ตอนที่ 24 : ข้ามคืนครั้งที่ 23 : เสี่ยงลงทุน [100%]
TEMPORARY BLISS : CHAPTER 23
ข้ามคืนครั้งที่ 23 : เสี่ยงลงทุน
#ฟิคคืนของชานแบค
ชานยอลถอนหายใจยาวพรืดเมื่อตนเองไม่สามารถทำให้ผมเปลี่ยนใจได้ ซึ่งผมเองก็แสร้งทำเป็นยิ้มให้เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังจะกลายเป็นตัวร้ายที่กลั่นแกล้งพระเอกในซีรีย์เรื่องนึง แต่จะมาว่าผมคนเดียวก็ไม่ได้
ทีตอนที่ผมโดนกลั่นแกล้งก็ไม่เห็นมีใครออกมาปกป้องผมสักคน
“บทจะใจแข็ง คุณก็ใจแข็งเป็นหินเลยนะแบคฮยอน”
“ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกแย่ ผมก็ไม่ว่าถ้าคุณจะถอยหลังกลับ”
“ผมไม่ถอยกลับง่ายๆหรอกคนดีของผม”
“แต่ทุกการลงทุนมันมีความเสี่ยง แล้วคุณแน่ใจเหรอว่าคุณพร้อมจะเสี่ยงกับผม ชานยอล”ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ว่ากันตามตรงผมก็พอจะทำใจไว้บ้างว่าเขาคงทนกับผมได้ไม่นานเพราะคนอย่างเขาต่อให้จะดูแลใครเป็น แต่ก็มีความคิดอย่างอื่นไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไปอยู่
ถ้าเกิดเขาทนไม่ได้กับการเล่นตัวหรือการเอาคืนของผม ผมก็ยินดีให้เขาเดินออกจากชีวิตผมไปและผมก็จะไม่ไปวุ่นวายในชีวิตของเขาอีก
ทว่า...
“ผมเป็นนักธุรกิจแบคฮยอน ผมพร้อมที่จะเสี่ยงเสมอถ้าผลลัพธ์มันคุ้มค่า”
“…”
“และคุณคือกำไรที่ยิ่งกว่าคุ้มสำหรับผมอีก”
“งั้นก็เดินทางดีๆครับ”ผมทำเป็นคนดีเดินไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับให้เขาเว้นระยะห่างไม่ให้อีกฝ่ายทำอะไรกับผมได้ ชานยอลส่ายหน้าใส่ผมเบาๆผมมองเห็นความเอ็นดูในสายตาของเขา เจ้าตัวยอมจะขึ้นลงไปโดยมีผมปิดประตูรถให้ เขาลดกระจกลงเพื่อที่พวกเราจะได้คุยกันอีกครั้ง
และมันอาจเป็นรอบสุดท้ายของวันนี้
“ตอนเย็นผมจะโทรหา”
“บางทีมือถือผมอาจจะหาย”
“ถ้าคุณไม่รับ ผมจะบุกมาที่บ้าน”
“ผมก็จะไปนอนที่คอนโดของพ่อ”
“ผมจะตามไป”
“ถ้าหาเจอก็ลองดูครับ”ผมตอบกลับอย่างท้าทายนั่นทำให้ชานยอลอมยิ้มบางๆเหมือนชอบใจ ไม่นานนักเราก็บอกลากันแล้วเขาก็ขับรถออกไป ผมรอจนรถของเขาลับสายตาจากนั้นก็เดินกลับเข้ามาในบ้านเพื่อขึ้นห้องของตัวเอง
หลังจากตอนนั้นผมก็ไม่มีอะไรทำยาวไปเลย จะให้โทรไปคุยกับลู่หานหรือจงอินก็คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่อยากจะบอกใครเรื่องนี้โดยเฉพาะกับจงอิน มันคงดีถ้าเราห่างกันสักพักหรือไม่ก็เลิกยุ่งเกี่ยวกัน มันอาจจะไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นแต่ผมก็ไม่อยากให้เขาเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของผมอีก
มันผ่านมาพักใหญ่แล้วที่ผมเลิกรู้สึกกับจงอิน
และไปรู้สึกกับคนอื่นแทน
“แบคฮยอน”
“คุณพ่อ” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นรั้งให้ผมหันไปมองคุณพ่อที่เปิดประตูเข้ามา รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าพาให้ผมยกยิ้มตาม “วันนี้กลับเร็วจังครับ”
“แค่ไปเอางานที่บริษัทกับไปเคลียร์ปัญหาให้ลูกชายจอมแสบของพ่อเองครับ”
“…”
“แล้วตกลงว่าเขามาไหม”
“กลับไปแล้วครับ”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ?”
