ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #20 : ทำอย่างไรเวลาไปสัมมนา ( 2 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.65K
      2
      6 เม.ย. 48







                                                 หมายเหตุ    เขียนวันที่  6 เม.ย. 48    หนัก  86  กิโลกรัม



                                                 ก็อย่าเพิ่งตกใจครับว่า ไหง หายไป 2 วันทำไมหนักขึ้น 1  กิโลเอ่ย   จริงๆแล้วไม่ได้หนักขึ้น 1 กิโลครับ หนักขึ้น 2 กิโลต่างหาก  แต่เป็นการหนักขึ้นที่จงใจครับ  ขอบอกก่อนว่า  เมื่อวานกลับมาชั่งตอนเย็นได้ 87 ครับ  ก็ไม่ได้เครียดอะไรมาก ตอน 3 ทุ่มผมก็เดินขึ้นบันได แล้วก็เดินลงเลย แล้วก็มาเดินวนที่ห้องรับแขกแล้วก็เดินขึ้นบันไดใหม่  วนอยู่อย่างนี้ 30 นาทีครับ ตอนนั้นเปิดช่อง 9 ไปด้วย  ก็เดินไปฟังประวัติของพระสันตปาปาไปด้วยความอาลัย พอเดินครบครึ่งชั่วโมงจนเหงื่อกาลแตกซ่าน ก็นั่งพักดูคุยคุ้ยข่าวครับจนเหงื่อแห้ง  พอ 4 ทุ่มก็เดินต่อประกอบกับฟังคนค้นคนไปด้วย พอครบครึ่งชั่วโมงก็นั่งพักให้เหงื่อแห้ง พอดูคนค้นคนจบก็อาบน้ำแล้วนอนเลยครับ เมื่อเช้าตื่นมาชั่งก็ได้ 86 ไปตามระเบียบครับ



                                                 ที่น้ำหนักขึ้นมาได้อาจเป็นเพราะสัมมนาคราวนี้สำคัญมากๆครับ วันที่ 4 เราสัมมนากันตั้งแต่ 10 โมง จนถึง สามทุ่มตรงทีเดียว ปัญหานึงคือหาเวลาออกกำลังกายไม่ได้เลย และอีกปัญหาคือสัมมนาทั้งวันเพลียครับ ทั้งของว่างกับอาหารทุกมื้อก็เลยต้องทานด้วย แต่ก็ยังคุมไว้ไม่ให้มากเกินไปครับ เป็นวันแรกที่ผมกิน 4 มื้อ เขาเลี้ยงมื้อดึกด้วยครับคือ หลังสามทุ่ม   ทุกมื้อผมก็กินไม่มากเกินไป แต่มันตั้ง 4 มื้อแล้วก็ไม่ออกกำลังกายเลย น้ำหนักมันก็ต้องขึ้นตามระเบียบครับ อันนี้เราเองก็รู้อยู่แล้ว แต่ผมคิดว่ามันก็ควรทำ



                                                เพราะตอนเบรคและตอนทานข้าวถ้าเราปลีกตัวออกไปด้วยเหตุที่ว่า อยากคุมน้ำหนัก มันอาจจะไม่คุ้มกับเรื่องงานที่อาจเสียไป หลายคนที่เคยมีประสบการณ์คงนึกออกว่า ตอนที่กินของว่างหรือกินอาหารระหว่างการสัมมนา เรามีอะไรคุยกันเยอะมาก ยังไม่ได้รู้จักใครก็จะมารู้จักกันก็ตอนนี้แหละ ผมก็เลยไม่อยากพลาดโอกาสนี้เพียงแค่ต้องการลดน้ำหนัก ที่ปล่อยไปบ้างก็ด้วยเหตุผลว่ามันแค่วันเดียวเอง ไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหาตามมา และตามข่าวที่ได้รับมา เรื่องที่ทุกเกือบวงสนทนาพูดกันก็คือเรื่องที่น้ำหนักตัวของผมหายไป 20 กิโลกรัมภายใน 2 เดือน เท่าที่เพื่อนผมบอกมา เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องฮิตในการสนทนาบนโต๊ะอาหาร มิน่าล่ะเวลาที่ผมนั่งกินอาหารจะมีโต๊ะอื่นหันมามองผมบ้างเป็นระยะ พอสบตาใครผมก็ยิ้มให้เขาไปทีหนึ่ง



