คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : HUNT03 l สั่งรักครั้งที่3 ตอน คนแปลกหน้า {อัพ100%}
เวลาต่อมา...
(ทางสวนสนุก
Dream Land ต้องขออภัยในความไม่สะดวก เรื่องที่ไฟฟ้าขัดข้องไปกว่าสิบนาทีด้วยนะครับ
ทางสนุกยินดีจะรับผิดชอบทุกท่านจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าว
โดยจัดมื้ออาหารสุดพิเศษไว้ที่ห้องศูนย์อาหารสำหรับทุกท่านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆครับ...)
หลังจากที่เกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้อง
จนทั้งทุกสิ่งหยุดชะงักไป ฉันก็ถูกพาตัวส่งหอพยาบาลใกล้จุดประชาสัมพันธ์โดยทันที
ด้วยฝีมือของโจนาธาน เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ
ใครอีกคนที่บุกเข้ามาในบ้านผีสิงได้ทันท่วงทีและช่วงชิงริมฝีปากฉันไปอย่างฉวยโอกาส
ได้หลบหนีออกไปหลังจากที่ริมฝีปากเราผละออกจากกันแล้วยังไงล่ะ
แถมการจากไปของเขาก็มาพร้อมแสงไฟที่ขาดหายไปรวมกว่าสิบนาที
ที่เหลือทิ้งไว้และยืนยันว่าเขาปรากฏตัวเข้าช่วยเหลือฉันในเวลานั้นจริง
ก็คงเป็นสีจากสารลิปสติกสีดำซึ่งยังเปรอะอยู่บนผิวปากเท่านั้น
ไม่ต่างอะไรจากการทิ้งรองเท้าแก้วของซินเดอเรล่าเลยนะ
ว่างั้นไหม?
“เธอโอเคขึ้นหรือยัง?”
ฉันสะดุ้งนิดหน่อย เมื่อจู่ๆ โจนาธานถามขึ้น ก่อนให้คำตอบเขากลับไป
“อืม
ดีขึ้นแล้ว”
“ให้ตายสิ
ไฟดับแป๊บเดียว เธอดันเป็นลมนอนอยู่บนพื้นซะได้ ฉันตกใจหมดเลยรู้ป่ะ?” และดูเหมือนว่า เขาจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านผีสิงตอนช่วงที่ไฟดับเลยแม้แต่น้อย
กึก...
“ขอโทษนะครับ
คุณลูกค้า...” แต่แล้ว โจนาธานก็ไม่มีโอกาสได้บ่นต่อ
เมื่อใครอีกคนพรวดพราดกล่าวขึ้นขัดบทสนทนาของเราทั้งคู่ลงเสียก่อน “ข้อมูลที่คุณลูกค้าสอบถามเมื่อครู่นี้
ทางเราไม่สามารถบอกประวัติบุคคลให้คุณลูกค้ารู้ได้จริงๆ ครับ”
“หมายถึงอะไรครับ?
ใครถามประวัติอะไรใคร ผมงง?” โจนาธานแทรกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ นั่นจึงทำให้บุคลากรซึ่งกำลังบอกกล่าว
เปลี่ยนเป้าหมายไปทางเขาแทน
“คือตอนที่คุณพาคุณผู้หญิงมาที่นี่น่ะครับ
เธอได้สอบถามกับทางเราว่าคนที่อยู่ในชุดมาสคอสตัวตลกที่มีชื่อประจำสวนสนุกของเราเป็นใคร…”
“เธอถามหมอนี่แบบนี้จริงๆ
อ่ะเหรอ?” อีกครั้งที่โจนาธานขัดแบบไม่รอให้ชายอีกคนพูดจบด้วยซ้ำ
ส่วนฉันก็ทำแค่พยักหน้าส่งๆ ตอบกลับไป
“WHAT!?” แน่นอนว่าโจนาธานไม่มีทางเข้าใจ
ว่าฉันทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร...
