ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สะใภ้สายลับ 2

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 เสือสองตัว ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.29K
      7
      27 พ.ค. 57

    สะใภ้สายลับ 2

     

    บทที่ 4

    เสือสองตัว

    ตอนที่ 2

     

     

                                    หลังดินเนอร์อาหารอิตาเลียนจบลง ปารวีก็เรียกบริกรมาเก็บค่าอาหาร แล้วจูงมือภรรยาเดินออกจากร้าน โดยมีสายตาของสาวน้อยสาวใหญ่แอบมองด้วยความอิจฉาไปตลอดทาง ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าอิจฉามัลลิกาหรือว่าอิจฉาเขากันแน่ เพราะคืนนี้ภรรยาของเขาดูเท่มากในชุดกางเกงยีนและเสื้อแจ็กเก็ตยีน ถ้าต้องจีบสาวแข่งกับเธอมีหวังเขาแพ้หลุดลุ่ย แต่ไม่ว่าพวกหล่อนจะอิจฉาใครเขาก็ไม่เดือนร้อน เพราะกำลังมีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับภรรยาตามลำพัง

     

     

                                    เชิญครับเขาพาหญิงสาวเดินไปที่รถ ก่อนเปิดประตูให้เธอ

     

     

                                    “ขอบคุณค่ะ” มัลลิกายิ้มหวานให้เขาแล้ว แล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถ

     

     

                                    “ด้วยความยินดีครับ” ปารวียิ้มตอบแล้วเดินอ้อมหน้ารถไปประจำที่คนขับ แต่ระหว่างนั้นเขาเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งเข้า ชายคนนั้นสวมชุดดำทั้งชุดนั่งคร่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดอยู่อีกด้านของลานจอดรถ ทั้งที่เป็นเวลาพลบค่ำแต่เขายังสวมแว่นดำปิดบังใบหน้า พอเห็นว่าเขามองชายคนนั้นก็ขับรถมอเตอร์ไซต์ออกไป

     

     

                                    “มีอะไรหรือเปล่าคะวีขา” มัลลิกาลดกระจกรถลงมาถาม เมื่อเห็นว่าเขาไม่เดินมาขึ้นรถ

     

     

                                    “ไม่มีจ้ะ” ปารวีส่ายหน้าแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ เขาติดเครื่องยนต์แล้วขับรถคันโปรดของตนกลับบ้าน โดยเลือกใช้เส้นทางลัดเพื่อย่นระยะเวลา ระหว่างทางเขาเห็นรถมอเตอร์ไซต์สีดำคันนั้นขับตามมา เขาลองเปลี่ยนเส้นทางหลายครั้ง แต่รถมอเตอร์ไซต์คันเดิมก็ยังขับตามอย่างไม่ลดละ

     

     

                                    “มีอะไรเหรอคะวีขา” ภรรยาเอ่ยถามเพราะเห็นว่าเขาเงยหน้ามองกระจกหลังบ่อย

     

     

                                    “พี่คิดว่ารถมอเตอร์ไซต์คันนั้นตามเรามาตั้งแต่ออกจากร้านอาหาร” เขาพยักหน้าไปที่กระจกมองหลัง มัลลิกาเงยหน้ามองตามพลางเอ่ยเสียงเครียด

     

     

                                    “ลองเลี้ยวเข้าซอยทางซ้ายมือสิคะ”

     

     

                                    ปารวีทำตามคำแนะนำของภรรยา ก่อนถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อไม่เห็นมอเตอร์ไซต์คันนั้นขับตามมา เขาคงคิดมากไปเอง เจ้าของรถมอเตอร์ไซต์คันนั้นคงมีที่พักอยู่แถวนี้ พอเขาเปลี่ยนเส้นทางอีกฝ่ายจึงไม่ตามมา ผู้พิพากษาหนุ่มหันไปมองภรรยา มัลลิกานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวล ทั้งที่สถานการณ์คลี่คลายไปแล้ว

     

     

                                    มีอะไรหรือเปล่ามะลิ เขาเอ่ยถามพลางเลี้ยวรถเข้าไปจอดข้างทาง หญิงสาวหันขวับมามอง ก่อนโวยวายเสียงดัง

     

