ตอนที่ 4 : บทที่ 2 เหนือน่านฟ้า | Part 1
บทที่ 2 เหนือน่านฟ้า
ผมพยายามจะแกะมือเธอออก ไม่ใช่เพราะใจร้ายไม่อยากให้เธอเกาะแขน ทว่าผมเพียงต้องการจะหาวิธีที่ดีกว่านี้เท่านั้น แต่นั่นยิ่งทำให้เธอตะเกียกตะกายหาแขนผมจนนั่งไม่ติดเบาะ
“ฮะ” ผมเผลอประกาศอย่างมีชัย หลังจากพยายามต่อสู้กับมือเล็กนั่นได้สำเร็จ หญิงสาวเอนหลังพิงเบาะได้อีกครั้ง นิ้วเรียวยาวทั้งห้าผ่อนคลายมากขึ้นในมือของผม ส่วนผมเองก็สามารถนั่งเอนหลังได้อย่างสบายใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณ” เธอพึมพำภายในถุงผ้าสีดำที่เจ้าตัวใช้ครอบหัวนั่น เมื่อเครื่องบินเริ่มปรับอยู่ในระดับคงที่โดยไม่ตกหลุมอากาศอีกต่อไป มือเล็กอีกข้างที่ว่างอยู่จึงเลื่อนขึ้นมาดึงถุงดำออกจากศีรษะอย่างเชื่องช้า
โฉมหน้าที่เคยถูกบดบังอยู่เบื้องหลังถูกเปิดเผยอีกครั้ง ผมจึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจผิดไป เพราะคนตรงหน้า คือหญิงสาววัยยี่สิบห้าคนนั้นจริง ๆ เรือนผมของเธอที่ผมเคยเห็นเป็นระเบียบในตอนนี้ยุ่งเหยิงเล็กน้อย
พระเจ้า ทรงผมที่ยุ่งเหยิงนี้ทำให้เธอดูเซ็กซี่ขึ้นอีกหลายดีกรี ดวงตาของเธอเบิกกว้างท่าทางประหลาดใจ ริมฝีปากอวบอิ่มตั้งท่าจะยิงคำถามใส่ แต่หุบลงทันทีเมื่ออีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ต้องการเครื่องดื่มไหมคะมิส” แอร์โฮสเตสสาวเดินวนมาอีกรอบ
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวตอบ มือข้างหนึ่งของเธอยังกุมถุงผ้าสีดำอยู่บนตัก อีกข้างหนึ่งกุมมือผมไม่ยอมปล่อย การกระทำของเธอ กระตุ้นให้ผมนึกถึงแคโรไลน์น้องสาวของผมเวลาขึ้นเครื่อง
แคโรไลน์เป็นหญิงสาวที่มีความมั่นใจในตัวเองและมีความคิดเป็นของตัวเองสูง โดยเฉพาะเวลาที่เธอเฉิดฉายอย่างโดดเด่นบนเวทีขณะแสดงละคร แต่เมื่อแคโรไลน์ต้องขึ้นเครื่องทีไร เธอมักจะกลายเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบผู้แสนขี้กลัวทันที
“หากคุณต้องการอะไร เรียกฉันได้ทุกเมื่อนะคะ” แอร์โฮสเตสสาวเอ่ย
“แน่นอนค่ะ ขอบคุณมาก” หญิงสาวข้างผมตอบอย่างเป็นมิตร
“คุณแน่ใจนะว่ารู้สึกดีขึ้นแล้ว” ผมหันไปถามเมื่อแอร์โฮสเตสสาวทิ้งพวกเราไปแล้ว
“เกือบค่ะ แต่ฉันไม่เป็นไรแล้ว” เธอปล่อยมือผมแล้วขยับกายบนเก้าอี้เพื่อหาท่านั่งสบาย จัดแจงเส้นผมที่เกะกะใบหน้าด้วยการนำไปทัดใบหูเอาไว้ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองผม “เรา...เจอกันอีกครั้งแล้วสินะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
“นั่นสิ” ผมอมยิ้ม “เราเจอกันอีกครั้งแล้วสินะ”
“ขอโทษเรื่องแขนคุณ” เธอชี้มาที่รอยแดงบนแขนผม “แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต่อสู้กับคุณจริงจังขนาดนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ คือฉัน...แค่กลัวจนทำอะไรไม่ถูกเวลาเครื่องขึ้น”
“ไม่เป็นไร” ผมรีบบอกพลางหัวเราะเบา ๆ ไม่ใช่เป็นการหัวเราะเยาะแต่แค่นึกขำเพียงเท่านั้น “ผมแอบรู้สึกภูมิใจนิด ๆ ตอนเอาชนะคุณได้”
