ตอนที่ 3 : บทที่ 1 สื่อรักเอกซ์เพรส | Part 2
CH.1 Part 2 (ครบ)
“คุณสองคนจะไปไหมครับ รถกำลังจะออกแล้ว”
“เชิญคุณก่อน” ผมผายมือให้เธอ เด็กสาววิ่งผ่านหน้าผมไปขึ้นรถท่าทางกระตือรือร้น
ผมเดินตามขึ้นไป ส่งบัตรให้คนตรวจ มองดูเด็กสาวที่นั่งอยู่กับหญิงชราเพียงครู่หนึ่งจนกระทั่งเธอรู้สึกตัวว่าถูกจ้อง เธอเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้พร้อมขยับปาก ซึ่งผมพอจะอ่านได้ว่าเธอเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’ ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งที่ติดหน้าต่างที่อยู่ห่างจากเธอไปห้าแถว มองออกไปข้างนอก รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา จากนั้นกลิ่นหอมละมุนก็ลอยมาเตะจมูกผม ตามมาด้วยเสียงการเคลื่อนไหวและน้ำหนักที่ทำให้เบาะด้านข้างผมยุบลงเล็กน้อย
“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความช่วยเหลือ” นัยน์ตากลมโตคู่สีฟ้าที่ทอดมองดูผมฉายแววอยากรู้อยากเห็นแต่ดูไร้เดียงสาไปในเวลาเดียวกัน “คุณยายพูดเรื่องคุณไม่หยุดเลย”
“คุณเลยหนีท่านมาเพราะรำคาญรึเปล่า” ผมแซว
“เปล่าสักหน่อย” เธอยิ้มกว้าง “ฉันแค่อยากมาขอบคุณ คุณเท่านั้น ขอโทษนะคะที่ฉันเสียมารยาทไปหน่อย เมื่อก่อนหน้านี้ฉันมัวแต่จ้องคุณจนพูดอะไรไม่ออก”
“ผมรู้สึกเคยชินกับการถูกมองแบบนั้นแล้วละครับ ไม่เป็นไรหรอก”
“อ้อ” เธอพยักหน้าแล้วเอี้ยวตัวเพื่อมองดูหญิงชราอีกครั้งก่อนหันกลับมามองผมที่กำลังจับจ้องอยู่ที่เรือนผมสีน้ำตาลสลวยที่ไหลลาดไปตามพนักวางแขน ผมเผลอเอื้อมมือแตะ มันนุ่มลื่นน่าหลงใหล “ที่สำคัญ ฉันไม่ใช่เด็กสิบแปดแล้วนะคะ”
ผมรีบชักมือกลับ ขยับกายให้เข้าที่เข้าทางตอนเธอหันกลับมา กลืนน้ำลายอย่างหนืดคอพลางหันหน้ามองไปด้านนอกเพียงแวบหนึ่งแล้วหันกลับมายิ้มให้เธอ เผลอยกมือขึ้นเสยผมอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเพิ่งจะแอบทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ กับเส้นผมอ่อนนุ่มสลวยของเธอ
“ถ้างั้นคุณอายุเท่าไรกัน” ผมรีบถาม กลบเกลื่อนการกระทำของตัวเอง ทั้งที่ตามปรกติแล้วตามมารยาทของสังคม นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรถามใคร อีกทั้งผมเองก็ไม่ชอบถามเรื่องนี้กับผู้หญิงโดยตรง เนื่องจากว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เกลียดคำถามเรื่องอายุมาก ผมจึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงเป็นประจำ แต่ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังดูเหมือนจะพึงพอใจมากกว่าหากผู้คนจะสามารถตีอายุเธอให้แก่กว่าความอ่อนโยนบนใบหน้านั้นได้
“ยี่สิบห้าค่ะ” เธอบอก ผมเลิกคิ้วสูง นึกประหลาดใจมากเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงเรียกคุณว่าเด็กสาวไม่ได้แล้วสินะ แต่คุณหน้าอ่อนกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย”
