ตอนที่ 17 : ตอนที่ 17 เช้าวันใหม่
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ธมกรมองออกไปทางหน้าต่างแลเห็นผืนฟ้ากว้างสีเทาครึ้มเพราะเมฆฝนค่อยๆ มืดดำลงทุกทีเมื่อราตรีกาลมาถึง ทว่าสายพิรุณด้านนอกยังคงพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยสักนิด แม้เสียงอสุนีบาตจะเงียบหายไปแล้วก็ตาม จู่ๆ ร่างเล็กก็ค่อยขยับตัวเบียดแนบชิดเข้ามาใกล้เขามากขึ้นจนรู้สึกถึงอุณหภูมิความร้อนระอุที่แผ่กระจายออกมาจากเรือนกายของหญิงสาว ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองใบหนาของคนในอ้อมแขนอย่างสงสัย ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังไม่ได้สติ และพร่ำเพ้อออกมาไม่ยอมหยุด
“หืม...นี่คุณไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย”
“หนาวจัง...หนาว”
“ดูเหมือนจะเป็นไข้นะ ขึ้นมานอนบนเตียงก่อนเถอะ”
ธมกรมีสีหน้าเป็นกังวล เมื่อรับรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังอยู่ในอาการจับไข้ เขาช้อนร่างบอบบางขึ้นมาแล้ววางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม ก่อนจะลุกขึ้นออกไปจากห้องแล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าขนหนูกับกาละมังใส่น้ำเพื่อเช็ดตัวให้หญิงสาว
“อาเกื้อคะ สาหนาวจังเลย ปวดหัวด้วย”
เสียงเล็กๆ ที่ดังแว่วออกมาจากกลีบปากบางนั้น ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับพร่ำเรียกชื่อผู้เป็นอามิได้หยุด พานทำให้นึกถึงใครบางคนที่อยู่ในความทรงจำสมัยเด็กที่เขาเคยตระกองกอดเอาไว้ตรงบริเวณใต้ถุนวัดของหมู่บ้านท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำรุนแรงเหมือนอย่างในคืนนี้ ระหว่างที่กำลังเช็ดหน้าให้คนป่วยมือใหญ่ของเขาก็ถูกกุมเอาไว้ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงัก
“อาเกื้อขาอย่าไปไหนนะ อยู่กับสานะคะ สาไม่อยากอยู่คนเดียว สากลัว กอดสาหน่อยได้ไหม”
น้ำเสียงของอรุสาที่ฟังอ่อนระโหยโรยแรง ไม่มีวี่แววของความเกรี้ยวกราดเหมือนอย่างเมื่อตอนที่มีสติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์เลยสักนิด แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกวิงวอนขอจากเด็กหญิงขี้อ้อนคนหนึ่งเสียมากกว่า ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังนอนอยู่นั้นปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง เธอคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคุณอาของเธอกระมัง
“ไม่เป็นไรนะไม่ต้องกลัว ผมจะอยู่ข้างๆ คุณตรงนี้ไม่ไปไหนหรอก นอนหลับให้สบายเถอะนะนางฟ้าน้อย”
ธมกรเขยิบขึ้นไปนั่งบนเตียง พร้อมกับรวบร่างอรชรเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด พลางโน้มใบหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
เสียงเหล่าสรรพสัตว์ที่ร้องขับขานเมื่อดวงตะวันเคลื่อนตัวขึ้นสูงจากด้านหลังเทือกเขาทีละน้อย ต้นไม้ใหญ้น้อยไหวเอนไปมาตามสายลมแผ่วที่พัดพาเอากลิ่นหอมของความสดชื่นจากผืนดินที่ชุ่มไปด้วยหยาดฝนผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังแว่วมาจากที่ไกลๆ และกำลังร้องเรียกใครบางคนอยู่
“คุณกรคะ คุณกร อยู่หรือเปล่าคะ”
เสียงที่ดังแว่วลอยเข้ามาในหู ปลุกให้ร่างบอบบางตื่นขึ้นจากนิทราอันแสนหวาน ดวงตากลมโตกะพริบน้อยๆ พลางบิดกายขยับเคลื่อนไหวด้วยความเคยชิน แต่กลับรู้สึกอึดอัดและขยับไม่ได้ราวกับถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกที่แน่นหนา ก่อนจะเปิดเปลือกตากว้างขึ้นและรับรู้ว่าสิ่งที่รัดรึงร่างของเธอไว้ หาใช่เชือกเส้นโตอย่างที่คิดแต่กลับเป็นวงแขนแกร่งของใครบางคนต่างหาก ทีแรกเธอคิดว่าเจ้าของอ้อมแขนนั้นคือหนุ่มใหญ่ผู้เป็นอา แต่เมื่อพินิจพิจารณาเห็นสีผิวที่แตกต่างโผล่พ้นออกมาจากเสื้อกล้ามตัวบาง ก็มั่นใจได้ว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ และกำลังโอบกอดเธอไว้ไม่ใช่คนที่เธอคิดอย่างแน่นอน
“กรี๊ด!!!...อุ๊บ…อื้อ!!!”
