ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #244 : FF7: WELCOME TO THE GOOD LIFE (REBIRTH EDITION)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 23
      0
      11 เม.ย. 67

    WELCOME TO THE GOOD LIFE
    Inspiration: FINAL FANTASY VII REMAKE (Video Game, 2020)
    Playlist: Mitsuto Suzuki – Midnight Rendezvous (FINAL FANTASY VII REMAKE Original Soundtrack) / Yosh – Hollow (FINAL FANTASY VII REMAKE Original Soundtrack)













    .

    อาจเรียกว่าเป็นโชคดีที่ไม่มีใครอยู่ที่สกายวิวฮอลล์บนชั้นห้าสิบเก้าของอาคารชินระในเวลาใกล้ล่วงเข้าวันใหม่ขณะนี้ หรือต่อให้จะมี ซากาโมโตะ เอริสุก็คงไม่อาจกดกลั้นความไม่พอใจที่ตีตื้นขึ้นมาได้ไหวอีกต่อไป หลังจากคำพูดที่ใกล้เคียงกับคำเทศนาอย่างน่าโมโหของชายคนรัก ทั้งที่ตอนแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี เริ่มจากการที่เธอยกมือขึ้นโบกทักทายเขาซึ่งมาตามนัดหมายด้วยความกระตือรือร้น เฉกเช่นเดียวกับน้ำเสียงและรอยยิ้มกว้างที่แผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ในตอนที่ลุกขึ้นจากโซฟาไปกึ่งดึงกึ่งลากท่อนแขนของเขาให้มาหยุดยืนดูทัศนียภาพของมหานครผ่านบานกระจกใสในยามค่ำคืน แบบที่เอริสุไม่เคยและไม่มีวันจะมองเห็นมันจากสลัมในเขต 7 ที่อาศัยอยู่มาทั้งชีวิตได้ ถ้าไม่ใช่เพราะคำปรามาสที่ทำให้ความอดทนตลอดสิบเก้าปีของเธอสิ้นสุดลง กระทั่งสามารถถีบตัวเองขึ้นมาทำงานในชินระคอมปะนีได้แล้วล่ะก็ ป่านนี้เธอก็ยังคงได้แต่แหงนคอมองดูเพลต พร้อมกับความฝันลมๆ แล้งๆ และคำเสียดเย้ยได้ไม่เว้นแต่ละวันของแม่กับพี่สาวขี้เมาหยำเปไปตลอดทั้งชาติ

    เพราะอย่างนั้นเอริสุถึงได้จงเกลียดจงชังสลัมที่เติบโตมาเสียยิ่งกว่าอะไร เธอเกลียดกลิ่นอับๆ ในบ้านที่ทั้งคับแคบและสกปรก เกลียดคุณภาพชีวิตที่แสนต้อยต่ำ เกลียดการที่ต้องมองเห็นจานเหล็กขนาดใหญ่แทนท้องฟ้าหรือว่าดวงดาว เกลียดการต้องปากกัดตีนถีบทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารกระจอกๆ แลกทิปที่แทบจะไม่มี เพื่อเอามาประเคนให้ครอบครัวเฮงซวยที่คอยรีดไถ แน่นอนว่าถ้ามีหนทางที่ดีกว่า เธอก็ไม่ลังเลเลยที่จะไป

    และบริษัทพลังงานไฟฟ้าที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศอย่างชินระคอมปะนีคือเป้าหมายที่เอริสุรู้ว่าจะช่วยให้หลุดพ้น ทันทีที่ได้เข้าบรรจุในแผนกพัฒนาเมือง เอริสุก็ทิ้งทุกอย่างในสลัมที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของสิ่งใดให้ถวิลหามาด้วยหัวใจที่ลิงโลด ไม่สนใจทั้งคำด่าทอสลับกับคำขอร้องอ้อนวอนของสองแม่ลูกให้พาขึ้นไปอยู่ข้างบนด้วยกันเลยแม้แต่น้อย

    เอริสุไม่แคร์หรอกว่าคนอื่นในสลัมจะคิดกับเธออย่างไร ในเมื่อตอนที่เธอลำบากก็ไม่เห็นจะมีใครเคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ นอกจากคำพูดพล่อยๆ ที่บอกให้อดทน อดทน และอดทน เสียจนเอริสุทึ่งใจที่ตัวเองสามารถอดทนกับคำว่า อดทนมาตั้งเนิ่นนานขนาดนั้นได้

    แต่ใครที่ว่าไม่นับรวมถึงนาสุ ยูโตะ ชายคนรักอายุมากกว่าสองปีที่ยึดอาชีพเป็นทหารรับจ้างและพำนักอยู่ที่สลัมเขต 7 ซึ่งก็เป็นบ้านเกิดของเขามาได้กว่าหกเดือนแล้ว ในตอนที่เธอหลบไปนั่งร้องไห้คนเดียวในสุสานหลังเลิกงานเพราะปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ ก่อนกลับไปยังบ้านที่เธอยกให้เป็นแค่ที่ซุกหัวนอนเหมือนกับทุกวัน ไม่มีความหวาดกลัวต่อเรื่องผีสางที่พวกชาวบ้านต่างพากันร่ำลือให้หนาหูเลยแม้แต่น้อย