“หือ” เธอครางในลำคอ ยื่นลำตัวออกไปตรงทางเดินเพื่อชะเง้อคอมองหญิงชราอีกครั้ง “ดูเหมือนคุณยายจะมีเพื่อนคุยแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย”
“คุณเจอคุณยายที่ไหน” ผมถาม
“บนเครื่องบินค่ะ เรานั่งเครื่องลำเดียวกันแล้วก็นั่งข้างกันด้วย” เธอเอนหลังอิงพนักพิง สบตาผมเพียงครู่เดียวก็มองผ่านผมไปยังกระจกที่มีหยดน้ำเกาะอยู่พลางอมยิ้ม “อย่างนี้สิถึงเรียกว่าลอนดอน สามร้อยวันฝนตก อีกหกสิบห้าวันแดดออก กลับกันกับมาดริด แดดออกสามร้อยวัน อีกหกสิบห้าวันฝนตก”
“คุณมาจากมาดริดหรือครับ” ผมถาม
“เปล่าค่ะ ฉันแค่เคยหนีพ่อแม่ไปเที่ยวที่นั่นน่ะ” เธอยิ้มกว้าง
“ตอนนี้คุณคงไม่ได้หนีมาอีกสินะ” ผมแซว แต่เธอไม่ได้ให้คำตอบ ผมเลยถามต่อไปว่า “คุณชอบบรรยากาศหน้าฝนตลอดปีของอังกฤษเหรอ ดูท่าทางคุณจะมีความสุขตอนเห็นฝน”
“ก็ไม่เชิง” เธอมุ่ยหน้า “ฉันแค่รู้สึกดีตอนเห็นหยาดน้ำฝนเกาะอยู่บนหน้าต่างเครื่องบินตอนมาถึงอังกฤษ มันช่วยยืนยันให้ฉันรับรู้ว่าเราอยู่ในอังกฤษจริง ๆ และไม่ได้ขึ้นเครื่องผิดหลงไปที่อื่น ก่อนหน้านั้น เมื่อตอนที่เครื่องยังลอยอยู่เหนือเมฆ แดดส่องท้องฟ้าสวยงามมากจนฉันคิดว่าตัวเองเบลอจนเผลอขึ้นเครื่องผิด แล้วแอร์โฮสเตสก็ยังเพี้ยนตามด้วยการปล่อยให้ฉันผ่านเข้ามา หรืออะไรทำนองนั้น”
ผมยิ้มอย่างนึกขำท่าทางสนุกสนานตอนเธออธิบาย ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เธอดูเหมือนหญิงสาวอายุยี่สิบห้าเลยสักนิดเดียว ในหัวสมองของผมยังคงคิดว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบแปด
“พอเห็นน้ำฝนแล้วโล่งใจ”
“หากฝนไม่ตกคุณคงกระวนกระวายน่าดู”
“นั่นสินะ แต่ถึงอย่างไรอากาศสดใสก็ยังเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจกว่าวันที่ฟ้าอึมครึมเสมอ เวลาที่ท้องฟ้าแจ่มใส มีแดดส่อง ฉันจะกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ แต่ต่อให้ไม่มีแดดฉันก็ยังกระปรี้กระเปร่าอยู่ดี” เธออธิบาย
“นั่นน่ะสิ คุณดูกระปรี้กระเปร่ากว่าคนอังกฤษเสียเอง”
“ฉันก็คนอังกฤษ”
“โอ ผมไม่รู้”
“หน้าฉันเหมือนคนเอเชียมากเลยใช่ไหม” เธอทำตาโต รอยยิ้มกว้างปรากฏอย่างภาคภูมิใจกึ่งรอลุ้นคำตอบ
“เปล่าหรอก คุณทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยว ผมเลยคิดว่าคุณไม่ใช่คนอังกฤษ”
“ทำไมไม่มีใครคิดว่าฉันเหมือนคนเอเชียบ้างเลยนะ” เธอบ่นกับตัวเอง
“ก็คุณดูไม่เหมือนคนเอเชียนี่” ผมบอก “ทำไมถึงอยากเหมือนคนเอเชียนัก”
“ฉันก็อยากมีส่วนคล้ายอีกครึ่งหนึ่งของเชื้อชาติที่ได้สืบทอดมานะคะ” เธออธิบาย “แต่ไม่มีใครมองออกเลยว่าฉันเป็นลูกครึ่งอังกฤษเอเชีย ทุกคนล้วนคิดว่าฉันเป็นคนยุโรปแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ”
“อาจเป็นเพราะคุณมีดวงตาที่กลมโตสีฟ้าสดใส กับผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยากจะตัดสินได้ว่าคุณแตกต่างจากชาวยุโรปส่วนใหญ่ ผู้หญิงเอเชียมักมีผมดำ ที่สำคัญลูกครึ่งบางคนดูโดดเด่นไปในทางเอเชียเสียมากกว่า มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่จะเหมือนคุณ”