“ฉันได้ยินเสียงที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจของคุณ” เธอมุ่ยหน้า “หากไม่ติดว่าฉันกลัวมากขนาดนี้ ฉันจะไม่เปิดโอกาสให้คุณชนะเลย”
“อืม พูดเสียผมกลัวแพ้คุณจังเลย” ผมเอ่ยเสียงเรียบ
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” เธอหรี่ตามองผม รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า ในรูปแบบที่ผมสามารถมองเห็นฟันกระต่ายขนาดน่ารักที่ลับกับริมฝีปากอันน่าจูบของเธอ
“ผมกลัวว่าคุณจะเอาชนะผมได้น่ะสิ แค่ดีใจนี่ครับ ที่ก่อนหน้านี้มันไม่เป็นแบบนั้น”
“ฉันก็ดีใจที่ผลออกมาแบบนี้” เธอหัวเราะคิก จากนั้นก็เฉมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ตอนที่คุณนั่งมากับคุณยาย คุณบีบมือท่านแบบนี้รึเปล่า” ผมถาม
“ไม่ค่ะ” เธอหันมาบอก “ฉันขอจับมือท่าน แต่ท่านกอดฉันเอาไว้ด้วย ก็เลยไม่กลัวเท่าไร”
“เพราะแบบนั้นรึเปล่าคุณถึงช่วยเหลือท่านตลอดตอนเปลี่ยนสนามบิน”
“ก็ส่วนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วฉันทำไปเพราะแค่รู้สึกอยากช่วยเท่านั้น” เธอเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เธอคงเป็นเด็กสาว...ผมหมายถึงเธอคงเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจดีมากแน่ ๆ ที่สำคัญเธอยังสวยมากอีกด้วย ผมเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นดี ความรู้สึกอยากช่วยเหลือผู้คน อาจเป็นเพราะว่าครอบครัวสอนผมมาแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนโต รวมไปจนถึงเครือญาติของเราที่ต่างชอบช่วยเหลือกันและกัน ผมจึงรู้สึกดีทุกครั้งหากสามารถมอบความช่วยเหลือให้ใครได้
“ทำไมคะ” เธอถาม
“เปล่าครับ” ผมบอก
“คิดว่าคุณอยากจะมีปัญหากับฉันเสียอีก” เธอหรี่ตาเล็กลงกว่าเดิมเชิงพิจารณาผม ยิ้มออกมาแล้วหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง พร้อมกับชี้มือตาม “คุณดูก้อนเมฆพวกนั้นสิ น่ารักจังเลยนะคะ พระอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่เหนือหมู่เมฆมันสวยอย่างนี้นี่เอง”
“ผมมองไม่ออกว่ามันน่ารักยังไง แต่พอมองออกว่าดูสวยมากเลยทีเดียว”
“คุณดูสิคะ เมฆที่เกาะกลุ่มกันเป็นกระจุก ๆ เล็ก ๆ ที่เรียงอยู่ใกล้เคียงกัน ดูเหมือนดอกเห็ดตูม ดูน่ารักจะตายไป” เธออธิบายน้ำเสียงสดใส “โอ้พระเจ้า หมู่เมฆที่ฉันเคยเห็นแต่ละครั้งเวลาขึ้นเครื่องมักแตกต่างกันไปเรื่อยเลย”
“แสดงว่าคุณเดินทางด้วยเครื่องบินบ่อยสินะ” ผมถาม
“ใช่ค่ะ”
“ทั้งที่คุณกลัวเครื่องบิน” ผมเลิกคิ้วเชิงสงสัย
“ก็ไม่มีวิธีไหนที่เราจะเดินทางไปถึงจุดหมายได้รวดเร็วเท่าเครื่องบินนี่คะ ฉันเลยต้องกัดฟันขึ้นเครื่องเวลาเดินทางทุกครั้ง” หน้าของเธอบ่งบอกถึงความรู้สึกขมขื่น ผมพอจะรู้ว่ามันต้องเลวร้ายสำหรับเธอมากแน่ ๆ