    เอริสุไม่เคยเห็นหน้าชายผู้นี้มาก่อน ด้วยเพราะไม่ได้อยากทำความรู้จัก เธอเลยไม่สนใจว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ในตอนดึกดื่นค่อนคืนเหมือนกัน แต่เขาก็เพียงนั่งเอนหลังทอดสายตาอยู่เงียบๆ ไม่เคยเปิดปากทักทายหรือแม้แต่จะหันมองเธอที่จับจองม้านั่งตัวข้างๆ วันแล้ววันเล่า ก่อนระยะห่างจะขยับเคลื่อนใกล้จากสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความตั้งใจ เมื่ออารมณ์ของเอริสุปะทุขึ้นมาเพราะวันแย่ๆ แล้วพาลเสียจนตอกเส้นรองเท้าบู๊ตไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า กระแทกน้ำเสียงที่เจือจัดด้วยความหงุดหงิดไปว่า “ฉันไม่เชื่อในเรื่องความบังเอิญเกินกว่าหนึ่งครั้ง และฉันก็ไม่ชอบผู้ชายที่ขี้ขลาดด้วย!” ซึ่งจะตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างของเขาที่ตอบรับว่า “ไม่คิดว่าคุณจะเป็นพวกหลงตัวเอง” ให้เอริสุโกรธจัดจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง บางทีอาจมีต้นเหตุมาจากเสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ที่ตามมาหลังจากนั้นด้วยว่า “และผมก็ไม่ได้ขี้ขลาดสักหน่อย” กับริมฝีปากที่ถูกช่วงชิงไปไม่ให้ทันได้ตั้งตัวแม้แต่การปิดเปลือกตาหลับ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร มันก็ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้าเปลี่ยนแปลงไป

    เอริสุใช้เวลาอันแสนสั้นราวกับความฝันทุกค่ำคืนกับยูโตะเพื่อหลบหนีความเป็นจริง จากม้านั่งในสุสานเปลี่ยนไปเป็นดาดฟ้าของห้องเช่าสองชั้นที่ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเมื่อสิ่งที่เห็นบนท้องฟ้าหาใช่ดวงดาวพราวระยับ หากเอริสุก็มีความสุขเมื่อได้อยู่กับเขา จุมพิตกับเขา และหายใจเอาอากาศอับๆ ของในห้องเช่าที่ทั้งร้อนและคับแคบจนเธออาจหลอมละลายรวมไปกับเขาในวินาทีที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าหากมันจะเป็นเช่นนั้นจริง เอริสุก็คิดว่าเธอเต็มใจที่จะตายไปกับเขา...แม้ในขุมนรกนี้

    ครั้งหนึ่ง เธอเคยบอกเล่าความฝันที่อยากจะไปจากสลัมให้เขาฟัง และยูโตะก็ไม่เห็นด้วยกับการที่เธอเลือกชินระคอมปะนีเป็นคำตอบ เขาให้สัญญาว่าจะทำงานเก็บเงินอีกสักปีแล้วพาเธอย้ายออกไปอยู่ที่เมืองอื่นแทน แต่ทหารรับจ้างอย่างเขาจะหาเงินถุงเงินถังกับงานเล็กๆ น้อยๆ ในสลัมมาจากไหน ต่อให้รวมกับเงินจากงานบริการของเธอที่ไม่ได้เจียดไปให้ใครด้วยก็ตาม อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เอริสุได้เข้าใจความรู้สึกของการได้มีใครสักคน อีกทั้งข้อความจริงที่ว่าเธอไม่ได้อยากไปจากมิดการ์ เธอแค่ต้องการขึ้นไปอยู่บนเพลตชั้นบน มองลงมายังสลัมที่แม่กับพี่สาวต้องอยู่อย่างอดสูไปตลอดชีวิตแล้วเหยียดยิ้มด้วยความสะใจต่างหาก ยูโตะไม่ได้พูดอะไรเมื่อรู้ว่าเธอแอบไปสอบสัมภาษณ์และได้เข้าทำงานที่ชินระคอมปะนีในที่สุด แต่เอริสุก็รู้ได้จากสีหน้าและท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกถึงเพียงเล็กน้อยว่าเขาไม่พอใจ

     

    “สวยเนอะ”

    ใบหน้าของยูโตะไม่ปรากฏอารมณ์ใด ขณะที่ใบหน้าของเอริสุนั้นเพ้อฝัน ดื่มด่ำกับแสงสีของแสงไฟสังเคราะห์นอกบานกระจกสูงลิบที่ไม่ว่าจะจับจ้องมองดูกี่ครั้งก็ไม่รู้เบื่อ

