปแคสให้ได้แกจะได้เป็นนักแสดงอย่างที่แกฝันไง” ยุนอาพลางเชิงให้กำลังใจพลางส่งยิ้มไปให้
“ทำเป็นอึ้งที่แท้ก็ดีใจไม่ใช่เหรอ? อย่าแอ๊บให้มากเลยซอฮยอน” ทิฟฟานี่พูดขึ้นเชิงเหน็บแนมซอฮยอนที่ทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินหลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของยุนอากับซอฮยอน
“เธอเป็นอะไรมากป่ะ? ทำไมต้องจ้องจะหาเรื่องซอฮยอนตลอดเอาจริงฉันว่าเธอไม่น่าจะได้ไปแคสเลยนะเล่นก็ไม่ใช่ว่าจะดีแถมนิสัยยังแย่อีกฉันว่ายังไงเธอก็ไม่มีทางผ่านการแคสติ้งหรอก!” ยุนอาที่อดไม่ได้ที่ทิฟฟานี่มาต่อว่าเพื่อนของเธอยุนอาจึงเปิดปากตอกกลับไปอย่างเจ็บแสบจนทิฟฟานี่รู้สึกโมโหขึ้น
“ปากดีไปสิ! แต่ถึงยังไงทางผู้จัดละครก็เห็นความสามารถของฉันไม่เหมือนเธอหรอกที่ไม่มีใครเห็นแววแต่เดี๋ยวก่อนสิเธอมันไม่มีให้เห็นอยู่แล้วล่ะมั้ง? ยูริไปพักกันเถอะฉันจะต้องไปเตรียมตัวสำหรับการแคสติ้งวันพรุ่งนี้” ทิฟฟานี่ตอกกลับยุนอาบ้างก่อนจะหันไปพูดเสียงดังกับยูริเชิงเย้ยหยันยุนอาให้เจ็บใจเล่นก่อนจะเดินออกไป
“ชิ! ฉันขอแช่งให้ยัยฟานี่มันตกรอบการแคสติ้งวันพรุ่งนี้เถอะ!” ยุนอาจิ๊ปากก่อนจะเปิดปากพูดอย่างเคืองขุ่น
“พอแล้วนะยุนอาเราก็ไปพักบ้างเถอะฉันจะได้เตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้” ซอฮยอนบอกพลางเอ่ยชวนซึ่งยุนอาก็ยอมทำตามแต่โดยดี
#ทางด้านเจสสิก้า
หลังจากที่มาหมกตัวอยู่ในห้องแต่งตัวนานกว่าครึ่งชั่วโมงเจสสิก้าก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะพลางพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะตะแครงใบหน้าแล้วฟุบลงกับโต๊ะพลางบ่นเพื่อนตัวเองในใจที่จนป่านนี้ก็ยังถ่ายไม่เสร็จทั้งที่มันน่าจะใช้เวลาไม่นานมากเพราะได้ยินว่าถ่ายอีกแค่เซตเดียวอีกอย่างลูฮานก็เป็นมืออาชีพขนาดนั้นก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้หรอก
“เฮ้อ..” เมื่อไม่รู้จะทำอะไรเจสสิก้าก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแกลลอรีรูปภาพแล้วกดเลื่อนเรื่อยๆอย่างเบื่อหน่ายจนไปสะดุดกับภาพๆหนึ่งมันเป็นภาพที่เธอถ่ายกับจินยองที่หอศิลป์โดยรูปนี้เป็นเป็นฝืมือการถ่ายรูปของเขาเอง..