“น่าหนักใจนะคะ การเกิดมาเป็นคนสองเชื้อชาติแต่ไม่สามารถมีหน้าตาเหมือนเชื้อสายตัวเองทั้งสองฝ่ายเนี่ย”
“แท้จริงแล้ว คุณดูสวยมาก นั่นถือว่าเป็นข้อแตกต่าง ไม่น่าจะหนักใจเลยนะครับ” ผมบอก ซึ่งผมเองก็มองเห็นเป็นแบบนั้นเช่นกัน
“ขอบคุณ” เธอยิ้มกว้าง ไม่ได้แสดงทีท่าลุ่มหลงคำชมแต่เป็นความยินดีที่จะรับคำชมเสียมากกว่า “เดี๋ยวฉันคงต้องกลับไปนั่งกับคุณยายแล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับความช่วยเหลือ”
เธอลุกขึ้น เดินย้อนกลับไปนั่งประจำที่เดิม ผมทอดสายตาตามเธออย่างลืมตัวไปพักใหญ่ ก่อนจะหันไปทางกระจก มองผ่านหยดน้ำฝนออกไปจนถึงด้านนอก ดูบรรดาต้นไม้ใบหญ้าที่ดูเหมือนจะเศร้าหมองเพราะสายฝน แต่แท้จริงแล้วเวลานี้คงเปรียบเสมือนเวลาพักผ่อนของพวกมัน เพื่อดื่มด่ำความเย็นและชุ่มชื้นจากหยดน้ำ สะสมกำลังเอาไว้ เพื่อเฉิดฉายเวลาที่แดดอันน้อยนิดของอังกฤษจะสาดส่องลงมา และเนื่องจากว่าตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ โอกาสที่ต้นไม้เหล่านี้จะได้เจอกับแดดยังมีมากกว่าฤดูหนาว เมื่อพระอาทิตย์ส่องแสง ตอนนั้นประเทศอังกฤษก็คงดูไม่ต่างไปจากดอกไม้แรกแย้มที่เบ่งบานสดใสอย่างแน่นอน
ผมคิดอะไรเพลินจนกระทั่งรถนำพวกเรามาถึงสนามบินแกตวิก เด็กสาว...หรือหญิงสาวลูกครึ่งอังกฤษเอเชียเมื่อก่อนหน้านี้เดินลงจากรถไปพร้อมกับหญิงชรา เพราะมัวแต่รีรอชักช้าจากการลอบมองดูเธอ ทำให้ผู้คนหลายคนที่อยู่ด้านหลังได้โอกาสเดินตัดหน้าผมลงจากรถไป ก่อนที่ผมจะทันได้ลุกออกจากที่นั่งเสียอีก เมื่อผมลงจากรถมาได้สำเร็จ เด็กสาวคนนั้นก็หายไปพร้อมกับหญิงชราเสียแล้ว
พอเข้าไปในสนามบิน ผมนำกระเป๋าและสัมภาระของตัวเองไปเช็กอิน เนื่องจากว่าผมมาถึงสนามบินก่อนเวลาประตูสายการบินที่ผมต้องต่อเครื่องจะเปิด ผมจึงเข้าไปรออยู่ในร้านอาหาร ใกล้กลับป้ายบอกตารางเวลาเดินเครื่อง ที่สามารถเช็กเวลาบอร์ดดิ้งได้ง่าย ๆ แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ในกระเป๋ามาอ่าน
“โชคดีนะคะคุณยาย”
เสียงคุ้นเคยของคนที่ผมเพิ่งจะได้รู้จัก ดึงความสนใจของผมไปจากหนังสือพิมพ์ ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหาที่มาที่ไปของเสียง กลับเห็นเพียงแค่ผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ไปมาระหว่างรอการเดินทางต่อ บางคนก็ฆ่าเวลาไปกับการเดินชมและซื้อของตามร้านค้าที่อยู่รอบด้าน บางคนก็นั่งกินและดื่มรอ บ้างก็นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือหรือแล็ปท็อป แต่ผมไม่เห็นวี่แววบุคคลที่ส่งเสียงสดใสเมื่อก่อนหน้านั้นอีกเลย
ผมถอดใจแล้วหันกลับมามอบความสนใจให้หนังสือพิมพ์ในมือต่อ บอกตามตรง ผมไม่สามารถเพ่งสมาธิไปยังเนื้อหาในกระดาษขนาดใหญ่สองแผ่นที่มีพาดหัวข่าวน่าสนใจตรงหน้าได้เลย ไม่รู้ว่าความคิดของผมไปอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่า มันเหม่อลอยไปไกล
“...เรียนคุณวินเซนต์ คลีฟ เครื่องบินไฟท์XXX...ขอความกรุณาให้คุณมา...ที่ประตู...”