    “ฉันอยากเห็นแสงไฟจากบนเพลตมาตลอดเลย”

    “เธอเคยบอกฉันว่าอยากเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าที่ไม่มีเพลตมาบดบังต่างหาก”

    แม้คำพูดโต้แย้ง — ที่เป็นความจริง — ของเขาจะไม่มีสิ่งใดที่ผิดแปลก แต่เอริสุก็จับความเฉยเมยทั้งบนใบหน้าและในน้ำเสียงได้  ก่อนที่เขาจะหันมา สบประสานดวงตาสีเข้มของเธอที่ยิ่งสั่นระริกไหว แน่ใจได้ว่ามันคือความโกรธหลังจากคำพูดของเขาที่ว่า “ขึ้นมาอยู่บนนี้แค่ไม่กี่เดือน เธอกลายเป็นคนของชินระเต็มตัวไปแล้วหรือไง?”

    “หมายความว่ายังไง?”

    “ดื่มด่ำไปเถอะเอริสุ อีกไม่นานโลกนี้อาจไม่มีแม้แต่แสงไฟสังเคราะห์สักดวงให้เธอได้เห็นด้วยซ้ำ”

    พลันเปลี่ยนไปเป็นความขบขัน ขนาดทำให้เธอพ่นลมหายใจเย้ยเยาะ ก่อนยอกย้อนกลับไปด้วยประโยคที่แทบจะถอดแบบกันมาว่า “อยู่ข้างล่างโดยไม่มีฉันแค่ไม่กี่เดือน นายกลายเป็นคนของแอวะแลนช์เต็มตัวไปแล้วหรือไง?”

    “อย่างกับเธอไม่รู้ว่าพวกชินระ...”

    “เป็นพวกชั่วช้า เห็นแก่ตัว เพราะการใช้และตามหาแหล่งพลังงานอย่างสิ้นเปลือง โดยไม่สนใจว่าจะต้องทำลายอะไรไปมากเท่าไหร่ และสักวันหนึ่งโลกของเราก็จะตายเพราะเงื้อมมือของพวกนั้น” เธอโพล่งขัดจังหวะคำพูดของเขาไม่ต่างอะไรจากการท่องเรียงความ “ขอทีเถอะ อย่างกับว่าไฟฟ้าที่พวกนายใช้กันในสลัมไม่ได้มาจากที่นี่งั้นแหละ ไอ้เรื่องรักษ์โลกอยากปกป้องโลกงี่เง่าอะไรนั่น ฉันฟังพวกเพื่อนๆ ในแอวะแลนช์ของนายพล่ามจนเอียนจะแย่อยู่แล้ว ทำเป็นพูดอวดโอ่ ยึดมั่นในอุดมคติที่จอมปลอมสิ้นดี”

    “เอริสุ...”

    “อีกอย่างนะ ที่นายไปเข้ากับพวกแอวะแลนช์ก็เพราะนายอยากอยู่กับโซอะต่างหาก ใช่สิ เพื่อนสมัยเด็กคนสวยของนาย นางฟ้าของสลัมที่ใครๆ ก็รัก ไม่เหมือนกับฉันที่มันน่าสมเพชเลยสักนิด! รู้อะไรไหมยูโตะ ถ้านายอยากอยู่กับเธอหรืออยากช่วยเหลือโลกอยู่ที่สลัมมากขนาดนั้น งั้นเราก็เลิกกันไปเลยดีกว่า! เพราะฉันไม่สนใจหรอกว่าพวกชินระจะทำอะไรกับโลกหรือไอ้สลัมเส็งเคร็งนั่นที่ฉันหลุดพ้นมาได้สักที ในเมื่อมันไม่ใช่ปัญหาของฉัน! ตราบที่พวกชินระทำให้ชีวิตของฉันสุขสบายได้ ฉันก็ไม่แคร์อะไรทั้งนั้นแหละ!”

    มีเพียงความเงียบงันระหว่างกันลอยอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศ เอริสุไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่เมื่อมันเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ยูโตะก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูด

    “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเลยเอริสุ ทั้งเพื่อนของฉันหรือบริษัทของเธอ” เขาจงใจเน้นย้ำมันอย่างเชื่องช้าทว่าชัดเจน “แต่มันเกี่ยวกับเธอ เอริสุ แค่เธอ”

    เรี่ยวแรงทั้งหมดของเอริสุคล้ายว่าจะเหือดหายไป ยิ่งหลังจากประโยคสุดท้ายผ่านใบหน้าและน้ำเสียงที่เย็นชาที่สุด ก่อนเสียงฝีก้าวจากรองเท้าบู๊ตหนาหนักจะค่อยๆ ไกลห่างออกไป ปล่อยให้ม่านน้ำตาของเธอทะลักทะลาย ได้แต่สะอื้นไห้จนตัวโยน