“ประมาณนั้นครับ พ่อไม่ต้องห่วง”ผมพูดพร้อมยันตัวเองขึ้นมานั่งบนเตียงดีๆเขยิบกายให้อีกฝ่ายนั่งได้อย่างไม่อึดอัด “พ่อไปคุยอะไรกับเขาเหรอ ทำไมเขาถึงมาได้”
“ก็ไม่มีอะไร แค่ไปสะกิดใจคนหวงหลานก็เท่านั้น”
“พ่อคงไม่ได้ไปพูดอะไรแรงๆกับเขาใช่ไหมครับ มันไม่ดีนะถ้าพ่อกับเขาต้องมาเคืองกันเพราะผมน่ะ”
“อย่ากังวลไปเลยเด็กน้อยของพ่อ”
“…”
“พ่อไม่ได้ทำอะไรร้ายกาจอย่างที่ลูกคิดหรอก เราแค่แลกเปลี่ยนความคิดกันนิดหน่อยเองJ”
“แน่ใจนะครับว่าไม่มีอะไร ?”
“เชื่อพ่อสิ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”ผมหรี่ตาลงนิดหน่อยลึกๆในใจก็ไม่ได้เชื่อคำของพ่อทั้งหมด ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้คิดจะไปกดดันหรือเซ้าซี้เขา มันอาจทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยหน่าย อีกอย่างพ่อเองก็มีเรื่องให้คิดมากมาย ผมไม่อยากให้ตัวเองเป็นหนึ่งในเรื่องที่พาให้พ่อกดดันหรือเครียดตาม
ผมถูกสอนให้แก้ปัญหาของตนเองเท่าที่กำลังไหวเพราะงั้นผมจะไม่ให้ใครมาวุ่นวายกับปัญหาของผม
แค่ที่พ่อทำให้ มันก็มากพอแล้ว
“งั้นลูกจะทานข้าวเย็นกับพ่อไหม”
กึก !
“เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันมาสักพักแล้วนะ”คุณพ่ออาศัยจังหวะที่ผมเงียบไปเปลี่ยนเรื่องเพื่อเข้าประเด็นอื่น แน่นอนผมชะงักเล็กน้อยด้วยความไม่ทันตั้งตัว “คงดีไม่น้อยเลยถ้าได้คุยกันบ้างหลังจากที่ไม่ค่อยได้คุยกัน”
“แค่พ่อชวนผมทานข้าว แค่นี้ผมก็ยอมแล้วครับ ไม่ต้องยกประเด็นอะไรมาอ้างหรอก”
“ก็แหม เดี๋ยวนี้ตัวเล็กของพ่อชอบคิดอะไรมากมายนี่น่า”
“…”
“พ่อเลยคิดว่าต้องอ้างเหตุผลเยอะๆลูกถึงจะยอมไป”
“พ่อก็”
“ฮ่าๆ”คนเป็นพ่อหัวเราะเบาๆเป็นเชิงขบขันระคนเอ็นดูผมที่ทำงอแงใส่ นานแล้วที่ผมไม่เห็นพ่อหัวเราะ ส่วนใหญ่จะเห็นท่านยิ้มมากกว่า พ่อของผมเป็นคนยิ้มเก่งและมักพูดโน้มน้าวใจคนได้ง่าย คงเป็นเพราะภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและนิสัยของเขา
ทุกอย่างที่พ่อเป็นทำให้บรรดาสาวๆอยากจะเข้ามาหา
น่าเสียดายที่พ่อไม่มองใครเลยตั้งแต่แม่จากไป หรือไม่...
