ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HUNT วิกลคลั่งสั่งรัก l Creepypasta SET

    ลำดับตอนที่ #4 : HUNT03 l สั่งรักครั้งที่3 ตอน คนแปลกหน้า {อัพ100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.36K
      248
      7 ก.ค. 61

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *


    EP03

    เวลาต่อมา...

    (ทางสวนสนุก Dream Land ต้องขออภัยในความไม่สะดวก เรื่องที่ไฟฟ้าขัดข้องไปกว่าสิบนาทีด้วยนะครับ ทางสนุกยินดีจะรับผิดชอบทุกท่านจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าว โดยจัดมื้ออาหารสุดพิเศษไว้ที่ห้องศูนย์อาหารสำหรับทุกท่านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆครับ...)

    หลังจากที่เกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้อง จนทั้งทุกสิ่งหยุดชะงักไป ฉันก็ถูกพาตัวส่งหอพยาบาลใกล้จุดประชาสัมพันธ์โดยทันที ด้วยฝีมือของโจนาธาน เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ ใครอีกคนที่บุกเข้ามาในบ้านผีสิงได้ทันท่วงทีและช่วงชิงริมฝีปากฉันไปอย่างฉวยโอกาส ได้หลบหนีออกไปหลังจากที่ริมฝีปากเราผละออกจากกันแล้วยังไงล่ะ

    แถมการจากไปของเขาก็มาพร้อมแสงไฟที่ขาดหายไปรวมกว่าสิบนาที ที่เหลือทิ้งไว้และยืนยันว่าเขาปรากฏตัวเข้าช่วยเหลือฉันในเวลานั้นจริง ก็คงเป็นสีจากสารลิปสติกสีดำซึ่งยังเปรอะอยู่บนผิวปากเท่านั้น

    ไม่ต่างอะไรจากการทิ้งรองเท้าแก้วของซินเดอเรล่าเลยนะ ว่างั้นไหม?

    เธอโอเคขึ้นหรือยัง?ฉันสะดุ้งนิดหน่อย เมื่อจู่ๆ โจนาธานถามขึ้น ก่อนให้คำตอบเขากลับไป

    อืม ดีขึ้นแล้ว

    ให้ตายสิ ไฟดับแป๊บเดียว เธอดันเป็นลมนอนอยู่บนพื้นซะได้ ฉันตกใจหมดเลยรู้ป่ะ?และดูเหมือนว่า เขาจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านผีสิงตอนช่วงที่ไฟดับเลยแม้แต่น้อย

    กึก...

    ขอโทษนะครับ คุณลูกค้า...แต่แล้ว โจนาธานก็ไม่มีโอกาสได้บ่นต่อ เมื่อใครอีกคนพรวดพราดกล่าวขึ้นขัดบทสนทนาของเราทั้งคู่ลงเสียก่อน ข้อมูลที่คุณลูกค้าสอบถามเมื่อครู่นี้ ทางเราไม่สามารถบอกประวัติบุคคลให้คุณลูกค้ารู้ได้จริงๆ ครับ

    หมายถึงอะไรครับ? ใครถามประวัติอะไรใคร ผมงง?โจนาธานแทรกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ นั่นจึงทำให้บุคลากรซึ่งกำลังบอกกล่าว เปลี่ยนเป้าหมายไปทางเขาแทน

    คือตอนที่คุณพาคุณผู้หญิงมาที่นี่น่ะครับ เธอได้สอบถามกับทางเราว่าคนที่อยู่ในชุดมาสคอสตัวตลกที่มีชื่อประจำสวนสนุกของเราเป็นใคร…”

    เธอถามหมอนี่แบบนี้จริงๆ อ่ะเหรอ?อีกครั้งที่โจนาธานขัดแบบไม่รอให้ชายอีกคนพูดจบด้วยซ้ำ ส่วนฉันก็ทำแค่พยักหน้าส่งๆ ตอบกลับไป

    “WHAT!?” แน่นอนว่าโจนาธานไม่มีทางเข้าใจ ว่าฉันทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร...