    “ฉันเสียใจจริงๆ ที่เคยรักคนเห็นแก่ตัวอย่างเธอ”

    คำพูดของเขายังคงวนเวียนอยู่ในหัวราวกับแผ่นเพลงที่ตกร่อง แม้เมื่อน้ำตาจะหยุดไหลลงไปแล้วหลังจากนั้นอีกเนิ่นนาน เอริสุทอดมองออกไปนอกบานกระจกสูงอย่างเลื่อนลอย ถึงแสงไฟระยับที่มาจากพลังงานสังเคราะห์จะกำลังสะท้อนพร่าอยู่ในแววตาก็ตามที

    ได้...ถ้าเขารักสลัมงี่เง่านั่นนัก รักแอวะแลนช์มากกว่าเธอที่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่เพราะต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นนัก เธอก็จะทำลายสิ่งที่เขารัก เหมือนที่เขาทำลายความรักของเธอให้ดู

     


     

    เอริสุต้องใช้เวลาถึงสองสัปดาห์กว่าจะเจอชายชุดดำ — สมาชิกกลุ่มปฏิบัติการลับของชินระ หรือที่คนอื่นๆ รู้จักในนามเทิร์กส์ — ผ่านมาในที่สุด ถ้าเป็นเวลาปกติ เอริสุคงไม่มีทางที่จะกล้าเดินดุ่มเข้าไปหาชายตัวสูงใหญ่ที่ทั้งใบหน้าและทีท่ายังคงเรียบสนิทแม้ในยามที่ถูกเธอพุ่งเข้าจู่โจม แต่หลังผ่านไปกว่าสองสัปดาห์ที่เอริสุยังไม่อาจหยุดคิดถึงคำพูดในวันนั้นของอดีตคนรักที่ไม่ติดต่อมาหาเธออีกได้ ความโกรธแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอกต่อทุกสิ่งที่โลกเบื้องล่างคงจะไม่มีวันจางหายไปถ้าไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง นั่นเองที่จะทำให้เธอหลงลืมความกลัวไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

    “ฉันอยากพบท่านประธานค่ะ” เอริสุเอ่ยเข้าเรื่องตรงๆ โดยไม่มีอ้อมค้อม ก่อนทางออกไปยังชั้นจอดรถใต้ดินเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านในเวลาอีกไม่กี่นาทีก่อนเข้าวันใหม่เป็นปกติ หรืออาจต้องบอกว่าเพิ่งกลายมาเป็นปกติหลังจากที่เลิกรากับชายคนรัก จนทำให้เธอไม่อยากกลับไปฟุ้งซ่านอยู่ในอพาร์ตเมนต์คนเดียวแล้วนอนร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรต่างหาก

    “มีธุระอะไรกับท่านประธาน?”

    “เรื่องของแอวะแลนช์ค่ะ” เอริสุไม่ได้หลบสายตาคมปลาบคู่นั้น “และฉันอยากคุยกับท่านประธานโดยตรงเท่านั้น

    “รอตรงนี้”

    เขาล้วงหยิบมือถือขึ้นจากกระเป๋าเสื้อสูท ก่อนผละจากไปไม่ไกลนักเพื่อสนทนากับเป้าหมายที่พนักงานระดับล่างอย่างเธออาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต...หรือไม่ก็อาจไม่มีวันนั้นเลย...เพื่อขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ท่านประธานจะเหลือบแลแค่เพียงปรายตาลงมา

    แต่เอริสุไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น เมื่อเขาจะหันมาพยักหน้า เอ่ยเพียงว่า “ตามฉันมา” แล้วกลับเข้าไปในตัวอาคารใหม่ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมาระหว่างโดยสารลิฟต์แก้วพร้อมกับคีย์การ์ดระดับสูงที่ทำให้พวกเธอขึ้นไปถึงชั้นหกสิบเก้าได้ในทันที

     

    ทั้งที่เอริสุเคยเฝ้าฝันว่าอยากจะขึ้นมาเห็นกับตาตัวเองสักครั้งมาโดยตลอด ทว่าในยามนี้เธอกลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือว่าตื่นตาไปกับความหรูหราโอ่อ่าของห้องชุดผู้บริหารเลยแม้แต่น้อย ทางเดินที่ทอดยาวตลอดขั้นบันไดที่ปูด้วยพรมสีแดงคือช่วงเวลาที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่น กระทั่งจะได้ขึ้นมายังส่วนออฟฟิศของประธานชินระคนปัจจุบันในที่สุด วินาทีที่ชายชุดดำพาเธอมาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงครึ่งวงกลมที่ผู้ถือครองตำแหน่งสูงสุดของบริษัทกำลังนั่งเท้าแขนพิงแผ่นหลังอยู่กับพนักเก้าอี้สูง เบื้องหน้าแผ่นเหล็กประดับสัญลักษณ์ของบริษัทพลังงานไฟฟ้าชินระนั้นก็ช่างดูน่าเกรงขาม ขับบารมีของเขาให้หญิงสาวตัวจ้อยยิ่งรู้สึกหดลีบลงไปอีก