                                                และก็มีหลายท่านที่เดินจากโต๊ะมายืนคุยกับผมเลยเพื่อที่จะถามถึงเคล็ดลับและวิธีการต่างๆ  ซึ่งก็ทำให้รู้จักคนเพิ่มมากขึ้น และก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นด้วย แล้วลองมาย้อนคิดดูสิครับ ถ้าผมหายไป แล้วเวลาคนพูดถึงผมแต่ผมไม่อยู่ในห้องอาหาร อาจมีหลายคนคิดว่า \"มันต้องขนาดนี้เลยเหรอ หายเงียบไปเลย\" เป็นอย่างนั้น ผมคิดว่าไม่ดีแน่ ตอนนี้ที่ห่วงคือห่วงว่าถ้าผมผอมลงมาจนถึงน้ำหนักที่ต้องการจริงๆ ผมจะกลายเป็น \"คนผอมที่มีคุณภาพ\"รึเปล่า  อันนี้เป็นประเด็นที่น่าคิดเมื่อผมก้าวเข้าสู่เดือนที่ 3 มากกว่าการคิดว่า \"เดือนนี้จะลดได้กี่กิโล\" เคยมีอยู่ครั้งตอนกลางเดือน ก.พ. 48 ที่ผมป่วยกะทันหัน แล้วหยุดไป 1 วัน พอวันรุ่งขึ้นผมไปทำงาน พอเจอใครมีแต่คนถามว่า \"เป็นไง ลดน้ำหนักจนเป็นลมเป็นแล้งไปเลยเหรอ\"  ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ มันอาจมองได้ว่า \"การลดน้ำหนักทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานด้อยลง\" โชคดีที่จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วผมก็ป่วยเพราะ \"ไวรัส\" ไม่ได้เป็นเพราะการ \"ไดเอ็ท\"



                                                ผมอาจจะเน้นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการคิด การดำเนินชีวิต และการทำงานมากไปหน่อย อาจเป็นได้ที่ผมเน้นแบบนี้แล้วคุณความเห็นที่ 13 โพสไว้ว่า \"ลดงัยก้อม่ะบอก เล่นตัวหว้ะ\" หลายคนอาจจะต้องการสูตรที่ใช้ได้เลยแบบที่ไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่ไม่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมเคยชินเกี่ยวกับการกินของตัวเองอย่างงั้นหรือ อันนี้ผมไม่แน่ใจ หรือต้องการได้สูตรหรือเทคนิคไปเพียวๆโดยที่ไม่อยากรู้การปรับตัวในแต่ละวัน หรือเวลาต้องเจอปัญหาต่างๆแล้วเราควรคิดอย่างไร ควรทำอย่างไรอย่างงั้นเหรอ อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมกำลังมานั่งคิดว่า จริงๆแล้วไอ้โยโย่นั่นมันมีจริงๆรึเปล่า หรือเป็นเพียงว่าที่เขาลดกันเป็นการฝืน เป็นการต้องอดทนหรือต้องมีวินัย จนมีความรู้สึกว่า การลดน้ำหนักนั่นแหละเป็นส่วนเกินของชีวิต เราเลยต้องฝืนมัน และก็อาจจะฝืนได้เพียงช่วงหนึ่งแล้วก็กลับมากินต่อ พออ้วนกว่าเก่าก็เลยเรียกกันว่าเกิดโยโย่ขึ้นแล้ว



