คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : HUNT02 l สั่งรักครั้งที่2 ตอน ตัวตลก {อัพ100%}
“อ๋อ พอดี ติดคุกน่ะ…”
คำตอบที่ได้จากคนตัวใหญ่ข้างกาย
ทำคนฟังนิ่งไปเล็กน้อย แต่ในทางกลับกันฉันกลับไม่รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์คนที่เคยต้องโทษถูกจองจำทางกฎหมายอย่างเขาเช่นกัน
แต่อาจเป็นเพราะความระแวงของเขาเองล่ะมั้ง
นั่นเลยทำให้เขาเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“อ่า...แล้วนี่ จะไปไหนต่อหรือเปล่าคะ?”
“อืม ไป...” ส่วนฉันก็ทำหน้าที่ตอบ
“ไปเองคนเดียวได้หรือเปล่า ให้ช่วยไปส่งไหม?”
“ไม่เป็นไร” เห็นไหมล่ะ
บทสนทนาระหว่างเราน่ะ จริงๆ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลยสักนิด เขาถามมาฉันตอบไป
ฉันถามไปเขาตอบกลับ วนลูบอยู่แบบนี้ ก่อนเงียบไปตามประสาคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จะคุยอะไรกัน
ไม่นานโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไปก่อนหน้าครู่หนึ่งก็ส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง
ปี๊บ! ปี๊บ!
เสียงเตือนโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำฉันหลุบตามองสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนพบเข้ากับข้อความสั้นๆ
ของคนที่รู้จักเป็นอย่างดีปรากฏอยู่
Darling : ถึงแล้ว
Darling :
รอหน้าช่องขายตั๋วนะ
เห็นดังนั้น ฉันจึงรีบลุกขึ้นจากม้านั่งทันที
ตามนิสัยคนที่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ หากแต่นั่นกลับทำให้ใครอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างกันก็รีบร้องทัก
“จะไปแล้วเหรอ?”
“อืม
แฟนส่งข้อความมาว่า จะไปรออยู่ที่หน้าทางเข้า...” คนฟังขยับยิ้มนิดๆ
หลังได้ยินแบบนั้น
ซึ่งมันคือรอยยิ้มเดิมที่บอกถึงความเข้าใจและไม่พอใจตามประสาคนขี้อิจฉา และแม้ว่าเขาจะแสดงความรู้สึกให้เห็นผ่านรอยยิ้มของตัวเองก็ตาม
แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังมีน้ำใจที่จะเอ่ยปากถามพลางชี้หัวแม่โป้งมือหันไปทางสวนสนุก
“อ๋อ...จะเข้าข้างในนี้กันเหรอ?”
“อืม”
แน่นอนว่าฉันก็ให้คำตอบกลับไปอย่างไม่อ้อมค้อม
แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเดินปลีกตัวแยกออกห่างจากเขาไป ฉันก็ไม่ลืมพ่นคำพูดส่งท้าย “นายก็รีบๆ หาแฟนให้เจอนะ จะได้ไม่ต้องคอยอิจฉาคนอื่นอีก”
ทว่า
สิ่งที่ได้รับกลับมาหลังจากคำส่งท้ายสิ้นสุดลงกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะในลำคอคล้ายกับชอบใจ
ซ้ำมันก็เป็นพี่จ๋าเองนั่นแหละที่ชิงลุกขึ้นจากม้านั่งตามมาติดๆ
ส่วนปากก็ขยับเอ่ยถ้อยคำยืดยาวราวกับต้องการตอบรับสิ่งที่ได้ยิน
“เรื่องแฟน
พี่ว่าพี่เจอแล้วค่ะไม่ต้องห่วง...ส่วนเรื่องคนรัก พี่คงไม่หาแล้วล่ะ...เพราะคงไม่มีผู้หญิงที่ไหน
อยากได้ขี้คุกเป็นแฟนหรอกจริงไหม?” เขาบอกแบบนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ก่อนเสริมขึ้นอีกเชิงหมาหยอกไก่ “หรือถ้าแฟนอยากได้ขี้คุกแบบพี่เป็นแฟน
ก็บอกได้นะคะ...”
“...”