อย่างที่ชายคนนี้ว่า
ฉันถามเขา เรื่องคนที่อยู่ในชุดมาสคอสตัวตลกเจ้าของฉายา เทวดาตัวตลก ว่าเขาเป็นใคร
แต่ก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะ ว่าไอ้ที่ถามไปนั้นคงไม่ได้คำตอบ เพราะถ้าหากฉันได้คำตอบ
ข่าวลือที่พูดถึงพรวิเศษหรือการพบตัวเขาแล้วได้ยินเสียง คงไม่เกิดขึ้นจนโด่งดังไปทั่วเมืองขนาดนี้
ต่อให้ฉันไม่ได้รับคำตอบ
แต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ภาพของตัวตลกที่ฉันเกลียดนักเกลียดหนากำลังบรรจงถอดวิกผมและจมูกทรงกรวยออกไป
มันทำให้ฉันนึกถึงใครคนหนึ่งอยู่ดี...
“ยังไงทางเราต้องขออภัยกับเหตุขัดข้องที่เกิดด้วยนะครับ...”
ระหว่างในหัวกำลังทบทวนภาพเหตุการณ์ตอนนั้น หูยังคงได้ยินเสียงพนักงานสวนสนุกกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด
สลับกับเสียงของโจนาธาน
“ว่าแต่...ทำไมจู่ๆ
ไฟถึงดับได้ล่ะครับ ลืมจ่ายค่าไฟ, Right?”
“เปล่าครับ
ไม่ทราบว่าใครไปโดนสวิตซ์ ON ควบคุมไฟฟ้าให้ปิดลง ทั้งที่ปกติแล้วห้องควบคุมจะมีคนดูแลอยู่ตลอด...ยังไง
ทางสวนสนุกต้องขอโทษกับเหตุขัดข้องไม่คาดฝันครั้งนี้ด้วยนะครับ”
แปลว่าเหตุขัดข้องก่อนหน้านี้
เพราะมีคนเผลอไปปิดสวิตซ์ควบคุมไฟฟ้างั้นเหรอ...
“ครับไม่เป็นไร
ยังไงซะ ก็ช่วยรอบคอบกว่านี้หน่อย
ดีนะที่แฟนผมไม่ช็อกหมดสติไปก่อน....ไม่งั้นพวกคุณลำบากแน่...” โจนาธานเป็นห่วงฉัน ฉันรู้สึกได้ แต่ในทางกลับกันคำขอโทษของพนักงานสวนสนุกมันก็มากพอแล้วสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
“พอเถอะน่าโจ...”
ดังนั้นฉันจึงกล่าวแทรกเสียงต่อว่าของเขาพลางลุกขึ้นและเตรียมตัวที่จะพาตัวเองออกไปจากขุมนรกแห่งนี้
“ฉันอยากกลับแล้ว”
ฉันไม่ได้บอกโจนาธานอย่างเดียว
แต่เลือกที่จะเดินนำออกจากจุดพักพยาบาลมาก่อน แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเลือก
นอกจากวิ่งตามออกมาแบบติดๆ
ตึก! ตึก! ตึก!
“เฮ้แฟน! รอด้วย” เขาเรียกฉันขณะจ้ำเท้าพาตัวเองมาเดินขนาบข้าง
แต่เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาไม่ได้ให้ความสนใจกับตัวเองนัก โจนาธานจึงถามขึ้นอีก “เราจะไปไหนกันต่อดีล่ะ?”
คำถามของเขา
ทำฉันเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย และเมื่อพบว่าเขากำลังมองกลับมา
คำตอบแสนเรียบง่ายจึงถูกพ่นกลับไป
“ฉันอยากกลับไปพักที่ห้อง”
“WHAT!? ดะ
เดี๋ยวสิ! นี่มันวันเดทสำหรับคู่รักนะ…”
“นายก็กลับไปที่พักของตัวเองได้แล้ว”
ฉันขัด
“แต่นี่ฉันตั้งใจบินมาหาเธอนะ...”
และเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มพูด ฉันก็จะทำมันอีกด้วยเสียงที่หนักแน่นกว่าเคย
“ฉันอยากพัก โจนาธาน” สุดท้ายเขาก็เถียงหรือหาข้อโต้แย้งอื่นเพื่อเปลี่ยนใจไม่ได้ และจำยอมทำตามในที่สุด
“โอเค
ถ้าเธออยากพัก ก็พัก...” โจนาธานยกมือสองข้างขึ้นระดับอก
บอกถึงการยอมรับสภาพและยอมจำนนต่อสิ่งที่ฉันต้องการโดยไม่ลืมแสดงความเป็นห่วงผ่านคำพูดท้ายประโยค
“แต่ถ้ามีเรื่องหรือต้องการอะไร โทรหาฉันด้วยตกลงไหม?”