     

                                    “วีขาจอดรถตรงนี้ไม่ได้นะคะ มันยังไม่ปลอดภัย คนร้ายอาจจะดักอยู่แถวนี้ก็ได้”

     

     

                                    “ไม่มีคนร้ายที่ไหนหรอก รถมอเตอร์ไซต์คันนั้นคงบังเอิญมาทางเดียวกับเรา ตอนนี้เขาก็ไปทางอื่นแล้วด้วย ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวลเลย” เขาพยายามพูดให้เธอหายเครียด แต่หญิงสาวกลับเร่งให้เขาออกรถด้วยท่าทางร้อนใจ

     

     

                                    “รีบไปเถอะค่ะ จะบังเอิญหรือตั้งใจ เราก็ไม่ควรประมาท”

     

     

                                    “เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมมะลิถึงดูวิตกนัก” เขาจ้องมองภรรยาอย่างคาดคั้น หญิงสาวมองตอบอย่างอึดอัด แต่สุดท้ายก็ยอมเล่าให้เขาฟัง

     

     

                                    “นายอาคมแหกคุกออกมาค่ะ ก่อนหลบหนีเขาเขียนคำว่า ไอ้พายุ ไว้ที่ผนังห้องอาบน้ำ มะลิกลัวว่าเขาจะมาทำร้ายวีขา”

     

     

                                    “อาคมเหรอ” ปารวีพึมพำอย่างประหลาดใจ ภาพชายสวมแว่นตาในห้องพิจารณาคดีหวนกลับมาในความทรงจำ หรือว่าชายคนนั้นคือนายอาคม

     

     

                                    “วีขาเจอนายอาคมเหรอคะ”

     

     

                                    “เปล่าจ้ะ ทำไมมะลิถึงคิดว่าเขาจะมาทำร้ายพี่ล่ะ” เขาส่ายหน้าแล้วถามเรื่องอื่นแทน เพราะไม่อยากให้ภรรยาประสาทเสียมากไปกว่านี้

     

     

                                    “เพราะเขารู้ว่าจะทำให้มะลิตายทั้งเป็นได้ยังไง” หญิงสาวตอบเสียงเครือ เขาเห็นความกลัวในแววตาของเธอ อย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก

     

     

                                    “ไม่ต้องกลัวนะ ตอนเล็กๆ แม่เอาดวงพี่ไปให้หมอดูตรวจ หมอดูบอกว่าพี่จะอายุยืนยาว มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง มะลิไม่ต้องกังวลหรอกว่าพี่จะเป็นอะไรไปก่อน เราสองคนจะต้องอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าแน่นอน” เขาพยายามพูดให้เธอขำ แต่นอกจากหญิงสาวจะไม่ขำแล้ว เธอยังเครียดยิ่งกว่าเดิมอีก

     

     

                                    “มะลิรักวีขายิ่งกว่าชีวิต ถ้าวีขาเป็นอะไรไป มะลิคงมีชีวิตต่อไปไม่ได้”

     

     

                                    “พี่ก็รักมะลิ แต่เรื่องมันยังไม่เกิดขึ้นเสียหน่อย อย่าเพิ่งกังวลไปเลยนะ” ปารวีดึงภรรยาเข้ามากอด แล้วลูบผมนุ่มของเธออย่างปลอบโยน เขารู้ว่าเธอกลัว แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำให้เธอหายกลัวได้ยังไง เพราะความกลัวของเธอมีสาเหตุมาจากตัวเขาเอง

     

     

    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

     

     

                                    ปารวีจอดรถเบนซ์ของตนที่หน้าคฤหาสน์อิทธินันต์ เขาดับเครื่องยนต์แล้วหันไปมองภรรยา มัลลิกาจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนไม่รู้ตัวว่าเขาพาเธอกลับมาถึงบ้านแล้ว ดูเหมือนว่าคำปลอบโยนของเขา ไม่ได้ทำให้ความกังวลของเธอลดลงเลย

     

     

                                    “ถึงบ้านแล้วมะลิ” เขาก้มลงบอกเธอ หญิงสาวมองออกไปนอกรถ ก่อนหันมามองเขา

     

     

                                    “จริงด้วยค่ะ ไวจังเลย”

