Chapter7 : ทำให้ไว้ใจ
“พี่จะออกไปข้างนอกนะอึนฮยอก จะเอาอะไรมั้ย เดี๋ยวพี่ซื้อมาให้” อีทึกละสายตาจากโน้ตบุ๊กตรงหน้าหันไปบอกอึนฮยอกที่กำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน
วันนี้ทั้งวันอีทึกแทบจะไม่ได้ขยับตัวลุกไปไหนเลย เพราะเอาแต่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ร้ายที่มาลอบยิงคนขับรถเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงร่องรอยหลักฐานเกี่ยวสัญลักษณ์ตัว L ที่คนร้ายทิ้งไว้ในคราวก่อนๆ แต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นมาเลย
“ไม่ล่ะครับ พี่ไปเถอะ” อึนฮยอกหันมาพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ หลังจากเกิดเรื่องวันนั้นเขาถูกสลับหน้าที่กับทงเฮให้มาดูแลที่บริษัท เพราะช่วงนี้คยูฮยอนต้องเข้ามาที่บริษัทบ่อยๆ ส่วนทงเฮกับเยซองดูแลที่บ่อนเหมือนเดิม
“งั้นพี่ไปนะ” ส่งยิ้มให้รุ่นน้องอีกครั้งก่อนจะเก็บสัมภาระและเดินออกมาจากห้องทำงาน หลังจากที่หมกตัวอยู่ในนั้นมาเกือบทั้งวัน
ช่วงขายาวก้าวเดินอย่างเชื่องช้าลงมาจากตัวอาคารที่สูงหลายสิบชั้น อีทึกเดินไปตามทางเดินเรื่อยๆเพื่อไปยังจุดหมายที่ตั้งใจซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบริษัทมากนัก
ประตูกระจกใสสะอาดถูกผลักเข้าไปด้านในก่อนที่ร่างบางๆของอีทึกจะก้าวเข้ามาอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆที่เขามานั่งจิบกาแฟผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดจากการทำงานอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้ร้านกาแฟที่ดูสงบกลับมีลูกค้าเต็มร้าน พนักงานเดินสวนกันไปมาดูวุ่นวาย จนแอบสงสัยไม่ได้ว่าวันนี้มันวันอะไรกัน ทำไมคนถึงได้เยอะแบบนี้
“สวัสดีครับพี่อีทึก” พนักงานหนุ่มเอ่ยทักอย่างคุ้นเคยเมื่อเห็นอีทึกเดินเข้ามาในร้าน
“วันนี้คนเยอะจังเลยนะ” มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา กะจะมาหามุมสงบผ่อนคลายแต่คงจะไม่ได้เสียแล้วตอนนี้
“เป็นแบบนี้มาสองสามวันแล้วล่ะครับ ตั้งแต่ได้พนักงานใหม่” บริกรหนุ่มเบ้ปากไปยังบริกรอีกคนที่กำลังรับออร์เดอร์ลูกค้าสาวๆอยู่ รูปร่างหน้าตาของนั้นดูดีทีเดียว ไม่น่าล่ะลูกค้าถึงได้เต็มร้านขนาดนี้และส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักเรียนม.ปลายทั้งนั้น
“แล้วจะมีที่ให้พี่นั่งมั้ยล่ะเนี่ย”
“ถ้าพี่ไม่รังเกียจล่ะก็นั่งกับคุณผู้ชายคนนั้นได้มั้ยครับ มีที่ว่างเหลืออยู่หนึ่งที่” บริกรหนุ่มผายมือไปยังเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่อยู่เกือบด้านในสุด ซึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่อ่านหนังสืออยู่
“จะไม่รบกวนเขาหรอกเหรอ” เอ่ยถามออกไปด้วยความเกรงใจ อีกอย่างไม่เคยรู้จักกันจะให้ไปนั่งร่วมโต๊ะกันมันก็ยังไงอยู่
“ตามมาเลยครับพี่เดี๋ยวผมจัดการให้” ยิ้มให้ลูกค้าขาประจำก่อนจะเดินนำไปยังโต๊ะที่ว่า อีทึกไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะเดินตามหลังพนักงานหนุ่มไป
“ขอโทษนะครับคุณผู้ชาย” เอ่ยทักออกไปอย่างสุภาพ ชายหนุ่มที่จดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือจึงเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย บริกรหนุ่มจึงยิ้มรับก่อนจะเอ่ยต่อ
“จะรังเกียจมั้ยครับ ถ้าจะให้คุณคนนี้นั่งร่วมโต๊ะด้วย พอดีวันนี้คนเยอะมากน่ะครับ ไม่มีโต๊ะว่างเลย”