“ยังไม่ได้ลบไปอีกเหรอเนี่ย?” เจสสิก้าพูดขึ้นมาอย่างสงสัยในตัวเองเพราะเธอจำได้ว่าตอนที่เลิกกับจินยองเธอก็แทบจะโยนของทุกอย่างที่เขาซื้อให้ทิ้งไปหมดไม่เว้นแม้แต่รูปภาพที่ถ่ายด้วยกันไม่ว่าจะเป็นในเครื่องโทรศัพท์หรือจะเป็นตามเว็บไซต์ส่วนตัวต่างๆ เมื่อเห็นดังนั้นเจสสิก้าก็กดไปที่ตัวเลือกแล้วเลือกลบก่อนที่โปรแกรมจะขึ้นมาถามว่า ‘ต้องการลบรูปนี้หรือไม่’ ในเสี้ยววินาทีหนึ่งที่นิ้วเรียวสวยของเจสสิก้ากำลังจะจรดลงคำว่า ‘ตกลง’ แต่ก็ชะงักไปเมื่อเกิดอาการลังเลก่อนจะตัดใจเลิกยุ่งกับรูปนั้น
สรุปเป็นอันว่าภาพๆนั้นยังคงอยู่ในเครื่องต่อไปก่อนจะวางโทรศัพท์คว่ำลงแล้วถอนหายใจอีกครั้งโดยที่ไม่สามารถจะนับได้ว่าเธอถอนหายใจมากกว่ากี่ครั้งแล้ว
แต่ในตอนนี้ภาพที่เพิ่งเปิดเจอเมื่อครู่นั้นกำลังทำหน้าที่ขุดเรื่องราวในอดีตที่เธอเคยลืมไปแล้วให้มันหวนกลับขึ้นมาในสมองถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับการที่เราฉายหนังเก่าที่มันจะเล่นอยู่นั้นไปเรื่อยๆ
ในเช้าวันหนึ่งของฤดูร้อนวันนี้เจสสิก้าลงทุนตื่นเช้ากว่าทุกวันเพื่อจะมาทำอาหารเนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของจินยองแฟนของเธอโดยในกระบวนการทำนั้นเจสสิก้าก็ทำอย่างพิถีพิถันและใส่ใจทุกรายละเอียดจนนี่สุดผลงานที่ออกมาก็เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับเจ้าตัว
“หวังว่านายจะชอบนะ!” เมื่อทำอาหารเสร็จเรียบร้อยเจสสิก้าก็ตักใส่กล่องก่อนจะจัดมันใส่ในถุงกระดาษพลางพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นก่อนจะที่เธอจะเอานำถุงที่บรรจุอาหารไปวางไว้ที่โต๊ะในห้องรับแขกแล้วก้พาร่างของตัวเองไปหยิบกุญแจรถที่ห้องนอนแล้วก็ออกจากบ้านไปโดยไม่ลืมที่จะหยิบถุงกระดาษที่บรรจุอาหารที่เธอลงทุนทำออกมาจากใจ
ในตอนนี้เจสสิก้าก็ขับรถมาจอดที่ลานจอดรถของคอนโดที่จินยองอาศัยอยู่เมื่อรถจอดสนิทเจสสิก้าก็ลงมาจากรถโดยไม่ลืมจะหยิบถุงกระดาษมาด้วยพลางย่างก้าวเดินเข้าไปภายในตัวคอนโดด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้นและตอนนี้เจสสิก้าก็พาร่างของตนเองมาหยุดที่หน้าลิฟต์ที่ตอนนี้แสดงเลขชั้นว่าอยู่ชั้น 15 ก่อนที่มันจะลงมาเรื่อยๆอย่างรวดเร็วจนในที่สุดตอนนี้ลิฟต์ก็มาจอดในชั้นที่เธออยู่ เมื่อประตูลิฟต์เปิดขึ้นเจสสิก้ก็แทรกตัวเข้าไปก่อนจะกดเลขชั้นที่ 15 ซึ่งเป็นชั้นที่จินยองอาศัยอยู่โดยในระหว่างการโดยสารห้องสี่เหลี่ยมแคบนี้หัวใจของเจสสิก้าก็ยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะแถมยิ่งพอใกล้จะถึงห้องของจินยองแล้วหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะก็เริ่มจะเป็นหนักกว่าเดิม
เมื่อมาถึงชั้นที่ต้องการประตูลิฟต์ก็เปิดออกเจสสิก้าก็พาร่างของตัวเองออกมาแล้วเดินไปที่ห้องของจินยองอย่างไม่เร่งรีบอะไรและในที่สุดตอนนี้เธอก็มาหยุดที่หน้าห้องของจินยองเสียทีพลางพ่นลมหายใจเล็กน้อยเพื่อเรียกความมั่นจก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเพื่อเป็นสัญญาณให้คนข้างในได้รับรู้
