ตอนที่ 25 : ข้ามคืนครั้งที่ 24 : ชนะใจที่เคยทำพัง [100%]
TEMPORARY BLISS : CHAPTER 24
ข้ามคืนครั้งที่ 24 : ชนะใจที่เคยทำพัง
#ฟิคคืนของชานแบค
“นี่มันแค่เริ่มต้น ออกรถได้แล้วครับ”ผมตอบกลับอย่างใจแข็ง ชานยอลเลยยกยิ้มบางๆคล้ายเอ็นดูแทนที่จะสำนึก ผมเลยทำเป็นไม่เห็นนั่งเงียบไปตลอดทาง แน่นอนอย่างชานยอลไม่ปล่อยให้ผมนั่งเงียบนานหรอก สักพักเขาก็ชวนคุย ผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างแล้วแต่โอกาสหรือความลืมตัว
แต่ส่วนใหญ่ก็ตอบเขาแหละ
จนกระทั่งมาถึงมหาลัย
“ขอบคุณที่มาส่งครับ”
“เลิกเรียนแล้วผมจะมารับนะ”
“ว่างขนาดนั้นเลยเหรอครับ ?”
“ว่างเสมอแหละถ้าเป็นเรื่องของคุณ”ชานยอลตอบพลางยื่นหน้ามาจูบที่ริมฝีปากของผมเบาๆ เล่นเอาผมเบิกตากว้างกำลังจะผลักเขาออก ทว่าเขาผละออกไปก่อนแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ในที่สุดเขาก็ได้แตะต้องผมสักทีหลังจากที่ผมเอาแต่ปฏิเสธเขามาตลอด “ได้กำลังใจแล้ว”
“ทำแบบนี้อย่าหวังเลยว่าผมจะให้เข้าใกล้อีก”
“ขอผมสักนิดเถอะคุณหนูบยอน คุณปาร์คจะขาดใจอยู่แล้ว”เจ้าตัวพูดพร้อมทำหน้าอ้อนใส่ผม ซึ่งผมก็ทำเป็นไม่สนใจคาดโทษเขาไว้ให้รู้ตัว
“วันนี้ไม่ต้องมารับเลยนะ ผมจะกลับเอง”
“คุณห้ามผมไม่ได้หรอก”
“ทำไมคุณถึงได้ชอบขัดใจผมจัง”
“ก็เพราะผมชอบคุณไง ผมถึงได้อยากอยู่ใกล้ๆ”
กึก !
“จะทำให้คุณยอมใจอ่อนแล้วกลับมาในอ้อมกอดผมสักที”ผมเกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาที่ทำเอาต้องเบือนสายตาหนี ชานยอลไม่เคยสังเกตเลยว่าเวลาที่เขายิ้มแบบนี้มันมีอิทธิพลกับผมขนาดไหน เผลอๆอาจจะไม่ใช่แค่ผมก็ได้ อาจจะรวมถึงผู้หญิงทุกคนที่ได้เห็นรอยยิ้มนี่ของเขา
พอคิดอย่างนั้นผมก็แอบรู้สึกหงุดหงิดในใจเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเตรียมลงจากรถไปเรียนอย่างที่ตั้งใจ ทว่าชานยอลกลับคว้าแขนผมรั้งให้หันไปมองอีกครั้ง
“มีอะไรครับ ?”
“ตั้งใจเรียนนะครับแบคฮยอน”
“อะ...”