“พี่สมยอมง่าย”
พี่จ๋าหลุดหัวเราะหลังพูดจบ ราวกับว่าคำพูดของเขามันตลกอะไรนักหนา
และเพราะเขาคงสังเกตเห็นว่าฉันไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับคำพูดหยอกล้อของเขาล่ะมั้ง
ถึงได้พูดขึ้นอีก “ไปนะคะ...ยังไงก็เที่ยวให้สนุก”
อีกทั้งยังเป็นฝ่ายชิงเดินปลีกตัวออกไปด้วยตัวเองเมื่อเวลาของการจากลามาถึง
ตึก...
ตึก...
แต่ด้วยเพราะเส้นทางที่เขาใช้เดินห่างออกไปนั้น
ดันเป็นส้นทางเดียวกับทางที่ฉันต้องใช้พาตัวเองไปยังช่องขายตั๋วของสวนสนุก
ทำให้การจากลาระหว่างเราที่หน้าร้านกาแฟดูไม่ค่อยไกลห่างกันเท่าไหร่นัก
สืบเนื่องจากระยะห่างระหว่างเราที่ไกลกันไม่มาก
ตลอดเวลาที่เท้าก้าวเดินไปบนทางวิถี มันเลยทำให้ฉันสามารถมองเห็นแผ่นหลังกว้างของพี่จ๋าในสายตาอยู่ตลอดเวลา
เราเดินตามหลังกันก็จริงแต่สถานะระหว่างเราตอนนี้นั้นเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้า
ตึก...
ตึก... ตึก...
ก่อนต้องแยกกันจริงๆ
เมื่อฉันต้องหยุดเท้าลงบริเวณหน้าทางเข้าสวนสนุก
ขณะที่พี่จ๋ายังคงเดินก้าวเท้าไปบนทางวิถีเลยห่างออกไป ก่อนที่จะค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาเมื่อช่วงเวลาเดียวกัน
พื้นที่ตรงหน้ามีใครอีกคนเข้ามาแทนที่
“What’s up Sweetie!” เสียงทักทายแกมทะเล้นของชายหนุ่มตัวสูงพร้อมด้วยตั๋วสำหรับเข้าสวนสนุกสองใบ
ทำฉันช้อนตาขึ้นมองหน้าเจ้าของคำทักทายเล็กน้อย ก่อนพ่นคำตอบรับกลับไป
“Shut up, Joe…” ไม่ใช่แค่ตอบรับ แต่ยังเลือกที่จะหันหลังเดินนำไปยังทางเข้าของสถานที่ต้องห้ามอีกด้วย
“เฮ้ๆ!”
แต่ดูเหมือนการไม่รู้สึกตื่นเต้น หรือแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งใด
ของฉันจะทำให้คนตรงหน้าขัดใจนิดหน่อย
โจนาธารรีบวิ่งตามหลังพลางใช้มือคล้องคอฉันไว้อย่างสนิทสนม
แล้วกล่าวขึ้น
“นี่มันใช่คำพูดทักทาย
เวลาเจอหน้าแฟนหรือไง?”
ฉันไม่ได้ตอบ
เพราะรู้ดีว่า นั่นน่ะมันเป็นแค่วิธีแสดงความเอาแต่ใจยามถูกขัดใจของเขาเท่านั้น
เพราะเดี๋ยวเดียวคนที่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลาอย่างเขา ก็จะลืมและเปลี่ยนเรื่องไปเอง
“ว่าแต่...เราจะเริ่มเล่นอะไรก่อนดีล่ะ?”
เห็นไหม ฉันเคยเดาอะไรผิดที่ไหน?
ซึ่งฉันก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะไม่ตอบอะไรเขาเลย
“อะไรก็ได้...”
“...”
“ที่ไม่มีตัวตลก”
พูดกันตามตรงฉันไม่ได้ป่วยเป็นโรคกลัวตัวตลกมาตั้งแต่เด็กหรอก
ฉันแค่ไม่ค่อยชอบเพราะรูปร่างหน้าตาของมันดูไม่ได้ตลกสมชื่อนัก
โดยเฉพาะกับปากและจมูกสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ แต่แล้วในวันหนึ่ง ขณะกำลังเดินเที่ยวอยู่ในสวนสนุกฉันก็ถูกสิ่งที่เรียกว่าตัวตลกบุกเข้าทำร้าย
พวกมันมากันหลายคน
พวกมันตั้งใจจะข่มขืนฉัน...