แต่กลับไม่มีการตอบรับจากภายในจนทำให้เธออดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้ก่อนจะบรรจงเคาะประตูอีกครั้งและผลที่ได้รับก็เหมือนเดิมไม่มีการตอบรับใดๆทั้งนั้นเจสสิก้าจึงควานหากุญแจสำรองที่จินยองเคยให้ไว้ขึ้นมาแล้วถือวิสาสะไขมันแล้วเปิดประตูเข้าไปเมื่อไขได้สำเร็จ
พอเจสสิก้าพาร่างของตัวเองเข้ามาอยู่ภายในห้องของจินยองเป็นที่เรียบร้อยก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูอย่างทุกครั้งแต่พอเข้ามาเธอกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยทั้งที่ปกติป่านนี้จินยองจะตื่นมานั่งดูโทรทัศน์อยู่แล้วนั่นยิ่งทำให้เจสสิก้าสงสัยมากเข้าไปอีก
“จินยองอ่า..” เมื่อไม่เห็นร่างของแฟนหนุ่มเจสสิก้าจึงส่งเสียงเรียกพลางกวาดสายตามองหาแล้วหันซ้ายทีขวาทีก็ไม่พบแม้แต่เงาของแฟนหนุ่มเจสสิก้าจึงเดินเอาถุงกระดาษไปไว้ในโซนห้องครัวตรงเคาเตอร์ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“จินยองอ่า..นายยังไม่ตื่นอีกเหรอ?” เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าห้องนอนเจสสิก้าก็เคาะประตูอย่างเป็นมารยาทก่อนจะเอ่ยปากถามคนข้างในไปแต่ก็เช่นเดิมไม่มีการตอบรับคล้ายกับว่าในห้องนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย แต่ก็ด้วยความสงสัยที่มีอยู่มากทำให้เจสสิก้าถือวิสาสะอีกครั้งลองเอื้อมมือไปบิดลูกบิดของประตูปรากฏว่าห้องไม่ได้ล็อคเจสสิก้าจึงผลักบานประตูเข้าไปพลางแทรกตัวเข้าไปก่อนจะเดินตรงไปยังเตียงนอนแต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับทำให้เจสสิก้าแทบจะหยุดหายใจ...
“จินยองอ่า!” เมื่อตั้งสติได้เจสสิก้าก็พยายามเค้นเสียงเรียกชื่อของแฟนหนุ่มด้วยน้ำเสียงสั่นเครือซึ่งก็ได้ผลที่ชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มรู้สึกตัวขยับร่างกายก่อนจะพยายามเปิดเปลือกตาในขณะที่เด้งตัวลุกขึ้น
“พี่สิก้ามาทำอะไรที่ห้องผมแต่เช้าเหรอ?” จินยองเอ่ยปากถามเจสสิก้าด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ตาอย่างไม่รู้เหตุการณ์ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
“พี่ควรถามนายมากกว่าว่านายกำลังทำอะไร!?” เจสสิก้ากดเสียงต่ำเอ่ยถามพลางจ้องหน้าของจินยองอย่างไม่วางตาทำให้ชายหนุ่มออกอาการงงเล็กน้อยพลางหันไปมองด้านข้างก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่ข้างๆตัวเขาไม่ใช่หมอนข้างแต่กลับเป็นผู้หญิง! แล้วคือเจสสิก้าก็เห็น!
“เฮ้ย! เธอมานอนข้างๆฉันได้ยังไงห๊ะ!” จินยองร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจทำให้ร่างของผู้หญิงที่นอนอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่งัวเงีย
“ก็เมื่อคืนนายเป็นคนลากฉันมาเองนี่!” ผู้หญิงคนข้างกายของจินยองตอบพลางเปิดปากหาวหวอดๆเหมือนกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่คนมองอย่างเจสสิก้าแทบอยากจะเดินเข้าไปตบหน้ายัยผู้หญิงหน้าด้านนั่นสักฉาดสองฉาด
“พี่สิก้าเดี๋ยวก่อนสิ!!” เมื่อหันไปมองทางเจสสิก้าก็พบว่าเธอเดินกระแทกเท้าปึงปังออกไปจินยองจึงตะโกนเรียกก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปรั้งเธอเอาไว้ด้วยสภาพที่เปลือยท่อนบนแต่ท่อนล่างยังมีกางเกงยีนส์ปกปิดอยู่
