ตอนที่ 46 : *Flip Love*: Chapter 41 ตามหา...(100%)
Chapter 41 ตามหา...
“ไม่ต้องห่วงหรอก บอกซองมินไปอย่างนั้นแหละ”
ซีวอนเอ่ยตอบเสียงจากปลายสายในจังหวะที่มือทั้งสองข้างกำลังบังคับทิศทางของรถไปบนเส้นทางที่นำพาเขาไปเอาหัวใจกลับมา
“บอกว่าฉันจะพาเพื่อนเขากลับมา”
// ไอวอนบอกมาแบบนั้นได้ยินแล้วใช่มั้ย....//
// อือๆ ถ้าเจอฮยอกบอกว่าให้รับสายเบอร์ของคยูด้วยนะ //
เป็นเสียงสองโทนที่ฟังก็รู้ว่าจากใคร ซีวอนขมวดคิ้วมุ่น ถึงจะรู้ว่าเป็นซองมินที่โทรหาฮยอกแจ แต่ให้บอกว่าให้รับสายเบอร์ผู้ชายคนอื่นเขาก็ตะขิดตะขวงอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“อือ รู้แล้ว...ต้องวางแล้วว่ะ เดี๋ยวค่อยคุยใหม่”
ซีวอนกดวางสายถอดสมอลทอร์คออกแบบไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ แล้วกดคันเร่งให้เร็วขึ้น เขาอยากจะไปให้ถึงที่นั่นให้เราเหมือนที่ใจเขาแทบจะลอยไปอยู่แล้ว
..
..
“ง่า ซีวอนวางไปเฉยเลย ส่งสัยจะขับรถไม่ถนัด”
“เรานี่น้า” เหมือนคยูฮยอนจะรู้ใจเพื่อนตัวเอง เพราะถ้าเป็นเขาให้บอกแฟนว่าให้รับสายคนอื่นด้วยก็ไม่ยอมหรอก
“ทำไมเหรอ ฉันทำไมเหรอคยู อ่า เผลอพูดอะไรผิดไปอีกแล้วรึเปล่าเนี่ย T3T”
ดวงตาหวานใสเบิกกว้างแล้วก็เริ่มแบะปากเหมือนจะนึกได้ว่าชอบเผลอทำอะไรผิดไม่รู้ตัวอยู่เรื่อยเลย
“คนทำผิดก็ต้องโดนลงโทษสินะครับคุณคยู”
พาทิซิเย่ที่เดินเข้ามาได้ยินแต่ที่ซองมินบอกว่าตัวเองผิดๆ ก็คิดอยากจะหยอกคุณลูกศิษย์กับคนรักที่น่ารักเล่นซักหน่อย
“เอ...ลงโทษเหมือนคราวก่อนน่าสนใจนะครับ หึหึ”
คิบอมเดินเข้าไปพูดใกล้คยูฮยอน แถมด้วยเสียงหัวเราะท้ายประโยคให้คนหน้านิ่งเขินขึ้นมาแต่สีกลับไปแดงที่หูซะงั้น
“เชฟครับ” คยูฮยอนเรียกเสียงอ่อนแบบเซ็งๆ
“อะไรอ่าคราวก่อนไหนเหรอ” กระต่ายตัวอวบหูตั้งเข้ามาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นแต่ คิบอมเดินหัวเราะยิ้มๆออกไปจากห้องพักซะแล้ว เลยต้องกลับมาถามคนรักตัวเองต่อ
“งื้อ คยูไม่บอกเหรอ อะไรคราวก่อนอ่ะ”
“......” คยูฮยอนยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง อดอายไม่ได้เหมือนกันที่เชฟคิมมาเห็น แต่ก็ต้องบอกให้คนที่มายืนกระพริบตาปริบๆนี่รู้
“ก็คราวก่อน...ที่ผมทำโทษคุณ...ในห้องครัวไงล่ะ...”
ฉ่า
“......คะ...คาราเมล ( ‘ /////////// ’ )”
ไม่ต้องเอ่ยอะไรต่อ ซองมินคิดว่าตอนนี้หน้าของเขาคงแดงยิ่งกว่าสตอร์เบอร์รี่บนเค๊กหน้าร้านเสียอีก T/////T
_.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._.Flip Love._.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._
รถคันสีดำเข้มขับเข้าสู่เขตชางวอน แบบไม่มีเป้าหมายเท่าไหร่ ซีวอนกำพวงมาลัยรถหลวมๆอย่างๆลังเลเมื่อถึงทางแยก... เขาไม่รู้อะไรเลย เขารู้แค่คำที่ฮยอกแจเคยบอกไม่กี่ประโยคนั้นเท่านั้น
ร่างหนาตัดสินใจหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดหน้าอินเตอร์เน็ตเสิร์จข้อมูลที่พอจะหาได้
ชางวอน – พิมไปแค่นั้น ภาพที่ออกมามีหลายประเภทมากเกินกว่าจะรู้ได้ ซีอวนนิ่งไปนิดเมื่อคิดว่า ดอกไม้สีเหลืองนั่นที่ฮยอกแจบอกมันคือต้นอะไร เขาก็ไม่แน่ใจ เขาจึงทำได้แค่พิมคำว่า.... ‘ไร่ดอกสีเหลือง ...ชางวอน’ ลงไป แต่ผลกลับมา กลับไม่ออกมาอย่างที่คิดเช่นเคย เพราะเขตชางวอน พื้นที่ส่วนมากทำไร่ ทำสวนผสมกันไป แต่ที่เห็นจะมีมากอยู่หน่อย ก็คือ ไร่องุ่น
มือหนาตัดสินใจกดตัวอักษรลงไปใหม่ “ไร่องุ่น ชางวอน” ไม่นานเว็บไซด์และภาพต่างๆก็แสดงผลออกมา บ้างก็อยู่ในเขตชางวอน บ้างก็ไม่ ซีวอนขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด เขาจอดรถอยู่ตรงนี้มานานเกินไปแล้ว รู้สึกเหมือน ไม่ก้าวหน้าเลย