    และเมื่อชายชุดดำออกจากห้องไปตามคำสั่งผ่านใบหน้าที่พยักเพยิดแทนคำพูดแล้ว บัดนี้จึงเหลือแค่เพียงเอริสุกับท่านประธาน ราวกับภาพแทนของสาวกผู้ต้อยต่ำเบื้องหน้าบัลลังก์ของพระเป็นเจ้า

    เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบลูกชายของท่านประธานอิวาซากิ เก็นโซ ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไปแบบปุบปับเมื่อไม่กี่เดือนก่อน น้อยคนนักที่จะได้เคยพบเจอเขาแม้หลังจากขึ้นมารับตำแหน่งแล้ว หากอิวาซากิ ไทโชก็ดูเหมือนว่าจะถ่ายทอดทุกอย่างจากบิดามาอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งรัศมีของความน่าพรั่นพรึง ใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับบิดาในวัยหนุ่มจากภาพถ่ายในส่วนจัดแสดงที่เธอเคยเข้าไปเยี่ยมชม และความต้องการที่จะปกครองโลกทั้งใบให้อยู่ภายใต้อำนาจของชินระคอมปะนี พลันนั้นเองที่เอริสุรู้สึกได้ว่ามือที่กุมกันอยู่ข้างหน้าของเธอกำลังชื้นไปด้วยเหงื่อ

    “หวังว่าเธอคงจะไม่ทำให้ฉันเสียเวลาเปล่า”

    “ฉันรู้ว่าพวกแอวะแลนช์อยู่ที่ไหนค่ะ” และเอริสุก็นึกชื่นชมตัวเองที่บังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นได้

    “แล้วฉันจะเชื่อใจเธอได้ยังไง?”

    “คนรู้จักของฉันทำงานกับพวกเขาค่ะ”

    “คนรู้จัก?” เขาทวนคำของเธอด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ “ไหนบอกสิว่าเธอยอมหักหลังคนรู้จักได้เพื่ออะไร เงิน? ตำแหน่ง? หรือมากกว่านั้น?”

    “ฉันไม่ต้องการอะไรที่ท่านประธานว่ามาทั้งนั้นค่ะ” หนนี้เธอตอบกลับไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แน่วแน่ “ฉันแค่อยากจะเห็นมันถูกทำลายให้หมด ทั้งแอวะแลนช์กับไอ้สลัมชั้นต่ำนั่น”

    เอริสุได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ตามมาด้วยรอยยิ้มที่ถูกจุดขึ้นตรงมุมปาก หากไม่ว่าจะด้วยเจตนาเช่นไร ข้างในอกของเธอก็คล้ายกับว่าจะถูกกระชากให้จมดิ่งลงไปยังขุมนรกที่อาจไม่มีวันกลับขึ้นมาได้อีก ถึงจะกำลังอยู่บนชั้นสูงสุดของหอคอยเทียมฟ้า หากไม่ใช่เพื่อการตะเกียกตะกายขึ้นไปหาพระเจ้า เมื่อพระองค์กำลังหยัดยืนอยู่เบื้องหน้า ใช้มือข้างหนึ่งจับลำคอบอบบางเอาไว้ ทั้งที่ฝ่ามือของเขาไม่ได้สากด้านเพราะการจับอาวุธเหมือนอย่างที่อดีตคนรักของเธอเป็น แต่ทันทีที่ปลายนิ้วทั้งห้ากดลงไปในตอนที่เขาโน้มใบหน้าลงมา เอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงกระซิบหากดังก้องอยู่ข้างใบหูจากระยะประชิดที่ว่า

    “ถ้าข้อมูลของเธอเป็นความจริง ฉันจะให้ทุกอย่างกับเธอ แต่ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ฉันจะพรากสิ่งเดียวเท่านั้นไปจากเธอ”

    ตามด้วยริมฝีปากที่บดขยี้ลงมาอย่างรุนแรงมากจนเอริสุทั้งเจ็บและหายใจไม่ออก ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่ความคิดของเธอกลับแจ่มชัดขึ้นมา เพียงแค่คิดว่ายูโตะจะกระทำสิ่งเดียวกันนี้ด้วยร่างกายแข็งแกร่งของเขาที่เธอเฝ้าหลงใหลมาตลอด ก็จะทำให้เธอสั่นสะท้านขึ้นมา

    เอริสุยังคงยินยอมพร้อมตายไปกับยูโตะได้ในขุมนรก แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น เธอจะให้เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกของนรก เหมือนกับครั้งหนึ่งที่เธอเคยต้องเผชิญ

     

     