“แล้วเจอกันนะคนดีของผมJ”ผมชะงักไปนิดหน่อยเนื่องจากหัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ กว่าจะได้สติเขาก็ดึงมือผมไปจูบเบาๆซะแล้ว เล่นเอาผมต้องรีบยื้อมือกลับชี้หน้าเขาเป็นการคาดโทษอีกรอบก่อนจะรีบก้าวขาลงจากรถไป ชานยอลใช้เวลากวนประสาทผมอีกพักใหญ่แต่สุดท้ายเขาก็ยอมเคลื่อนรถออกไปในที่สุด
ผมยืนมองจนรถของเขาหายลับสายตาไป จากนั้นถึงได้หมุนตัวเดินเข้ามาในมหาลัยที่ผมใช้เรียนอยู่ทุกวัน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองแตกต่างไปจากเดิมนิดหน่อย คงมีผลมาจากเรื่องของชานยอลที่ทำให้ผมกล้าทำอะไรมากขึ้นหลังจากที่ผมต้องใช้ชีวิตเป็นคนไม่มีตัวตนมานานแสนนาน
ทว่าอีกหนึ่งปัญหาที่ยังคงตามกวนใจผมไม่เลิกก็คือคนที่ผมเคยรัก
เพื่อนรักที่อยากเปลี่ยนสถานะของเรา...
“แบคฮยอน”
“จงอิน”
“เราต้องคุยกัน”
“…”
“ตอนนี้”
ผมไม่ได้ตอบรับอะไรเขาเพราะทันทีที่เขาพูดจบ มือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือผมแล้วลากให้เดินไปด้วยกัน ซึ่งระหว่างทางก็ไม่มีใครเอ่ยปากหรือพูดอะไรสักคำ ผมเองก็เอาแต่เงียบยอมให้เขาลากตามชอบใจเนื่องจากผมเบื่อที่จะต้องวิ่งหนีเรื่องของเขาแล้ว
บางทีถ้าตัดให้ขาดไปเลยมันน่าจะดีกว่า
ผมควรจะทำแบบนั้นตั้งนานแล้ว
“ที่นายพูดเมื่อวาน”
กึก !
“คือนายจะทิ้งฉันใช่ไหมแบคฮยอน”ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว จงอินก็เปิดประเด็นมาถามอย่างตรงไปตรงมาในตอนที่พวกเรามาถึงในจุดที่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านเหมาะแก่การคุยและทำอะไรร่วมกันเป็นอย่างมาก ซึ่งผมขอไม่คิดถึงเรื่องอื่นนอกจากเรื่องของเรา
จงอินสบตาผมนิ่งแสดงให้ผมเห็นว่าเขาจริงจังมากแค่ไหนกับการสนทนาครั้งนี้ แน่นอนเขาทะเยอทะยานระคนเอาแต่ใจของเขาทำผมถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อปลอบขวัญ ปนเปไปกับการให้กำลังใจตัวเอง
ในเมื่อตอนนี้เราให้ใครมาเกี่ยวข้องไม่ได้ เราก็ต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง
ปัญหาใคร ใครเริ่ม ก็ต้องจบที่ตรงนั้น
“ฉันไม่ได้จะทิ้งนาย เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“!!!”
“อย่าพูดเหมือนว่าเราคบกัน ฉันยังไม่ได้ตอบรับว่าจะคบกับนาย ตอนนี้พวกเราก็ไม่ต่างจากเพื่อนทั่วไปเท่านั้น”ผมพูดเสียงนิ่งนัยน์ตาหนักแน่นพอๆกับน้ำเสียง “และเราจะเป็นแค่นั้นตลอดไป เราจะไม่เปลี่ยนเป็นคนรักหรือว่าอะไรทั้งนั้น”
“ที่นายปฏิเสธฉันก็เพราะผู้ชายคนนั้นข่มขู่นายใช่ไหม !”
“ชานยอลไม่ได้ทำอะไรฉัน ฉันตัดสินใจของฉันเอง”
“แล้วทำไมนายถึงปฏิเสธฉัน ในเมื่อก่อนหน้านี้...นายเป็นคนบอกเองว่ารักฉันน่ะ !”จงอินกระชากเสียงถามผม นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจระคนสับสนไปหมด ผมเองก็รู้สึกแย่หน่อยๆที่ต้องทำแบบนี้ ทว่าถ้าไม่พูดกันตามความจริง เรื่องของเราก็จะยื้อฉุดกันอย่างนี้ไม่เลิกรา
และผมก็เบื่อเกมที่ไม่มีวันสิ้นสุดแล้ว
“รักได้ก็หมดรักได้ จงอิน”
“แบคฮยอน...!!”