เมื่อตั้งสติไม่ให้อารมณ์เสียไปจนอ่านตัวอักษรในหน้าจอไม่รู้เรื่องได้ ดวงตาคมก็ค่อยๆกวาดตาอ่านทีละเว็บ ทีละบรรทัดไปเรื่อยๆจนสรุปข้อมูลได้ว่า ไร่องุ่นส่วนมากจะอยู่ไม่ไกลจากภูเขาซาดงซานเท่าไหร่
“เริ่มไปหาจากแถวๆนั้นแล้วกัน” เสียงทุ้มพึมพำตกลงกับตัวเอง แล้วก็เก็บโทรศัพท์ไปคว้าพวงมาลัยให้นำทางต่อทันที
ซีวอนที่ไม่ได้เจนทาง ขับไปก็ดูป้ายบ้าง แวะถามตามทางบ้าง จนเริ่มเข้าเขตภูเขา ตาคมดูเป็นประกาย เมื่อเห็นภูเขาใหญ่อยู่ที่ปลายทาง
สองข้างทางของถนนใหญ่เริ่มมีป้ายโฆษณาเชิญชวนท่องเที่ยว ไร่องุ่น ฟาร์มโคนม โฮมสเตย์เป็นระยะ เขาจึงลดความเร็สลงเพื่ออ่านป้ายเหล่านั้น เผื่อว่าจะมีชื่อไหนที่ดูแล้วคุ้นบ้าง
ตะวันเริ่มคล้อยบ่าย อากาศของช่วงฤดูใบไม้ผลิยังไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ช่วยประทังให้การตามหาไม่ลำบากมากยิ่งขึ้นไป ซีวอนเลือกที่จะไล่ไปทีล่ะไร่ ขับรถเข้าทางไร่นั้นไร่นี้ ไล่ไปเรื่อยๆ จากฟากถนนนี้มาฟากตรงข้าม ถึงไร่ไหนก็ลงไปถามเมื่อไม่ใช่ก็กลับขึ้นรถ เป็นอย่างนี้ด้วยความมุ่งมั่นจนฟ้ามืด
“เฮ้อ....หมดไปอีกวันนึง....” ร่างหนาทิ้งตัวลงบนเบาะรถที่เขานั่งมาทั้งวันเมื่อกลับขึ้นรถอีกครั้งหลังจากเข้าไปถามไร่องุ่นเป็นแห่งที่เท่าไหร่ไม่รู้ มือหนาคว้าผ้าพันคอผืนเข้มที่ไม่เคยห่างตัวมาดูอีกครั้งเป็นกำลังใจแล้วนัยน์ตาคมที่เจือความเหนื่อยเพลียหลับลงอย่างหมดแรง ตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้เขาคงนอนในรถอย่างนี้แหละ ตื่นเช้ามาก็ได้ขับรถตามหาฮยอกแจต่อเลย
_.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._.Flip Love._.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._
“เช้านี้ท่าทางจะหนาวกว่าปกติ”
ฮยอกแจที่ตื่นเช้าเหมือนเช่นเคย หลังจากทานมื้อเช้าเรียบร้อย ท้องอุ่นๆก็พร้อมสู้กับอากาศที่ทำให้หมอกลงจนขาวไปทั่วอย่างนี้แล้ว
“ตอนเช้าต้องใส่เสื้อหนาวๆนะลูก”
ลีแทซอกเดินออกมากอดไหล่ลูกชายร่างเล็กของเขา(และเพิ่งได้มีบทพูด) พลางเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง โดยที่คนเป็นลูกยิ้มหวานรับ
“พ่อก็เหมือนกันนะฮะ พ่อไปไร่ไหนเหรอฮะวันนี้” ฮยอกแจเอ่ยถามบิดาตนเอง เพราะไร่ของบ้านเขาไม่ได้มีแต่ส่วนที่ติดกับบ้านผืนนี้ แต่มีอีกผืนนึงที่ใช้เงินจากกำไรที่ได้มาในผืนแรกไปซื้อ ตอนนี้พ่อเขาก็เลยต้องดูแลทั้งสองที่
“ไร่ใหม่นู้นน่ะ เอาข้าวกล่อง น้ำ ร่ม รองเท้าบูทไปพร้อมทุกอย่างเลยเนี่ย” แทซอกสาธยายกระสอบ(?)ใหญ่ที่เขายัดทุกอย่างลงไปหยาบๆตามประสาคนที่โตมาในไร่ในสวน ฮยอกแจหัวเราะมนลำคอเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพสัมภาระของบิดาตนเองที่ไม่ว่ากี่ปีก็เหมือนเดิม ต่อให้แม่เขามาจัด ก็สู้ไม่ไหว
“ตอนเที่ยงอากาศร้อน ถึงจะรำคาญ แต่อย่างน้อยตอนพักทานข้าวก็หาที่ปักร่มนะฮะ อย่ากินกลางแดดล่ะ”
ฮยอกแจชี้ไปที่ร่มคันใหญ่ที่มันยาวแทงออกมานอกร่มให้เห็นชัดเจน พลางนึกถึงตอนที่ไปช่วยพ่อแทซอกในไร่ มีอย่างที่ไหนคนงานเอาข้าวกล่องที่ทำมาจากบ้านไปนั่งกินรวมกันที่ศาลาไม้ ตรงทางเข้าสวน แต่เจ้าของกลับไปนั่งกินบนพื้นใต้ต้นไม้ที่ไม่ได้ร่มซักเท่าไหร่น่ะ
“จ้า ลูกของแม่เขานี่น่ารักเหมือนแม่เขาจริงๆ ว่าแต่เราเถอะผอมอย่างนี้ หน้าตาก็เหมือนนอนไม่พอ ระวังจะไม่สบายล่ะ ตอนเช้ากับตอนเที่ยงอุณหภูมิต่างกันเยอะ”
“ฮะ ไปทำงานดีๆนะฮะ” ฮยอกแจโบกมือบ้ายบายพ่อที่ขึ้นรถบรรทุกเล็กสีขาวล้วนไปแล้ว
..
