ตอนที่ 2 : Until We Die [ #UntilYM ]
- Until We Die –
“ขอโทษครับ เคยเห็นผู้ชายคนนี้ไหมครับ” ชายชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า พร้อมกับยื่นรูปถ่ายที่ดูเก่าตามกาลเวลาให้หญิงสาวแปลกหน้าซึ่งสละเวลาหยุดฝีเท้าลงตามคำขอร้องของเขา
เธอพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้า
“ขอโทษนะคะ” เสียงหวานเอ่ยเสียงเบาอย่างพยายามถนอมน้ำใจ เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของคนที่ดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวพ่อของเธอ
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ และเดินจากมา
“ขอโทษนะครับ เคยเห็นผู้ชายคนนี้ไหมครับ” เขาเอ่ยคำถามเดิมแก่หญิงสาวอีกคนที่ใช้เส้นทางเดียวกัน
เพื่อจะได้ยินคาตอบที่ไม่ต้องการอีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ คุณตา”
“ไม่เป็นไรครับ” เขายังคงยิ้ม รอยยิ้มที่จางลงทุกขณะที่ก้าวเดิน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่หมดหวัง ความห่วงใยยังคงผลักดันให้เขาทาเช่นนั้นซ้ำๆ ตลอดทางเดินที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางอย่างไม่มีท่าทีว่าจะย่อท้อ
อาจเพราะมันกลายเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันของเขาไปเสียแล้วตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
การตามหาชายในรูปถ่ายที่หายไป
มือเหี่ยวย่นอันสั่นเทา กำรูปถ่ายใบเดิมไว้แน่น ขณะเยื้องย่างไปตามฟุตบาธคุ้นเคยอย่างทุลักทุเล ด้วยโรคทางกระดูกที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย บางครั้งมันเหมือนจะเจ็บลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ จนสังขารที่เสื่อมตามกาลเวลาต้องเลือกที่จะนั่งลงบนม้านั่งข้างทาง เพื่อหยุดพักให้อาการทุเลา
เจ้าของดวงตาที่เคยกลมโตสุกใสทอดถอนใจ ขณะมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่ยังคงวุ่นวายเหมือนเคย แต่คงจะไม่ว้าวุ่นเท่าหัวใจที่เต้นช้าลงของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยความห่วงหาใครอีกคนที่เลือกจากเขาไปโดยไม่คิดเอ่ยลา
ไม่รู้ว่าป่านนี้จะไปอยู่ที่ไหน กินอะไร หรือจะนอนยังไงโดยไม่มีเตียงอุ่นๆ ซึ่งมีเขาอยู่ข้างกาย… ถึงอีกฝ่ายจะอยู่ได้ แต่เป็นเขาเองที่คงตรอมใจเข้าสักวันถ้าหากทุกวันยังดำเนินไปอย่างว่างเปล่าแบบนี้
คิดได้ดังนั้น ร่างเล็กแสนเชื่องช้าก็ฉุดตัวเองขึ้นมาแล้วเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยคำถามที่เป็นดั่งความหวังต่อคนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปมา
“ขอโทษครับ เคยเห็นผู้ชายคนนี้ไหมครับ”
เวลาผ่านไป
ร่างเล็กยังคงเคลื่อนกายไปอย่างเชื่องช้า ภายใต้สภาพอากาศที่ไม่เลวร้ายนัก เขาหยุดพักเป็นบางครั้งและเดินต่ออย่างไม่คิดจะลดละความพยายามจนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตรงหน้ากลายเป็นภาพของพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเสียแล้ว