    อย่างที่ชายคนนี้ว่า ฉันถามเขา เรื่องคนที่อยู่ในชุดมาสคอสตัวตลกเจ้าของฉายา เทวดาตัวตลก ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะ ว่าไอ้ที่ถามไปนั้นคงไม่ได้คำตอบ เพราะถ้าหากฉันได้คำตอบ ข่าวลือที่พูดถึงพรวิเศษหรือการพบตัวเขาแล้วได้ยินเสียง คงไม่เกิดขึ้นจนโด่งดังไปทั่วเมืองขนาดนี้

    ต่อให้ฉันไม่ได้รับคำตอบ แต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ภาพของตัวตลกที่ฉันเกลียดนักเกลียดหนากำลังบรรจงถอดวิกผมและจมูกทรงกรวยออกไป มันทำให้ฉันนึกถึงใครคนหนึ่งอยู่ดี...

    ยังไงทางเราต้องขออภัยกับเหตุขัดข้องที่เกิดด้วยนะครับ...ระหว่างในหัวกำลังทบทวนภาพเหตุการณ์ตอนนั้น หูยังคงได้ยินเสียงพนักงานสวนสนุกกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด สลับกับเสียงของโจนาธาน

    ว่าแต่...ทำไมจู่ๆ ไฟถึงดับได้ล่ะครับ ลืมจ่ายค่าไฟ, Right?

    เปล่าครับ ไม่ทราบว่าใครไปโดนสวิตซ์ ON ควบคุมไฟฟ้าให้ปิดลง ทั้งที่ปกติแล้วห้องควบคุมจะมีคนดูแลอยู่ตลอด...ยังไง ทางสวนสนุกต้องขอโทษกับเหตุขัดข้องไม่คาดฝันครั้งนี้ด้วยนะครับ

    แปลว่าเหตุขัดข้องก่อนหน้านี้ เพราะมีคนเผลอไปปิดสวิตซ์ควบคุมไฟฟ้างั้นเหรอ...

    ครับไม่เป็นไร ยังไงซะ ก็ช่วยรอบคอบกว่านี้หน่อย ดีนะที่แฟนผมไม่ช็อกหมดสติไปก่อน....ไม่งั้นพวกคุณลำบากแน่...โจนาธานเป็นห่วงฉัน ฉันรู้สึกได้ แต่ในทางกลับกันคำขอโทษของพนักงานสวนสนุกมันก็มากพอแล้วสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

    พอเถอะน่าโจ...ดังนั้นฉันจึงกล่าวแทรกเสียงต่อว่าของเขาพลางลุกขึ้นและเตรียมตัวที่จะพาตัวเองออกไปจากขุมนรกแห่งนี้ ฉันอยากกลับแล้ว

    ฉันไม่ได้บอกโจนาธานอย่างเดียว แต่เลือกที่จะเดินนำออกจากจุดพักพยาบาลมาก่อน แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเลือก นอกจากวิ่งตามออกมาแบบติดๆ

    ตึก! ตึก! ตึก!

    เฮ้แฟน! รอด้วยเขาเรียกฉันขณะจ้ำเท้าพาตัวเองมาเดินขนาบข้าง แต่เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาไม่ได้ให้ความสนใจกับตัวเองนัก โจนาธานจึงถามขึ้นอีก เราจะไปไหนกันต่อดีล่ะ?

    คำถามของเขา ทำฉันเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย และเมื่อพบว่าเขากำลังมองกลับมา คำตอบแสนเรียบง่ายจึงถูกพ่นกลับไป

    ฉันอยากกลับไปพักที่ห้อง

    “WHAT!? ดะ เดี๋ยวสิ! นี่มันวันเดทสำหรับคู่รักนะ…”

    นายก็กลับไปที่พักของตัวเองได้แล้วฉันขัด

    แต่นี่ฉันตั้งใจบินมาหาเธอนะ...และเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มพูด ฉันก็จะทำมันอีกด้วยเสียงที่หนักแน่นกว่าเคย

    ฉันอยากพัก โจนาธานสุดท้ายเขาก็เถียงหรือหาข้อโต้แย้งอื่นเพื่อเปลี่ยนใจไม่ได้ และจำยอมทำตามในที่สุด

    โอเค ถ้าเธออยากพัก ก็พัก...โจนาธานยกมือสองข้างขึ้นระดับอก บอกถึงการยอมรับสภาพและยอมจำนนต่อสิ่งที่ฉันต้องการโดยไม่ลืมแสดงความเป็นห่วงผ่านคำพูดท้ายประโยค แต่ถ้ามีเรื่องหรือต้องการอะไร โทรหาฉันด้วยตกลงไหม?