..
..
..
“อือ.....”
เสียงทุ้มแหบแห้งดังขึ้นอย่างทรมานในห้องโดยสารของรถสีดำสนิท แก้วตาสีนิลเปิดขึ้นมองเพดานรถอย่างยากลำบาก คิ้วเข้มขมวดมุ่น อาการปวดหัวตีเข้าเล่นงานอย่างรุนแรง
อากาศหนาวยามเช้าทำให้กระจกรถขึ้นเป็นฝ้า ซีวอนพยายามเปิดตาให้กว้างมองรอบกายอีกครั้ง ก็พบว่าเช้าพอควรแล้ว เขาควรจะต้องไปตามหาฮยอกแจต่อได้แล้ว
ใบหน้าคมที่มีไรหนวดซุกเข้าหาความอบอุ่นของผ้าพันคอ สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาเหมือนเรียกกำลังใจ
เจ้าของรถยนต์คันหรูหลังจากที่แวะร้านขายของชำ ล้างหน้าล้างตา หาอะไรลงท้อง ก็พาร่างที่ตัวรุมเหมือนมีไข่ขับต่อไปอย่างไม่คิดจะแวะหยุดให้เสียเวลา อาการปวดหัวที่ทำให้เขาต้องเรียกสติก่อนออกจากรีสอร์ทที่ล่าสุดที่เข้าไปถามหาคนรัก แต่ก็ไม่เจอเช่นเดิม
แล้วเขตุที่เต็มไปด้วยรีสอร์ทมากมายก็ค่อยๆเว้นความหนาแน่นลง กลายเป็นที่ทางที่เป็นไร่และเป็นสวนมากขึ้นทีละนิด
เสียงล้อรถยี่ห้อดีบดเบียดก้อนกรวดเป็นเสียงที่ซีวอนไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ แต่เขาไม่สนใจแล้ว เมื่อความหวังเขาเริ่มมีให้เห็น
วิวของไร่กว้างที่ต่อกันมีเพียงรั้วลวดขึงเอาไว้บอกตำแหน่งกั้นให้เจ้าของได้ทราบ บ้างเป็นไร่ดอกทานตะวันที่เพิ่งโตได้ไม่นานไม่ทันจะหย่อนดอก บ้างเป็นต้นหญ้าสีอ่อน ดูแทบไม่ออกเลยว่าเป็นต้นอะไร
คนที่พิษไข้เริ่มออกฤทธิ์มากขึ้นจอดรถหยุดลงที่ข้างทาง ก้าวลงก็พบกับสายตาคนงานหลายคนที่มองมาอย่างเคลือบแคลงว่า เหตุใด รถยนต์คันหรูที่ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับที่นี่จึงได้มาจอดลงตรงนี้ได้
“ขอโทษครับ...ไม่ทราบว่า รู้จักไร่องุ่นที่ติดกับไร่ดอกไม้สีเหลืองๆมั้ยครับ”
เสียงแหบแห้งเอ่ยประโยคที่เขานอนละเมอพึมพำเมื่อคืนนี้ เหตุเพราะเขาพูดแต่ประโยคเดิมๆไปมาทั้งวันและแทบทุกคนที่เขาถามต้องมีสีหน้าไม่ต่างกันคือประหลาดใจและไม่เข้าใจ
ชายสูงวัยที่โพกผ้าปิดเอาไว้แถมใส่หมวกทับจนเหลือแต่ดวงตา แต่มองมาอย่างไม่แน่ใจ และพินิจพิเคราะห์ ไม่เหมือนๆกับคนก่อนหน้า
“ไร่องุ่นที่ติดกับไร่อะไรนะ” เสียงทุ้มของชายคนนั้นถามย้ำ
“ติดกับไร่ดิกไม้สีเหลืองๆน่ะครับ...ผมไม่แน่ใจว่าต้นอะไร...แต่เป็นสีเหลืองทั่วทั้งทุ่ง....”
ชายคนงานฟังแล้วก็นิ่งมองซีวอนที่ยืนกุมศีรษะไปด้วยก้มหน้าโค้งไปถามไป
“คุณจะไปที่นั่นทำไม”
“! คุณลุงรู้จักเหรอครับ” ซีวอนเบิกตาโพลงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูมีเรี่ยวมีแรงมากกว่าเดิมแต่ก็แค่เพียงนิด
“..........”
“.....ขับรถตรงไปเรื่อยๆ....เจอป้ายโรงไวน์ ก็เลี้ยวไปตามทาง...”