เขาบอกตัวเองว่าคงต้องพอเท่านี้ วันนี้เขาเดินได้ไกลกว่าที่ตั้งใจ ไม่คาดคิดเลยว่าขาอันอ่อนแรงทั้งสองข้างจะพาตัวเองมาจนถึงที่นี่ได้ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าของเขาคือตรอกเล็กๆ ซึ่งนำไปสู่สถานที่ที่ส่งเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังมาเชื้อเชิญเข้าจากไกลๆ
มันคือสถานที่ที่เขาและใครอีกคนพากันมาบ่อยครั้ง ในวันที่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือต้องการหลบหนีจากความวุ่นวายรอบกายเพื่อหาความสงบสบายใจ
แค่ได้นั่งพิงหลังกันบนหาดทรายตรงหน้านั้น มองทะเลและท้องฟ้าที่บรรจบกัน ก็เหมือนจะลบล้างทุกความทุกข์ในใจโดยไม่ต้องเอ่ยอะไร
แต่ดูเหมือนวันนี้ทะเลและหาดทรายจะต่างไปจากที่เคย เมื่อเขาต้องมายืนมองมันอย่างเดียวดาย
ชายชราเดินมาหยุดยังจุดเดิมบนหาดทรายที่เขาเคยนั่ง ทอดสายตาออกไปมองพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนกายเข้าสู่ความมืดอย่างเชื่องช้าไม่ต่างจากชีวิตของเขาในปัจจุบัน ในหัวนึกย้อนกลับสู่อดีตอันแสนหวานซึ่งเขาไม่อยากให้ภาพเหล่านั้นกลายเป็นเพียงความทรงจำ ที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อีก
ถ้าเป็นไปได้ ขอแค่เพียงบั้นปลายเขาได้กลับไปใช้ชีวิตเช่นนั้น… ชีวิตที่ไม่ต้องอยู่คนเดียวเพียงลำพัง
พรึ่บ~
ราวกับเสียงพระเจ้าตอบรับคำปรารถนา สายลมที่เปลี่ยนทิศทางโดยฉับพลัน หอบเอาบางอย่างปลิวมาปะทะกับร่างเขา
มันคือกระดาษจำนวนมากที่ตกกระจัดกระจายอยู่ตามหาดทรายที่ร้างผู้คน เจ้าของมือขาวซีดหยิบมันขึ้นมาเพ่งพิจารณาผ่านสายตาที่ฝ้าฟางลงจนแทบจะมองไม่เห็นตัวหนังสือที่บันทึกอยู่ในกระดาษสีเหลืองเก่าๆ ที่ถูกซีนไว้อย่างดีนั้น
แต่เพียงไม่นานหลังจากพยายามอ่านไปเพียงหนึ่งบรรทัด ดวงตาทั้งสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นมาด้วยแววตาเป็นประกาย หัวใจของเขากลับมาสูบฉีดอย่างที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้มานานนับเดือน เมื่อจำได้แม่นว่าข้อความเหล่านั้นคือเนื้อความที่บ่งบอกว่ามันคือจดหมาย
จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเขาเอง
ชายชราขยับร่างกายที่แสนต้วมเตี้ยมลุกขึ้นตามเก็บกระดาษเหล่านั้นขึ้นมาทีละแผ่น โดยไม่สนใจเลยว่ามันจะส่งผลให้แผ่นหลังของเขาทางานอย่างหนักหนาเพียงใด ในใจเขาหวังเพียงว่ากระดาษที่อัดแน่นไปด้วยลายมือของเขา จะนำพาไปยังสิ่งที่ในใจเขากำลังปรารถนา
เขามองหา และเก็บกระดาษเหล่านั้นขึ้นมาอย่างร้อนใจ แต่ไม่อาจรีบได้เกินกว่าร่างกายจะอำนวย
จากแผ่นที่หนึ่ง สู่แผ่นที่สิบ...
ยี่สิบห้า...
สี่สิบ...
หกสิบ...
แปดสิบ...
จนกระทั่งถึงแผ่นที่เก้าสิบเก้า...
เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหากระดาษแผ่นสุดท้ายอย่างยากลำบากเพราะอาการปวดตามเนื้อตัวเริ่มเล่นงานจนแทบจะยืนไม่ไหว ได้แต่พยายามประคับประคองตัวเองไม่ให้ล้มลงไปก่อนที่สิ่งที่ปรารถนาในใจจะเป็นจริง
อยู่ไหนกัน?