    อืมสิ้นเสียงตอบรับบนใบหน้าคมคายของคนที่ถูกขัดใจก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ อย่างโล่งอกให้เห็น และมันก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่ถือวิสาสะใช้แขนคล้องโอบรอบคอฉันไว้และพากันเดินตรงไปยังทางออกของสวนสนุกโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก

    รู้ตัวดีว่าฉันเอาแต่ใจแค่ไหน ซึ่งฉันก็จะเป็นแบบนี้ต่อไปและคงไม่คิดจะเปลี่ยนมัน เหมือนกับที่โจนาธานรู้ตัวดี ว่าความรู้สึกที่เขามีให้ มันไม่ได้ส่งผ่านมาถึงฉันมากเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะเรื่องเลวร้ายในอดีตที่ทำให้ฉันต้องมีสภาพและสถานะเป็นคนบ้ามาตลอดหลายปีล่ะมั้ง กล่องความรู้สึกทางกาย มันถึงได้พังยับเยินจนไม่สามารถรับเปิดรับความรู้สึกใดให้เข้ามาได้มากเท่าเหมือนเมื่อก่อน...

    ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกทุกอย่างได้เฉกเช่นคนปกติ ยังคงมีความรู้สึกและสามารถรับรู้ทุกความหวังดี ความห่วงใยที่โจนาธานมีให้ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน และรู้ดีว่าเขาคงเสียความรู้สึกแค่ไหนที่ถูกปฏิเสธที่จะไปต่อด้วยกันวันนี้

    เพราะไม่ค่อยเปิดรับความรู้สึกของใคร ดังนั้นฉันจึงเชื่อความคิดและความรู้สึกตัวเองมากกว่าอะไร จนคล้ายกับคนเอาแต่ใจ แต่เปล่าเลย ถ้าต้องเปลี่ยน ยินยอม หรือทำตามความคิดคนอื่น สู้ฉันทำตามเสียงเรียกและความคิดตัวเองมันน่าจะดีกว่า...

    จำได้ว่า เมื่อก่อนฉันเป็นพวกขี้เหงา ขาดสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ทำให้ทุกช่วงเวลาชีวิตฉันมักต้องเห็นแขหรือใครๆ อยู่ในสายตาเสมอ หากแต่เวลานี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ฉันไม่ได้โหยหาหรือต้องการใครเข้ามาเติมเต็มในชีวิต 

    แค่มีตัวฉันกับลมหายใจบนโลกเน่าๆ ใบนี้มันก็น่าจะพอแล้ว...

    ในเมื่อโลกสอนให้รู้ว่า ไม่มีใครหรืออะไรน่าเชื่อถือได้มากเท่ากับตัวของเราเอง ดังนั้นหากฉันจะคิดแบบนี้ มันคงไม่ฟังดูเห็นแก่ตัวเกินไปใช่ไหม?

    เมื่อก่อนฉันชอบเสียงหัวและการสังสรรค์ หากแต่ปัจจุบันฉันชอบที่จะจมอยู่กับความเงียบภายในกล่องสีเหลี่ยมแคบๆ ไร้ผู้คน การนั่งชันเข่า จ้องมองผนังกำแพงว่างเปล่านิ่งๆ โดยปล่อยเวลาให้เดินผ่านไป มันทำให้ฉันรู้สึกสงบได้มากกว่าที่เคยเป็น

    ความคิดเหมือนถูกความว่างเปล่าพาให้ล่องลอยออกไปในที่ที่แสนไกล ที่ที่ไม่มีผู้คนหรือเสียงพูดคุยน่ารำคาญใจ ที่ที่มีแค่ฉันและความเงียบโอบล้อมกาย และทั้งหมดนั่นคือช่วงเวลาที่ฉันสัมผัสได้ถึงความสุข