“อุ๊...”
แค่เพียงนึกถึงภาพเลือนรางในความทรงจำเมื่อหกปีก่อนเพียงเท่านั้น
เลือดลมในกายก็เริ่มแสดงอาการต่อต้านกับความคิด
ยามที่ในหัวเห็นภาพนัยน์ตาไร้ชีวิตชีวากับปากสีแดงสดนั่น
และนี่ล่ะมั้ง
ถึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ฉันถึงไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่สักที
“เฮ้! ไหวหรือเปล่า?” เสียงเรียกเคล้าการถามไถ่ดังแทรกภวังค์ความคิดก่อนดึงฉันออกจากวังวนน่าขยะแขยงซึ่งมีแต่ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดให้กลับสู่สภาวะปัจจุบัน
ก่อนพบว่าโจนาธานกำลังยืนเท้าเอวมองหน้าอยู่ในระยะไม่ใกล้หรือไกล
ทันทีที่สบตากัน
คนตัวสูงกว่าก็แสร้งทำเป็นยกมือป้องหน้าผาก หันซ้ายที ขวาที ซ้ำยังพูดขึ้น
“แถวนี้ไม่เห็นจะมีตัวตลกเลยนี่…อึก” ทว่า ทันทีที่กำปั้นเล็กๆ ถูกปล่อยเข้าใส่ท้อง
คนตัวใหญ่ที่เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วกึ่งแซวก็เงียบลง
ฉันต่อยเขา...
แม้ว่ามันจะไม่ได้แรง
แต่อย่างน้อยหมัดของฉันก็ทำให้เขาเงียบ
“เงียบน่าโจ...”
“ทำไมชอบใช้ความรุนแรงกับฉันนักนะ
จำไม่ได้เหรอว่าฉันเจอเรื่องอะไรมา ฮ่าๆ” โจนาธานต่อว่าเคล้าเสียงหัวเราะ
บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธอะไรที่ถูกปฏิบัติใส่แบบนั้น
ซ้ำยังทำหน้าที่ของบอยเฟรนที่ดี
เขาดึงฉันมานั่งพักยังม้านั่งตัวยาวบริเวณหน้าเข้าทางบ้านผีสิง
พลางชี้นิ้วไปยังร้านค้าซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณนั้นออกไปราวๆ
สองร้อยเมตรแล้วกล่าวขึ้น
“นั่งรอตรงนี้
เดี๋ยวฉันไปซื้อน้ำจากร้านค้าตรงนั้นมาให้ Don’t worry, OK?”
ฉันไม่ได้ตอบรับความหวังดีจากเขาผ่านเสียง
แต่เลือกพยักพเยิดหน้าให้แทนการรับคำ นั่นเลยทำให้คนตัวใหญ่ยิ้มรับกลับมา
ก่อนจะปลีกตัวเดินไปยังร้านค้าตามอย่างปากว่า
หลังโจนาธานคล้อยหลังออกไป
ฉันซึ่งทำหน้าที่นั่งรอจึงเลือกกวาดตามองไปรอบๆ ฆ่าเวลา
คงเพราะวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ล่ะมั้ง นั่นเลยทำให้พื้นที่ของสวนสนุกในวันหยุดล้นไปด้วยคู่รักมากหน้าหลายตาที่พากันมาเดทยังสถานที่โรแมนติกแบบนี้
วันวาเลนไทน์งั้นเหรอ...
‘วันที่ 14
วันเกิดฉัน งั้นวันจันทร์เราโดดเรียนไปเที่ยวสวนสนุกกันไหม?’
‘ได้สิคะ
วันเกิดเพื่อนทั้งที โดดก็โดดค่า!’ ฉันได้ยินเสียงตัวเองในอดีตดังแว่วเข้ามาให้ได้ยิน
จำได้ว่าคนที่ชักชวนและกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของวันเกิดในตอนนั้นน่ะ มันก็คือ...