    ออฟฟิศของแผนกพัฒนาเมืองตลอดทั้งชั้นสามสิบมีอันต้องสั่นคลอน เมื่อในอีกแค่สองวันถัดจากค่ำคืนนั้นในออฟฟิศผู้บริหาร เอริสุก็จะได้รับเกียรติจากชายชุดดำที่มารับถึงโต๊ะทำงาน ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนในแผนกรวมถึงตัวเธอเอง แล้วพาขึ้นไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้านนอกอาคารชั้นเจ็ดสิบที่ประธานหนุ่มคนปัจจุบันนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขากำลังจะเริ่มแผนการระเบิดเสาค้ำเพื่อให้เพลตถล่มลงมายังสลัมในเขต 7 เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับเขต 6 มาก่อน ต่างกันที่เหตุการณ์ในอดีตนั้นคืออุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น หากปฏิบัติการณ์ ณ ปัจจุบันนี้คือความตั้งใจ

    “เธอควรจะได้เห็นมันอย่างใกล้ชิดที่สุด”

    และไทโชก็ให้เธอได้ มากกว่านั้น มากกว่าทุกอย่างที่เขามอบมันให้ในค่ำคืนนั้นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ

    มีความโกลาหลเกิดขึ้นระหว่างเหล่าทหารของชินระและผู้อยู่อาศัยในสลัมที่เอริสุพูดได้อย่างเต็มปากว่ารู้จักพวกเขาทั้งหมด ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกสงสาร หากมันก็แค่ความรู้สึกที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็เหมือนกับตอนที่พวกเขาให้ความเห็นใจเธอเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็ผ่านไป เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่มีทางที่พวกสลัมจะเอาชนะศึกนี้ได้ เธอหมายถึงทั้งในแง่ของกำลังคนและเทคโนโลยีจากแผนกพัฒนาอาวุธที่ทันสมัยกว่ามาก จนทำให้อาวุธปืนหรือระเบิดทำมือของพวกเขาเป็นเพียงแค่ของเด็กเล่น

    ที่ชั้นบนสุดนั้นเองที่เธอจะได้เห็นเขา

    เป็นชายหนุ่มผมแดงที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับฮ. ซึ่งจะกระโดดลงไปพร้อมกระบองคู่ รับหน้าที่ป้อนข้อมูลกดปุ่มแยกเพลตออกจากกัน เธอเคยชอบการได้เห็นยูโตะกวัดแกว่งดาบและต่อสู้กับศัตรูด้วยความมุ่งมั่นแบบนี้เสมอ กระทั่งยามนี้มันยังคงเป็นความรื่นรมย์ ยิ่งกับคู่ประมือที่ทัดเทียมกันอย่างพวกชายชุดดำด้วยแล้ว ฉะนั้นการที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำไปบ้างก็ไม่ใช่อะไรที่น่าอับอาย ในเมื่อจังหวะของชายร่างเล็กผู้นั้นรวดเร็วกว่ามาก และกำลังหนุนของเขาที่เธอจงเกลียดจงชังเป็นนักหนาอย่างพวกแอวะแลนช์ก็ตามขึ้นมาช้าเกินไป เฮลิคอปเตอร์ของพวกเธอที่บินวนอยู่รอบๆ ขับเข้าไปรับตัวลูกน้องที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นเดียวกับคู่ต่อสู้กลับมา หลังจากเสียงประกาศของคอมพิวเตอร์ที่แสนจะเสนาะหูว่า “เริ่มต้นแยกเพลต” ดังขึ้น ก็ไม่มีอะไรที่ยูโตะ แอวะแลนช์ หรือว่าคนจากสลัมในเขต 7 จะทำได้อีกแล้ว ความโกรธของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานในตอนที่เปลี่ยนด้ามดาบให้เป็นปืน แล้วยกขึ้นเล็งเพื่อหมายทำลายทั้งคนรวมถึงอากาศยาน เพียงเพื่อที่จะระบายความคั่งแค้นแม้รู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่จะระคาย

    แต่ทันทีที่ยูโตะได้สบประสานสายตากับเธอซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประธานชินระคนปัจจุบัน ห้วงเวลาก็คล้ายกับว่าจะหยุดนิ่งไป

    แล้วเอริสุก็มอบสิ่งที่ยูโตะเคยบอกว่ามันจะยังคงงดงามแม้ทุกสิ่งจะพังทลายอีกกี่ร้อยพันครั้งก็ตามให้กับเขา

    นั่นคือรอยยิ้ม

     

    ภาพของเสาที่ค่อยๆ ระเบิดส่งลูกไฟให้พวยพุ่งกับกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจาย ปล่อยโครงสร้างเหล็กขนาดยักษ์ร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง ทะเลเพลิงสีส้มสุกใสส่องสะท้อนในแววตาของเธอ ที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านซึ่งเธอเรียกขานมันว่านรก บัดนี้ได้กลายเป็นนรกของจริงเพียงชั่วข้ามคืน...นรกที่เธอเต็มใจร่วมเป็นหนึ่งในผู้ก่อ