“อืม”
สิ้นเสียงตอบรับบนใบหน้าคมคายของคนที่ถูกขัดใจก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ
อย่างโล่งอกให้เห็น
และมันก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่ถือวิสาสะใช้แขนคล้องโอบรอบคอฉันไว้และพากันเดินตรงไปยังทางออกของสวนสนุกโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก
รู้ตัวดีว่าฉันเอาแต่ใจแค่ไหน
ซึ่งฉันก็จะเป็นแบบนี้ต่อไปและคงไม่คิดจะเปลี่ยนมัน เหมือนกับที่โจนาธานรู้ตัวดี
ว่าความรู้สึกที่เขามีให้ มันไม่ได้ส่งผ่านมาถึงฉันมากเท่าไหร่นัก
ด้วยเพราะเรื่องเลวร้ายในอดีตที่ทำให้ฉันต้องมีสภาพและสถานะเป็นคนบ้ามาตลอดหลายปีล่ะมั้ง
กล่องความรู้สึกทางกาย มันถึงได้พังยับเยินจนไม่สามารถรับเปิดรับความรู้สึกใดให้เข้ามาได้มากเท่าเหมือนเมื่อก่อน...
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกทุกอย่างได้เฉกเช่นคนปกติ ยังคงมีความรู้สึกและสามารถรับรู้ทุกความหวังดี ความห่วงใยที่โจนาธานมีให้ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน
และรู้ดีว่าเขาคงเสียความรู้สึกแค่ไหนที่ถูกปฏิเสธที่จะไปต่อด้วยกันวันนี้
เพราะไม่ค่อยเปิดรับความรู้สึกของใคร
ดังนั้นฉันจึงเชื่อความคิดและความรู้สึกตัวเองมากกว่าอะไร จนคล้ายกับคนเอาแต่ใจ
แต่เปล่าเลย ถ้าต้องเปลี่ยน ยินยอม หรือทำตามความคิดคนอื่น
สู้ฉันทำตามเสียงเรียกและความคิดตัวเองมันน่าจะดีกว่า...
จำได้ว่า เมื่อก่อนฉันเป็นพวกขี้เหงา ขาดสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ทำให้ทุกช่วงเวลาชีวิตฉันมักต้องเห็นแขหรือใครๆ อยู่ในสายตาเสมอ หากแต่เวลานี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ฉันไม่ได้โหยหาหรือต้องการใครเข้ามาเติมเต็มในชีวิต
แค่มีตัวฉันกับลมหายใจบนโลกเน่าๆ ใบนี้มันก็น่าจะพอแล้ว...
ในเมื่อโลกสอนให้รู้ว่า
ไม่มีใครหรืออะไรน่าเชื่อถือได้มากเท่ากับตัวของเราเอง ดังนั้นหากฉันจะคิดแบบนี้
มันคงไม่ฟังดูเห็นแก่ตัวเกินไปใช่ไหม?
เมื่อก่อนฉันชอบเสียงหัวและการสังสรรค์
หากแต่ปัจจุบันฉันชอบที่จะจมอยู่กับความเงียบภายในกล่องสีเหลี่ยมแคบๆ ไร้ผู้คน
การนั่งชันเข่า จ้องมองผนังกำแพงว่างเปล่านิ่งๆ โดยปล่อยเวลาให้เดินผ่านไป
มันทำให้ฉันรู้สึกสงบได้มากกว่าที่เคยเป็น
ความคิดเหมือนถูกความว่างเปล่าพาให้ล่องลอยออกไปในที่ที่แสนไกล
ที่ที่ไม่มีผู้คนหรือเสียงพูดคุยน่ารำคาญใจ ที่ที่มีแค่ฉันและความเงียบโอบล้อมกาย
และทั้งหมดนั่นคือช่วงเวลาที่ฉันสัมผัสได้ถึงความสุข
“HA HA HA...”