เพียงเท่านั้นอรุสาก็หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง เธอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เสียงแหลมเล็กนั้นทำให้เจ้าของวงแขนแกร่งกำยำสะดุ้งตื่นทันที พร้อมกับพลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะรีบตะครุบปิดปากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเพราะกลัวเสียงของเธอจะเล็ดรอดออกไปให้ใครได้ยิน
“ใจเย็นๆ ก่อนคุณ อย่าเพิ่งส่งเสียงดังสิ อยากให้ป้าเจียมกับยายเหมียวรู้ว่าคุณกับผมอยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสองเมื่อคืนนี้หรือไง”
ธมกรขู่เสียงเบา แม้จะตกใจเช่นกันแต่ก็มีสติพอที่จะคิดถึงภาพพจน์ของหญิงสาวมาก่อนเรื่องอื่น คำขู่ของเขาได้ผลเกินคาด หญิงสาวเงียบสนิทพร้อมทั้งสั่นหน้าไปมาซ้ำๆ แทนคำตอบ ในขณะที่สองมือเธอก็พยายามดันใบหน้าของเขาออกห่างด้วยท่าทางรังเกียจ หนุ่มผิวเข้มจึงกล่าวขึ้นหวังให้เธอคลายความกังวลใจลงบ้าง แต่ก็อดแกล้งแหย่คนขี้ระแวงมิได้
“ไม่ต้องห่วงน่า ผมไม่ทำอะไรคนป่วยที่ไร้ทางสู้หรอก แล้วอีกอย่างหุ่นไม้กระดานเดินได้แบบนี้...โอ๊ย!!!”
เหตุผลของชายหนุ่มในประโยคแรกยังพอรับฟังได้ แต่ประโยคถัดมาของเขาทำให้อรุสานึกฉุนอย่างมาก นี่มันครั้งที่สองแล้วนะที่เขาพูดจาดูถูกเธอเช่นนี้ แม้หญิงสาวจะรู้ดีว่านั่นคงเป็นแค่คำพูดล้อเล่นโดยมีเจตนาเพียงแค่อยากให้เธอสบายใจ แต่ไม่รู้ทำไมพอได้ฟังกลับรู้สึกเหมือนถูกจี้ใจดำเสียเหลือเกิน คนถูกล้อเลียนจึงอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังเผลอชันเข่าตั้งขึ้นมาก่อนจะออกแรงถีบเข้าตรงกล่องดวงใจของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง ส่งผลให้เจ้าของใบหน้าทะเล้นกับคำพูดกวนประสาทนั้นหงายหลังตกเตียงดังโครมลงไปนอนร้องโอดโอยหน้าเขียวหน้าเหลืองอยู่กับพื้น เกิดอาการจุกจนแทบพูดไม่ออก
“โอ๊ะ...นี่คุณ...คุณถีบผมทำไมครับ อูย ถ้าเกิดน้องชายผมใช้การไม่ได้ขึ้นมา คุณจะรับผิดชอบผมไหมเนี่ย”
“ไม่มีทาง นายทำตัวเองนี่ ใครใช้ให้เข้ามาในห้องของฉันกันล่ะ”
ร่างเล็กในชุดนอนตัวหลวมโคร่งยืนจังก้าทำท่าตั้งการ์ดราวกับนักมวยสาวเจ้าสังเวียน มองคนที่จุกจนหน้าเขียวเพราะลูกถีบพิฆาตของตนด้วยสายตาเยาะเย้ย แต่กลับถูกตอกกลับด้วยคำพูดของอีกฝ่ายจนแทบหน้าหงาย
“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ นี่มันห้องนอนของผมนะ ชุดนั่นก็ของผม แล้วอีกอย่างเมื่อคืนคุณนั่นแหละที่รั้งผมเอาไว้เอง อย่ามากล่าวหากันแบบนี้สิครับ”
เมื่ออาการเจ็บจนจุกทุเลาลงบ้างแล้ว ธมกรจึงเป็นฝ่ายโต้กลับบ้าง และเหตุผลของเขาก็ทำให้หญิงสาวจนแต้มในทันที แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ
“ไม่รู้ล่ะ ก็นายยกห้องให้ฉันนอนแล้วนี่ จู่ๆ จะถือวิสาสะเข้ามาในห้องผู้หญิงได้ยังไงเล่า”
อรุสายกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนคนมองเกิดอาการเหนื่อยใจกับนิสัยชอบเอาชนะของเจ้าหล่อนเสียเหลือเกิน พลันเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตูห้อง ทำให้สองหนุ่มสาวถึงกับสะดุ้งมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก
โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้ค่ะ >>>
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ได้ยินเสียเรียกของใครเอย
รอไรเตอร์มาupต่อ