พอภาพความทรงจำย้อนให้รู้สึกจนถึงตรงนี้
ทุกอย่างในหัวก็หยุดลงและกลับสู่ความสงบเงียบดังเก่า
หากแต่นั่นกลับไม่ใช่มือที่กำลังเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบสมาร์ทโฟน
แล้วพิมพ์ข้อความส่งออกไปหาใครคนหนึ่ง
แฟน
: H B D. แข
และใช่
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
คือวันเกิดของเพื่อนผู้หญิงที่ฉันรักและสนิทกับเธอมากที่สุดยังไงล่ะ
แข
: งุ้ยย
ขอบคุณนะเพื่อนเลิฟ
แข
: รอข้อความของแกตั้งแต่เช้าเลยรู้ป่ะ
อิอิ
แฟน
: วันนี้วาเลนไทน์
ไม่ไปไหนเหรอ?
แข
: ไปสิ
แต่ไปดึกหน่อย มาด้วยกันไหม?
แฟน
:
เดี๋ยวเย็นๆ บอกอีกที
แข
: มานะ
กลับมาทั้งที จะได้พาไปเปิดหูเปิดตา
ทว่า
ในหนนี้ฉันกลับไม่ได้ตอบข้อความแขกลับไป เมื่อช่วงเวลาเดียวกัน สายตาซึ่งเคยจดจ่อกับหน้าจอสมาร์ทโฟนนั้นได้ถูกบางสิ่งดึงดูดจนเคลื่อนเปลี่ยนวิถีการมองไปทางอื่น
กึก...
มันคือเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งที่เดินเฉียดผ่านหน้าไปในระยะที่ใกล้เกินควร
จำต้องเงยมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนพบว่าใครคนนั้น
คือมาสคอสตัวตลกในชุดเครื่องแต่งกายสีดำทั้งตัวจนดูเหมือนปีศาจ สิ่งมีชีวิตที่คนในเมืองขนานนามเขาว่าเป็น
‘เทวดา’
“คุณเทวดาขา! หนูขอดอกไม้นะคะ...”
แต่ดูเหมือนว่า การมาของเขานั้นเป็นเพียงการผ่านเข้ามาและเดินออกไป เขาไม่ได้สนใจฉันเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อวาน แต่เลือกที่จะให้ความสนใจต่อเด็กที่ถูกผู้ปกครองพาเดินย่างกรายเข้ามาแถวนั้นมากกว่า
ที่ไหนที่เขาปรากฏตัว ที่นั่นมันเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งพากันเข้ารุม ทั้งที่น่ากลัวและไร้เฉดสีดึงดูดสายตา ทว่า ในบรรดามาสคอสหลายตัวที่เดินผ่าน เขากลับมีแรงดึงดูดและมีผู้คนให้ความสนใจมากกว่าใคร
ฉันเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น ที่เผลอมองทุกท่วงท่าและอิริยาบถมาสคอสตัวดังกล่าวอย่างห้ามไม่ได้ แต่ไม่นานนัก มันก็เหมือนว่าเขารู้ตัว จู่ๆ ถึงได้กรอกนัยน์ตาสีดำกลวงโบ๋มองกลับมา ท่ามกลางเสียงของผู้คนมากหน้าหลายตารอบกายที่ดูจะชื่นชอบการเคลื่อนไหวของเขาที่ดูคล้ายกับหุ่นเชิด
สิ่งที่ตาเห็น คือการโน้มคำนับจากตัวตลกตรงหน้า ราวกับว่ามันกำลังตั้งใจทักทายฉันอยู่...
ฟึ่บ...
ต่อให้รูปแบบการแต่งกายหรือเฉดสีบนเสื้อผ้าจะแตกต่างไปจากตัวตลกในความความทรงจำ
แต่เพราะมันขึ้นชื่อว่าเป็นตัวตลก ฉันที่ไม่ถูกกับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
จึงตัดสินใจลุกออกจากม้านั่งไปทั้งๆ อย่างนั้นแบบไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองอีก
ตึก...
ตึก...
