ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #27 : ความลับของการออกกำลังกาย ( 2 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.22K
      4
      15 เม.ย. 48





                                          หมายเหตุ     เขียนวันที่ 15 เม.ย.48            หนัก    83.0   กิโลกรัม





                                          เมื่อกี้ลองเข้าไปอ่านที่คุณ Zid ติงมาว่าที่เขียนแบบเรียงบทแบบนี้ออกจะงงๆ  จริงๆแล้วถ้ามาพิจารณาดูจากโครงเรื่องแล้วก็อาจเป็นได้ที่วันแรกที่ผมมาเขียนเป็นวันที่ผมอยู่ในโปรแกรมมาแล้ว 48 วัน  การเขียนตอนแรกๆ  ส่วนใหญ่ก็จะเน้นประสบการณ์ย้อนอดีตของตัวเองตั้งแต่วันที่   1-48 แล้วก็อาจมีเหตุการณ์ปัจจุบันแทรกเป็นระยะๆ พอหลังจากนั้นแล้วเป็นช่วงที่ผมเขียนย้อนอดีตเสร็จก็เลยหันมาเขียนเรื่องปัจจุบัน แล้วก็มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนของตัวเองค่อยๆแพลมออกมา แล้วก็ยึดแนวนี้มาจนถึงปัจจุบัน ถ้าโครงเรื่องเป็นแบบนี้ตั้งแต่ต้นก็อาจทำให้หลายท่านงงได้เหมือนกัน แต่ถึงตอนนี้ก็คงเปลี่ยนสไตล์ไม่ทันแล้วครับ  ยังไงก็ต้องยึดแนวนี้ไปก่อน มีโอกาสแก้ไขเมื่อไหร่เราค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันนะครับ



                                         ตอนนี้ก่อนจะถึงเรื่องการออกกำลังกายกันต่อ ผมก็อยากจะเล่าถึงปัญหาเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือ เรื่องกางเกงครับ  เพราะกางเกงที่ใส่อยู่ตอนนี้เป็นเซ็ตเดียวกับที่ใส่ตอนที่หนัก  107 อะครับ มันก็เลยต้องอาศัยเข็มขัดเข้าช่วยรัดให้มันไม่หลุด เท่าที่ผ่านมาผมเอาเข็มขัดไปเจาะรูเพิ่มมา 2 ครั้งแล้วคือตอนที่หนัก 98 และ 89 ส่วนเสื้อไม่มีปัญหาครับ เพราะเอาเสื้อที่เคยใส่แล้วคับมาใส่อยู่ในขณะนี้แล้วมันก็กลายเป็นเสื้อที่หลวมไปเสียนี่ ส่วนกางเกงเก่าๆ  ผมทิ้งไปหมดแล้วล่ะ  เพราะใครจะไปรู้ล่วงหน้าได้ล่ะครับว่าเราหนัก 107 อยู่ดีๆ  เวลาผ่านไป  2 เดือนกว่า เราจะมาหนัก 83 ได้ คือผมไม่ได้วางแผนมาก่อนล่วงหน้านานๆเลยนะครับ ผมเข้าโปรแกรมวันที่  1 ก.พ.48 เชื่อไหมครับว่าผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักก็คือวันที่ 30 ม.ค. 48 มันช่างกะทันหันอะไรแบบนี้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คนที่มีน้ำหนักตัวที่หนักมากๆ เช่น มีอยู่คนหนึ่งหนักประมาณ  110 เขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน คือเมื่อวานยังกินเยอะอยู่เลย  พอตื่นมาตอนเช้าก็เริ่มออกวิ่งโดยที่ยังไม่เคยวิ่งตอนเช้ามาก่อน  หลังจากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน แล้วก็ทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนตัวเองลดเหลือ  77 กิโลกรัม ช่วงนี้มีหลายคนแนะนำให้ผมตัดกางเกงใหม่ได้แล้ว  แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าต้องรอน่ะสิครับ เพราะตอนนี้ผมยังอยู่ในโปรแกรมอยู่เลย ยังไงก็ต้องรอให้น้ำหนักตัวคงที่ก่อนอะครับ  ก็เลยไม่รู้จะแก้ปัญหาเรื่องกางเกงอย่างไรดี นอกจากต้องเอาเข็มขัดรัดแก้ขัดไปก่อน



                                        เอาล่ะครับ เรามาเข้าเนื้อหาที่สำคัญของวันนี้กันดีกว่าครับ เมื่อตอนที่แล้วผมค้างอยู่ตรงที่ว่า ถ้าจะออกกำลังกายเราต้องออกบ่อยแค่ไหน เท่าที่มีข้อมูลของผู้ที่ประสบความสำเร็จ  สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มครับคือกลุ่มที่ออกกำลังกายทุกวัน กับกลุ่มที่ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง  แน่นอนครับว่าผมอยู่ในกลุ่มแรก ตอนนี้เราจะมาลองวิเคราะห์ถึงข้อดีและข้อเสียของการออกกำลังกายทั้งสองแบบก่อนครับ