“!!! ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณ” ซีวอนโค้งให้หลายครั้งโดยไม่สนความรู้สึกปวดที่เหมือนบีบสมองของเขาทุกครั้งที่ขยับรุนแรงเลย
ร่างหนาแทบจะเหาะขึ้นรถ เขาขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว แต่กลับยกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ไม่ได้สงเกตเลยว่าหน้าปัดบอกปริมาณน้ำมันของรถเขากระพริบเตือนและไม่รู้ว่ากระพริบมานานเท่าไหร่แล้ว
....และแล้วรถคันหรูก็ค่อยลดความเร็วลงกระตุกเครื่องยนต์ดับลงอย่างดื้อดึงเมื่อตาคมเห็นป้ายโรงไวน์อยู่ไม่ไกล ซีวอนบิดกุญแจลองอีกครั้ง แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ พยายาม จะติด...
เขาคว้าเอาของจำเป็นติดตัวแล้วก้าวลงจากรถ พร้อมกับอุณหภูมิของร่างกายที่เหมือนจะเพิ่มขึ้น
เท้าหนาที่เหมือนเจ้าของจะรู้จักหนักขึ้นทุกครั้งก้าว มีเพียงป้ายลูกศรชี้ทางไปโรงไวน์ที่เป็นแรงพลักดันให้เท้าของเขาก้าวต่อไป
ดวงตาที่ร้อนผ่าวปรือขึ้นเมื่อ ภาพของทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนโล่งกว้าง แต่หัวใจดวงโตก็ค่อยเต้นแรงเมื่อเห็นว่าไร่ข้างๆนั้นเป็นไร่องุ่นที่ด้านหนึ่งเป็นเหมือนโรงหรือโกดังซักอย่าง ซีวอนค่อยๆขยับเท้าบังคับให้ก้าวเร็วขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเขาใกล้จะได้เจอฮยอกแจแล้ว
ซีวอนที่ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตัวเองมาตลอดทาง รู้สึกเหมือนกับหัวใจกำลังถูกบีบรัดเมื่อภาพของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนกันอยู่ตรงต้นแถวเถาองุ่น เสียงหัวเราะหวานใสที่ฟังดูคุ้นเคย และคนร่างบางที่ผิวขาวสะอาดนั้นก็ยิ่งดูคุ้นเคย
เขาชะลอเท้าที่กำลังจะพุ่งทางโรงไวน์ลงแล้วค่อยๆก้าวเท้าตรงไปทางกลุ่มคนแทน
“ฮ่าๆ จริงเหรอเฮนรี่ เราทำอย่างนั้น ฮยองของเราเค้าไม่โกรธเอาเหรอ”
...ได้โปรด พระเจ้า...
“อ๋อ เราก็สัญญาไปก่อนว่าจะทำไม่ทำอีก แต่เดี๋ยวก็แอบทำอีกล่ะซิพี่ว่า”
....ผมขอร้อง...ผมคิดถึงเขา...
“ไม่ต้องมาอ้อนพี่เลย ไปอ้อนซึงโฮฮยองของเราให้หายงอนดีกว่า....”
....ผมคิดถึงฮยอกแจ....
“.....ซีวอน...”
ร่างหนาที่เดินเข้ามาทำให้เสียงพูดคุยนั้นหยุดลง ใบหน้าหวานมองร่างนั้นนิ่งค้าง ไม่คิดเลยแม้ซักนิดว่าคนๆนี้จะมาปรากฏให้เห็นตอนนี้ตรงนี้
“ฮยอกแจ...”
ใบหน้าคมที่ดูอ่อนเพลีย และซีดเซียว ยกยิ้มด้วยความดีใจแต่แล้ว......
ตุบ
“ซีวอน!!!”
ร่างทั้งร่างก็ล้มฟุบลงพื้นที่เต็มไปด้วยฟางและต้นหญ้า ฮยอกแจตกใจรีบพุ่งเข้าไปหา เพียงแค่สัมผัสโดนตัว ก็รู้สึกถึงไอความร้อนที่เกินอุณหภูมิปกติ
“ทำไมตัวเขาร้อนแบบนี้ล่ะฮะ” เฮนรี่ตระหนกไม่ต่างกัน ลุกขึ้นวิ่งไปเรียกคนงานที่อยู่ไม่ไกลให้มาช่วยกัน
“ฮะฮยอก....ฮยอกแจ...”
เสียงทุ้มที่แหบแห้งเอ่ยออกมาเบาแสนเบา แต่คนที่ช้อนใบหน้าคมให้อยู่บนตักตัวเองนั้นได้ยินอย่างชัดเจน ความเศร้าและสับสนตีเป็นก้อนขึ้นจุกอยู่ที่ลำคอ เอ่ยถามคนที่เหมือนไม่ได้สติอย่างยากลำบากไม่ต่างกัน...
“ฮึก...มาทำไม...จะมาที่นี่ทำไม....”