    HA HA HA...ที่ที่ฉันสามารถปล่อยเสียงหัวเราะออกมาได้อย่างไม่รู้สึกผิด ไม่ต่างจากช่วงเวลาที่ถูกจับสวมเสื้อเกราะของผู้ป่วยสำหรับล็อกแขนเพื่อกันการดิ้นหรือแสดงอาการคลุ้มคลั่งในห้องพักคนป่วยเลยสักนิด

    อีกทั้งการมองจ้องผนังในลักษณะนี้ มันก็ทำให้วันและเวลารอบกายหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับโกหก ซ้ำในช่วงเวลาดังกล่าวฉันยังรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในวันเก่าๆ จนมองเห็นภาพเหตุการณ์และได้ยินเสียงพูดคุยคนผู้คนได้ด้วยเช่นกัน

    ผลการสแกนสมอง ดูเหมือนว่าความคิดและความทรงจำบางส่วนของเธอจะหายไปค่ะ... ไม่ว่าจะเสียงพยาบาลหรือหมอซึ่งกำลังสนทนากันเรื่องผลการตรวจด้วยภาษาอื่น

    เธอคงช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ความทรงจำบางส่วนในช่วงเวลานั้นหายไป เดี๋ยวเราค่อยๆ ฟื้นฟู เยียวยาสภาพจิตใจเธอทีละนิด หมอเชื่อว่า Ms. Sirimarin จะดีขึ้น’ รวมถึงความหวังว่าฉันจะหายขาดจากอาการทางจิตควบคู่ที่เป็นอยู่...

    เวลา 18.20 นาฬิกา...

    หลังจากแยกกับโจนาธานที่หน้าทางเข้าสวนสนุก ภาพความทรงจำในช่วงเวลาแยกย้ายกันกลับก็ขาดช่วงไป ฉันไม่ได้จำหรอกว่าตัวเองกลับมาที่พักด้วยวิธีไหน รู้อีกทีฉันก็กำลังนั่งชันเข่า หัวเราะอยู่บริเวณมุมหนึ่งภายในห้องพัก โดยมีผนังห้องเก่าๆ เป็นเพื่อนข้างกายเสียแล้ว

    ปี๊บ! ปี๊บ!

    ทว่า ไม่นานเสียงหัวเราะที่ดังลอดผ่านก็ถูกทำให้หยุดด้วยด้วยเสียงแจ้งเตือนข้อความสมาร์ทโฟน  นั่นเลยทำให้ฉันจำต้องตะเกียกตะกายเอื้อมมือคว้าสายกระเป๋าสะพายมาไว้ที่ตัว ก่อนจัดการหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมา ก่อนพบว่าคนที่ส่งข้อความมาหานั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นแข

    แข : 2 ทุ่มวันนี้มีปาร์ตี้วันเกิดฉันที่ร้าน OCC มาด้วยกันนะ เดี๋ยวไปรับ

    หลังอ่านข้อความจบ สายตาก็เลื่อนขึ้นยังมุมซ้ายของหน้าจอเพื่อดูเวลา ก่อนพบว่าเวลาตอนนี้คือหกโมงเย็นนิดๆ แน่นอนว่า ฉันไม่ได้ตอบข้อความแขกลับไปทันที แต่เลือกลุกจากพื้น วางโทรศัพท์ลงบนเตียง แล้วพาตัวเองตรงไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการล้างหน้าล้างตาให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง

    มันเหมือนอาการหลอนที่คล้ายคลึงกับภาพความฝัน ฉันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่จมอยู่กับความเงียบและการมองผนังกำแพง เลยคิดว่าหากได้ล้างสักหน่อย บางทีฉันอาจจะหลุดจากวังวนว่างเปล่าที่ช่วยเร่งวันเร่งคืนลงได้บ้าง ทว่า ขณะกำลังจัดแจงเปิดก๊อกน้ำเพื่อเตรียมล้างหน้าล้างตา จู่ๆ ประตูห้องก็มีเสียงเคาะดังขึ้น พลอยให้การล้างหน้ามีอันต้องชะงักไป

    ฉันรีบเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังประตูห้อง โดยแอบคิดว่าผู้ที่มาเยือนถึงหน้าห้องวันนี้อาจเป็นแขที่ส่งข้อความมา แต่แล้ววินาทีที่ประตูห้องเปิดออก สิ่งที่คาดเดากลับผิดไปหมด

    เมื่อบุคคลที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูห้องไม่ใช่แขอย่างที่คิด หากแต่เป็นคนแปลกหน้าที่ชื่อจ๋า

    ไง...คำทักทายของชายตัวสูงหน้าห้องไม่ได้ทำให้ฉันเปิดปากทักทายอะไรกลับไป นั่นเลยทำให้เขาพูดขึ้นเองอีกครั้ง พี่ได้ข่าวว่า วันนี้ที่สวนสนุกไฟดับเหรอ??

