ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สะใภ้สายลับ 2

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 เสือสองตัว ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.23K
      5
      20 พ.ค. 57

    สะใภ้สายลับ 2

     

    บทที่ 4

    เสือสองตัว

    ตอนที่ 1

     

     

                                    เสียงพูดคุยจอแจในห้องพิจารณาคดีหยุดชะงักลงทันที เมื่อบุรุษหนุ่มในชุดครุยตุลาการปรากฏตัวบนบัลลังก์ ร่างสูงสง่าค้อมกายถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนบัลลังก์อันทรงเกียรติ ซึ่งทุกอิริยาบถของเขาถูกจับจ้องด้วยสายตาของคนทั้งห้อง บางคู่มองด้วยความยำเกรง บางคู่มองด้วยความชื่นชม แต่ส่วนใหญ่มองด้วยความประหลาดใจ ด้วยไม่คาดคิดว่าผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายในคดีนี้ จะเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ที่มีรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ดวงตาคมกริบ คิ้วดกหนาได้รูป จมูกโด่งเป็นสันรับกับโหนกแก้ม ริมฝีปากหยักลึกไม่หนาไม่บาง ผิวขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา หล่อจนไม่น่ามาเป็นผู้พิพากษา

     

     

                                    ปารวีกวาดตามองไปรอบห้องพิจารณาคดี ก่อนหยุดสายตาที่จำเลยในคดีนี้ เขาเป็นชายอายุสี่สิบห้าปี รูปร่างสันทัด ผิวสีน้ำตาลแดง ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนถูกจับกุมในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 27 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และให้การยืนยันคำเดิมในชั้นศาล เมื่อพิจารณาจากสำนวนคดีแล้ว พบว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เขาจึงนัดจำเลยมารับฟังคำพิพากษาในวันนี้

     

     

                                    “เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้บังอาจร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 ข้อ 2 และท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับดังกล่าว ชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ลำดับที่ 20 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจำเลยได้ทราบประกาศนี้แล้ว จำนวน 27 เม็ด น้ำหนักสุทธิ 2.694 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 0.235 กรัม ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์ท้ายฟ้อง”

     

     

                                    ผู้พิพากษาหนุ่มอ่านคำพิพากษาด้วยเสียงอันหนักแน่น ชัดเจน และเยือกเย็น ใบหน้าคมคายเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ใดๆ เมื่อขึ้นทำหน้าที่บนบัลลังก์ตุลาการ เขาไม่อาจนำความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องได้ คำตัดสินทุกคำต้องผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม ด้วยเหตุและผลตามตัวบทกฎหมาย และคุณธรรมอย่างดีที่สุด

     

     

                                    “ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ของกลางเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้ ระหว่างสอบสวนจำเลยถูกควบคุมตั้งแต่วันที่ถูกจับตลอดมา ในชั้นศาลจำเลยให้การยืนยันคำเดิม และปรากฏว่าก่อนคดีนี้ จำเลยเคยต้องคำพิพากษาที่สุดให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 6 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนอยู่ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี เข้าเกณฑ์บวกโทษคดีก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ปรากฏตามรายการประวัติท้ายฟ้อง” เขาหยุดหายใจนิดหนึ่ง ก่อนอ่านคำพิพากษาต่อด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากเดิม

     

     

                                    “ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่าจำเลยมีความผิดจริงฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จึงพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี และเมื่อนำไปบวกกับโทษในคดีก่อน จึงพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จบคำพิพากษา”

     

     

                                    ปารวีลุกขึ้นเดินลงจากบัลลังก์ แต่ต้องหยุดชะงัก เมื่อเหลือบไปเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่หลังห้องพิจารณาคดี เขาสวมแว่นสายตาอันใหญ่ ดวงตาใต้เลนส์ใสจ้องมองเขาเขม็ง จนรู้สึกถึงความเยียบเย็นที่ส่งมากับสายตา ชายคนนั้นค้อมศีรษะให้เขา แล้วเดินออกไปจากห้องพิจารณาคดี

     

     

                                    “อาคม” ผู้พิพากษาหนุ่มพึมพำอย่างประหลาดใจ ชายคนนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมือขวาของเสี่ยวิบูลย์ไม่ผิดเพี้ยน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้อาคมรับโทษอยู่ในเรือนจำ

     

     

                                    “คงไม่ใช่หรอก” ปารวีส่ายหน้าปฏิเสธความคิดของตัวเอง ก่อนเดินลงจากบัลลังก์ออกไปทางประตูด้านหลังที่มีไว้สำหรับผู้พิพากษา