เสียงปลายนิ้วเรียวกดแป้นพิมพ์โน็ตบุ้คดังขึ้นเป็นจังหวะ เสียงหัวเราะใสของหญิงสาวดังขึ้นฟังดูรื่นหู เป็นภาพที่คนในบ้านตระกูลชเวเห็นจนชินตาในช่วงนี้
ชเวมิรินยิ้มหวานแก้มแดงให้กับหน้าจอที่มีตัวอักษรสั้นยาวสลับกันไปจากด้านซ้ายและขวา
“แล้ว...จะถามต่อว่าไงดีล่ะเนี่ย” เสียงพึมพำดังขึ้นเมื่อปลายนิ้วหยุดการพิมตัวอักษรลง ในสมองของเธอตอนนี้คิดสับสนด้วยความตื่นเต้นเพราะผู้ชายที่เธอกำลังคุยผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยคนนี้
ติ้ง
“อ้ะ ตอบมาแล้วๆ” เธอดีใจรีบพิมข้อความตอบไปทันที
/ จะให้ผมนัดกับใครได้ล่ะ ผมไปกับที่บ้านน่ะ เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วผมทักมานะ /
“ได้เลยค่ะๆ”
/ มิรินคนสวยต้องรอผมนะ บังคับไม่ให้คิดถึงใครนอกจากผมด้วย /
“อื้อๆ” เธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจและเขินอาย ตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยได้สนิทสนมกับผู้ชายคนไหน และอีกหนึ่งความคิดคือ...
...หนังสือเล่มนั้น ตอนนี้อยู่กับเธอ...เธอเชื่อว่า นี่คือ...รักแท้ของเธอแน่นอน...
แต่สิ่งไหนที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง...ผลที่ตามมาก็คงไม่ต่างกัน...
_.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._.Flip Love._.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._
เสียงพูดคุยกันดังอยู่ไม่ไกลทำให้ซีวอนรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างงุนงง ดวงตาคมพยายามปรือเปิดดวงตาขึ้น แต่มันก็เหมือนหนักราวกับรั้งไว้ด้วยหินก้อน เพดานที่ไม่คุ้นตาเป็นสีน้ำตาลเข้มลายไม้ พยายามมองไปด้านข้างก็เห็นที่มาของเสียง
“ไม่เป็นไรหรอก ให้นอนที่นี่ก็ได้”
เขาอยู่ที่ไหนแล้วนะ...เขามาตามหาฮยอกแจ...ใช่...ฮยอกแจ
“...ฮยอก...แจ...” เสียงทุ้มที่แห้งแหบราวขาดน้ำมานานเอ่ยชื่อร่างบางที่นั่งอยู่ไม่ไกลให้หันกลับมามองคนป่วยตัวโต
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ”
“ฮยอกแจ....” เขายังคงพูดคำเดิมตั้งแต่ก่อนจะทรุดลง ตาคมร้อนผ่าวยังคงเปิดขึ้นไม่ไหว อาการที่คนเฝ้าตัวขาวมองเห็น หันไปหยิบผ้าสะอาดในกะละมังน้ำด้านข้างมาบิดหมาดแล้วเช็ดซับไปตามใบหน้าให้
“เรียกไม่หยุดเลยนะเนี่ย” เฮนรี่ที่นั่งอยู่อีกข้างมองอย่างสนใจ หลังจากที่อยู่ดีๆก็มีผู้ชายตัวโตเดินเข้ามาในไร่แบบไม่มีไม่มีขลุ่ยแล้วก็ฟุบลงไปทั้งที่ยังเรียกชื่อพี่ฮยอกแจอยู่ตลอด พี่ชายคนสวยของเขาก็มือสั่นน้ำตาคลออย่างที่ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นห่วงมากแค่ไหน...และเขาก็รู้อีกด้วยว่า ผู้ชายคนนี้แหละที่เป็นสาเหตุให้พี่ฮยอกแจของเขาเศร้าจนต้องมาอยู่ที่ไร่แน่นอน สายตาของพี่ฮยอกแจมันบอกงั้นนี่นา...
“เดินมาแดดร้อนๆตอนมีไข้ ถึงจะถึกยังไงก็ไม่ไหวอ่ะเน้าะ แต่ว่าแรงคิดถึงน่าจะมากกว่า คิคิ...โอ้ย” ซึงโฮเขกมะเหงกให้เจ้าตัวแสบหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ พูดอะไรเหมือนเข้าข้าง คนป่วยนั่นเลย
“งื้อ~~~ พี่ฮยอกแจ”
มือเล็กลูบหัวตัวเองตรงที่โดนเขกป้อยๆ หันไปอ้อนพี่ชายร่างบางอย่างทุกครั้งที่โดนซึงโฮดุเอา เสียงเรียกทำให้คนที่เงียบอยู่นานหันกลับมามอง
“อ้ะ ว่าไง ทำไมเหรอเฮนรี่”
ท่าทางกังวลและไม่เป็นตัวเองของฮยอกแจทำให้ซึงโฮถอนหายใจเบาๆแล้วเลี่ยงออกไปนอกห้องพักของบ้านลี...อย่างที่รู้ว่า...ฮยอกแจยังคงรักเขาเหมือนเดิม..และท่าทางว่า...คนๆนั้นก็รักฮยอกแจไม่ต่างกัน...แล้วหากเข้ามาตามด้วยสภาพขนาดนี้...คงพอจะพิสูจน์อะไรได้หลายอย่างแล้วล่ะ
..
..
..