ที่ที่ฉันสามารถปล่อยเสียงหัวเราะออกมาได้อย่างไม่รู้สึกผิด
ไม่ต่างจากช่วงเวลาที่ถูกจับสวมเสื้อเกราะของผู้ป่วยสำหรับล็อกแขนเพื่อกันการดิ้นหรือแสดงอาการคลุ้มคลั่งในห้องพักคนป่วยเลยสักนิด
อีกทั้งการมองจ้องผนังในลักษณะนี้
มันก็ทำให้วันและเวลารอบกายหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับโกหก
ซ้ำในช่วงเวลาดังกล่าวฉันยังรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในวันเก่าๆ จนมองเห็นภาพเหตุการณ์และได้ยินเสียงพูดคุยคนผู้คนได้ด้วยเช่นกัน
‘ผลการสแกนสมอง
ดูเหมือนว่าความคิดและความทรงจำบางส่วนของเธอจะหายไปค่ะ...’ ไม่ว่าจะเสียงพยาบาลหรือหมอซึ่งกำลังสนทนากันเรื่องผลการตรวจด้วยภาษาอื่น
‘เธอคงช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ความทรงจำบางส่วนในช่วงเวลานั้นหายไป เดี๋ยวเราค่อยๆ ฟื้นฟู เยียวยาสภาพจิตใจเธอทีละนิด หมอเชื่อว่า Ms. Sirimarin จะดีขึ้น’ รวมถึงความหวังว่าฉันจะหายขาดจากอาการทางจิตควบคู่ที่เป็นอยู่...
เวลา 18.20 นาฬิกา...
หลังจากแยกกับโจนาธานที่หน้าทางเข้าสวนสนุก
ภาพความทรงจำในช่วงเวลาแยกย้ายกันกลับก็ขาดช่วงไป
ฉันไม่ได้จำหรอกว่าตัวเองกลับมาที่พักด้วยวิธีไหน รู้อีกทีฉันก็กำลังนั่งชันเข่า หัวเราะอยู่บริเวณมุมหนึ่งภายในห้องพัก
โดยมีผนังห้องเก่าๆ เป็นเพื่อนข้างกายเสียแล้ว
ปี๊บ! ปี๊บ!
ทว่า
ไม่นานเสียงหัวเราะที่ดังลอดผ่านก็ถูกทำให้หยุดด้วยด้วยเสียงแจ้งเตือนข้อความสมาร์ทโฟน
นั่นเลยทำให้ฉันจำต้องตะเกียกตะกายเอื้อมมือคว้าสายกระเป๋าสะพายมาไว้ที่ตัว
ก่อนจัดการหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมา ก่อนพบว่าคนที่ส่งข้อความมาหานั้นไม่ใช่ใคร
แต่เป็นแข
แข
: 2
ทุ่มวันนี้มีปาร์ตี้วันเกิดฉันที่ร้าน OCC มาด้วยกันนะ
เดี๋ยวไปรับ
หลังอ่านข้อความจบ
สายตาก็เลื่อนขึ้นยังมุมซ้ายของหน้าจอเพื่อดูเวลา ก่อนพบว่าเวลาตอนนี้คือหกโมงเย็นนิดๆ
แน่นอนว่า ฉันไม่ได้ตอบข้อความแขกลับไปทันที แต่เลือกลุกจากพื้น วางโทรศัพท์ลงบนเตียง
แล้วพาตัวเองตรงไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการล้างหน้าล้างตาให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง
มันเหมือนอาการหลอนที่คล้ายคลึงกับภาพความฝัน ฉันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่จมอยู่กับความเงียบและการมองผนังกำแพง เลยคิดว่าหากได้ล้างสักหน่อย บางทีฉันอาจจะหลุดจากวังวนว่างเปล่าที่ช่วยเร่งวันเร่งคืนลงได้บ้าง ทว่า ขณะกำลังจัดแจงเปิดก๊อกน้ำเพื่อเตรียมล้างหน้าล้างตา จู่ๆ ประตูห้องก็มีเสียงเคาะดังขึ้น พลอยให้การล้างหน้ามีอันต้องชะงักไป
ฉันรีบเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังประตูห้อง
โดยแอบคิดว่าผู้ที่มาเยือนถึงหน้าห้องวันนี้อาจเป็นแขที่ส่งข้อความมา
แต่แล้ววินาทีที่ประตูห้องเปิดออก สิ่งที่คาดเดากลับผิดไปหมด
เมื่อบุคคลที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูห้องไม่ใช่แขอย่างที่คิด
หากแต่เป็นคนแปลกหน้าที่ชื่อจ๋า
“ไง...”