“ปล่อย!” เจสสิก้าออกปากสั่งพลางกดเสียงต่ำทำให้คนฟังรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้คนตรงหน้ากำลังโกรธมากแค่ไหน
“พี่สิก้ามันไม่เป็นแบบที่พี่เห็นเลยนะ” จินยองบอกพลางส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ในขณะที่มือของเขาก็ยังรั้งเจสสิก้าเอาไว้
“นายทำแบบนี้กับพี่ได้ยังไง!? ถ้าจะนอกใจกันทำไมไม่บอกเลิกพี่ไปก่อนวะ!?” เมื่ออารมณ์ที่พยายามจะระงับเอาไว้เริ่มอัดอั้นไม่อยู่เจสสิก้าก็ตะโกนถามจินยองเสียงดังด้วยน้ำเสียงตัดพ้อและถ้าลองสังเกตที่ดวงตาคาสวยในตอนนี้ก็เริ่มแดงแถมยังมีน้ำใสๆคลออยู่ตรงเบ้าตาคู่สวย
“เดี๋ยวสิพี่สิก้าฟังผมก่อนมันไม่ได้เป็นแบบที่พี่เห็นจริงๆนะพี่กำลังเข้าใจผมผิด!” จินยองพยายามจะอธิบายให้อีกคนฟังด้วยท่าทีอ้อนวอนแต่อีกคนกลับไม่ได้มีส่วนร่วมในอารมณ์ของเขาสักนิด
“พอเหอะ! พี่ว่าเราสองคนไปไม่รอดหรอกเราสองคนจบกันตรงนี้นะแล้วขออย่าให้เจอหน้ากันอีกเลย!” เมื่อนึกถึงภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่ก็ทำให้เจสสิก้าแทบไม่อยากจะฟังเหตุผลหรืออะไรที่ออกมาจากปากคนตรงหน้าทั้งนั้นก่อนจะตัดใจเอ่ยปากบอกเลิกพลางปัดมือของจินยองอย่างไร้เยื่อใยแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ยังคำขอร้องของอีกคนที่พยายามขอโอกาสในการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตที่มันฝังใจเธอมานานจู่ๆหน่วยที่เริ่มร้อนก่อนที่น้ำใสๆจะเริ่มไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ซึ่งเจสสิก้าก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลอยู่อย่างนั้นไม่คิดจะปาดมันออกไป
“เจสสิก้าแกเป็นอะไรไป!?” เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แทยอนเดินเข้ามาพอดีแล้วเห็นภาพที่เจสสิก้ากำลังนั่งร้องไห้อยู่จึงเอ่ยถามออกไปด้วยความตกใจระคนเป็นห่วง
“ปะ...เปล่า” ตอบแทยอนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อเป็นการช่วยให้น้ำตาหยุดไหล
“ไม่เป็นอะไรแล้วร้องไห้ทำไม?” แทยอนถามเชิงคาดคั้นเอาคำตอบ
“อ่อ...อ๋อ! เท้าฉันมันปวดมากน่ะจนฉันกลั้นไม่อยู่เลยร้องไห้ออกมา” เจสสิก้ามีท่าทีอึกอักเล็กน้อยก่อนจะโกหกคำโตให้แทยอนฟังไปพลางพยายามยกยิ้มให้อีกคนทั้งที่ในใจตอนนี้กลับมีเพียงแค่ความเศร้าที่กำลังเกาะกุมอยู่
“งั้นไปโรงพยาบาลกันร้องไห้ซะฉันตกใจเลย” เมื่อได้รับคำตอบแทยอนก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเปิดปากพูดต่อ
“ขอโทษนะ” เจสสิก้าบอกพลางเบี่ยงสายตาเล็กน้อย
“แล้วลุกไหวป่ะ?” แทยอนถามเจสสิก้าด้วยความเป็นห่วง
“อื้ม” เจสสิก้าตอบพลางพยักหน้าก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างดันโต๊ะไว้แล้วยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากแต่เธอก็สามารถลุกขึ้นมาได้สำเร็จ
“ไหวแน่นะร่างกายแกดูโงนเงนยังไงก็ไม่รู้อ่ะ” แทยอนถามเจสสิก้าเพื่อความแน่ใจเพราะตอนนี้เจสสิก้าคล้ายกับคนน้ำในหุไม่เท่ากันทำให้เหมือนการทรงตัวจะไม่ดีจนแทยอนอดไม่เป็นห่วงไม่ได้ว่าระหว่างทางเพื่อนคนนี้อาจจะล้มลงไปกองกับพื้น
“ไหวน่ามันก็ไม่ได้ปวดมากขนาดเดินไม่ได้หรอกนะ” เจสสิก้าบอกพลางหยิบกระเป๋าสะพายแล้วเดินนำแทยอนออกไปเล็กน้อยก่อนที่แทยอนจะก้าวตามทันแล้วมาช่วยพยุงไปที่รถ