“เฮนรี่ ช่วยเฝ้าเขาให้พี่หน่อยนะ พี่ไปดูข้าวต้มก่อนว่าได้ที่รึยัง” ฮยอกแจมองหน้าคนป่วยด้วยสีหน้ากังวลพลางเอ่ยบอกน้องชายที่มองอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ได้ฮะ เดี๋ยวผมเฝ้าแฟนพี่ฮยอกให้ คิคิ”
กึก
ร่างบางที่ลถกขึ้นไม่ทันจะได้หมุนตัวเดิมออกไปชะงักกึกกับคำเรียก และเอ่ยตอบทั้งที่ไม่ละสายตาจากคนป่วยที่นอนอยู่ราวกับต้องการคำตอบบางอย่างในหัวใจ
“เขาไม่ใช่แฟนพี่หรอก...” เสียงหวานบอกแทบไม่ได้ยินเสียงแล้วก็เดินออกจากจุดนั้นไป น้ำเสียงและสีหน้าเศร้าทำให้ลูกชายหัวหน้าคนงานยู่ปาก
“อือ....เหมือนจะไม่ใช่แค่งอน...พี่คนหล่อต้องทำอะไรที่ให้พี่ฮยอกเสียใจมากแน่นอนเลย ไม่งั้นคงจะไม่เห็นสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของพี่ฮยอกเหรอ....” เจ้าตัวดีวิเคราะห์เสร็จสรรพแถมยังนึกถึงตอนช่วงที่เจอฮยอกแจสีหน้าแย่พอๆกับตอนนี้ มาเป็นหลักฐานประกอบ(?)
..
..
ผ่านไปไม่นานฮยอกแจก็ยกถาดเข้ามาพร้อมกับชามข้าวต้มสีขาวนวลและแก้วเล็กๆที่ใส่ยาเอาไว้ เฮนรี่เห็นอย่างนั้นเลยลุกขึ้นจากเก้าอี้ให้ฮยอกแจได้ตั้งถาดลงไปตรงโต๊ะเล็กๆข้างเตียง
“หูยยย น่ากินจังเลยฮะ ยังมีอยู่ใช่ม่ะ แอบชิมดีกว่า อิอิ” ว่าแล้วกลิ่นอาหารก็เรียกให้เจ้าตัวแสบลอยตามออกจากห้องไปจนได้
“ซีวอน...ตื่นเถอะ...กินข้าวกินยาก่อน”
มือเล็กแนบที่แก้มแล้วแตะเบาๆเป็นจังหวะให้คนที่เหมือนจะหลับๆตื่นๆรู้สึกตัว เรียกอยู่สองสามครั้งซีวอนก็พยักหน้าและครางรับในลำคอ
ร่างสูงพยายามรั้งร่างกายที่หนักอึ้งให้นั่งพิงกับหัวเตียง กลิ่นข้าวต้มหอมๆและใบหน้าหวานที่เขาแสนคิดถึง
ตาคมมองเพียงใบหน้าของคนรักที่ไม่แสดงสีหน้าอะไรหากแต่ในใจนั้นกำลังเต้นแรงจนกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน
มือเล็กตักข้าวต้มมาเป่าๆพอให้หายร้อนแล้วจ่อไปที่ปากของซีวอนโดยไม่มองสบตา
“อ้าปากสิ”
“.....” คนป่วยไม่ได้เอ่ยอะไรแต่ทำตามอย่างว่าง่าย
“....” และคนป้อนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อหลังจากนั้นเช่นกัน
อาหารมื้อแรกที่เต็มอิ่มหลังจากที่ฮยอกแจจากเขาไปในเช้าวันนั้น มื้อแรกที่อิ่มและอุ่นทั้งกายและใจ แค่เพียงมีคนๆนี้อยู่ตรงหน้า...
“..ฮยอกแจ...” เสียงทุ้มที่เคยแหบแห้งเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงเอ่ยคำเดิมเมื่อดวงตาหวานคู่นั้นยังคงไม่มองมาสบตาเขา...
“.....”
ยังคงไม่มีเสียงหวานเอ่ยตอบแต่เป็นช้อนข้าวที่ยื่นเข้ามาใกล้แทน แต่คราวนี้ซีวอนกลับไม่อ้าปากรับอาหารอุ่นๆนั้นเข้าไป ฮยอกแจเม้มปากแล้วลดช้อนกลับลงมาที่ชาม ประหนึ่งว่าคนป่วยคงอิ่มไม่กินต่อแล้ว
หมับ
“ฮยอกแจ....”
“กินข้าวเสร็จแล้วก็กินยาซะสิ”
พูดจบก็ดึงมือกลับไม่แรงนักแบบที่คนรั้งไม่กล้าลงน้ำหนักแม้ซักนิด หมุนตัวพร้อมกับชามข้าวต้มออกไปในครัว
..
..
“เฮ้อ....”
ห้องครัวที่ไร้คน ไร้เสียงใดนอกจากเสียงถอนหายใจของฮยอกแจ ร่างบางที่รู้สึกเหมือนตัวเองหยุดหายใจตอนที่เข้าใกล้คนป่วยคนนั้น... ร่างบางสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วตบหน้าตัวเองเบาๆเหมือนเรียกสติ อาการที่คนเป็นพ่อเข้ามาเห็นพอดี
“หวั่นไหวรึไง...”
“!....ก็...ฮะ...แต่ไม่รู้จะทำยังไง จะพูดอะไร...คิดอะไรไม่ออกเลยฮะ” เสียงหวานตอบเบาๆแสนเบา...แต่ก็ทำให้คนเป็นพ่อยิ้มให้
“ไม่ต้องคิดอะไรหรอก...รอให้หายป่วยก่อนละกัน...เดี๋ยวพ่อจัดการเอง...”
ฮยอกแจได้แต่เบิกตากว้างอย่างตกใจ และแปลกใจ... เพราะนั่นหมายความว่าซีวอนต้องอยู่ที่นี่ต่อแม้ว่าจะหายป่วยแล้ว...เขากลัวว่าหัวใจที่ยังไม่เข้มแข็งพอ จะอ่อนเอนไปตามเสียงลึกๆในหัวใจ...
..
..
..
..