     

     

                                    “เข้าบ้านกันเถอะ” ปารวีเปิดประตูลงจากรถ แล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ หญิงสาวเอ่ยขอบคุณพลางก้าวลงมายืน เขาส่งกุญแจรถให้ลุงสมหมาย แล้วจูงมือภรรยาเดินเข้าบ้าน ตอนแรกเขาตั้งใจขึ้นห้องนอนไปพักผ่อน แต่พบมารดายืนรออยู่ในห้องโถง เขาจึงพามัลลิกาเข้าไปทักทาย

     

     

                                    สวัสดีครับคุณแม่ ทำไมยังไม่นอนอีกครับ หรือมีเรื่องจะคุยกับผม

     

     

                                    “ใช่ ไปคุยกับแม่ในห้องรับแขกหน่อยนะ แม่อยากคุยกับลูกตามลำพัง” คุณหญิงเพียงแขบอกตรงๆ ว่าไม่อยากให้มัลลิกาอยู่ด้วย หญิงสาวจึงต้องเอ่ยขอตัวตามมารยาท

     

     

                                    “มะลิขึ้นห้องก่อนนะคะ”

     

     

                                    “ครับ เดี๋ยวพี่ตามไปนะ” ปารวีบีบมือภรรยาอย่างให้กำลังใจ หญิงสาวพยักหน้ารับรู้แล้วเดินขึ้นห้องนอน พอลูกสะใภ้พ้นสายตา คุณหญิงเพียงแขก็ลากลูกชายเข้าไปนั่งในห้องรับแขก แล้วเปิดฉากสนทนาทันทีด้วยท่าทางร้อนใจ

     

     

                                    แม่มีเรื่องสำคัญจะบอกลูก

     

     

                                    เรื่องอะไรครับ เขาถามอย่างสงสัย

     

     

                                    “วันนี้แม่เชิญหมอดูมาตรวจดวงชะตาของลูกกับแม่...” คุณหญิงเพียงแขหยุดชะงักนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น หนูมะลิ”

     

     

                                    “แล้วยังไงครับ” ปารวีถามอย่างอ่อนใจ แค่พูดถึงมัลลิกาดีๆ มารดาของเขายังทำไม่ได้ แล้วเมื่อไรทั้งสองจะปรองดองกันได้

     

     

                                    “พ่อหมอบอกว่าลูกเป็นคนมีวาสนาดี เป็นอภิชาตบุตร อีกหน่อยจะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่และวงศ์ตระกูล”

     

     

                                    “ก็ดีนี่ครับ” เขาเอ่ยอย่างไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่เชื่อหมอดูอยู่แล้ว

     

     

                                    “มันไม่ดีทั้งหมดน่ะสิ พ่อหมอบอกว่าลูกต้องมีภรรยาที่มีดวงส่งเสริมกันด้วยถึงจะดี แต่ดวงของหนูมะลิ...” มารดาทอดเสียงยาว แล้วถอนใจปิดท้าย กระตุ้นให้เขาอยากรู้ขึ้นมา

     

     

                                    “มะลิดวงไม่ดีเหรอครับ”

     

     

                                    “เปล่า พ่อหมอบอกว่าหนูมะลิเป็นคนดวงแข็ง จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วจะไม่ได้ แต่ดวงของหนูมะลิไม่สมพงศ์กับลูก ถ้าอยู่ด้วยกันลูกจะเคราะห์ร้าย เพราะถูกดวงชะตาของหนูมะลิข่ม เปรียบเสมือนราชสีห์สองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”

     

     

                                    ปารวีลอบถอนใจ อุตส่าห์ฟังมาตั้งนาน สุดท้ายก็เรื่องเดิมๆ มารดาของเขาไม่ชอบมัลลิกา จึงพยายามชักจูงให้เขาเลิกกับหล่อน

     

     

                                    “อย่าไปสนใจเลยครับ หมอดูคู่หมอเดา ผมเชื่อตัวเองมากกว่า”

     

     

                                    “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะลูก ที่ผ่านมาหนูมะลิทำลูกเกือบตายมากี่ครั้งแล้ว แม่ว่าฟังไว้ก็ไม่เสียหายนะ” มารดายกเรื่องในอดีตมาอ้าง แต่เขาไม่เห็นด้วยจึงแย้งท่านไป