คำทักทายของชายตัวสูงหน้าห้องไม่ได้ทำให้ฉันเปิดปากทักทายอะไรกลับไป
นั่นเลยทำให้เขาพูดขึ้นเองอีกครั้ง “พี่ได้ข่าวว่า
วันนี้ที่สวนสนุกไฟดับเหรอ??”
“อืม...”
ฉันตอบพี่จ๋าเพียงเท่านั้น
โดยใช้เวลาที่มีกวาดสายตาสำรวจไปตามดวงหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนสะดุดเข้ากับคราบอะไรบางอย่าง
“งั้นเหรอ แล้วเราเป็นยังไงบ้างคะ
พอดีพี่ก็พักอยู่ที่นี่เหมือนกัน เป็นห่วงก็เลยแวะขึ้นมาถามดู…” ด้วยเหตุนั้นฉันจึงไม่ได้รอฟังเขาพูดจนจบ
แต่เลือกที่จะถือวิสาสะเอื้อมแขนและใช้นิ้วหัวแม่มือบรรจงเช็ดคราบบางอย่างบนใบหน้าคนเบื้องหน้าออกให้
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่บอกเหตุผล
“นายเช็ดเมคอัพบนหน้าออกไม่หมดน่ะ...”
คนถูกกระทำดูตกใจนิดหน่อยหลังได้ยินแบบนั้น
แต่เขาก็แสดงอาการตกใจผ่านทางสายตาเพียงเท่านั้น
ฉันจึงถือโอกาสใช้ช่วงเวลาเดียวกันตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้ “วันนี้
ฉันเกือบตายอยู่ในบ้านผีสิงตอนที่ไฟดับ แต่มีคนเข้ามาช่วยได้ทัน...”
ขณะพูดฉันไม่ได้มองหน้าเขาหรอก แต่เลือกจะมองเมคอัพสีขาวซึ่งติดอยู่บนนิ้วโป้งของตัวเอง ก่อนตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดเสริมเป็นหนสุดท้าย
ซึ่งฉันคิดว่าคนที่เข้ามาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ในตอนนั้นคือเขา...
“ขอบคุณมากนะ
ที่เขามาช่วยไว้” ไม่พูดเปล่า
แต่ฉันยังช้อนตามองหน้าเขาอีกครั้งเพื่อดูท่าที
พี่จ๋าแสดงอาการตกใจผ่านทางแววตา
แต่ก็แค่นั้น เพราะเมื่อเราได้สบตากันตรงๆ แววตาดังกล่าวก็เปลี่ยนไป
“รู้ด้วยเหรอคะ
ว่าเป็นพี่?” เขาไม่ปฏิเสธเรื่องที่ถูกจับได้
แต่เลือกจะย้อนและชื่นชมฉันแบบไม่คิดจะปกปิดอะไร “เก่งจังเลยนะ…”
และคงเพราะฉันไม่พูดอะไรหลังจากคำชมสิ้นสุดลงล่ะมั้ง
พี่จ๋าก็เลยกล่าวขึ้นเองอีกครั้ง
“ขอโทษด้วยนะคะ
ที่ทำแบบนั้นตอนช่วงชุลมุน...” คาดว่าเขาคงจะหมายถึงเรื่องจูบ
มิหนำซ้ำนอกเหนือจากคำขอโทษที่เขาให้มาแล้ว ยังตามมาด้วยเหตุผล “ตอนนั้นพี่ห้ามใจไม่อยู่จริงๆ”
เหตุผลที่ค่อนข้างงี่เง่าและฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่...
แต่อย่างไรเสีย
ฉันก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ว่าเหตุผลที่เขาทำแบบนั้นมันเกิดขึ้นเพราะอะไร
ในเมื่อผู้ชายน่ะ มันก็มีความมักมากในตัวไม่ต่างกันสักถูกไหม?
อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือการที่เขายอมรับว่าตัวเองคือตัวตลกในชุดมาสคอสน่ากลัวนั่นต่างหาก
“ทำมานานแล้วเหรอ
งานที่สวนสนุกน่ะ?” พี่จ๋าดูแปลกในนิดหน่อยเมื่อเห็นฉันถามถึงสิ่งที่ฉีกไปจากเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่
แต่ก็ครู่เดี๋ยว เขาก็ใช้นิ้วชี้เกาปลายคางตัวเองขณะทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเล็กน้อย
และภาพที่เขาแสดงทีท่าเช่นนั้น
มันก็ทำให้เกิดปรากฏการแฟล็ตแบล็กขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว
ภาพที่จู่โจมเข้ามาในความคิด
คือเสี้ยวหน้าช่วงล่างของชายคนหนึ่งที่ฉันคับคล้ายคับคลาว่าจะรู้จัก
แถมชายคนดังกล่าวยังแสดงท่าทางที่ไม่ต่างไปจากพี่จ๋าเลยสักนิด
“5
ปีแล้วค่ะ” หากแต่ภาพดังกล่าวก็ไม่อาจฉากอยู่ในห้วงความคิดได้นานนัก
เมื่อหูได้ยินคำตอบจากชายหนุ่มเบื้องในช่วงเวลาปัจจุบัน
ฉันกระพริบตาหนึ่งทีแทนการไล่ภาพหลอนในหัวให้หายไปโดยสนิท
และพบว่าพี่จ๋าเวลานี้ได้เปลี่ยนท่าทางมายืนกอดอก ซ้ำยังทำหน้าแปลกใจขณะถามราวกับเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปคะ?”
“เปล่า”
ฉันตอบเขาและตอบเพียงเท่านั้นก่อนเปลี่ยนเรื่อง “นานพอดูเลยนะ กับฐานะของเทวดาประจำเมืองเนี่ย”
ซึ่งการเปลี่ยนเรื่องในหนนี้ก็ได้ผลออกมาน่าพอใจ
เมื่อคนฟังขยับยิ้มเคอะเขิน พลางยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองเล็กน้อยราวกับจะช่วยลดอาการหลังคำชมลง
“ก็นาน...”
และพูดบางอย่างขึ้นด้วยเสียงติดตลก “คำว่าเทวดามันฟังดูไม่เข้ากับคนเคยต้องโทษคดีเลยว่าไหม?”
“ไม่นี่...”
แม้จะไม่ค่อยอินกับผู้คนหรือสิ่งรอบกาย
แต่ฉันก็รู้วิธีพูดให้กำลังใจคนเป็นเหมือนกันนะ “It’s so cool (มันก็เจ๋งดี) แต่...”
เพราะหลังจากให้กำลังใจแล้ว
ความยินที่อีกฝ่ายได้ไปก็จะถูกทำลายลงด้วยฉันเองอีกครั้งยังไงล่ะ
“ฉันเกลียดสิ่งที่นายเป็น”
รอยยิ้มเล็กบนใบหน้าคมคายออกแนวดุดันของคนตัวใหญ่หุบลงแทบจะตอนนั้น
กลับกันดันเป็นฉันเองที่หลุดยิ้มแสดงความพึงพอใจต่อสิ่งที่พูด แต่เมื่อเริ่มรู้สึกถึงความไม่พอใจที่คนฟังมี
ฉันก็จะพูดมันออกไปอีก “ฉันเป็นโรคกลัวตัวตลกน่ะ ขอโทษด้วยนะที่ต้องพูดแบบนี้”
ตบหัวแล้วลูบหลัง
มันก็คงประมาณนี้ล่ะมั้ง...
“อะ อ้อ
งั้นเหรอ...” เขาพึมพำแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่
และฉันยังรับรู้ถึงความไม่ค่อยพอใจจากเขาได้อยู่เช่นเดิม ทั้งที่เป็นแบบนั้น
แต่คนที่พยายามชวนคุย กลับกลายเป็นเขาเสียเอง “นี่ก็เย็นแล้วนะ
กินอะไรหรือยังคะ?”
“จะเลี้ยงเหรอ?”