#ที่โรงพยาบาล
เมื่อแทยอนขับรถมาเรื่อยๆจนมาถึงโรงพยาบาลที่อยู่ไกลจากสตูดิโอที่พวกเธอไปถ่ายแบบมากนักและในตอนนี้แทยอนก็พยุงร่างเจสสิก้ามาส่งถึงห้องปฐมพยาบาลซึ่งมีหมอและพยาบาลทำหน้าที่ในรักษาและดูแล
“เสร็จแล้วล่ะค่ะยังไงคุณก็พยายามอย่าเดินเยอะนะคะ” เมื่อจัดการพันผ้าที่ข้อเท้าของเจสสิก้าเสร็จเรียบร้อยคนเป็นหมอก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากสั่งคนไข้ที่เอาแต่พยักหน้าแล้วส่งยิ้มบางๆไปให้
“เพื่อนฉันไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ?” แทยอนถามคนเป็นหมออย่างเป็นห่วง
“ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะแค่ข้อเท้าแพลงอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้วล่ะค่ะ” คนเป็นหมอตอบคำถามให้อีกคนสบายใจพลางส่งยิ้มไปให้ก่อนที่คุณหมอจะขอตัวไปตรวจคนไข้คนอื่น
“จริงๆแกพาฉันไปซื้อผ้ามาพันเองก็ได้ไม่จำเป็นต้องถ่อมาถึงโรงพยาบาลหรอก” เมื่อคุณหมอกับพยาบาลเดินออกไปแล้วเจสสิก้าก็เปิดปากบ่นเพื่อนตัวที่เป็นห่วงเธอมากเกินไปทั้งที่เธอก็แค่ปวดเท้าเท่านั้น
“ไม่ได้สิ! อย่าลืมนะพรุ่งนี้แกมีถ่ายละคะอีกอย่างแกซุ่มซ่ามจะตายถ้าให้ไปซื้อผ้าแล้วแกพันเองมีหวังชาตินี้ก็ไม่หายหรอกย่ะ” แทยอนเปิดปากดุเชิงอธิบายให้ฟังจนเจสสิก้าอดจะแอบเบะปากเล็กน้อยไม่ได้
“แกเพื่อนฉันนะทำตัวเป็นแม่ฉันไปได้” เจสสิก้าบอกแกมเถียงเพื่อนของเธอ
“ก็ฉันเป็นต้นเหตุให้แกเจ็บตัวนี่” แทยอนบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ไม่ต้องมาทำดราม่าฉันไม่ร้องไห้หรือจะมานั่งซึ้งให้หรอกนะ” เจสสิก้าบอกเชิงดักคออีกคนที่กำลังทำสีหน้ารู้สึกผิด
“จบค่ะมึง!” แทยอนบอกพลางมองเจสสิก้าอย่างเอือมระอา
“ป่ะ! กลับบ้านกันฉันอยากนอน” เจสสิก้าบอกพลางส่งยิ้มไปให้อีกคน
“เอาที่มึงสบายใจเลยค่ะ” แทยอนบอกพลางส่ายหัวอย่างระอาทำให้เรียกเสียงหัวเราะจากเจสสิก้าได้เล็กน้อยแล้วแทยอนก็ทำหน้าที่ช่วยพยุงร่างของเจสสิก้าพาไปที่รถแล้วขับไปส่งเจสสิก้าถึงคอนโด
เมื่อแทยอนพาเจสสิก้ามาส่งถึงคอนโดก็ยังช่วยพยุงพาไปส่งจนถึงห้องจนทำให้เจสสิก้าอดจะบ่นไม่ได้เพราะตอนนี้อาการเธอก้เริ่มดีขึ้นแล้วแต่เพื่อนของเธอกับทำเป็นห่วงโอเวอร์แอ็คติ้งจนเจสสิก้าเหนื่อยใจ
ไลน์!~
หลังจากที่แทยอนกลับไปแล้วส่วนเจสสิก้าก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวก็มีเสียงไลน์ดังขึ้นมาเจสสิก้าจึงควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าแล้วหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ
มาร์ค : พี่สิก้าวันนี้ถ่ายแบบเป็นยังไงบ้างครับ?
เจสสิก้าจอง : ก็ดีนะแล้ววันนี้นายถ่ายละครเป็นไงบ้าง?
มาร์ค : ก็เหมือนเดิมแหละครับไม่มีคนแกล้ง
เจสสิก้าจอง : หมายถึงใคร?
มาร์ค : พี่นั่นแหละ ก็วันนี้พี่ไม่มาผมเลยไม่มีคนจะแกล้งอ่ะ
เจสสิก้าจอง : อ้าว! งั้นแบบนี้พรุ่งนี้พี่ไม่ไปถ่ายมันละอยากแกล้งเด็ก
มาร์ค : โห่! ถ้างั้นเดี๋ยวพี่จะโดนพี่ซูฮยอนว่าเอานะอีกอย่างพรุ่งนี้พี่ก็มีคิวถ่ายด้วยนี่นา
เจสสิก้าจอง : รู้ดีจริงๆไปแอบดูตารางงานของพี่จากใครห๊ะ?