“ฉิบหายแล้ว” ผมรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วรีบวิ่งไปที่ประตูเกททันที ระหว่างจ้ำเท้าไปที่นั่น ผมก็ล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงหาพาสปอร์ตและบัตรที่นั่งอย่างร้อนรน จนกระทั่งดั้นด้นมาจนถึงเป้าหมายได้
“คุณวินเซนต์...”
“ใช่ครับ ขอโทษที่ผมมาช้าไปหน่อย พอดีผม...” จะบอกว่าผมมัวแต่นั่งเหม่อก็คงฟังดูไม่ดีเท่าไรนักสำหรับชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าที่ไม่ได้มีปัญหาใด ๆ ให้น่าครุ่นคิดเลยสักเท่าไร “...ติดธุระ”
ผมพยักหน้าให้แอร์โฮสเตสสาวที่ส่งยิ้มหวานตอบกลับมาอย่างสุภาพพอ ๆ กับคำพูดของเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญคุณนั่งประจำที่ได้เลยค่ะ ที่นั่งคุณอยู่ฝั่งซ้ายมือนะคะ” เธอผายมือบอก ผมรีบเดินไปที่นั่น สายตาเหลือบไปเห็นผู้โดยสารที่นั่งติดกับหน้าต่างที่อยู่ติดที่นั่งของผม ซึ่งตอนนี้มีถุงผ้าสีดำคลุมหัวเพียงแวบเดียว ด้วยความเร่งรีบผมจึงเลิกใส่ใจความประหลาดของเขาและทำหน้าที่ผู้โดยสารที่ดี โดยการยัดกระเป๋าใส่ช่องเก็บสัมภาระก่อนจะนั่งลงประจำที่ของตนทันที โดยไม่ได้หันไปมองดูเขาอีกเลยจนกระทั่งแอร์โฮสเตสสาวมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ผม
“เออ...”
“ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยยิ้ม ๆ ให้ผมก่อนจะมองข้ามผมไปยังผู้โดยสารข้าง ๆ ของผม “คุณคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ”
ผมหันไปมองดูเขาตามแอร์โฮสเตสสาว ยกมือขึ้นเสยผมอย่างลืมตัวเพราะคิดว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายความสนใจของเธอเมื่อก่อนหน้านี้ ส่วนคนถูกทักไม่ยอมให้คำตอบจนกระทั่งแอร์โฮสเตสสาวขอให้ผมช่วยสะกิดแขนบุคคลที่นั่งอยู่ข้างผมให้เธอ
“ขอโทษนะคะมิส มีอะไรให้ฉันช่วยเหลือคุณไหมคะ” เธอถามด้วยท่าทางเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ ได้โปรดอนุญาตให้ฉันนั่งอยู่แบบนี้ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทุกอย่าง...อย่างน้อยตอนนี้ทุกอย่างก็ยังเรียบร้อยดี” บุคคลที่ใช้ถุงผ้าสีดำคลุมหัวบ่นอู้อี้เป็นคำตอบ
“หากคุณมีอะไรจะให้ฉันช่วย...”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ผู้โดยสารสุดแปลกเอ่ยอีกครั้ง แอร์โฮสเตสสาวกล่าวขอโทษและขอบคุณก่อนเดินจากไป
ผมเลิกคิ้วสูง หันไปมองดูเพื่อนร่วมเดินทางสุดประหลาดนั่นอีกครั้ง เอียงหัวเล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะปรายมองดูเรือนร่างของเธอ สำรวจชุดที่เธอสวมใส่ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่นด้วยความประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเครื่องขึ้น
หมับ!