     

     

                                    “แต่ผมก็รอดมาได้ตลอดนี่ครับ แถมทุกครั้งมะลิยังเป็นคนช่วยชีวิตผมเอาไว้ด้วย คุณแม่อย่าไปฟังคำพูดของเขาเลยครับ ยิ่งฟังยิ่งไม่สบายใจ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย”

     

     

                                    “แม่ไม่ฟังไม่ได้หรอก แม่มีลูกคนเดียวนะ ถ้าลูกเป็นอะไร แม่จะอยู่ยังไง” คุณหญิงเพียงแขเอ่ยเสียงเศร้า นัยน์แดงเรื่อเหมือนจะร้องไห้ ปารวีลุกไปนั่งข้างผู้เป็นแม่ แล้วโอบกอดท่านไว้

     

     

                                    “อย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ เรื่องมันยังไม่เกิดขึ้นเสียหน่อย”

     

     

                                    “แล้วถ้ามันเกิดขึ้นล่ะ ลูกจะให้แม่ทำยังไง” คุณหญิงเพียงแขเงยหน้ามองลูกชาย น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านร่องแก้ม ปารวีเช็ดน้ำตาให้มารดา แล้วถามอย่างเอาใจ

     

     

                                    “ปกติถ้าคำทำนายออกมาไม่ดี หมอดูต้องบอกวิธีแก้เคล็ดให้ด้วย แล้วพ่อหมอของคุณแม่บอกวิธีแก้ให้หรือเปล่าครับ”

     

     

                                    “บอกจ้ะ พ่อหมอบอกให้ลูกหย่ากับหนูมะลิเพื่อแก้เคล็ด” คุณหญิงเพียงแขตอบเสียงใส ผู้เป็นลูกชะงักมือ ก่อนปฏิเสธเสียงเข้ม

     

     

                                    “ผมไม่หย่าครับ”

     

     

                                    “หย่าเพื่อแก้เคล็ดเท่านั้น หย่าแล้วค่อยจดใหม่ ไม่ได้ยากอะไรเลย”

     

     

                                    “ผมรักมะลิ ผมไม่มีวันหย่ากับเธอ ต่อให้ต้องตาย ผมก็ไม่กลัว” ปารวียืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น พอเห็นว่าลูกชายไม่ยอมแน่ๆ คุณหญิงเพียงแขก็กลับไปเล่นบทเศร้าอีกครั้ง

     

     

                                    “ลูกรักหนูมะลิ แล้วแม่ล่ะ ลูกรักแม่บ้างไหม”

     

     

                                    “มันคนละเรื่องกันครับ ความรักที่ผมมีให้แม่กับความรักที่ผมมีให้มะลิ มันเทียบกันไม่ได้” เขาพยายามอธิบาย แต่ผู้เป็นแม่ไม่รับฟัง แถมยังตัดพ้อเขาอย่างน้อยใจ

     

     

                                    “เทียบไม่ได้ เพราะลูกรักเมียมากกว่าแม่ใช่ไหม”

     

     

                                    “ทำไมแม่ถึงไม่ชอบมะลิครับ ถ้าเธอทำอะไรให้แม่ไม่พอใจ ผมจะบอกให้เธอปรับปรุงตัว” ปารวีถามตรงๆ มารดามองสบตาเขา ก่อนตอบตรงๆ เช่นกัน

     

     

                                    “หมอดูบอกว่าหนูลิตาเป็นเนื้อคู่ของลูก แต่หนูมะลิเป็นอริกับลูก อยู่ด้วยกันไปก็ไม่เจริญ แม่ผิดเหรอที่อยากให้วีได้สิ่งที่ดีที่สุด”

     

     

                                    “แม่ไม่ผิดหรอกครับ ผมรู้ว่าแม่รักและเป็นห่วงผม แต่ผมรักมะลิคนเดียว สำหรับผมไม่มีใครดีกว่าเธอ วันนี้ผมเหนื่อยมาก ขอตัวขึ้นห้องไปอาบน้ำก่อน เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะครับ”

     

     