     

     

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

     

                                    ภายในห้องรับแขกของบ้านอิทธินันต์ คุณหญิงเพียงแขทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามแขกทั้งสองของตน แขกคนแรกคือคุณหญิงดวงสมรมารดาของชลิตา ส่วนคนที่สองเป็นหมอดูชื่อดังที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี ซึ่งคุณหญิงดวงสมรนัดให้มาดูดวงนางถึงบ้านพัก

     

     

                                    “สวัสดีครับ” หมอดูหนุ่มกระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อม คุณหญิงเพียงแขรับไหว้ แล้วหันไปพูดกับคุณหญิงดวงสมร

     

     

                                    “ยังหนุ่มอยู่เลยนะคะ”

     

     

                                    “อย่าดูคนแต่ภายนอกสิคะ ถึงจะยังหนุ่มแต่ท่านหมอเก่งมากนะคะ ทำนายแต่ละครั้งแม่นเหมือนตาเห็น”

     

     

                                    “จริงเหรอจ๊ะ” คุณหญิงเพียงแขหันไปมองหมอดูหนุ่มอย่างสองจิตสองใจ ในความคิดของนางเขาดูไม่เหมือนหมอดูเท่าไร แต่คุณหญิงดวงสมรกลับยืนยันอย่างมั่นใจ

     

     

                                    “จริงสิคะ ลูกค้าของท่านหมอมากมาย น้องจองคิวตั้งสามเดือนกว่าจะพาท่านมาได้ น้องว่าเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ เพราะเดี๋ยวท่านหมอต้องไปดูที่อื่นอีก”

     

     

                                    “ก็ได้จ้ะ” คุณหญิงเพียงแขพยักหน้า แล้วหันไปถามหมอดูหนุ่ม “ฉันต้องทำอะไรบ้างจ้ะ”

     

     

                                    “ขอแค่วันเดือนปีเกิดก็พอครับ”

     

     

                                    “นี่จ้ะ” คุณหญิงเพียงแขส่งกระดาษจดวันเดือนปีเกิดของปารวีให้เขา หมอดูหนุ่มรับไปดู ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย

     

     

                                    “นี่ไม่ใช่วันเดือนปีเกิดของคุณหญิงนี่ครับ”

     

     

                                    “ก็ไม่ใช่น่ะสิ คุณหญิงดวงสมรไม่ได้บอกพ่อหมอเหรอว่าฉันจะดูดวงให้ลูกชาย ไม่ได้ดูดวงให้ตัวเอง”

     

     

                                    “ไม่ได้บอกครับ แต่ก็ไม่เป็นไร ดูให้ใครก็เหมือนกัน ผมดูได้ทุกคนครับ” เขาหยิบแท็ปแล็ตออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วก้มหน้าลงเขียนอักขระแปลกๆ ลงบนตารางที่ออกแบบไว้แล้ว เขียนไปก็ถอนใจไป จนคนรอคำทำนายเริ่มร้อนใจ

     

     

                                    “เป็นยังไงบ้างจ้ะ”

     

     

                                    “วาสนาดี เป็นอภิชาตบุตร ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยทำให้พ่อแม่หนักใจ หยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จ ตอนเด็กๆ เคยเจ็บหนักอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อปีที่แล้วมีเคราะห์หนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด” หมอดูหนุ่มตอบ โดยไม่ละสายตาจากแท็ปเล็ตของตน มือซ้ายทำท่าเหมือนนับ ส่วนมือขวาเขียนตัวเลขลงบนหน้าจอแท็ปเล็ตอย่างคล่องแคล่ว

     

     

                                    “แม้นแม่นนะคะคุณหญิง” คุณหญิงดวงสมรเอ่ยชมเสียงใส คุณหญิงเพียงแขพยักหน้าเห็นด้วย จากที่ไม่ค่อยเชื่อถือในตอนแรก เปลี่ยนเป็นคล้อยตามอย่างไม่รู้ตัว

     

     

                                    “แล้วยังไงต่อจ๊ะ” นางถามอย่างสนใจ

     

     

                                    “อีกหน่อยจะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่” เขาหยุดพูดแล้วเงยหน้ามองนาง “แต่ต้องมีภรรยาที่ดวงส่งเสริมกันด้วยถึงจะดี ไม่ทราบว่าลูกชายคุณหญิงแต่งงานหรือยังครับ”

     

     