ผมไม่ได้แปลกใจที่เครื่องขึ้น และผมก็ไม่ได้นึกประหลาดใจสัมผัสจากมือเล็กที่ถือวิสาสะมากำแขนผมแน่นโดยไม่ขออนุญาต แต่ผมแค่ประหลาดใจที่บุคคลผู้เป็นเจ้าของมือนั้น คือคนคนเดียวกันกับเด็กสาว...ผมหมายถึง...หญิงสาวที่ผมเจอที่ฮีทโธรว์ และมีโอกาสได้พูดคุยกับเธอตอนนั่งอยู่ในรถบัสเนชันแนลเอกซ์เพรส เสียงของเธอทำลายสมาธิในการอ่านสำนักพิมพ์ของผม ซึ่งตอนนี้เธอก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมด้วยเช่นกัน มือของเธอบีบเกร็ง กำแขนผมแน่น ผมสังเกตเห็นว่าเท้าของเธอซ้อนทับกันอยู่ เรียวขาแนบชิดติดกัน ตัวเธอสั่นระริกตอนที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะรออ่านต่อนะคะ
พี่นาตก็สู้นะคะ ช่วงนี้งานหนักหน่อย หลายเรื่องมากเลย เห็นแล้วแอบงงแทน 55555
มาแบบดีเลมาก แต่ สนุกกกกก
ชอบเรื่องนี้ ฮิฮิ
สู้ๆนะพี่นาตตตตต
ปล ลึกๆในใจยังคงเรียกร้องหา ไดม่อนตลอดดด :D
พูดจาอะไรก็ไม่รู้นี่ขนาดยังไม่ได้พูดหวานๆ ใส่ธันวาเลย
ก็อิจฉาเธอจนตาลุกเป็นไฟแล้ว
ถ้าวันหนึ่งเฮียวินบอกรัก เฮียวินหลงธันวา
อ๊ายยยยหนูคงขาดใจตา ย เพราะรู้สึกเหมือนอกหักTT
กรี๊ดดดดรักเธออออออออ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 7 ตุลาคม 2554 / 19:21
อ่านแล้วเหมือนได้ท่องเที่ยวไปด้วยยังไงชอบกล ซึ่งกาแฟก็ชอบเสียด้วย!
กาแฟขอเดาว่าเป็นสถานที่ที่พี่นาตเคยไปใช่ไหมคะ!?
กาแฟห่างหายไปนานพอสมควร!
เวลาฟังเพลงของ Taylor Swift ทีไร(ฟังบ่อยด้วย!)...เรื่องราวของชาวคลีฟและพี่นาตก็โผล่ขึ้นมาในห้วงความคิดทุกที คิดถึงทุกคนจริงๆค่ะ!
ตอนนี้ได้ฤกษ์ดี ปิดเทอมค่ะ! ถึงจะแค่ 29 วันก็เถอะ ;; แต่เราก็คงจะได้เจอกันมากกว่าที่ควร...หวังว่าจะไม่เบื่อกาแฟไปก่อนนะคะ
บ่นเสียมาก! กาแฟไปก่อนนะคะ...ไปติดตามเรื่องอื่นของชาวคลีฟต่อ ไม่รู้พี่นาตอัพไปถึงไหนแล้ว!? กาแฟไม่เคยตามชาวโลกเขาทันเสียที
ยังไงก็สู้ๆนะคะ! กาแฟจะติดตามให้ครบทุกเรื่องจนออกเป็นเล่มเลย! เพื่อซื้อให้ครบ 55 .
งานหนังสือนี้ก็กะจะไปเหมาๆเล่มที่ซื้อไม่ครบของพี่นาต ต้องใช้ลูกไม้เดิม...อ้อนคุณแม่ค่ะ // หวังว่าเล่มของหลุยส์กับลิลลี่จะออกเร็วๆนี้นะคะ!? ตื่นเต้นมากสำหรับคู่นี้!
เธอเป็นนางเอกที่กล้าเหลือเกิน555
แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่555
ถ้าธันวา 18 จริง วินเซนต์นี่ก็เข้าข่ายกินเด็กเหมือนลุงละ
ให้ลุงคนเดียวพอเถอะ555
>///< วินเซนต์น่ารักอะ
ไม่รู้ว่าทำไมใจเต้นอะ
มันแปลก อย่างกับว่าจะหลงรักวินเซนต์เลยละพี่
เป็นมากนะเนี่ยกับคนนี้>O<