เช้าวันที่สาม ที่คนป่วยกับคนดูแลมีบทสนทนาต่อกันไม่ถึงสิบครั้ง แต่ความใกล้ชิดกับการได้เห็นคนที่รักสุดหัวใจอยู่ในสายตา ทำให้อาการทางใจดีขึ้นจนพาลให้หายป่วยอย่างคาดไม่ถึง
“เฮนรี่...ฮยอกแจเขา...”
“เดี๋ยวก็มาฮะ โถ่ พี่คนหล่อเลิกชะเง้อเถอะ” เฮนรี่ส่ายหน้าไปมาในขณะที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งชานบ้าน เขาแอบหนีงานมาอู้ที่นี่ตั้งแต่เช้า โดยบอกซึงโฮฮยองว่า ถ้าเขาไปบ้านพี่ฮยอกแจ พี่ฮยอกแจจะได้ออกจากบ้านได้ เท่านั้นแหละ รอดฉลุย
ซีวอนที่ถามทุกอย่างที่เกี่ยวกับฮยอกแจในเวลาที่ผ่านมาผ่านน้องชายคนใหม่ที่เขาคิดจะให้เป็นตัวช่วย กองหนุน หรือตำแหน่งอะไรก็ได้ที่ช่วยให้ฮยอกแจให้อภัยเขา
“ฮยอกแจเขา...สนิทกับพี่ซึงโฮมากเลยใช่มั้ย...”
“อือ...ก็แน่นอนสิฮะ”
“หายป่วยได้รึยัง?!” ระหว่างบทสนทนาของสองร่างต่างไซส์ อยู่ดีๆเสียงทุ้มถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเรียกให้เฮนรี่และซีวอนต้องหันไปดู
“! ผม หายแล้วครับ” พอเห็นว่าเป็นบิดาของฮยอกแจร่างสูงก็บูกขึ้นยืนตัวตรงอย่างอัติโนมัติพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“...งั้นก็ดี ตามมา” ลีแทซอกบอกนิ่งๆแล้วหมุนตัวเดินออกไปทางหน้าบ้าน เฮนรี่หันมามองหน้าพี่คนหล่ออย่างไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ก็พอจะเดาอะไรได้
“เหอะๆ สู้ๆนะพี่ ไปก่อนดีกว่า อิอิ” ว่าจบก็โบกมือบ๊ายบายวิ่งเลาะกลับไร่ไปเล่าเรื่อง แล้วได้อ้อนพี่ชายตัวขาวดีกว่า
“มีเสื้อแขนยาวมั้ย”
“มีครับ”
“ดี ไปเอามา” แทซอกเอ่ยบอกซีวอนขณะที่กำลังจับของยัดๆใส่กระสอบเหมือนที่ฮยอกแจเห็นอยู่ประจำทุกวัน ซีวอนเดินกลับไปเอาเสื้อแขนยาวมาอย่างที่ไม่ถามอะไรเพิ่ม พอกลับมา พ่อของฮยอกแจก็ยืนสะพายกระสอบขึ้นบ่ารออยู่แล้ว
“ขึ้นรถตามมา”
รถกะบะขนาดใหญ่ที่เอาไว้ขนของขับออกมาตามทางที่วันก่อนเขาเดินหมดเรี่ยวแรงด้วยพิษไข้ แต่ก็พอจะยังจำได้คลับคล้ายคลับคลา ถนนที่ไม่เท่ากันทำให้ร่างบนรถโยกไปมาอย่างนั้นไปจนถึงไร่ๆนึง ที่เขาจำได้ว่าแวะถามทางเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะไป โรงไวน์ได้ยังไง พอคิดถึงตรงนี้เขาก็นึกออกว่า พ่อของฮยอกแจนี่เองที่เป็นคนบอกทางให้เขา ตาคมเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
เสียงเครื่องยนต์ใหญ่ดับลงบริเวณไร่กว้างที่ดูแล้วเหมือนกันกับไร่หน้าบ้านที่เขาค้างมาสองคืนแล้ว
“ไร่ของคุณพ่อเหรอครับ”
“.......”
ไม่มีคำตอบใดๆมาซีวอนจึงหันไปหา ก็เจอกับสายตาเข้มใต้หมวกปีกกว้างแบบคาวบอยที่หรี่มอง เหมือนจะไม่พอใจ
“เอ่อ...ไร่ของคุณลุงเหรอครับ”
“ใช่...”
“รู้มั้ย ว่านี่คือต้นอะไร...”
“....” เมื่อไม่มีเสียงตอนกลับจากคนเพิ่งหายป่วยลีแทซอกก็เอ่ยต่อ เหมือนเรื่องที่เขากำลังเอ่ยออกมานั้น เป็นเรื่องราวที่เล่าผ่านด้วยหัวใจ
“ไร่ดอกคาโนล่า...ดอกคาโนล่าที่ตอนแรกไม่มีใครเห็นคุณค่ามันเลยซักนิด...ปลูกแล้วก็มีแค่ดอกสีเหลืองเล็กๆที่ยอดให้เห็นเท่านั้น โดยไม่รู้เลยว่าในเมล็ดของมันสามารถสกัดเอาคุณประโยชน์มากมายออกมา....ก็เหมือนคน...ที่มองแค่ดอกไม้สวยงาม ไม่เคยสนใจจุดคุณค่าเล็กๆที่มี....”
“....” ซีวอนนิ่ง...ทุกคำพูดที่พ่อของคนรักของเขาเอ่ยออกมามันคือความจริงทุกอย่าง...เหมือนกับที่เขามองไม่เห็นความดีงามของฮยอกแจเลยซักนิดในตอนแรก...