ฉันเลยจำต้องต่อบทสนทนากับเขาต่ออย่างไม่มีทางเลือก
“ถ้าอยากให้เลี้ยง
ก็ได้นะ...” ฉันยิ้มอย่างรู้สึกชื่นชมเรื่องการสรรหาคำพูดและข้ออ้างต่างๆ
นานาสำหรับใช้เป็นเหตุในแต่ละอย่างของเขา แต่ก็แค่นั้น
เพราะฉันไม่ได้ต้องการให้เขาเลี้ยงข้าวเหมือนอย่างที่ย้อนถาม “ชดเชยเรื่องที่สวนสนุกไฟดับก็ได้…”
“โทษทีนะ แต่คืนนี้ฉันมีนัดแล้ว”
การกล่าวแทรกความหวังดีของคู่สนทนาจึงเกิดเป็นหนที่สองของวัน
ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เขาเงียบปากของตนเองลง
และอีกหนึ่งนิสัยที่แก้ไม่หายก็คงเป็นการชอบพูดจาแบบไม่ไว้หน้าใคร
หากสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความปรารถนาที่ต้องการ นิสัยแบบนี้น่ะมันแก้ได้
แต่ก็อย่างที่บอก ฉันไม่คิดจะแก้ไขมันหรอก ในเมื่อมนุษย์บางคนเลือกที่จะทำการบางสิ่งแบบไม่ไว้หน้าคู่กรณีหรือเหยื่อที่ถูกลงมือได้
แล้วฉันที่เคยตกเป็นเหยื่อจากเรื่องราวเหล่านั้น ทำไมจะทำไม่ได้บ้างล่ะจริงไหม?
“โทษทีนะ
ฉันต้องรีบแต่งตัว ไว้ค่อยคุยกัน” อีกครั้งที่ฉันชิงตัดบทสนทนาระหว่างเราให้จบลง
พร้อมทั้งปิดประตูห้องลงทั้งๆ แบบนั้นโดยไม่ฟังคำบอกลาใดๆ ตามมารยาทที่ดี เพราะต่อให้ฉันจะรู้ชื่อเขาแล้ว
แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่างเรามันก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้าเช่นเดิมอยู่ดี
ฉันเดินย้อนกลับไปยังเตียงนอน
หยิบสมาร์ทโฟนซึ่งเปิดหน้าโปรแกรมพูดคุยค้างไว้ขึ้นมา
ก่อนตัดสินใจพิมพ์ข้อความตอบคู่สนทนากลับไป
แฟน
: 2
ทุ่มเจอกันที่ร้าน OCC
แม้ว่าความรู้สึกลึกๆ
อยากใช้ช่วงเวลาที่มีในบ้านเกิดหมกตัวอยู่แต่ภายในห้องก็ตามที...
เวลา
19.35 นาฬิกา
หลังจากใช้เวลาจัดการกับเครื่องแต่งกายจนเสร็จ
การหมุนไปรอบๆ กระจกบานใหญ่ของโต๊ะเครื่องแป้งจึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันทำ
ก่อนตัดสินใจคว้ากระเป๋าสะพายใบเดิมเดินออกจากห้องพัก
เสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่ไปงานวันนี้
เป็นชุดแบบเรียบง่าย
มีเพียงเสื้อสีขาวตัวหนึ่งกับกางเกงยีนขาสั้นและรองเท้าบูทสตรีแบบมีส้น
แต่เพื่อไม่ให้มันดูเรียบง่ายจนไม่สมกับไปงานวันเกิดเพื่อนสนิทที่รักมากที่สุด
เสื้อคลุมหนังสือดำจึงถูกหยิบมาใช้สวมทับอีกชั้นพร้อมหมวกแก๊ปสีเดียวกัน
ฉันพาตัวเองลงไปตามขั้นบันไดอย่างไม่รีบไม่ร้อน โดยละฝ่ามือลูบไปตามผนังตัวอาคารแทนการจับราวบันไดแบบคนทั่วๆ ไป
มันเป็นความเคยชินไปแล้วกับการทำแบบนี้ขณะขึ้นลงบันได
ฉันทำมันบ่อยเวลาถูกพาตัวออกจากห้องพักฟื้นผู้ป่วย จนเหมือนว่าจะเริ่มติดเป็นนิสัย
ตึก...
ตึก...