                                    “แต่งแล้วจ้ะ นี่วันเดือนปีเกิดลูกสะใภ้ฉัน” คุณหญิงเพียงแขรีบส่งกระดาษจดวันเดือนปีเกิดของลูกสะใภ้ให้เขา หมอดูหนุ่มรับไปดู แล้วก้มหน้าลงเขียนตัวเลขลงบนหน้าจอแท็ปเล็ต ก่อนถอนใจแล้วเงยหน้ามองอย่างเสียดาย ทำเอาคนรอฟังนั่งไม่ติดขึ้นมาทันที

     

     

                                    “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”

     

     

                                    “ผู้หญิงคนนี้ดวงแข็ง จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้” เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คุณหญิงเพียงแขนิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

     

     

                                    “แล้วดีไหมจ้ะ”

     

     

                                    “ดีครับ แต่ดวงไม่สมพงศ์กับลูกชายของคุณหญิง เปรียบเสมือนราชสีห์สองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ขืนอยู่ด้วยกันก็ไม่เจริญ ดีไม่ดีอาจจะทำให้อีกฝ่ายมีอันเป็นไปก็ได้ครับ”

     

     

                                    “มีอันเป็นไป” คุณหญิงเพียงแขพึมพำเสียงแผ่ว หัวใจตกวูบลงมาอยู่ที่ปลายเท้า ตั้งแต่มัลลิกาเข้ามาอยู่ในครอบครัว ปารวีตกอยู่ในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ผิดกับคำทำนายของหมอดูหนุ่มเลย

     

     

                                    “แบบนี้เรียกว่าดวงเป็นกาลกิณีต่อกันใช่ไหมคะท่านหมอ” คุณหญิงดวงสมรเอ่ยถามขึ้น

     

     

                                    “จะพูดว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” หมอดูหนุ่มพยักหน้า ก่อนขยายความให้ฟัง “ของทุกอย่างในโลกนี้ ถูกสร้างมาเป็นคู่ หยินคู่กับหยาง ชายคู่กับหญิง มังกรคู่กับหงส์ ภรรยาต้องส่งเสริมสามี แต่ดวงลูกสะใภ้ของคุณหญิงแข็งมาก จนข่มดวงของคู่ชีวิตให้อับแสงลง”

     

     

                                    “แล้วมีวิธีแก้ไขไหมจ้ะ” คุณหญิงเพียงแขเอ่ยถาม

     

     

                                    “มีครับ ต้องให้ทั้งคู่หย่ากัน เพื่อแก้เคล็ดครับ”

     

     

                                    “ลูกชายฉันไม่มีทางยอมหรอก” คุณหญิงเพียงแขส่ายหน้าอย่างหนักใจ ไม่ต้องถามนางก็รู้ว่าปารวีต้องปฏิเสธ เพราะเขาทั้งรักทั้งหลงภรรยาของตนมาก

     

     

                                    “แค่หย่าแก้เคล็ดครับ หย่าแล้วค่อยจดใหม่ ลูกชายคุณหญิงน่าจะเข้าใจ”

     

     

                                    “พ่อหมอช่วยดูดวงให้ลูกสาวฉันด้วยสิคะ” คุณหญิงดวงสมรพูดแทรกขึ้น ก่อนส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้หมอดูหนุ่ม เขารับไปดู หลังจากคำนวณตัวเลขอยู่ครู่หนึ่ง ก็เงยหน้าถอนใจอย่างเสียดาย

     

     

                                    “ดวงลูกสาวดิฉันไม่ดีเหรอคะ” นางเอ่ยถามอย่างตกใจ

     

     

                                    “ไม่ใช่ครับ” เขาส่ายหน้า “ดวงคุณหนูดีมาก ส่งเสริมสามีและวงศ์ตระกูล ใครได้เป็นคู่ครองจะรุ่งเรือง แต่น่าเสียดายนะครับ”

     

     

                                    “ดีแล้วทำไมต้องเสียดายด้วยคะ”

     

     

                                    “ผมไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือเปล่า” หมอดูหนุ่มเอ่ยอย่างลังเล

     

     

                                    “พูดมาเถอะค่ะ ดิฉันรับได้ทุกอย่าง”

     

     

                                    “ดวงคุณหนูเป็นเนื้อคู่กับลูกชายคุณหญิง เสียดายที่ไม่ได้ครองคู่กัน” เขาปิดท้ายคำพูดของตนด้วยเสียถอนใจ คุณหญิงดวงสมรหันไปสบตาคุณหญิงเพียงแข ก่อนทั้งสองจะถอนใจตามหมอดูหนุ่ม โดยเหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของท่านประพจน์ ซึ่งเดินเข้ามาในห้องรับแขกพอดี