“ฉันหมดรักนายไปแล้ว”
“…”
“หมดรักก่อนที่นายจะเลิกกับซอยอลซะอีก เพราะงั้นเลิกเอาชานยอลมาเป็นข้อถกเถียง ต่อให้ฉันจะเคยรักนายมาแรมปี ตอนนี้หัวใจฉันมันไม่ได้เป็นของนายอีกแล้ว ได้ยินชัดไหม”ผมไม่ได้ตะโกนหรือว่าด่าทอให้รู้สึกแย่เพราะแค่การพูดปกตินี้ก็น่าจะบั่นทอนจิตใจอีกฝ่ายจนแทบกระอัก อย่างน้อยมันก็ทำให้จงอินมองผมด้วยสายตาไม่เชื่อหูราวกับว่าที่ผมพูดเป็นเรื่องโกหกที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
มันเป็นเรื่องจริงที่ผมหมดรักจงอินไปนานมาก นั่นเป็นเพราะหลังจากที่เขาคบกับซอยอลผมก็เริ่มถอยห่างจากความสัมพันธ์ที่มีต่อเขา เขาเองก็ติดแฟนจนแทบไม่มีเวลาให้ พอเราได้อยู่ห่างกันไปรวมกับความช้ำใจต่างๆนานา มันก็กลายเป็นว่าความรู้สึกที่ก่อสร้างขึ้นมามันสลายตัวไป
ยิ่งพอผมมีคนใหม่จงอินก็กลายเป็นแค่หนึ่งความทรงจำที่เข้ามา
และตอนนี้ถึงเวลาที่มันจะเป็นแค่สิ่งที่ ‘เคย’ เข้ามาแล้ว
“ถือว่าจบแล้วใช่ไหมเรื่องของเรา”
“ทำไมเราต้องจบมันแบบนี้ ในเมื่อก่อนหน้านี้เราก็เหมือนจะรักกันได้”
“ก่อนที่นายจะพูดคำนั้นนายลองทบทวนตัวเองอีกทีก่อนดีไหมว่านายรักฉันจริงหรือเปล่า”
“แบคฮยอน...”
“บอกตามตรงนะจงอิน”
ตึก !
“ตั้งแต่ที่นายกลับเข้ามาในชีวิตฉัน ฉันก็ไม่สามารถเชื่อใจอะไรนายได้อีกเลยแม้แต่อย่างเดียว”น้ำเสียงของผมสั่นนิดหน่อยเนื่องจากรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่ผ่านมาในอดีต ที่เขาเคยทำไว้กับผม ถึงมันจะไม่ใช่การกระทำโดยตรงหากแต่มันก็ร้ายแรงพอกัน “นายทิ้งฉันไปแล้วอ้างว่านายแค่ไม่มั่นใจในความรู้สึกนั้น แล้วพอนายสลัดผู้หญิงคนนั้นทิ้งได้นายก็กลับมาหาฉัน”
“…”
“แน่ใจเหรอว่าที่นายทำมันคือความรัก”
“…”
“แน่ใจเหรอว่าที่นายทำมันคือสิ่งที่ใจนายอยากทำ”
“…”
“แน่ใจเหรอว่านายไม่ได้เหงาเลยกลับเข้ามาในชีวิตฉันเอง”
“…”
“ลองถามตัวเองดีๆจงอินว่านายกลับมาหาฉันด้วยเหตุผลอะไร อย่างน้อยฉันก็มั่นใจว่านายไม่ได้รักฉันแน่นอน เพราะถ้านายรักฉันจริงเหมือนที่นายเคยบอก...”ผมเว้นวรรคยาวดึงมือเขาออกหลังจากที่เขาเงียบมานานจนผมคิดว่าเราควรจะจบบทสนทนานี้ได้แล้ว
ผมเลือกที่จะถอยห่างจากเขาสบตานิ่งให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมไม่ใช่แบคฮยอนคนเก่า
คนที่ยอมให้ทุกอย่างเล่นตลกกับตัวเอง