                                                เคยมีหลายคนมาถามผมว่าตอนลดน้ำหนักผมเครียดรึเปล่า หงุดหงิดมากรึเปล่า ต้องอดทนมากไหม เออ...ผมงงครับ คนที่เขาลดน้ำหนักเขาต้องเครียด หงุดหงิด และอดทนกันด้วยรึครับ ผมงงมากเลย มันเหมือนกับเป็นการทำอะไรที่ต้องฝืน ไม่เป็นธรรมชาติและดูเหมือนกับเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวของเราเอง ทำไมเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติของเราเอง และปรับมันไปเรื่อยๆ พฤติกรรมการกินแบบใหม่มันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปเลย เราจะได้ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดว่าเป็นการฝืน แต่นั่นมันกำลังจะกลายเป็นพฤติกรรมใหม่ๆของเรา การกินอาหารแคลอรี่ต่ำและการออกกำลังกาย มันจะไม่ใช่ส่วนเกินที่เราลองฝืนทำ แต่นั่นแหละคือการฝังรากลึกแห่งพฤติกรรมใหม่ของเรา ตลอดการเขียนที่ผ่านมา ผมไม่เคยใช้คำว่า ถ้าจะลดน้ำหนักให้ได้ผลดีและยั่งยืนคุณจะต้อง\"อดทน\"  \"ฝืน\" และมี\"วินัย\" อย่างเคร่งครัด  มันฟังดูเหมือนกำลังจะไปทำอะไรบางอย่างที่เราไม่ชอบ เราเกลียดมันและเราไม่ได้รู้ซึ้งอย่างจริงๆจังๆว่าการทำอย่างนั้นมันดีอย่างไร  โดยส่วนตัวถ้าผมมัวแต่คิดแบบนั้น ผมคงทำได้แค่  2 วันแล้วก็กลับมากินแบบเดิม เคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้เราทำมันได้อย่างต่อเนื่องคือเรื่อง \"ความเข้าใจในสิ่งที่เราทำ\" และ \"ทัศนคติต่อสิ่งที่เราทำ\" จนถึงวันนี้ผมก็ยังคิดแบบนี้ครับ ถ้าผมเปลี่ยนความคิดเมื่อไหร่ ผมจะรีบบอกนะครับ







                                                ผมลองมาย้อนคิดดูถึงหลายคนที่เคยบ่นว่า เขาจะไม่ลดน้ำหนักอีกแล้ว อ้วนแบบนี้ก็น่ารักดีอยู่แล้ว พอจะลดน้ำหนักทีเพื่อนก็บ่นว่าเปลี่ยนไป ไม่ค่อยทำตัวเหมือนเมื่อก่อน หงุดหงิดเกินไป ทุกอย่างมันแตกต่างไปหมดจนบางครั้งบางคนถึงกับคิดว่าคนที่ลดน้ำหนักเป็นคนที่ไม่น่าคบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมกลัวเหมือนกันนะในตอนนี้ การเขียนของผมเลยเน้นเรื่องของสังคมเข้ามาด้วยตลอด ลึกๆแล้วผมกลัวการเป็น\"คนผอมที่ไม่มีคุณภาพ\" หรือผอมแล้วไม่มีใครคบ มันคงไม่คุ้มถ้าเราอ้วนแล้วมีเพื่อนเยอะ แต่พอผอมแล้วไม่มีใครคบ มันคงไม่คุ้มจริงๆ  ก็เลยอยากจะบอกด้วยว่าระหว่างอยู่ในโปรแกรม ถ้าต้องไปสัมมนาที่อาจจะมีผลให้เราต้องน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมานิดนึงแต่ถ้ามันสำคัญก็น่าจะยอมบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อสุขภาพจิตที่ดี และมันก็เป็นการนับถือและให้ความเคารพต่อเพื่อนร่วมงาน เพราะหลังจากนั้นพอเรากลับมาเราก็สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้



                                                อย่างวันนี้ผมก็ตื่นสายไปหน่อย เลยกินตอนเที่ยงไปมื้อเดียวคือเกาเหลาโฟ พอถึงตอนเย็นคิดว่าจะเดินออกกำลังกายพอควร พอกลับถึงบ้านก็อาจจะเดินขึ้น-ลงบันไดประมาณ 2 เซ็ต ทุกอย่างมันก็คงโอเคขึ้น พรุ่งนี้คงรู้ผลครับว่าพรุ่งนี้ผมจะหนักเท่าไหร่ ถึงวันนี้ก็ยังยืนยันคำเดิมครับว่าการลดน้ำหนักคือ \"เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน\"   \"เปลี่ยนพฤติกรรมการออกกำลังกาย\" แต่ไม่ใช่การ \"เปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต\"  





                                                                    
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×