แต่ไม่นานเสียงท้อนของฝีเท้าขณะก้าวลงบันได
ก็เริ่มมีเสียงฝีเท้าอีกคู่ดังซ้อนขึ้น ก่อนปรากฏร่างสูงของชายคนหนึ่ง
ที่ฉันคุ้นหน้าเขาดีกำลังวิ่งสวนขึ้นมา ทว่า
ตึก! ตึก! ตึก!
กึก...
จังหวะที่เราต้องสบตากัน
ชายคนที่ว่ากลับเป็นฝ่ายเบี่ยงหน้าหลบไปพร้อมสายตา
ซ้ำยังหยุดเท้าลงอยู่ระหว่างขั้นบันไดระหว่างชั้น พลอยให้ช่วงเวลานั้นเหลือเพียงเสียงก้องของการย่างเท้าของฉันฝ่ายเดียวที่ยังเหลืออยู่
ตึก...
ตึก... ตึก...
ฉันยังคงก้าวเท้าพาตัวเองลงไปตามขั้นบันได
ขั้นแล้วขั้นเล่าอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันการก้าวเดินแบบไม่คิดหยุดพักนั่น
มันก็ทำให้ระยะห่างระหว่างฉันกับชายแปลกหน้าคนดังกล่าวหดสั้นลงเรื่อยๆ จนกระทั่งพาตัวเองมาหยุดลงที่บันไดขั้นเดียวกับชายคนดังกล่าว
กึก...
ฉันทำแบบนั้น
แม้ว่าสายตาจะมองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจสีหน้าหรือท่าทางที่ชายคนดังกล่าวทำ
หากแต่ปากกับกลับเอ่ยขึ้นราวกับต้องการชวนอีกฝ่ายคุย
“คืนนี้อากาศดีนะ
ว่าไหม?” ไม่มีเสียงตอบใดเล็ดลอดจากปากผู้ถูกถาม
มีเพียงความเงียบที่กลืนกินเราทั้งคู่แต่เพียงเท่านั้น
จนต้องเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง “กระชากกระเป๋าเนี่ย ได้เงินครั้งละเท่าไหร่ล่ะ?”
ฟึ่บ!
คราวนี้คนถูกถามแสดงปฏิกิริยาตอบรับกลับมาด้วยการสะบัดตัวหลบเล็กน้อย
ก่อนตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เขาใช้มันวิ่งหลบหนีขึ้นไปตามขั้นบันไดสู่หอพักชั้นบน
ตึก! ตึก! ตึก!
ฉันไม่ใช่พวกชอบตามตื้อเท่าไหร่
ในเมื่อไม่ได้คำตอบสิ่งที่ทำหลังจากนั้นจึงเป็นการก้าวเท้าลงบันไดไป
เพื่อพาตัวเองมุ่งสู่สถานที่นัดกับเพื่อนสาวไว้ผ่านข้อความสนทนา
อีกอย่างถึงเขาจะให้คำตอบหรือไม่ อย่างไรซะ มันก็แค่คำถามทั่วไป
ไม่ได้มีผลกระทบต่อความรู้สึกตรงไหน
และใช่
ผู้ชายคนนั้นคือคนเดียวกับที่ใช้มีดจี้แล้วกระชากกระเป๋าฉันหนีไปเมื่อวาน...
ตึก...
ตึก...
กึก..
ทว่า
เดินพ้นขั้นบันได ออกมายังถนนหน้าหอได้เท่าไหร่
เท้าที่เคยก้าวเป็นจังหวะก็ถูกทำให้หยุดลงอีกครั้งเมื่อสายตาดันเหลือบไปเจอเข้ากับใครอีกคนซึ่งกำลังยืนพิงกับผนังอาคารหอพักด้านนอกในท่ากอดอก
พี่จ๋าเหลือบมองมาทันทีราวกับรับรู้การมา
ซ้ำยังเป็นฝ่ายทักทาย
“จะไปแล้วเหรอคะ?” ฉันไม่ได้ตอบเขา แต่เลือกที่จะยิ้มแล้วพยักหน้ากลับแบบส่งๆ นั่นจึงทำให้เขาเสนอขึ้น “เดินทางคนเดียวตอนกลางคืนมันอันตราย ให้พี่ไปส่งไหม?”
ไม่เม้นไม่ว่าแต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น