    อืม...ฉันตอบพี่จ๋าเพียงเท่านั้น โดยใช้เวลาที่มีกวาดสายตาสำรวจไปตามดวงหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนสะดุดเข้ากับคราบอะไรบางอย่าง

    งั้นเหรอ แล้วเราเป็นยังไงบ้างคะ พอดีพี่ก็พักอยู่ที่นี่เหมือนกัน เป็นห่วงก็เลยแวะขึ้นมาถามดู…” ด้วยเหตุนั้นฉันจึงไม่ได้รอฟังเขาพูดจนจบ แต่เลือกที่จะถือวิสาสะเอื้อมแขนและใช้นิ้วหัวแม่มือบรรจงเช็ดคราบบางอย่างบนใบหน้าคนเบื้องหน้าออกให้ พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่บอกเหตุผล

    นายเช็ดเมคอัพบนหน้าออกไม่หมดน่ะ...คนถูกกระทำดูตกใจนิดหน่อยหลังได้ยินแบบนั้น แต่เขาก็แสดงอาการตกใจผ่านทางสายตาเพียงเท่านั้น ฉันจึงถือโอกาสใช้ช่วงเวลาเดียวกันตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้ วันนี้ ฉันเกือบตายอยู่ในบ้านผีสิงตอนที่ไฟดับ แต่มีคนเข้ามาช่วยได้ทัน...

    ขณะพูดฉันไม่ได้มองหน้าเขาหรอก แต่เลือกจะมองเมคอัพสีขาวซึ่งติดอยู่บนนิ้วโป้งของตัวเอง ก่อนตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดเสริมเป็นหนสุดท้าย

    ซึ่งฉันคิดว่าคนที่เข้ามาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ในตอนนั้นคือเขา...

    ขอบคุณมากนะ ที่เขามาช่วยไว้ไม่พูดเปล่า แต่ฉันยังช้อนตามองหน้าเขาอีกครั้งเพื่อดูท่าที

    พี่จ๋าแสดงอาการตกใจผ่านทางแววตา แต่ก็แค่นั้น เพราะเมื่อเราได้สบตากันตรงๆ แววตาดังกล่าวก็เปลี่ยนไป

    รู้ด้วยเหรอคะ ว่าเป็นพี่?เขาไม่ปฏิเสธเรื่องที่ถูกจับได้ แต่เลือกจะย้อนและชื่นชมฉันแบบไม่คิดจะปกปิดอะไร เก่งจังเลยนะ…”

    และคงเพราะฉันไม่พูดอะไรหลังจากคำชมสิ้นสุดลงล่ะมั้ง พี่จ๋าก็เลยกล่าวขึ้นเองอีกครั้ง

    ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำแบบนั้นตอนช่วงชุลมุน...คาดว่าเขาคงจะหมายถึงเรื่องจูบ มิหนำซ้ำนอกเหนือจากคำขอโทษที่เขาให้มาแล้ว ยังตามมาด้วยเหตุผล ตอนนั้นพี่ห้ามใจไม่อยู่จริงๆ

    เหตุผลที่ค่อนข้างงี่เง่าและฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่...