“น้องสาวผมก็กลัวการขึ้นเครื่องบิน เธอพยายามจะเอาชนะใจตัวเองแต่ไม่เคยสำเร็จเลย” ผมอธิบาย “แต่เราไม่ตำหนิเธอเลยที่เธอทำแบบนั้นไม่ได้ เธอมักจะตัดพ้อเรื่องนี้กับผมเสมอ เธอตัดพ้อกับผมเพียงคนเดียวเท่านั้น ผมเลยบอกเธอไปว่า เธอไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ตัวเองหายกลัวหรอก ต่อให้เธอมองมันว่าเป็นจุดด้อยก็ตาม เพราะอย่างน้อยเธอก็จะได้มีชีวิตที่ตื่นเต้นแตกต่างไปจากสิ่งเดิม ๆ บ้างเวลาขึ้นเครื่อง ในกรณีที่เธอไม่หัวใจวายไปเสียก่อน”
“แบบนี้เขาเรียกว่าคำปลอบใจได้ไหมคะ” เธอหัวเราะคิก
“น้องสาวผมชอบบอกว่า ‘ช่างเป็นคำปลอบโยนที่วิเศษมากพี่ชาย’ ด้วยสีหน้าที่แทบจะตัดขาดความเป็นพี่น้องระหว่างเราสองคนเลยทีเดียว”
“ฉันพอจะจินตนาการออก เพราะตอนนี้ฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากน้องสาวของคุณเลย” เธอหัวเราะอีกครั้ง เสียงของเธอหวานนุ่มน่าฟังเป็นที่สุด อีกทั้งยังเข้ากับใบหน้าหวานละมุนนั้นอีกด้วย
“ผมเข้าใจ” ผมบอกเธอ ยิ้มกริ่มที่มุมปาก
“ดูจากสีหน้าคุณแล้วฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อเอาเสียเลย” เธอเอ่ยท่าทางไม่ถือสา ส่วนผมรู้สึกเหมือนถูกเธอพูดจากระทบกระแทกใส่แบบไม่จริงจังนัก จะว่าไปแล้วการพูดคุยกับเธอให้ความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากการนั่งคุยกับแคโรไลน์เลย
“ถ้าอย่างนั้น ผมไม่เข้าใจก็ได้”
“ฉันล้อเล่นค่ะ” เธอยิ้มกว้าง จากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับก้อนเมฆต่อ ท่าทางพยายามเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ “อย่างนี้ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย”
ผมนั่งฟังเธอบ่นพึมพำคนเดียว แต่กลับนึกอยากแซวขึ้นมาเฉย ๆ
“ผมคิดว่าผมต่างหาก ที่เป็นคนทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย”
“ด้วยเรื่องเล่าและคำปลอบโยนน้องสาวคุณน่ะเหรอคะ” เธอหันมามุ่นคิ้วมองผมยิ้ม ๆ
“ช่วยได้นี่ครับ” ผมเอียงหัวเล็กน้อย
“ฉันขอบคุณ คุณไปแล้วนี่คะ” เธอเอ่ยท่าทางล้อเลียนก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปเหมือนเจ้าตัวนึกอะไรขึ้นได้ “อ้อ รึว่าคุณอยากให้ฉันขอบคุณ คุณเรื่อย ๆ หรือไม่คุณก็กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉันเพราะคุณไม่มีเพื่อนคุยใช่ไหมล่ะ”
“ผมเปล่าสักหน่อย” ผมปฏิเสธ แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ผมไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากคุณ”
“คุณไม่คิดเหมือนฉันหรือคะ ก้อนเมฆน่าสนใจดีออก” เธอยิ้มแล้วพูดถึงก้อนเมฆต่อ ผมหลุดหัวเราะออกมา แล้วเธอก็หัวเราะตาม ก่อนจะเอ่ยพร้อมตีสีหน้าไร้เดียงสาใส่ผม “อะไรล่ะคะ ฉันแค่อยากมอบความสนใจให้ทั้งคุณและก้อนเมฆเท่านั้นเอง มันดูยุติธรรมดีสำหรับทั้งสองฝ่าย”
--- to be continue ---
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แอบเสียดายที่เธอไม่ได้ลงจากรถบัสลงมา...แต่เป็นกาแฟก็คงจะอยู่บนรถบัสต่อไปค่ะ (แม้ว่านั่นหมายถึงว่ากำลังขึ้นรถผิดป้ายก็เถอะ ==;;)
แอบสงสัยค่ะ...คาร์ลตันคนนี้จะมีบทบาทสำคัญต่อไปหรือเปล่า?