ในหัวตั้งคำถาม แต่แล้วไม่นานคำตอบก็ระจ่างชัดแก่สายตา เขารู้แล้วว่าที่ไม่อาจหากระดาษแผ่นนั้นพบบนหาดทราย ไม่ใช่เพราะมันหาย หรือปลิวตกทะเลไปแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะกระดาษแผ่นสุดท้าย ยังคงถูกรักษาไว้ในอ้อมแขนของชายอีกคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาจากหลังต้นไม้ใหญ่บนชายหาดราวกับรู้ตัวว่าการเล่นซ่อนหาของเขาได้จบลงแล้ว
ชายตัวโตแต่อายุน้อยกว่าก้าวอย่างเชื่องช้ามายังจุดที่ชายชรายืนอยู่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจ คำขอโทษมากมายผุดขึ้นมาในหัวเขาเมื่อคิดได้ว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายกำลังลำบากทั้งกายและใจ
“พี่ตามหาผมทำไม” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลออกมา เมื่อได้เห็นใบหน้าแสนหวานของคนตัวเล็กอีกครั้ง
แน่นอนว่า การที่เขาเลือกจากมาไม่ใช่เพื่อให้อีกฝ่ายดั้นด้นตามหาเป็นเวลาแรมเดือน เขาเพียงแต่ต้องการหายไป ก่อนที่ความทรงจำมากมายของเขาจะถูกลบเลือนด้วยโรคร้ายที่กำลังเล่นงาน
“นายรู้เหตุผลอยู่แล้ว” ชายชราผู้ตามหาตอบพลางคลี่ยิ้มบางๆ
รอยยิ้มที่ยังคงอบอุ่นอยู่เสมอในสายตาของคนที่อายุน้อยกว่า ไม่เคยถูกทำร้ายด้วยกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป
คนที่เคยหายไปก้มลงมองกระดาษที่อยู่ในมืออันสั่นเทาของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยคำถามราวกับจะตอกย้ำความแน่ใจ
“ถ้าผมเก็บมันไว้ มันจะช่วยให้ผมจำได้หรือเปล่า”
“...”
“ถ้าผมอ่านมันทุกวัน มันจะทำให้ผมไม่ลืมใช่ไหม”
ริมฝีปากบางยังคงยิ้ม ก่อนจะเอ่ยคำตอบที่รู้ดีว่าคนตั้งคำถามต้องการ “แน่นอน”
ได้ยินดังนั้นคนตัวโตก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เขาปล่อยให้มันไหลออกมาพร้อมกับพร่ำพูดคำขอโทษกับการตัดสินใจอันโง่เขลาที่ผ่านมา เขารู้ดีว่าคำตอบของคนรักไม่ได้เป็นเพียงคำโกหกหรือคำปลอบใจ แต่เป็นความจริงที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอตลอดมา
ไม่จำเป็นว่าเขาจะเก็บมันไว้หรือเปล่า ไม่จำเป็นเลยว่าเขาจะลืมเรื่องราวทั้งหมดในนั้นไหม เพราะไม่ว่ายังไง ความรักและความห่วงใยที่มีให้กันเสมอมาและตลอดไปก็เด่นชัดในความรู้สึกอยู่เสมอในทุกช่วงเวลา
ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าจะอยู่ด้วยกันได้อีกนานแค่ไหน รู้เพียงแต่... จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ก็อยากได้ยินลมหายใจของอีกฝ่ายที่อยู่เคียงข้างกัน
เหมือนใจความในจดหมายฉบับสุดท้าย ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของชายที่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ไม่ต่างจากในวันแรกที่เขาได้รับมัน
ถึง คิมยูคยอม
เจ้าเด็กอ้วน นายจะใจแข็งไปอีกนานแค่ไหนกัน? ถึงฉันจะเป็นคนบอกเองว่าจะไม่ยอมฟังคาตอบของนายจนกว่าจะเขียนจดหมายครบร้อยฉบับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะต้องเมินฉันจนกว่าจะถึงฉบับที่ร้อยนี่ นายมันน่าตีชะมัด
นี่เป็นจดหมายฉบับที่หนึ่งร้อย ฉบับสุดท้ายที่ฉันจะเขียนถึงนายตามที่ตกลงกัน และถ้ามันไม่สามารถทาให้นายเปลี่ยนใจได้ ฉันก็จะปล่อยนายไป ไม่รบกวนอีก…
ให้ตาย นี่มันยากชะมัด ฉันจะตัดใจจากนายง่ายๆ ได้ยังไงกัน ในเมื่อผ่านความพยายามมามากขนาดนี้ ไม่รู้ว่านายจะรู้ไหม ยิ่งฉันเขียนถึงนาย ฉันก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองรักนายมากขึ้นทุกที… นี่ฉันพูดจริงนะ!