ฉันพาตัวเองเดินย้อนกลับไปตามทิศทางที่โจนาธานอาสาเดินมาซื้อน้ำให้
และเจอเขาที่กำลังเดินกลับมาพร้อมด้วยแก้วเครื่องดื่มในมือ
“อ้าวเฮ้! ฉันบอกให้นั่งรอตรงนั้นไม่ใช่หรือไง?” เขาทัก
“อืม
บรรยากาศมันไม่น่านั่ง ก็เลยลุกออกมา” คำบอกเล่าจากปาก
ทำคนฟังปรายตามองกลับไปยังพื้นที่บริเวณหน้าทางเข้าบ้านผีสิงแทบจะทันที
และพูดบางอย่างขึ้น
“นั่นมาสคอสตัวตลกแน่เหรอ?
น่ากลัวฉิบ”
พลอยให้ฉันเผลอเหลียวหลังมองตามสายตาเขาไปอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนพบว่า
ตัวตลกรูปลักษณ์น่ากลัวตัวนั้น มันกำลังมองมายังจุดที่ฉันกับโจนาธานยืนอยู่
เพียงการมองสบตาจากระยะไกล
มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้มวลสารในกายปะทุออกมาตามอาการที่เป็นอยู่
จนต้องรีบเอ่ยปากชักชวน แม้ว่าลึกๆ
ฉันจะไม่ได้รู้สึกสนุกกับการมายังสวนสนุกแห่งนี้เลยก็ตาม
“ไปเถอะ
ก่อนฉันจะอ้วก...”
ฟึ่บ!
“ฮะ เฮ้...”
ไม่ใช่แค่ชักชวน
แต่เลือกจะดึงแขนโจนาธานให้เดินเปลี่ยนทิศทางไปคนละฝั่งกับจุดที่มาสคอสตัวนั้นยืนอยู่อีกด้วย
แต่เพราะการมาสวนสนุกวันนี้ไม่ใช่ความคิดฉัน
หลังเดินปลีกจากบริเวณดังกล่าวออกมาได้ไม่เท่าไหร่
คนที่เป็นผู้นำของการสรรหาเครื่องเล่นชนิดต่างๆ จึงตกเป็นหน้าที่ของโจนาธาน
ส่วนเครื่องเล่นชิ้นแรกที่เขาพาฉันมา
มันก็คงไม่พ้นรถไฟเหาะ...
“แถวยาวฉิบ...”
แต่ก็อย่างที่บอก วันนี้เป็นวันหยุด แถมยังเป็นวันของคู่รัก
ทำให้เครื่องต่างๆ ภายในสวนสนุกล้นหลามไปด้วยผู้คนจนแถวยาวเหยียด
แต่นั่นมันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่...เพราะสิ่งที่สำคัญน่ะ
มันคือเรื่องอื่น
“อ้าวนั่น...ไอ้มาสคอสน่ากลัวตัวนั่นอีกแล้ว”
ขณะยืนต่อแถว จู่ๆ โจนาธานก็พูดขึ้น ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาว่าไว้
เมื่อห่างออกไปบริเวณช่องขายตัวรถไฟเหาะ
ที่ตรงนั้นกำลังปรากฏร่างของมาสคอสตัวเดิมที่ฉันพยายามจะหนี
เอาเข้าจริง
การต้องพบเจอกับมาสคอสตัวดังกล่าวนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกนักหรอก
ในเมื่อหน้าที่ของมาสคอส คือการเดินไปรอบๆ สวนสนุกเพื่อทักทายและสร้างสีสันให้แก่นักท่องเที่ยว
ทว่า ในครั้งนี้ที่รู้สึกแปลกก็คือ
การมาของมาสคอสตัวที่ว่าเหมือนกำลังเดินตามฉันกับโจนาธานอยู่ยังไงอย่างนั้น
“เอาลูกโป่งฮะ
คุณเทวดาตัวตลก...” เพราแม้เขากำลังแสดงทีท่าใจดีต่อพวกเด็กๆ
ด้วยการแจกลูกโป่ง หากแต่ขณะเดียวกัน นัยน์ตาลึกโบ๋นั้นก็คอยชำเลืองมาทางฉันกับโจนาธานอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
หากพยายามคิดแบบโลกสวย
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราอาจเป็นเพียงความบังเอิญ ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นนั่นแหละ
แต่ว่า...