    เอริสุรู้ว่ายูโตะจะต้องรอดไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พร้อมกับความโกรธแค้นและเกลียดชังอย่างเท่าทวี ทั้งต่อชินระคอมปะนี และต่อตัวเธอเองที่พรากสิ่งสำคัญไปมากกว่าบ้านที่เขาอาจเรียกขานมันว่าสรวงสวรรค์ หลังจากนี้เขาจะต้องหาทางกลับมาสะสางพร้อมกับพวกของแอวะแลนช์ที่ยังเหลืออยู่ แต่สำหรับยูโตะ มันจะไม่มีทั้งคำว่าแพ้หรือชนะ ถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจของเขาจนม่านน้ำตาทะลักทลายบีบให้เธอมาจนถึงจุดนี้ แต่น่าแปลกที่เมื่อคิดว่าเขาอาจจะใช้ริมฝีปากคู่เดียวกันนั้นทำร้ายร่างกายของเธอเพื่อตอบแทนต่อการกระทำอันชั่วร้ายนี้ให้สาสม เธอก็แทบทนรอคอยช่วงเวลานั้นเอาไว้ไม่ไหวเสียจนอยากกระโจนลงไปหาเขา ณ วินาทีนั้น

    ดวงตาของเธอจับจ้องมองดูภาพความล่มสลายราวกับวันโลกาวินาศที่เบื้องล่าง เนื้อตัวของเธอสั่นระริกซึ่งหาได้มาจากความหวาดกลัวหรือสำนึกเสียใจในสิ่งที่เกิด เอริสุคิดว่าตัวเองอาจจะสูญเสียจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ไปแล้วจริงๆ ก็ได้ เมื่อสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกคือความปีติ

    นรกของเธอกำลังมอดไหม้ และอีกไม่ช้ามันจะเลือนลับหายไปแม้แต่ในความทรงจำของเธอตลอดกาล

    เสียงหัวเราะในลำคอของไทโชและรอยยิ้มที่ผุดพรายขึ้นแสดงถึงความพึงพอใจไม่ได้ต่างกัน เขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวท่าทางใสซื่อที่มาจากสลัมจะกล้าขอให้ทำลายล้างหมดทั้งชุมชน แค่เพราะความโกรธแค้นที่มีต่อคนๆ เดียว และมองดูภาพหายนะนั้นด้วยความสุขสันต์

    เธอมีคุณสมบัติของการเป็นคน...ผู้หญิง...ของชินระอย่างครบถ้วน

     