                                       กลุ่มที่ออกกำลังกายทุกวันที่มีผมอยู่ด้วยนั้น บอกว่าข้อดีของการออกกำลังกายทุกวันมีดังนี้คือ

    1. เป็นการฝึกการกระทำอย่างต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย

    2. สะดวกต่อการเริ่มต้นและการปรับตัว เช่น คนที่เริ่มวิ่งวันแรกอาจวิ่งได้แค่ 20 นาทีก็เหนื่อยแล้ว ก็เลยตั้งปณิธานไว้ว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ พอถึงวันรุ่งขึ้นก็วิ่งได้ประมาณ 25  นาที แล้วก็ค่อยๆเพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อยๆ

    3. มีทัศนคติที่ดีต่อการออกกำลังกายของตัวเอง เพราะได้เห็นการพัฒนาของตัวเองตลอดเวลา ซึ่งจะนำมาซึ่งความภูมิใจในตนเองและความภูมิใจดังกล่าวก็มีผลต่อทัศนคติที่ดีต่อการออกกำลังกายโดยไม่รู้ตัว

    4. ไม่มีปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาในการออกกำลังกาย เพราะกลุ่มนี้มักจะฟิกว่าเวลานี้เป็นเวลาที่เขาต้องออกกำลังกายเป็นประจำ

    5.  กลุ่มนี้จะรู้สึกว่าการออกกำลังกายเป็นประจำของพวกเขามีผลต่อการนอนหลับสนิทและสามารถตื่นเช้าได้อย่างสดชื่นซึ่งก็จะยิ่งส่งเสริมอุปนิสัยที่มีผลดีต่อการลดน้ำหนัก

                                      

                                      ตอนนี้เราลองมาดูข้อเสียของกลุ่มนี้กันบ้างครับ

    1. ข้อเสียที่หลายคนเป็นห่วงคือ เนื่องจากต้องออกกำลังกายเป็นประจำอาจเสี่ยงต่อการที่พอออกกำลังกายไปนานๆแล้วจะพาลเบื่อเอาได้

    2. การที่ออกกำลังกายเป็นประจำอาจเสี่ยงต่อการเผลอไปกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงเกินความต้องการของร่างกายได้ เพราะคิดไปว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวออกกำลังกายก็เผาผลาญหมด

    3. เสี่ยงต่อการขาดความสม่ำเสมอ เพราะบางวันต้องไปงานกลางคืน หรือไปสัมมนาประเภทที่ไม่มีเวลาว่างให้ออกกำลังกายได้เลย ก็ต้องงดการออกกำลังกายประจำวันไปโดยปริยาย

    4. ต่างกับข้อที่ 3 ครับเพราะถ้าเรายึดที่จะออกกำลังกายให้ได้ทุกวันตามตารางเวลาที่เรากำหนดไว้  ถ้ามีกิจกรรมในที่ทำงานช่วงเช้าหรืองานกลางคืนอาจทำให้เรางดกิจกรรมเหล่านั้นและอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์เชิงสังคมได้

    5. ถ้าจะเอาทั้ง  2 อย่างตามข้อ 3 และข้อ 4  คือสมมติว่าถ้ามีงานกลางคืนและคนๆนั้นเขาต้องออกกำลังกายช่วงเย็น เขาอาจจะไปงานกลางคืนก่อนแล้วค่อยไปออกกำลังกายภายหลัง ซึ่งอาจเป็นผลให้ตื่นสายในวันรุ่งขึ้นและไม่ได้กินข้าวเช้าและอาจทำให้มีปัญหาต่อตารางการกินไปทั้งวัน



                                    สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จในการออกกำลังกายทุกวันนั้น  พวกเขาพึงพอใจกับข้อดีเป็นอย่างมากและสามารถแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับข้อเสียต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างผมเอง ถ้าผมต้องไปงานตอนเย็นพอผมกลับมาในตอนกลางคืนผมก็จะออกกำลังกายต่อ คือยอมนอนดึกสักวัน แล้วผมก็จะตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้า แล้วก็ไปกินอาหารเช้าแต่เช้า แต่ผมจะมีเวลางีบตอนเที่ยงและตอนเย็นก่อนกลับบ้านครับ

                                  

                                    พรุ่งนี้เรามาวิเคราะห์กันต่อนะครับ วันนี้ต้องขอตัวไปเตรียมตัวออกกำลังกายก่อนครับผม







                                        
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×