“เชี่ยอะไรวะ...ทำไมเดินไปไหนต้องเจอแต่มาสคอสตัวนี้ตลอดเวลา…”
มันก็อย่างที่โจนาธานพูด
เพราะนอกจากบริเวณช่องขายตัวรถไฟเหาะแล้ว
ไม่ว่าเราทั้งคู่จะเดินไปเครื่องเล่นชิ้นไหน
สิ่งที่มักปรากฏให้เห็นในสายตาจากพื้นที่โดยรอบของเครื่องเล่นบริเวณนั้นก็มักเป็นมาสคอสตัวตลกรูปลักษณ์น่ากลัวตัวเดิมเสมอๆ
แต่ด้วยเพราะความไม่สนใจอะไรรอบตัวจริงจังของโจนาธาน
การที่เกิดเรื่องบังเอิญกับเราสองคน
จึงไม่ใช่เรื่องที่เขาให้ความสนใจได้มากที่ควรนัก ซ้ำยังพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
“เจอเรื่องขนลุกแบบนี้...เข้าบ้านผีสิงกันไหม?”
ต่างจากฉัน...
“ฉันอยากออกไปจากที่นี่”
“น่า! เข้าบ้านผีสิงก่อน แล้วเราออกไปหาอะไรกินในห้างกัน”
“หยุดน่าโจ!”
แต่คำปฏิเสธก็ใช่จะใช้กับเขาได้ผล
เมื่อโจนาธานยังคงยืนกรานความต้องการของตัวเอง
และดึงแขนฉันให้เดินเฉียดเข้าสู่พื้นที่ของบ้านผีสิง
ขณะเดินย้อนกลับไปสู่ประตูทางออกของสวนสนุก
สุดท้าย
ฉันก็ถูกเขาดึงตัวมุ่งสู่ทางเข้าบ้านผีสิงในที่สุด และเหมือนเคย
ก่อนที่เราจะเข้าไปข้างใน ฉันก็มองเห็นมันอีกแล้ว
มาสคอสตัวเดิมที่เดินตามทั้งคู่ไปทั่วสวนสนุกตลอดทั้งวัน
“ถ้ากลัว
ก็กอดแขนฉันไว้นะ...” แม้ว่าตาจะมองเห็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่เบื้องหน้า
แต่ขณะเดียวกันหูก็ได้ยินเสียงของโจนาธาน
ขณะเท้าเดินก้าวผ่านประตูบ้านผีสิงเข้าไปภายใน
ท่ามกลางความมืดกับแสงไปสีสลัวๆ และกลิ่นอัพจากของตกแต่งภายใน ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดหวั่นหรือหวาดกลัวต่อรูปแบบบ้านผีสิงในไทยนัก ตรงกันข้ามฉันกลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อด้วยซ้ำ
เพราะไม่ได้กลัวต่อของหลอกเด็ก ฉันจึงไม่ได้จับมือหรือกอดแขนของโจนาธานไว้
แต่เลือกที่จะเดินตามหลังเขาไปแบบเงียบๆ
อย่างไร้ความสนใจต่อของตกแต่งหรือเสียงเพลงหลอนๆ ภายใน ทั้งที่เป็นแบบนั้น ทว่า...
พรึ่บ!
จู่ๆ
เครื่องปรับอากาศ เสียงเพลง และแสงไฟภายในบ้านผีสิงกลับเงียบลงอย่างฉับพลัน
ความรู้สึกบอกได้ทันทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเวลานี้ ไม่ใช่มิติใหม่หรือรูปแบบของบ้านผีสิงแห่งนี้อย่างแน่นอน
“อะ อะไรวะ
ไฟดับเหรอ?” แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากกว่า
“ทำไมไฟมาดับตอนนี้ได้ล่ะ สวนสนุกลืมจ่ายค่าไฟหรือไง?”
“หะ หุบปากน่า
โจ” ซึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิด มันก็ทำให้ผู้ที่ไม่รู้สึกอะไรในตอนแรกเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา
ท่ามกลางความมืดที่มองแทบไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง
แต่ฉันกลับมองเห็นภาพเหตุการณ์วันเก่าๆ ที่น่าจะลบเลือนไปจากความทรงจำ ภาพของบ้านผีสิงที่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน
ไม่ต่างอะไรไปจากตอนนี้
‘แข!!’ ฉันในตอนนั้น พยายามเรียกหาเพื่อนสาวคนสนิทไม่ยอมหยุด
และไม่ปฏิเสธว่าตอนนั้นฉับกำลังตกใจและกำลังหวาดกลัว ‘แก! อย่าเล่นอะไรบ้าๆนะเว้ย!’