“นายจะไม่ปล่อยให้ฉันรอนานขนาดนี้ จงอิน...มันสายไปแล้ว”
เจ้าตัวถึงกับเงียบสนิทเมื่อผมพูดประโยคนั้นจบ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่คุยกับเขาอีกทำไม สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นบทสนทนาที่วกวนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนสักที เพราะสิ่งที่ผมพูดมันมีเพียงเท่านี้ เราควรจะจบและหยุดความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระ
ผมยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมา ในที่สุดผมก็เลือกที่จะเดินออกมาจากตรงนั้น กลับไปยังห้องเรียนที่ตอนนี้อาจารย์คงจะเช็คชื่อไปเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ดีกว่าไม่เข้าเรียน สิ่งที่น่าแปลกคือผมไม่ได้เลือกนั่งข้างลู่หาน
ผมกลับเลือกนั่งข้างจงแดแทน
“ไง”
“ไง” เจ้าตัวทักกลับละความสนใจจากมือถือมามองหน้าผมสลับกับเหล่ตาไปมองลู่หานที่มองผมด้วยความแปลกใจระคนไม่เชื่อสายตาที่ผมไม่ไปนั่งกับเขา ผมรู้ว่าถ้าผมไปนั่งกับลู่หาน เขาก็จะพูดเรื่องจงอินหรือไม่ก็เรื่องของผมไม่หยุด ผมเบื่อที่จะต้องมาทนตอบคำถามว่านี่เรื่องจริงไหม นี่โกหกไหม ทำไมทุกคนจะต้องสนใจเรื่องของคนอื่น ทั้งที่เรื่องของตัวเองมันน่าคิดกว่าตั้งเยอะ
เพราะงั้นการนั่งกับคนอื่นที่มีบุคลิกไม่ค่อยสนใจใคร...
บางทีมันก็ดีกว่าไปนั่งกับเพื่อนของตัวเอง
“ทะเลาะกับลู่หานเหรอ”
“เปล่า ก็แค่...คิดว่านั่งกับนายมันดีกว่า”
“…”
“คงไม่ว่าใช่ไหม”
“ฉันก็ไม่ได้มีทางเลือกนักนิ”ผมยกยิ้มเมื่อเขาตอบแบบนั้นคล้ายกับไม่สนใจ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกว่าเขาดูอ่อนให้ผมลงกว่าแต่ก่อน แม้ว่าเราจะเจอกันไม่กี่ครั้งก็ตาม ซึ่งมันก็ดีนะ เขาเป็นหลานของชานยอลผมก็อยากจะทำความรู้จักเขาไว้มากๆ
อย่างน้อยมันก็ดีกว่าห่างเหินแล้วต้องเก็บไปคิดมากเพียงลำพัง
ระหว่างที่อาจารย์สอนผมก็ชวนเขาคุยบ้างตามประสา การผูกมิตรมันดีกว่าการเก็บงำทุกอย่างไว้ในใจแล้วทนอึดอัด ก่อนหน้านี้ที่คุยกันเราก็มีความชอบเหมือนกันหลายอย่างแค่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนพูดมากแต่ผมก็ดีใจที่เขายอมตอบผมทุกครั้งที่ชวนคุย
และผมก็เป็นฝ่ายถูกถามกลับ
“แล้วอาชานยอลเป็นไงบ้าง”
กึก !