     

     

                                    “ทำอะไรกันคุณ แข่งถอนหายใจกันเหรอ” เขาเอ่ยถามอย่างขำๆ ทุกคนหันไปมอง ก่อนคุณหญิงดวงสมรจะกระพุ่มมือไหว้ทักทาย

     

     

                                    “สวัสดีค่ะท่าน”

     

     

                                    “สวัสดีครับ” ท่านประพจน์รับไหว้ แล้วหันไปถามภรรยา “คุณหญิงยังไม่ได้ตอบผมเลยนะ ตกลงถอนใจเรื่องอะไรกันเหรอ”

     

     

                                    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณพี่จะออกไปดูกล้วยไม้ก็ไปเถอะค่ะ อย่าสนใจเรื่องของผู้หญิงเลย” คุณหญิงเพียงแขตัดบท ท่านประพจน์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนหันไปพูดกับแขกของภรรยา

     

     

                                    “ผมขอตัวนะครับ”

     

     

                                    “เชิญค่ะท่าน คุณพี่บอกว่าเรือนกล้วยไม้ของท่านงามมาก วันหลังดิฉันขอเข้าไปชมบ้างได้ไหมคะ”

     

     

                                    “ด้วยความยินดีครับ” ท่านประพจน์ยิ้มรับคำขอของนาง แล้วเดินออกไปจากห้องรับแขก พอคล้อยหลังเขาไปไม่นาน หมอดูหนุ่มก็พูดขึ้น

     

     

                                    “ถ้าคุณหญิงไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ เพราะต้องไปดูดวงที่อื่นอีก”

     

     

                                    “ขอบใจจ้ะ” คุณหญิงเพียงแขส่งซองเงินให้เขา หมอดูหนุ่มยื่นมือมารับพลางลุกขึ้นยืน

     

     

                                    “น้องจะไปส่งท่านหมอที่รถ แล้วขอตัวกลับเลยนะคะคุณพี่”

     

     

                                    “จ้ะ ขอบใจนะจ๊ะ”

     

     

                                    “ค่ะคุณพี่ น้องไปนะคะ” คุณหญิงดวงสมรกระพุ่มมือไหว้ แล้วเดินนำออกไปจากห้องรับแขก ทั้งสองเดินตามกันไปเงียบๆ จนมาถึงรถยนต์ของหมอดูหนุ่ม คุณหญิงดวงสมรมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าปลอดคนจึงหยิบซองจากกระเป๋าถือส่งให้เขา

     

     

                                    “ขอบใจนะ พ่อหมอแสดงละครได้ยอดเยี่ยมมาก คุณหญิงเพียงแขเชื่อสนิทใจเลย”

     

     

                                    “มันเป็นงานของผมอยู่แล้ว ถ้าต้องการให้รับใช้อีก เรียกผมได้ตลอดเวลานะครับ” หมอดูหนุ่มยิ้มรับคำชม ปกติเขารับดูหมออยู่แล้ว แต่คราวนี้งานง่ายกว่าเดิมเยอะ เพราะไม่ต้องออกแรงดูดวงให้ใคร แค่พูดตามสคริปต์ของคุณหญิงดวงสมรก็ได้เงินแล้ว

     

     

                                    “ได้ พ่อหมอรีบไปเถอะ”

     

     

                                    “ครับคุณหญิง” เขาค้อมศีรษะให้ลูกค้าของตน แล้วขึ้นรถขับออกไปอย่างอารมณ์ดี

     

     

                                    คุณหญิงดวงสมรมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก่อนเดินไปขึ้นรถยนต์ของตน แล้วขับตามหมอดูหนุ่มออกไป โดยไม่รู้ว่าการสนทนาของพวกเขา ตกอยู่ในสายตาของท่านประพจน์มาตลอด

     

     

                                    “ทำไปได้นะคนเรา” เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วเดินไปที่เรือนกล้วยไม้

     

     

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

     

                                    ปารวีถือกระเป๋าเอกสารเดินไปที่รถยนต์ของตน วันนี้เขามีประชุมจึงเลิกงานช้ากว่าปกติเกือบหนึ่งชั่วโมง เมื่อคำนวณจากการจราจรของกรุงเทพ เขาน่าจะกลับบ้านไม่ทันเวลาอาหารเย็น ผู้พิพากษาหนุ่มหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมา ตั้งใจจะโทรไปบอกมารดาว่าไม่ต้องรอทานอาหาร แต่ต้องชะงักมือ เมื่อเหลือบไปเห็นภรรยายืนพิงรถรอเขาอยู่ก่อนแล้ว