หากแต่ช่วงเวลาปัจจุบัน
อาการหวาดกลัวที่เริ่มย่างกรายเข้าหานั้น ไม่ได้ทำให้ฉันส่งเสียงเรียกหาโจนาธานเช่นเดียวกับในอดีต
แต่เลือกยืนบีบมือตัวแน่นเพื่อลดความรู้สึกเหล่านั้นลง
‘แข!....อ๊ะ!!’ แต่ดูเหมือนความพยายามจะไม่เป็นผล
เมื่อภาพในอดีตที่แล่นภาพเข้ามาให้นึกถึง
กำลังฉายภาพของตัวฉันเองกำลังถูกมือหนาภายใต้ถุงมือตัวตลกฉุดกระชากให้หลบหายออกไปจากความคิด
“เฮือก!” หากแต่นั่นกลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างทั้งร่างเริ่มสั่นเทิ้มอย่างไร้การควบคุม
เมื่อจิตใต้สำนึกพึ่งระลึกได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นอย่างไร
แล้วฉันก็เห็นมันอีก..
เหล่าเดนมนุษย์ในคราบของตัวตลกหน้าขาวปากแดง
ใบหน้าของพวกมันในแต่ละอิริยาบถที่ต่างกันไปกำลังแสยะยิ้มบ่งบอกถึงความปรารถนาและสัญชาตญาณดิบในตัวขณะยื่นมือเข้ามาหา
ราวกับว่านั่นคือฉากหนึ่งของหนังสยองขวัญ
ภาพติดตากับเรื่องสยองขวัญน่ากลัวในอดีตที่ถาโถมเข้าใส่อีกครั้งในช่วงเวลาปัจจุบัน
กำลังทำให้อัตราการเต้นของตัวใจเร่งอัตราการเต้นผิดจังหวะและถี่ขึ้น ก่อนตามมาด้วยอาการพะอืดพะอมพร้อมกับอาการหายใจไม่ออกราวกับถูกบางอย่างรัดคอไว้
กึก...
“ฮะ...อึก...”
ทว่า ในช่วงที่ฉันเหมือนกำลังจะตาย มือและขาที่เคยแข็งแรงเป็นปกติอ่อนแรงจนเสียศูนย์และล้มลงกับพื้น
วินาทีนั้นกลับมีมือของใครคนหนึ่งพุ่งเข้ารวบรัดร่างฉันไว้จากทางด้านหลังได้อย่างทันท่วงที
รับรู้ได้ถึงวงแขนกว้างที่ใครคนนั้นจัดการประคองร่างฉันให้นอนแนบลงกับพื้นภายในบ้านผีสิง
ขณะหูได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของโจนาธานซึ่งอยู่ห่างออกไปนิดหน่อย
“แฟน!
เป็นอะไรหรือเปล่า!? อยู่ไหนน่ะ!!?” รู้ไหม ฉันอยากจะตะโกนตอบเขาแทบตาย แต่สภาพร่างและอาการที่เป็นอยู่
ทำให้เสียงที่ลอดผ่านปากตอนนี้เป็นเพียงเสียงอึกอักไม่เป็นคำเท่านั้น
และในขณะเดียวกัน
ฉันก็ได้ยินเสียงของผู้ชายอีกคนกำลังกระซิบเรียก
“แฟน...”
มันดังมาจากใครอีกคนที่อยู่ใกล้ตัวและเป็นผู้จับตัวฉันให้นอนราบลงกับพื้นนั่นแหละ
ไม่รู้เพราะว่าความมืดภายในบ้านผีสิงตอนนั้นมันยาวนานเกินไปหรือเปล่า
สายตาที่เคยมองไม่เห็นอะไรผ่านความมืดจึงเริ่มปรับโฟกัสใหม่
จนพลอยเห็นบางสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากขึ้น
“อะ...อึก...”