“ฉันได้ข่าวว่าเขาไปง้อนายที่บ้าน ตกลงคบหรือว่าเลิกล่ะ”คำถามของเขาทำเอาผมถึงกับชะงัก ไม่ยักรู้ว่าเขาเองก็สนใจเรื่องของผมเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ซ่อนความอยากรู้เอาไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยที่ทำเอาผมเริ่มสงสัยแล้วว่าตกลงเขาสนใจหรือว่าแค่ถามเป็นพิธี “ไม่ต้องคิดมาก ฉันก็ถามในฐานะหลานเท่านั้น”
“นายจะไม่โกรธเหรอ ถ้าฉันบอกว่าตอนนี้ฉับกับเขาไม่ได้คบกัน”
“แต่ก็ไม่ได้เลิกกันนิ”
“…”
“เมื่อเช้าฉันเห็นเขามาส่งนาย แสดงว่าอยู่ในช่วงทดลองใจล่ะสิ นายนี่ก็เด็ดดีเหมือนกันนะ”ผมอ้าปากค้างนิดหน่อยตอนที่เขาพูดแบบนั้นก่อนจะหัวเราะเบาๆคล้ายกับตลก ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้ยินคำนี้จากปากของเขาด้วยความที่เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น การจะพูดเล่นแบบนั้นแลดูจะไม่เหมาะเท่าไหร่ “ขำอะไร ?”
“คำที่นายบอกว่าฉันเด็ด” ผมยิ้ม “ฉันนึกว่านายจะโกรธซะอีกที่ทำไม่ดีกับอานาย”
“บอกแล้วไงว่าฉันถามในฐานะหลาน เพราะงั้นฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้นหรอก”
“แล้วนายไม่รู้สึกแย่เหรอ”
“ไม่นิ”
“…”
“มันไม่ใช่เรื่องของฉัน” ผมพยักหน้าพลางยกยิ้มบางๆให้ ผมดีใจที่เขาพูดออกมาตรงๆแม้บางทีมันอาจจะสะเทือนใจผมไม่น้อยเลยก็ตาม แต่ก็ดีกว่าการสวมหน้ากากเดินหน้าเข้าหากัน แบบนั้นมันแย่กว่าการพูดตรงๆแล้วรับไม่ได้อีก หลังจากตอนนั้นพวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก แค่ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันแล้วก็แยกย้ายไปเรียน
ตอนแรกผมกะจะชวนเขากลับบ้านด้วยกัน แต่เขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับผมเองก็รีบเพราะไม่อยากให้ชานยอลรอนาน เขาอุตส่าห์รีบเลิกงานมารับผม
ไม่รู้ว่าเลิกงานเร็วหรือว่าโดดงานมากันแน่
“ผมมีเรื่องเซอร์ไพรส์จะบอกคุยด้วยล่ะ”
“เรื่องอะไรครับ ?”ผมหันไปถามเขาตอนที่อีกฝ่ายเลี้ยวรถเข้ามาจอดในที่จอดรถบ้านของผมแทนที่จะจอดหน้าประตูใหญ่เหมือนทุกวัน “คงไม่ใช่เรื่องไม่ดีใช่ไหม”
“ไม่หรอก มันเป็นเรื่องดีมาก”
“หืม ?”
“บอกเลยว่าคุณต้องประหลาดใจ”
“…”
“เพราะเรื่องที่ว่าคือคืนนี้ผมจะนอนที่นี่ เมื่อกี้ผมขออนุญาตพ่อคุณแล้ว เข้าตามตรอกออกตามประตูแล้วนะครับJ”
LOADING 100 PER
เจิมรอชนะใจ งานนี้ต้องใจแข็งไว้ก่อนนะ !
รอเยอะอัพไวนาจา ใครอยากอ่านรีบเจิมไวๆ ไม่นานเกินรอ !
ฝากติดตามด้วยน้า อย่าลืมเม้นน้า
1 เม้น 1 กำลังใจให้กำลังใจแบคฮยอน
เมื่อพูดถึงค่ำคืนของพวกเขา อย่าลืมติดแท็กในทวิต !
#ฟิคคืนของชานแบค
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

55555