    2024年04月11日
    _______________
    ★ เพอร์เพิ่ลคันไซอีดิชั่นก็ยังอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือกูทำรีเบิร์ธอีดิชั่นนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการฉลองให้ตัวกูเองนี่แหละที่มีตังค์ซื้อเกมมาเล่นหลังจากหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่เฝ้ารอคอยแล้วเจ้าข้า! (รอยน้ำตา) เพราะอย่างที่เคยบอกไปแล้วว่ายังไงก็จะแปลงเรื่องนี้ให้นาสุที่เคยเลือกคลาวด์ตอนเล่นสแมช (สี่ปีแล้วมั้งนิ) และตอนเล่นเดโมที่กูบอกว่าเห็นคลาวด์ละนาสุสัสๆ เซฟิรอธก็อุกิโชเหี้ยๆ ส่วนไทโชตอนถ่ายแมกอะไรก็ลุคประธานนอนมา ที่สุดในวง กูบอกเลยว่าเวอร์บชนอันนี้คือเป๊ะจริงทุกคน ไม่จกตา ยิ่งกว่าเวอร์ทราวิสกับคันไซ ในฐานะคอไฟนอล กูรู้ กูเห็น ใครไม่เห็นก็ตามใจ จะมารู้ดีอะไรกว่ากูจ้าาา อนึ่ง ฉบับนี้มีการแก้เกลาภาษาเล็กน้อย ลดคำเวิ่นเว้อบ้างนิดหน่อย แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิมหมด ไม่มีเพิ่มเพราะสตอรี่สมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ใช่มึงที่ตัดทิ้งเอาๆ แดกได้ก็เท แดกไม่ได้ก็เททิ้ง (เสียงน้าค่อม)
    ★ รวดเลยเปลี่ยนนางเอกใหม่เพราะอันนั้นคือเพอร์เพิ่ลล้วน พอเห็นดาฮยอนชุดนี้ก็เอ้ย คล้ายชุดของแอริธเลยนี่ สียังใช่ ก็เลยได้มาเป็นนางเอกให้นาสุไทเรื่องที่แสนล้านแปด เพราะชั้นรักของชั้น นามสกุลซากาโมโตะลักมาจากคุณมาอายะที่พากย์เป็นแอริธ ส่วนชื่อก็เอามาจากแอริธที่คันจิคือ エアリス เวอร์เดิมใช้อาริสุแบบบตัดเอะไปละ งั้นรอบนี้ตัดอะเป็นเอริสุ เป็นไงร่ะ ความปราดเปรื่องของกูเอง แต่ถ้าจะถามว่าทำไมหมกมุ่นกับแอริธนักทั้งที่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เอาต้นแบบมาสักหน่อย กูก็คงตอบได้แค่ว่า เพราะเค้าคือเบบี้เกิร์ลของกูเอง สวัสดีงับ TvT / ส่วนคำอธิบายอื่นๆ ในเกมกูไม่เขียนละนะ ไปหาอ่านจากทอล์คในคันไซอีดิชั่นเอาถ้าจำไม่ได้นิ / ส่วนเวอร์นี้เทิร์กส์ที่เอริสุไปหาก็นึกภาพเป็นเจสสี้ไรไปนะ เพราะถ้าให้เลือกคนหน้าตาน่ากลัวในวงก็มีแค่เมนกูนี่แหละ (ท่าเดินก็น่ากลัวมากเพราะบุคลิกเค้าแย่มากจริงค่ะพี่สาว เจ็บหัวเหม่ด) ส่วนผมแดงตัวเล็กถือว่าเนียนกับพี่ฟูจิอิได้อยู่ ที่แปลว่าได้อยู่ / ที่จริงพล็อตของฝั่งเซฟิรอธเรื่องนั้นน่ะกูก็คิดออกหมดแล้วนะ บอกเลยว่าคนอย่างกูมีพล็อตจากไฟนอลทุกภาค(ที่เล่น)เยอะแยะมากมาย ใจมันไปหมด แต่มือไม้มันไม่ไป ตีมือตัวเองเรย เผียะๆ มั่นใจว่าถ้าเล่นภาครีเบิร์ธก็น่าจะได้พล็อตมาอีกแหละ (มั้ง) แต่บอกเลยว่าเอริสุคือนางเอกของประธาน for real จ้าา ว่าไปครึ่งหลังแม่งเว่อร์ดี อ่านกี่ทีกูก็ว่าตอแหลดี (แต่ลบไม่ได้ เพราะมันคือเป้าหมายของฟิคเรื่องนี้จร้า แดเซ >_<) เอาจริงขอเจอด้วยเรื่องกิ๊กก๊อกแค่นี้ระดับประธานไม่ให้เข้าพบหรอก แต่ที่แน่ๆ เลยคือประธานไม่มีทางแส้บกับพนักงานระดับล่างแบบนี้ด้วยหรอกนอกจากในนิยายโรแมนซ์...และนิยายกูมึงนี่แหละ สวัสดีงับ TvT
    ★ เวอร์ชั่นนี้เปลี่ยนไปใช้เพลงประกอบจากเกมเพื่อความอิน เพลงมิดไนท์ฯมาจากฉากที่คลาวด์กับแอริธเดินไปด้วยกันตรงทางถล่มก่อนไปถึงสลัมเซกเตอร์ 6 น่าจะตรงก่อนที่จะไปถึงสนามเด็กเล่นกับวอลล์มาร์เก็ต มั้งนะ กูก็จำไม่ค่อยได้ละ เล่นนานมากจนลืม -_- แต่จำได้ว่าตอนเล่นเกมก็ชอบเพลงนี้มาก ไปเสิร์ชมาเค้าว่าคนแต่งได้แรงบันดาลใจมาจากตอนเดินในเมือง(หมายถึงญี่ปุ่น)ช่วงคริสต์มาสว่ะ เพราะงั้นก็ต้องมาว่ะ กูขึ้นเรือคู่นี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเชียร์ทีฟาเลยสักครั้ง ยังไงกูก็จะไม่สละ (แต่ในฟิคนี้ต้องสละ 55555) / ส่วนเพลงฮอลโลว์คือเพลงตีมของภาครีเมค ที่กูตกใจเมิ่กตอนไปอ่านเนื้อเพลงแล้วแอบเหมือนพล็อตฟิคกู! แถมเพลงนี้เค้าบอกว่าแต่งจากมุมมองของคลาวด์ที่สูญเสียสิ่งสำคัญของตัวเองไป! เรื่องนี้ก็ไปหมดเลย! ทั้งบ้าน! ทั้งเมีย! เว้ยเห้ย!
    ★ กูก็จะทิ้งท้ายเหมือนเดิมว่า รำคาญพวกแอวะแลนช์มากกกๆๆๆๆๆ ตอนเล่นภาครีเมคกูนะแม่งรำคาญสัสๆ ยิ่งตอนแบร์เร็ตพูดนี่กูนั่งเบะปากแคะหูเหมือนสติกเกอร์มูน ต่อให้ประธานไม่หล่อไม่ผัวกูก็จะอยู่ฝั่งชินระโว้ยยยยยย! เห้อออออ ทุนนิยมนี่มันเหี้ยจริงๆ คนับ >_< 
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×