    แต่อย่างไรเสีย ฉันก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ว่าเหตุผลที่เขาทำแบบนั้นมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ในเมื่อผู้ชายน่ะ มันก็มีความมักมากในตัวไม่ต่างกันสักถูกไหม? อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือการที่เขายอมรับว่าตัวเองคือตัวตลกในชุดมาสคอสน่ากลัวนั่นต่างหาก

    ทำมานานแล้วเหรอ งานที่สวนสนุกน่ะ?พี่จ๋าดูแปลกในนิดหน่อยเมื่อเห็นฉันถามถึงสิ่งที่ฉีกไปจากเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่ แต่ก็ครู่เดี๋ยว เขาก็ใช้นิ้วชี้เกาปลายคางตัวเองขณะทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเล็กน้อย

    และภาพที่เขาแสดงทีท่าเช่นนั้น มันก็ทำให้เกิดปรากฏการแฟล็ตแบล็กขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ภาพที่จู่โจมเข้ามาในความคิด คือเสี้ยวหน้าช่วงล่างของชายคนหนึ่งที่ฉันคับคล้ายคับคลาว่าจะรู้จัก แถมชายคนดังกล่าวยังแสดงท่าทางที่ไม่ต่างไปจากพี่จ๋าเลยสักนิด

    5 ปีแล้วค่ะหากแต่ภาพดังกล่าวก็ไม่อาจฉากอยู่ในห้วงความคิดได้นานนัก เมื่อหูได้ยินคำตอบจากชายหนุ่มเบื้องในช่วงเวลาปัจจุบัน

    ฉันกระพริบตาหนึ่งทีแทนการไล่ภาพหลอนในหัวให้หายไปโดยสนิท และพบว่าพี่จ๋าเวลานี้ได้เปลี่ยนท่าทางมายืนกอดอก ซ้ำยังทำหน้าแปลกใจขณะถามราวกับเป็นห่วง

    เป็นอะไรไปคะ?

    เปล่าฉันตอบเขาและตอบเพียงเท่านั้นก่อนเปลี่ยนเรื่อง นานพอดูเลยนะ กับฐานะของเทวดาประจำเมืองเนี่ย

    ซึ่งการเปลี่ยนเรื่องในหนนี้ก็ได้ผลออกมาน่าพอใจ เมื่อคนฟังขยับยิ้มเคอะเขิน พลางยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองเล็กน้อยราวกับจะช่วยลดอาการหลังคำชมลง

    ก็นาน...และพูดบางอย่างขึ้นด้วยเสียงติดตลก คำว่าเทวดามันฟังดูไม่เข้ากับคนเคยต้องโทษคดีเลยว่าไหม?

    ไม่นี่...แม้จะไม่ค่อยอินกับผู้คนหรือสิ่งรอบกาย แต่ฉันก็รู้วิธีพูดให้กำลังใจคนเป็นเหมือนกันนะ “It’s so cool (มันก็เจ๋งดี) แต่...

    เพราะหลังจากให้กำลังใจแล้ว ความยินที่อีกฝ่ายได้ไปก็จะถูกทำลายลงด้วยฉันเองอีกครั้งยังไงล่ะ

    ฉันเกลียดสิ่งที่นายเป็นรอยยิ้มเล็กบนใบหน้าคมคายออกแนวดุดันของคนตัวใหญ่หุบลงแทบจะตอนนั้น กลับกันดันเป็นฉันเองที่หลุดยิ้มแสดงความพึงพอใจต่อสิ่งที่พูด แต่เมื่อเริ่มรู้สึกถึงความไม่พอใจที่คนฟังมี ฉันก็จะพูดมันออกไปอีก ฉันเป็นโรคกลัวตัวตลกน่ะ ขอโทษด้วยนะที่ต้องพูดแบบนี้

    ตบหัวแล้วลูบหลัง มันก็คงประมาณนี้ล่ะมั้ง...

    อะ อ้อ งั้นเหรอ...เขาพึมพำแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ และฉันยังรับรู้ถึงความไม่ค่อยพอใจจากเขาได้อยู่เช่นเดิม ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่คนที่พยายามชวนคุย กลับกลายเป็นเขาเสียเอง นี่ก็เย็นแล้วนะ กินอะไรหรือยังคะ?