แต่ดูจากท่าทางที่(เจ้าชู้)เป็นพิเศษขนาดนี้ คิดว่าเขาคงจะอยู่ในตอนต่อไปไม่ตอนใดก็ตอนหนึ่งค่ะ
กาแฟขอเดานะคะ...เขาอาจจะเป็นเจ้าของผับที่ธันวาไปทิ้งใบสมัครไว้หรือเปล่า?
เด็กหนุ่มที่ผับคนนั้นท่าทางเป็นมิตรมากเลยค่ะ แถมยังจริงใจด้วย!
ทำเอากาแฟชักอยากไปสมัครงานกับธันวาเลย จะได้เจอกัน 55 5. (เขาคงไม่รับชัวร์ๆ ;;)
กาแฟจะบ่นมากๆ ๆ ๆ ๆ เลยค่ะ ทดแทนช่วงเวลาที่หายไป(อีกแล้ว) TT
ปล. ไปอ่านตอนต่อไปเลยดีกว่าค่ะ เผื่อปริศนาในใจจะได้รับการคลี่คลาย อิๆ :")
อ่านแล้วสนุกมาเลยพี่นาตตต :))
หวังว่าธันวาจะได้งานไวๆนะ ฮิฮิ
ในมุมมองของเฮียธันวาดูสดใสมากๆๆ เลย
แต่ในมุมของเธอเองกลับดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ(แต่จริงๆ เเล้วเธอก็เป็นผู้ใหญ่เนอะ^^)
ระหว่างธันวากับเฮียวิน รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเฮียอะ ไร้เดียงสามากกว่านะ55
ธันวาดูเป็นผู้ใหญ่มากๆ เลย มากกว่าสาวฤดูใบไม่ร่วงเสียอีกน้า><
อันที่จริงคิดว่าในมุมเธอบรรยายโลกนี้คงสดใสลัลล้าเสียอีกนะ ผิดคาดอย่างรุนแรง
แบบคิดว่าจะออกแนวอเล็กเสียด้วยซ้ำอะพี่ แต่มันไม่ใช่
หนูคิดว่าธันวาเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายเหมือนหนุ่มน้อยบาร์เนอเดอร์คนนั้นเลยอะ=O=
ข้างบนดูจริงจังไปนิดเนอะ=..=
แต่ข้างล่างอะ>3<
ว้ายอะไรสามหนุ่มจะมารุมรักหนูธันวาเรอะ
พี่จินตนาการว่าตัวเองเป็นธันวาแล้วเขียนใช้มะ บอกมาซะดีๆ
หนุ่มๆ เพียบเลยอะ กรี๊ดดดดดด
แต่อยากบอกว่าไม่ปันใจให้ใครนอกจากเฮียวินที่รักสุดขาดใจ
ออกน้อยสุดเลย แต่แบบน่ารักอะ มากับเด็กเสียด้วย555