แต่เอาเถอะ ฉันมันเป็นคนรักษาสัญญา ถ้านายบอกว่าไม่ ฉันก็จะไป ไม่เซ้าซี้อะไรอีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันอนุญาตให้นายเผาจดหมายทุกฉบับทิ้ง รวมถึงฉบับนี้ด้วย เพื่อที่จะได้ไม่เหลือหลักฐานอะไรให้ค้างคา…
เฮ้อ ไม่รู้ว่าเพราะมันเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายหรือเปล่า ฉันเลยรู้สึกห่อเหี่ยวใจจนคิดคาที่จะเขียนไม่ออก ฉันจะไม่บอกรักนาย เพราะฉันบอกไปแล้วในจดหมายก่อนหน้านี้ทั้งเก้าสิบเก้าฉบับ และฉันคิดว่านายคงจะแอบราคาญใช่ไหม ฮะๆ
ดังนั้นสิ่งที่ฉันเขียนต่อไปนี้จะไม่ใช่คาบอกรัก… แต่เป็นการอ้อนวอน
เพราะไม่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องของเราจะจบลงยังไง แต่เชื่อฉันเถอะว่าฉันแน่ใจ
ว่าถ้าไม่ใช่นาย ฉันก็ไม่รู้จะตายไปพร้อมใครแล้วจริงๆ
ป.ล. รับรักกันสักที
พี่ต้วน
(ว่าที่สามี)
----------------------------------------------------------------
เป็นอีกเรื่องที่เขียนขึ้นเพราะแท็กจะแต่งฟิคให้คนที่มารีค่ะ
เรื่องนี้แต่งให้คุณขวัญ ซึ่งชิปคยอมมาร์คอีกแล้ว ทวีความชิปให้เราไปอีก 5555
เขียนขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่า มันคงเป็นความรู้สึกที่ดีเนอะ ถ้าคู่ชิปของเราได้อยู่ด้วยกันไปจนนิรันดร์
ต่อให้แก่เฒ่า เจ็บป่วยก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกัน ไม่อยากทิ้งกันไปไหนไรงี้ 5555
ใครอ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไง ก็คอมเมนต์ได้เลยนะคะ
ในทวิตเตอร์ฝากแท็ก #UntilYM นะ
ขอบคุณมากค่า
-Makok_num -
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เมื่อก่อนยังให้พี่เขียนจดหมายตั้งร้อยฉบับกว่าจะเป็นแฟน ใจร้ายนะเรา น่าตีจริงๆด้วย
เราชอบคอนเซปต์ที่ว่าไม่ว่าจะแก่เฒ่าหรือเจ็บป่วยก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกัน
ไม่รู้ว่าจะได้อยู่อีกนานแค่ไหน แต่จนกว่าลมหายใจสุดท้ายก็อยากอยู่ข้างกัน
ฮือ ดีจังค่ะ แต่เจ็บแทงใจคนโสดเหลือเกิน 555555555