                                    ปารวีกระพุ่มมือไหว้มารดา แล้วเดินกลับห้องนอนของตน ระหว่างทางเขาพบบิดายืนรออยู่บนชั้นสอง พอเห็นเขาเดินขึ้นบันไดมา ท่านก็รีบเดินเข้ามาหา แล้วดึงมือเขาไปคุยที่หน้าห้องหนังสือ

     

     

                                    “พ่อมีเรื่องสำคัญจะบอกลูก”

     

     

                                    “เรื่องอะไรครับ” ผู้พิพากษาหนุ่มถามอย่างสงสัย วันนี้พ่อกับแม่มีเรื่องสำคัญจะบอกเขาทั้งคู่ หวังว่าเรื่องของท่านจะเป็นคนละเรื่องกับเรื่องของแม่ เพราะตอนนี้เขาปวดหัวมากพออยู่แล้ว

     

     

                                    “เรื่องที่แม่พูดเมื่อกี้ ลูกอย่าไปสนใจเลยนะ มันไม่จริงหรอก”

     

     

                                    “คุณพ่อได้ยินด้วยเหรอครับ”

     

     

                                    “เสียงดังขนาดนั้น จะไม่ได้ยินได้ยังไง ป่านนี้รู้กันทั้งบ้านแล้วมั้ง บ้านเรายิ่งหูดีกันอยู่ด้วย”

     

     

                                    ปารวีหันไปมองห้องนอนของตน ถ้าบิดาได้ยินเรื่องที่เขาคุยกับมารดา ป่านนี้มัลลิกาอาจจะรู้แล้วก็ได้ เพราะหล่อนมีสายอยู่ในบ้านหลายคน

     

     

                                    “พ่อคิดว่าเรื่องที่แม่พูดไม่จริงเหรอครับ”

     

     

                                    “ใช่ พ่ออยู่ด้วยตอนที่คุณหญิงดวงสมรพาหมอดูมาที่บ้าน พ่อเห็นหล่อนให้เงินหมอดูคนนั้นกับตาตัวเองเลย แถมยังชมว่าเขาเล่นละครเก่งอีกต่างหาก”

     

     

                                    “คุณหญิงดวงสมรทำแบบนั้นทำไมครับ” ปารวีมองบิดาอย่างขอคำตอบ ท่านประพจน์ถอนใจเบาๆ ก่อนเล่าให้ลูกชายฟัง

     

     

                                    “พ่อรู้มาว่านายชลิตทำธุรกิจล้มเหลว พวกธำรงกุลไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเดิมแล้ว นายชลิตกับหนูลิตาทำใจได้แล้ว แต่คุณหญิงดวงสมรยังทำใจไม่ได้ หล่อนจึงต้องการให้ลูกสาวมาเกี่ยวดองกับเรา เพื่อกอบกู้ฐานะของตัวเอง”

     

     

                                    “คุณแม่รู้เรื่องนี้หรือเปล่าครับ”

     

     

                                    “พ่อไม่อยากบอก ปล่อยให้แม่เขารู้เองดีกว่า”

     

     

                                    “ครับ” เขาพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนยกมือไหว้บิดา “ขอบคุณที่เล่าให้ผมฟังนะครับ ถ้าไม่ได้พ่อผมคงรู้สึกผิดไปอีกนาน”

     

     

                                    “ไม่เป็นไร ถ้าไม่ช่วยลูก แล้วจะให้พ่อไปช่วยใคร” ท่านประพจน์โบกมือ ก่อนถามถึงมัลลิกา “หนูมะลิเป็นอะไรหรือเปล่า สองสามวันนี้พ่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ”

     

     

                                    “คงเครียดเรื่องงานครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

     

     

                                    “ตามสบาย พ่อจะไปนอนเหมือนกัน”

     

     

                                    “ผมไปส่งครับ”

     

     

                                    ปารวีเดินไปส่งบิดา พอท่านเข้าห้องนอนแล้ว เขาก็เดินกลับห้องนอนของตน ผู้พิพากษาหนุ่มเปิดประตูเดินเข้าห้อง โดยไม่เคาะบอกภรรยา เพราะคิดว่าหล่อนเข้านอนแล้ว แต่กลับเห็นมัลลิกายืนอยู่ที่ระเบียง เสื้อผ้ายังไม่ได้เปลี่ยน ดูท่าสายของหล่อนคงมารายงานแล้ว หญิงสาวถึงได้หน้าเครียดแบบนี้