ท่านอาจแอบซุกไว้แต่ผมไม่รูก็เป็นได้ ซึ่งผมจะไม่ขอก้าวก่าย ผมคิดว่าผู้ใหญ่อย่างพ่อถ้ามีอะไรเขาน่าจะเลือกพูดออกมาตรงๆมากกว่าเก็บเอาไว้ อีกอย่างเราก็มีกันอยู่แค่นี้จะปิดบังกันไปทำไม สักวันเราก็ต้องรู้จากปากของใครสักคนอยู่ดี
และผมก็หวังว่ามันจะมาจากปากของพ่อผมเอง
เราสองคนเดินลงมาทานข้าวที่ห้องอาหารด้านล่างตามคำชวนของพ่อ ระหว่างทางเราก็พูดคุยกันเป็นปกติ คงเพราะช่วงชีวิตของผมมีแต่พ่อมาตลอด ผมถึงสบายใจทุกครั้งเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ผมชอบที่พ่อไม่เคยกดดันหรือว่าบังคับให้ผมทำอะไร ท่านจะคอยสั่งสอนดูแลผมไกลๆให้ผมหัดเดินด้วยตัวเองมากกว่า
มันถือว่าเป็นเรื่องดีในระดับนึง ผมคิดว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นแบบนี้กัน
“แล้วเรื่องของจงอินเราล่ะว่าไง”
“…”
“ได้ข่าวว่าเขาก็ตามจีบเราอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับพ่อ”
“หืม ?”
“เรื่องของผมกับจงอิน...มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ”ผมถอนหายใจถึงกับหยุดชะงักการทานข้าว รู้สึกเหนื่อยหนักเวลานึกถึงเรื่องของคนที่พ่อเพิ่งเอ่ยชื่อออกมา “ผมไม่ได้รักเขาแล้ว และต่อให้เขาจะรู้สึกยังงั้นกับผม ผมก็ไม่สามารถพาตัวเองกลับไปอยู่ในจุดนั้นได้”
“ลูกเลือกได้แล้วใช่ไหมว่าลูกอยากฝากใจไว้ที่ใคร”
“ผมก็ไม่แน่ใจ”
“…”
“ผมไม่รู้ว่าชานยอลจะดูแลหัวใจผมได้นานแค่ไหน แต่ที่ผมรู้คือจงอินไม่ใช่ตัวเลือกของผม”ผมเลือกที่จะบอกความจริง การปิดบังกับพ่อไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากทำนัก “ซึ่งผมก็ไม่ได้มีตัวเลือกนักหรอก พ่อก็รู้”
“ไม่จริงหรอก ลูกมีตัวเลือกเยอะแยะแค่ไม่รู้จักเลือกมากกว่า”
“อะ...”
“ถ้าลองเปิดตาลูกก็อาจจะเห็นแค่คนทั่วไป แต่ถ้าลูกลองเปิดใจ...”