    จะเลี้ยงเหรอ?ฉันเลยจำต้องต่อบทสนทนากับเขาต่ออย่างไม่มีทางเลือก

    ถ้าอยากให้เลี้ยง ก็ได้นะ...ฉันยิ้มอย่างรู้สึกชื่นชมเรื่องการสรรหาคำพูดและข้ออ้างต่างๆ นานาสำหรับใช้เป็นเหตุในแต่ละอย่างของเขา แต่ก็แค่นั้น เพราะฉันไม่ได้ต้องการให้เขาเลี้ยงข้าวเหมือนอย่างที่ย้อนถามชดเชยเรื่องที่สวนสนุกไฟดับก็ได้…”

     “โทษทีนะ แต่คืนนี้ฉันมีนัดแล้วการกล่าวแทรกความหวังดีของคู่สนทนาจึงเกิดเป็นหนที่สองของวัน ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เขาเงียบปากของตนเองลง

    และอีกหนึ่งนิสัยที่แก้ไม่หายก็คงเป็นการชอบพูดจาแบบไม่ไว้หน้าใคร หากสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความปรารถนาที่ต้องการ นิสัยแบบนี้น่ะมันแก้ได้ แต่ก็อย่างที่บอก ฉันไม่คิดจะแก้ไขมันหรอก ในเมื่อมนุษย์บางคนเลือกที่จะทำการบางสิ่งแบบไม่ไว้หน้าคู่กรณีหรือเหยื่อที่ถูกลงมือได้ แล้วฉันที่เคยตกเป็นเหยื่อจากเรื่องราวเหล่านั้น ทำไมจะทำไม่ได้บ้างล่ะจริงไหม?

    โทษทีนะ ฉันต้องรีบแต่งตัว ไว้ค่อยคุยกันอีกครั้งที่ฉันชิงตัดบทสนทนาระหว่างเราให้จบลง พร้อมทั้งปิดประตูห้องลงทั้งๆ แบบนั้นโดยไม่ฟังคำบอกลาใดๆ ตามมารยาทที่ดี  เพราะต่อให้ฉันจะรู้ชื่อเขาแล้ว แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่างเรามันก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้าเช่นเดิมอยู่ดี

    ฉันเดินย้อนกลับไปยังเตียงนอน หยิบสมาร์ทโฟนซึ่งเปิดหน้าโปรแกรมพูดคุยค้างไว้ขึ้นมา ก่อนตัดสินใจพิมพ์ข้อความตอบคู่สนทนากลับไป

    แฟน : 2 ทุ่มเจอกันที่ร้าน OCC

    แม้ว่าความรู้สึกลึกๆ อยากใช้ช่วงเวลาที่มีในบ้านเกิดหมกตัวอยู่แต่ภายในห้องก็ตามที...

    เวลา 19.35 นาฬิกา

    หลังจากใช้เวลาจัดการกับเครื่องแต่งกายจนเสร็จ การหมุนไปรอบๆ กระจกบานใหญ่ของโต๊ะเครื่องแป้งจึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันทำ ก่อนตัดสินใจคว้ากระเป๋าสะพายใบเดิมเดินออกจากห้องพัก

    เสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่ไปงานวันนี้ เป็นชุดแบบเรียบง่าย มีเพียงเสื้อสีขาวตัวหนึ่งกับกางเกงยีนขาสั้นและรองเท้าบูทสตรีแบบมีส้น แต่เพื่อไม่ให้มันดูเรียบง่ายจนไม่สมกับไปงานวันเกิดเพื่อนสนิทที่รักมากที่สุด เสื้อคลุมหนังสือดำจึงถูกหยิบมาใช้สวมทับอีกชั้นพร้อมหมวกแก๊ปสีเดียวกัน

    ฉันพาตัวเองลงไปตามขั้นบันไดอย่างไม่รีบไม่ร้อน โดยละฝ่ามือลูบไปตามผนังตัวอาคารแทนการจับราวบันไดแบบคนทั่วๆ ไป มันเป็นความเคยชินไปแล้วกับการทำแบบนี้ขณะขึ้นลงบันได ฉันทำมันบ่อยเวลาถูกพาตัวออกจากห้องพักฟื้นผู้ป่วย จนเหมือนว่าจะเริ่มติดเป็นนิสัย

    ตึก... ตึก...

    แต่ไม่นานเสียงท้อนของฝีเท้าขณะก้าวลงบันได ก็เริ่มมีเสียงฝีเท้าอีกคู่ดังซ้อนขึ้น ก่อนปรากฏร่างสูงของชายคนหนึ่ง ที่ฉันคุ้นหน้าเขาดีกำลังวิ่งสวนขึ้นมา ทว่า

    ตึก! ตึก! ตึก!