มาร์ค : ก็...พี่แทยอนบอกมาอ่ะครับ
เจสสิก้าจอง : อะไรกันตอนนี้นายไปสนิทกับแทยอนแล้วเหรอ? งอนอ่ะ!
มาร์ค : โอ๋ๆๆๆอย่างอนดิพี่นี่ผมง้อนะเนี่ย
เจสสิก้าจอง : โอเคๆให้อภัยเดี๋ยวค่อยเจอกันพรุ่งนี้เน้อพี่ไปนอนละง่วงมากกกกกก
มาร์ค : คร๊าบบบบบบบ!~~
หลังจากที่คุยไลน์กับมาร์คได้ครู่หนึ่งเจสสิก้าก็ปิดโทรศัพท์ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรงเพราะวันนี้เธอรู้สึกล้าไปหมดทั้งร่างกายและหัวใจ
เฮ้!~~~ อัพครบแล้วคร๊าบบบบบบบบบบ
เอาไงๆๆเชียร์ทีมไหนกัน #ทีมเจสิก หรือ #ทีมมาร์คสิก 5555
มีคนถามเซฮุนยังเป็นพระเอกอยู่มั้ย? #ผมนี่ขอโทษเลยครับ - -
ขอโทษทีค่ะเดี๋ยวพาร์ทตัวละครที่ออกน้อยๆจะให้ออกเยอะละ
แต่เดี๋ยวนะมันมีตัวละครอยู่ตัวหนึ่งที่จนตอนนี้ยังไม่ออกมาเลย
ทายถูกป่ะล่ะ? 55555555 อ่านแล้วเม้นกันโต้ยยยยยยยยยยยย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาร์คสิก้า ><
ลู่กวนพี่แทสุดๆๆ
เชียร์เจสิกน่ะเนี่ย
รอพาร์ทฟานี่ค่ะ
รอค้าาาาาาา
ซันนี่ยังเหมือนเดิม ทุกคนหล่อหมดในสายตาซันบันใช่ไหม -0-
คริสสิกเจอกันแล้วล่ะ
เจอกันแล้วก็ด่ากันกระจายทันที - -+
คริสมาอย่างหล่ออ่ะช่วยได้เจ๋งงง 5555
รอนะคะ
เปิดฉากมาพี่แทแกเหมือนอารมณ์ขึ้นจะด่า
มองหน้าฮุนที ละลายเลย -/////-
เมนูน้องซอน่ากินมากจนทุกคนไม่กล้ากินเลยทีเดียว #โดนเมนน้องกบตบ
สำนักหมอผีแปลว่าสิกจะได้เจอคริสแล้วใช่มั้ยอ่า >_<
มาต่อไวๆนะค่ะ
มิเชลอย่าโผล่บ่อยนะรำคาญอ่ะ -3-
รอนะคะ
น้องกบลูกข้าวผัดปลาไหลทำไมกินเเปลกพิศดานจังเลยลูก
ยุนเธอไม่ต้องกลัวท้องเสียหรอก เธอมันกระเพาะเหล็กนะย่ะ
เจสเเทเเกกังวลขนาดนั้นเลยหรอ ไม่มีใครกล้าป้นบ้านเเกหรอก
ซูโฮเอิ่มเป็นโจรได้เลยนะ ถ้าจะเดินได้เงียบฉี่ขนาดนั้น
เเทถ้าเเกน่าจะสงสารขนาดนั้น โอ้ยๆน้ำตาจะไหล
อร่อยไหมพี่ซูโฮข้าวผัดปลาไหลน้องซอ ชอบล่ะสิ
รอฮานซอนะคะ เจ้จี้ ♥ จุ้บๆ
สนุกค่ะ สู้ๆนะ ^^
ซูโฮ โดนไปคำนึง อร่อยมั้ยจ้ะ 555555555
2 สาวไปทำงาน
ส่วนอีก 3 ไปปราบหมอผี จะรอดมั้ยเอ่ยยย
รอนะคะ
ปล.แอบสงสารพี่แทเบาๆ -3-
สนุกมากๆค่ะรอฮานซออยู่น้าาาาา><
เพลียใจกับเซฮุน - -!
อ่าวยูชอนผันอาชีพเมื่อไหร่ 55555
รอมาต่อนะคะ