“…”
“บางทีคนใจร้ายอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าก็เป็นได้นะJ”
ผมทำเพียงพยักหน้าเป็นการตอบรับคำพูดของพ่อเท่านั้นก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะผมไม่อยากให้เราเอาเรื่องนี้มาคิดกันหลายรอบ มันควรจะจบที่ผมเหมือนที่เริ่มที่ผม มันดีกว่าถ้าผมจัดการเรื่องนี้กับชานยอลเพียงสองคน การดึงคนอื่นมายุ่งด้วยไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นพ่อของผมก็ตาม
หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็ขอตัวขึ้นไปบนห้อง ทำงานทำการที่ค้างคาเอาไว้ ตั้งแต่มีชานยอลเข้ามาผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าไหร่ คงเพราะเขาทำให้ผมต้องมานั่งคิดอะไรมากมายก็ได้มั้ง เพราะงั้นตอนที่เขาโทรมาผมก็เลยเลือกที่จะไม่รับสาย
ทำเป็นหูทวนลมซ้ำๆไปแล้วจมหายไปกับหนังสือเรียน
กระทั่งเช้าวันใหม่
ก๊อกๆ !
“คุณหนูคะ ถึงเวลาไปเรียนแล้วนะคะคุณหนู”
“อือ...”เสียงแม่บ้านที่ยืนเคาะประตูเป็นนาฬิกาปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ไม่รู้เลยว่าเมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหน รู้แค่ว่าผมเผลอหลับไปทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงโต๊ะอ่านหนังสือ เล่นเอาต้องบิดขี้เกียจหลายๆรอบคลายความเมื่อยล้าที่กัดกิน
“คุณหนูคะ”
“ผมตื่นแล้วครับ เดี๋ยวผมลงไป”
“แต่...”
“ไม่เกินสิบห้านาทีครับ”ผมตอบกลับแล้วรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำไม่สนใจเสียงของแม่บ้านที่เหมือนกับมีบางอย่างติดค้างอยากพูดให้ผมฟัง ถึงอย่างนั้นด้วยเวลาที่มีก็พาให้ไม่สนใจ พอแต่งตัวเสร็จผมก็รีบคว้ากระเป๋าใบเก่งตัวเองลงไปข้างล่าง
ก่อนที่ฝีเท้าจะหยุดชะงักเมื่อพบว่ามีคนมายืนต้อนรับผมที่บันไดขั้นสุดท้าย
“ชานยอล ?”
“อรุณสวัสดิ์ครับนิสิต”
“คุณมาทำอะไรที่นี่ ?”
“มารับคุณไปเรียนJ”ชานยอลว่าพลางยกยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่ทำให้ผมไม่ค่อยไว้ใจ ผมย่นคิ้วนิดหน่อยไม่ได้หัวเสียกับที่เขามาโดยไม่บอกกล่าว แค่คิดว่าเขาควรจะหักห้ามใจมากกว่านี้เพราะผมรู้ว่าทุกเช้าเขาจะต้องเข้าประชุมที่บริษัท
ไม่ใช่มาคอยรอรับพานักศึกษาอย่างผมไปเรียน
“ผมคิดว่าคุณควรไปทำงานได้แล้วนะ ไม่งั้นคุณจะสาย”
“ผมจะไปหลังจากที่ส่งคุณเสร็จ”
“ผมไปเองได้และมันสะดวกกว่า”
“แต่เพื่อความสบายใจ ผมจะไปส่งคุณ”ผมกลอกตาระคนถอนหายใจใส่คนขี้ตื้อที่เห็นแล้วอดรู้สึกหงุดหงิดเบาๆไม่ได้ ถึงผมจะไม่เคยไปบริษัทของชานยอล แต่ผมก็รู้ว่างานของเขารัดตัวขนาดไหน เขาเป็นถึงผู้บริหารใหญ่ ควรเหรอที่จะมาทำตัวแบบนี้ให้คนอื่นเอาไปนินทา
ซึ่งก็เหมือนชานยอลจะรู้ว่าผมแอบบ่นเขาในใจ เขาถึงได้ยกยิ้มอีกครั้งผายมือไปทางห้องอาหารราวกับตัวเองเป็นพ่อบ้าน ทั้งที่ความจริงเขาไม่ใช่และไม่มีวันเป็นได้
“ไปทานอาหารเถอะครับ เดี๋ยวจะไปเรียนสายเอานะ”
“อย่ามาทำเป็นเอาใจเลยชานยอล ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะให้คุณไปส่ง”
“เชื่อผมสิ คุณไม่ได้มีทางเลือกขนาดนั้นหรอก”
“หมายความว่าไง ?”