    กึก...

    จังหวะที่เราต้องสบตากัน ชายคนที่ว่ากลับเป็นฝ่ายเบี่ยงหน้าหลบไปพร้อมสายตา ซ้ำยังหยุดเท้าลงอยู่ระหว่างขั้นบันไดระหว่างชั้น พลอยให้ช่วงเวลานั้นเหลือเพียงเสียงก้องของการย่างเท้าของฉันฝ่ายเดียวที่ยังเหลืออยู่

    ตึก... ตึก... ตึก...

    ฉันยังคงก้าวเท้าพาตัวเองลงไปตามขั้นบันได ขั้นแล้วขั้นเล่าอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันการก้าวเดินแบบไม่คิดหยุดพักนั่น มันก็ทำให้ระยะห่างระหว่างฉันกับชายแปลกหน้าคนดังกล่าวหดสั้นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งพาตัวเองมาหยุดลงที่บันไดขั้นเดียวกับชายคนดังกล่าว

    กึก...

    ฉันทำแบบนั้น แม้ว่าสายตาจะมองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจสีหน้าหรือท่าทางที่ชายคนดังกล่าวทำ หากแต่ปากกับกลับเอ่ยขึ้นราวกับต้องการชวนอีกฝ่ายคุย

    คืนนี้อากาศดีนะ ว่าไหม?ไม่มีเสียงตอบใดเล็ดลอดจากปากผู้ถูกถาม มีเพียงความเงียบที่กลืนกินเราทั้งคู่แต่เพียงเท่านั้น จนต้องเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง กระชากกระเป๋าเนี่ย ได้เงินครั้งละเท่าไหร่ล่ะ?

    ฟึ่บ!

    คราวนี้คนถูกถามแสดงปฏิกิริยาตอบรับกลับมาด้วยการสะบัดตัวหลบเล็กน้อย ก่อนตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เขาใช้มันวิ่งหลบหนีขึ้นไปตามขั้นบันไดสู่หอพักชั้นบน

    ตึก! ตึก! ตึก!

    ฉันไม่ใช่พวกชอบตามตื้อเท่าไหร่ ในเมื่อไม่ได้คำตอบสิ่งที่ทำหลังจากนั้นจึงเป็นการก้าวเท้าลงบันไดไป เพื่อพาตัวเองมุ่งสู่สถานที่นัดกับเพื่อนสาวไว้ผ่านข้อความสนทนา อีกอย่างถึงเขาจะให้คำตอบหรือไม่ อย่างไรซะ มันก็แค่คำถามทั่วไป ไม่ได้มีผลกระทบต่อความรู้สึกตรงไหน

    และใช่ ผู้ชายคนนั้นคือคนเดียวกับที่ใช้มีดจี้แล้วกระชากกระเป๋าฉันหนีไปเมื่อวาน...

    ตึก... ตึก...

    กึก..

    ทว่า เดินพ้นขั้นบันได ออกมายังถนนหน้าหอได้เท่าไหร่ เท้าที่เคยก้าวเป็นจังหวะก็ถูกทำให้หยุดลงอีกครั้งเมื่อสายตาดันเหลือบไปเจอเข้ากับใครอีกคนซึ่งกำลังยืนพิงกับผนังอาคารหอพักด้านนอกในท่ากอดอก

    พี่จ๋าเหลือบมองมาทันทีราวกับรับรู้การมา ซ้ำยังเป็นฝ่ายทักทาย

    จะไปแล้วเหรอคะ?ฉันไม่ได้ตอบเขา แต่เลือกที่จะยิ้มแล้วพยักหน้ากลับแบบส่งๆ นั่นจึงทำให้เขาเสนอขึ้น เดินทางคนเดียวตอนกลางคืนมันอันตราย ให้พี่ไปส่งไหม?

    To Be Continued...
    TALK1 ห้ามใจไม่อยู่จริงๆ พี่จ๋าบอก /////
    TALK2 ไปส่งไหมจ้ะคนดี อิอิ
    _____________________________________________________________ 

    ไม่เม้นไม่ว่าแต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา


    ll CREEPYPASTA SET ll


    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่รูปโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือกดให้กำลังใจกันข้างล่างนะเอออ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×