และต้องตกใจ
เมื่อสิ่งที่อยู่ห่างจากใบหน้าในลักษณะกลับหัวหางดันเป็นภายในหน้าของมาสคอสตัวตลกรูปร่างอัปลักษณ์ที่ฉันพยายามหลบหนีมาตลอดทั้งวัน
เห็นดังนั้นนัยน์ตาสองข้างเบิกกว้างกว่าที่เป็นแต่แล้วในช่วงที่ภาพตรงหน้ากำลังทำให้อาการทุกอย่างที่เป็นแย่ลง
จู่ๆ มาสคอสตัวตลกตรงหน้าก็ทำบางสิ่งบางให้ได้เห็นท่ามกลางความมืด
เขาบรรจงใช้มือปลดจมูกทรงกรวยรูปลักษณ์แปลกตาออกจากใบหน้า
พลางใช้มือพร้อมปลายเล็บยาวอีกข้างจัดการดึงวิกผมฟูๆ
เสมือนปีศาจออกจนเผยให้เห็นใบหน้าคมคายดุดันซึ่งดูคุ้นตา
“หนะ...อึก...”
แต่ก่อนจะทันได้เอ่ยเรียกชื่อผู้ชายในความคิดออกไป มือหนาภายใต้ถุงมือสีดำสนิทของเขาก็ได้เลื่อนพร้อมแรงกดแผ่วๆ
ขณะที่มืออีกข้างของเขาเลื่อนขึ้นเชยคางฉันให้หน้าเชิดขึ้น
ก่อนทำเรื่องไม่คาดฝันเมื่อเขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนประกบปากลงมาอย่างแผ่วเบา...
“อึก...” ร่างการสะดุ้งเกร็งอย่างห้ามไม่ได้เมื่อสิ่งที่ชายคนดังกล่าวทำคือการเป่าลมเข้ามาทั้งที่ปากของเราทั้งคู่ประกบชิดกันแน่นพลางเคลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นบีบปลายจมูกเล็กน้อยราวกับกำลังต้องช่วยปฐมพยาบาล
มือสองข้างเผลอกำจิกจนแน่นอยู่ข้างกาย
ตลอดเวลาที่อีกฝ่ายช่วยปฐมพยาบาล ซึ่งมันได้ผล หลังจากถูกเขาช่วยปฐมพยาบาลอยู่ครู่สั้นๆ
อาการจุกแน่นที่เหมือนจะหายใจไม่ออกในตอนแรกเริ่มคลายลง จนกระทั่งเริ่มกลับมาหายใจได้เป็นปกติอีกครั้ง
เขาเองก็คงรับรู้ได้ถึงจังหวะการหายที่กลับมาเป็นปกติ
มือไม้ที่เคยบีบปลายจมูกและคางถึงได้ถูกเคลื่อนออกไป
หากแต่สิ่งที่ยังคงอยู่ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างยังคงมืดมิด กลับกลายเป็นริมฝีปากร้อนที่ค่อยขยับเปลี่ยนไป
จากการประกบลงมาเพื่อปฐมพยาบาลเบื้อง ให้กลายเป็นการจูบแบบหนักหน่วง ชนิดที่ว่าไม่รอให้ฉันส่งเสียงใดลอดผ่านริมฝีปากเลยสักวลี
ริมฝีปากร้อนเพิ่มจังหวะหนักหน่วงขึ้นในยามที่ผิวปากนุ่มของอีกฝ่ายกลืนกินไปตามผิวปากบนและล่างอย่างจาบจ้วงและฉวยโอกาส แสดงออกถึงความต้องการ โหยหา และรอคอย โดยเฉพาะกับน้ำหนักฝ่ามือที่เขาใช้ประคองหน้าในท่ากลับหัวกลับหางนั่น
ทำเหมือนกับกลัวว่าฉันจะหนีหายไปไหนอย่างไรก็อย่างนั้น
“อะ อื้อ...” ผิวปากร้อนที่เขาบรรจงบดเบียดลงมาอย่างตั้งใจ สร้างความรู้สึกแปลกๆ แก่ผู้ถูกกระทำ มันไม่ใช่ความความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกอื่น ซึ่งฉันไม่ปฏิเสธว่า ตัวเองกำลังรู้สึกดีต่อรสจูบที่เขามอบให้
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น....
ไม่เม้นไม่ว่าแต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น