     

     

                                    “มะลิ” ปารวีรีบเดินเข้าไปหาด้วยความดีใจ มัลลิกาหันมามองพลางยิ้มหวานให้เขา

     

     

                                    “วีขา”

     

     

                                    “มานานหรือยัง ทำไมไม่ขึ้นไปหาพี่ที่ห้องทำงาน มายืนรอตรงนี้ทำไม” เขาชวนคุยพลางหยิบกุญแจออกมาเปิดรถ

     

     

                                    “มะลิไม่ชอบคนเยอะ รออยู่ตรงนี้ดีกว่าค่ะ”

     

     

                                    “เราเป็นโจรหรือไง ถึงได้ไม่ชอบเข้าไปในศาล” เขาหันมามองภรรยา หญิงสาวมองตอบ ก่อนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

     

     

                                    “ตำรวจกับโจรไม่ต่างกันเท่าไรหรอกค่ะ เป็นตำรวจอยู่ดีๆ ตื่นขึ้นมา อาจจะกลายเป็นโจรก็ได้”

     

     

                                    “เหมือนมะลิใช่ไหม กลางวันเป็นตำรวจจับผู้ร้าย พอกลางคืนเป็นโจรปล้นใจพี่” เขาทำตาหวานใส่ภรรยา หญิงสาวนิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง ก่อนหัวเราะอย่างขบขัน

     

     

                                    “น้ำเน่ามากเลยค่ะ”

     

     

                                    “แล้วชอบไหมล่ะ” เขาโอบเอวเธอดึงเข้ามาใกล้ หญิงสาวเงยหน้าสบตาเขา ก่อนตอบเสียงหวาน

     

     

                                    “รักสุดหัวใจเลยค่ะ”

     

     

                                    “พูดจาน่ารัก เดี๋ยวพี่ให้รางวัล” เขาปล่อยเอวภรรยา แล้วเปิดประตูรถให้เธอ หญิงสาวก้าวขึ้นไปนั่ง ก่อนเงยหน้าถาม

     

     

                                    “รางวัลอะไรคะ”

     

     

                                    ปารวีเดินไปนั่งประจำที่คนขับ ก่อนหันมาตอบเธอ “ดินเนอร์สุดหรูหนึ่งมื้อ”

     

     

                                    “แล้วอาหารเย็นล่ะค่ะ เราไม่ได้บอกคุณหญิงแม่ก่อน กลับไปต้องถูกบ่นแน่เลย”

     

     

                                    “เดี๋ยวพี่จะโทรไปบอกท่านเอง มะลิไม่ต้องกลัวโดนดุหรอก เราสองคนไม่ได้ดินเนอร์ด้วยกันมานานแล้วนะ” เขาพูดเหมือนตัดพ้อ

     

     

                                    มัลลิกามองหน้าสามี พักนี้งานของเธอค่อนข้างยุ่ง บางวันพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย หลายครั้งลืมทำหน้าที่ภรรยาที่ดี ปารวีคงแอบน้อยใจ แต่ไม่พูดออกมาตรงๆ เท่านั้น

     

     

                                    “ก็ดีเหมือนกันค่ะ วีขาอยากทานอะไรคะ” เธอถามเอาใจสามี

     

     

                                    “อาหารอิตาเลียนดีไหม พี่อยากกินพิซซ่าอบเตาถ่าน” ปารวีตอบตาเป็นประกาย เธอเอนศีรษะพิงไหล่สามีพลางยิ้มอย่างมีความสุข

     

     

                                    “ก็ได้ค่ะ วันนี้มะลิจะตามใจวีขาทุกอย่างเลย”

     

     

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

    มัลลิกา
    มาตามสัญญาค่ะ แต่ช้าไปหน่อย เพราะเร่งงานตั้งแต่เช้า บทนี้ยาวหน่อย เลยตัดเป็นสองตอน มีข่าวมาาอัพเดธ นิดหน่อย สะใภ้สายลับ จะปิดกล้องสิ้นเดือนนี้ กำหนดออนแอร์ยังไม่ทราบ แต่คิดว่าในปีนี้ และสถาพรจะทำนิยายขนาดย่ออกมาขาย หาซื้อได้ตาม 7-11 ค่ะ เอารูปมาฝากด้วย วันนี้ไปก่อนนะคะ บาย บาย


     

    ปล.รูปจากเพจ เฟิร์สเอกพงษ์ พันทิพย์ค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×