“เดี๋ยวคุณก็รู้J”รอยยิ้มของชานยอลไม่ได้ทำให้ผมไว้ใจเลยสักนิด ถึงอย่างนั้นผมก็เลิกต่อล้อต่อเถียงกับเขาแล้วเดินมาทานข้าวที่ห้องอาหาร ก่อนจะรู้ความจริงว่าวันนี้พ่อเอารถประจำบ้านไปเนื่องจากรถของตัวเองเสียกะทันหันเล่นเอาผมอยากจะบ้า
ลำพังจะให้นั่งแท็กซี่ไปมหาลัยมันก็นั่งได้ แต่แถวนี้แท็กซี่ค่อนข้างหายากถ้าเกิดผมรอให้สักคันขับมาเจอผมอาจจะต้องรอถึงเที่ยงเลยก็เป็นได้ มีหลายครั้งที่ผมอยากจะบ้าตายกับแท็กซี่แถวนี้ แทนที่หมู่บ้านคนรวยมันจะมีแท็กซี่ขับมาบ่อยๆ กลับแทบไม่มีเลยสักคัน
และผมก็คงไม่รอ ซึ่งก็อย่างที่ชานยอลบอกผมมีตัวเลือกไม่มากนัก
จริงๆผมเหลือแค่เขาเป็นตัวเลือกเดียวมากกว่า
“ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม”
“ครับ ครบหมดแล้ว”ผมตอบขณะที่กวาดตามองของในกระเป๋าเป้ตัวเอง เพื่อตรวจสอบว่าเอาของที่จะเรียนมาครบหรือเปล่าหลังจากที่ขึ้นรถเขามาแล้ว “ไปเลยครับ เดี๋ยวไม่ทัน”
“ครับคุณหนูแบคฮยอน”ชานยอลแกล้งเรียกผมราวกับว่าเขาเป็นพ่อบ้านเล่นเอาผมต้องย่นคิ้วใส่หน่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เพิ่งสังเกตว่าขอบตาเขาคล้ำลงนิดหน่อย มันเป็นนิสัยที่แปลกเพราะถ้าไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่าชานยอลจะดูแลสุขภาพมาก เขาจะไม่นอนดึกเลยถ้าไม่จำเป็น
แต่นี่เขาเหมือนอดนอนเลย
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ คุณดูเพลียๆนะ”
“เปล่า ผมแค่นอนไม่หลับตอนคุณไม่อยู่”
“…”
“ใจมันจะขาดรอนๆยังไงไม่รู้”เจ้าตัวหันมายิ้มให้ผมที่แปลกคือแววตาของเขาสะท้อนทุกความรู้สึกที่พูดออกมาคล้ายกับเสริมทัพกัน “มันคงดีถ้าผมได้นอนกอดคุณสักคืน”
“ยังไม่ใช่เร็วๆนี้แน่”
“ใจร้ายจังเลยคุณหนูแบคฮยอน”
LOADING 100 PER
เจิมรอเสี่ยงลงทุน งานนี้ใครจะได้ใครจะเสีย !
รอเยอะอัพไวนาจา ใครอยากอ่านรีบเจิมไวๆ ไม่นานเกินรอ !
ฝากติดตามด้วยน้า อย่าลืมเม้นน้า
1 เม้น 1 กำลังใจให้กำลังใจแบคฮยอน
เมื่อพูดถึงค่ำคืนของพวกเขา อย่าลืมติดแท็กในทวิต !
#ฟิคคืนของชานแบค
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฝากติดตามด้วยน้า
อยากอ่านแล้ว555555 รออยู่เสมอน้าา