     

     

                                    “มายืนทำไมตรงนี้ ไปอาบน้ำกันเถอะ พี่ง่วงนอนแล้ว” เขาดึงมือภรรยาเดินไปที่ห้องน้ำ แต่เธอขืนตัวไว้พลางเงยหน้าถามเขา

     

     

                                    “วีขาเชื่อหมอดูไหม”

     

     

                                    “ไม่เชื่อ หมอดูก็คนธรรมดา จะมารู้ดีกว่าตัวเราได้ยังไง” ปารวีตอบอย่างหนักแน่น สิ่งที่คิดไว้ไม่ผิดจริงๆ สงสัยเขาต้องปรามเหมียวกับพรบ้างแล้ว เล่นรายงานทุกเรื่องแบบนี้ มัลลิกาประสาทเสียพอดี ยิ่งเครียดเรื่องนายอาคมอยู่ด้วย

     

     

                                    “แต่คุณหญิงแม่เชื่อ”

     

     

                                    “คุณแม่ยังไม่รู้จักมะลิดีพอ พี่เชื่อว่าสักวันท่านจะเข้าใจเรา” เขาพยายามพูดให้เธอมีกำลังใจต่อสู้ แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าอย่างท้อแท้

     

     

                                    “เราแต่งงานกันมาปีหนึ่งแล้วนะคะ มะลิไม่แน่ใจว่าจะมีวันนั้นหรือเปล่า”

     

     

                                    “ถ้ามะลิใจร้อน พี่มีทางลัดมาเสนอ สนใจไหม”

     

     

                                    “ทางลัดอะไรคะ” มัลลิกาถามอย่างสนใจ ผู้พิพากษาหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนตอบเข้าข้างตัวเอง

     

     

                                    “มีหลานให้คุณแม่อุ้มสักสองคน พี่รับรองว่ามะลิจะกลายเป็นสะใภ้คนโปรดทันที พอมีลูกก็ลาออกจากราชการ ไม่ต้องเสี่ยงตาย ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแก้แค้น พี่ว่าแผนนี้เข้าท่านะ เรารีบไปทำหลานกันดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา”

     

     

                                    “เอาไว้ทีหลังดีกว่าค่ะ ตอนนี้มะลิเหนียวตัว อยากอาบน้ำมากกว่า” มัลลิกาเดินหนี เขาดึงเธอกลับมา แล้วกอดเอาไว้

     

     

                                    “อย่าเพิ่งอาบเลย ทำหลานก่อนดีกว่า แล้วค่อยอาบพร้อมกัน”

     

     

                                    “ไม่เอาค่ะ มะลิตัวเหม็น ปล่อยมะลินะคะ”

     

     

                                    “ไม่เห็นจะเหม็นเลย นี่ไงห้อมหอม” ปารวีก้มลงซุกไซ้ซอกคอภรรยา หญิงสาวหัวเราะขำพลางดิ้นหนี

     

     

                                    “ไม่เล่นค่ะ มะลิจักจี๋”

     

     

                                    “พี่ก็ไม่ได้เล่น พี่พูดจริงทำจริง ไม่เชื่อก็คอยดู”

     

     

                                    ปารวีอุ้มภรรยาขึ้นจากพื้น แล้วพาเธอไปวางบนเตียง ก่อนล้มตัวลงทาบทับ ถึงมัลลิกาจะไม่เห็นด้วยกับแผนทำหลานของเขา แต่เขามั่นใจว่าแผนนี้ต้องได้ผล และเขาตั้งใจจะทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเอง






    .......................................................................


    มัลลิกานะคะ

    มาตามสัญญา ตรงเวลาเป๊ะเลยค่ะ อุปสรรคเยอะจริงเชียวนะมะลิ แต่ต้องบอกว่านี่แค่สิวๆ ค่ะ ยังมีเรื่องใหญ่รอมะลิอยู่อีก เอาใจช่วยเธอด้วยนะคะ

    รักนะ...มัลลิกา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×