“ฮยอกแจน่ะ.....เขารักคุณตามาก เพราะคุณตาที่ชอบอ่านหนังสือ มักจะเล่าเรื่องอะไรให้ฮยอกแจฟังอยู่เสมอ จนกลายเป็นคนใส่แว่นหนาเตอะอย่างนั้นไป...”
ซีวอนยิ้มออกมาพร้อมกับแทซอกคงเพราะนึกภาพเดียวกัน ภาพที่ร่างขาวๆตัวเล็กใส่หนาๆหน้าตางงๆ
“หึ...เขาเคยบอกกับคุณตาเขาว่า เขาอยากเป็นดอกคาโนล่า...เพราะอยากให้คนเห็นค่าของเขาที่ภายในไม่ใช่ที่ภายนอก...เขาชอบอ่านหนังสือกับคุณตาในห้องหนังสือมาก มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่เขาชอบอ่านด้วยกัน...ฮยอกแจรักมันมาก...แต่ว่าตั้งแต่กลับมาเขายังไม่เข้าไปในห้องอ่านหนังสือนั่นเลย...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน...อาจจะเพราะกลัวจะยิ่งคิดถึงคุณตา...หรืออาจจะเพราะแผลใจอย่างอื่นที่ทำให้ไม่สบายใจก็ได้นะ...”
“.......คุณลุงครับ”
เมื่อแทซอกนิ่งไปซีวอนก็เอ่ยเรียกขึ้นมา ในจังหวะที่ลีแทซอกหันมาหา เข่าหนาของลูกชายตระกูลชเวก็คุกลงบนพื้นดินแล้ว
“ผมขอโทษที่ทำให้ลูกชายของคุณลุงเสียใจ...แต่อยากให้รู้ว่าผมรักฮยอกแจจริงๆ...ไม่ได้อยากให้เขาเสียใจแบบนี้เลย...ผม...ผมจะทำทุกอย่างให้ฮยอกแจให้อภัย...และสัญญาว่า.....จะรักฮยอกแจตลอดไปครับ”
กึก
พูดจบซีวอนก็โค้งลงทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าลีแทซอก
“...ดี! กล้าทำกล้ารับ งั้นก็รับโทษซะ จนกว่าฮยอกแจจะให้อภัยนาย นายต้องมาช่วยฉันที่ไร่ทุกวัน”
“ได้ครับคุณลุง! ผมจะทำเต็มที่ครับ” ซีวอนยิ้มกว้างลุกขึ้นโค้งให้พ่อของคนรักอีกทีอย่างดีใจ
“เออๆดีๆ หุ่นใหญ่โตเหมือนคนทำงาน เอามาใช้ซะบ้าง ไม่ได้ใช่ไม่รู้จะมีทำไม เอ้อ~เด็กเดี๋ยวนี้” แทซอกเดินไปพลางพูดไปพลางเหมือนบ่นอะไรซักอย่าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของซีวอนน้อยลงเลย เขาตั้งใจแล้ว ว่าจะพิสูจน์ให้ฮยอกแจเห็นว่าเขาจริงจังกับฮยอกแจมากแค่ไหนไม่ได้โกหกเพื่อหวังอะไรอีกแล้ว
นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้งานในไร่ที่คุณตาและฮยอกแจรักมากเขาจะทำมันอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้และทดแทนในเวลาที่ผ่านมา...และเขาก็คิดวิธีอีกอย่างหนึ่งออกแล้วเช่นกัน...แม้อาจจะยากซักหน่อยก็เถอะ
TBC.
จบไงดี ตอนจบนี่ยากสุดๆแระ *ทึ้งหัว* ที่คิดออกมันมีแต่ตอนพิเศษ -.,- ของคิเฮเนี่ยสิ เขียนเองเขินเองแน่เลย
เหลืออีกสองตอนได้ค่ะ เรื่องนี้น่าจะจบแล้วล่ะ กิ้บว่าจะพยายามให้เสร็จแล้วอัพใกล้ๆเร็วๆขึ้นหน่อย
แอบแย็บๆถาม...มีใครสนใจเล่มมั้ยถ้าเราจะทำ...กิ้บเคยรวมเล่มนะแต่ไม่ได้ทำเอง...><
อยากให้บอกกิ้บหน่อยสำหรับคนที่สนใจเล่มจริงๆ กิ้บจะได้มุ่งมั่นเลยค่ะ ><
ตอนหน้า น่าจะเป็นตอนรองสุดท้ายแล้วค่ะ ใกล้จะจบแล้ว รออ่านกันหน่อยนะ สัญญา จะปั่นๆๆๆๆเลยค่าาาาา ><
เช่นเดิมค่า ขอบคุณที่ยังมีคนเข้ามาอ่าน เข้ามาคอมเม้นให้มีกำลังใจมากๆเลยนะคะ >//////<
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับฮยอกแจแล้วแหละ
คุณพ่อน้องฮยอกแจคะ จัดหนัก ๆ อย่าได้ยั้งค่ะ
พี่ซึงโฮหายไปไหน ออกมาด่วน 55
แบบนี้วอนก็สู้เต็มที่เลยซเพราะคุณพ่อตาเข้าข้างอะ
แล้วผู้หญิงคนนั้นจะเจออะไร
หาเจอแล้วรอลุ้นอย่างเดียวว่าวอนจะง้อฮยอกสำเร็จมั๊ย
รอที่เหลือนะคะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