“เอ่อ...ครับ” มองเลยไปด้านหลังของพนักงานซึ่งมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่จึงได้พยักหน้ารับ ก่อนจะยิ้มบางๆออกมา
“ขอบคุณมากครับ....เชิญครับพี่อีทึก วันนี้รับเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ” โค้งให้ลูกค้าเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้ลูกค้าขาประจำอย่างอีทึกนั่ง
“เหมือนเดิม ขอบใจมากนะ” ยิ้มให้กับพนักงานหนุ่มที่รู้จักกันเหมือนเป็นพี่น้องไปกันเสียแล้ว ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ยิ้มให้กับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเล็กน้อยแล้วจึงเสมองออกไปนอกหน้าต่าง มองรถราที่วิ่งสวนกันไปมารอเวลาที่กาแฟอุ่นๆจะมาเสิร์ฟ
“มาที่นี่บ่อยเหรอครับ” คำถามจากบุคคลแปลกหน้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเรียกให้อีทึกหันไปมองในทันที และก็พบกับรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร
“อ่ะ เอ่อ...ครับ” ตอบรับตะกุกตะกักพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
“ผมคิมยองอุนครับ เรียกว่าคังอินก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คังอินยังคงพูดต่อด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตร
“ครับ ผมปาร์คจองซู ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อีทึกแนะนำตัวพอเป็นพิธีก่อนจะยิ้มกลับไปให้บางๆ พอดีกับที่บริกรหนุ่มคนสนิทยกกาแฟรสโปรดออกมาเสิร์ฟ
“คุณอยู่แถวนี้เหรอครับ” ปิดหนังสือที่อ่านอยู่วางไว้ข้างมือเพราะตั้งใจว่าจะคุยทำความรู้จักกันให้เป็นเรื่องเป็นราว คังอินยิ้มอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ค่อยเล่นด้วยเท่าไหร่นัก
“เอ่อ...ครับ” ตอบสั้นๆก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ เบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างแทนเพราะรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าไหร่นัก และเขาเองก็ไม่ค่อยชอบคนที่มนุษย์สัมพันธ์ดีเกินไปแบบนี้ด้วย ใช่ว่าเห็นใครก็จะชวนคุยไปด้วยหมด
“ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกน่ะครับ เห็นว่าบรรยากาศดีเลยลองเข้ามาดู ปกติคุณจะมาเวลานี้เหรอครับ” คังอินยังคุยชวนอีกฝ่ายคุยต่อไป ไม่ได้สนใจหรอกว่าอีทึกจะสนทนากับตัวเองด้วยมั้ย รู้แค่ว่าตอนนี้เขาอยากรู้จักคนๆนี้ก็เท่านั้น
“ไม่เสมอไปหรอกครับ คือผมจะมาเวลาว่าง” ตอบกลับพร้อมกับยิ้มบางๆเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทมากจนเกินไป อีทึกวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าก่อนจะหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นวางบนโต๊ะ ใช้เวลาว่างๆนี้ให้เป็นประโยชน์ เพราะถึงเขาจะมาหาที่สงบผ่อนคลาย แต่ในหัวกลับคิดแต่เรื่องของผู้ร้ายอักษร L อยู่ตลอดเวลา
“ครับ...ผมขอตัวซักพักนะครับ” คังอินพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะขอตัวลุกออกไป เดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่หลังร้าน
อีทึกรอบถอนหายใจออกมาเมื่อคังอินเดินหายไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเปิดโน้ตบุ๊กหาเบาะแสและข้อมูลต่อไป แต่ยังไม่ทันไรเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ร้องขึ้นมาดังลั่น ที่สำคัญมันไม่ใช่โทรศัพท์ของเขา
ดวงตาเรียวสวยกวาดมองไปรอบโต๊ะจนเจอต้นเสียงที่ยังคงร้องไปไม่หยุด โทรศัพท์เครื่องนี้คงเป็นของคังอินที่เจ้าตัววางทิ้งไว้บนโต๊ะ อีทึกนั่งมองจนเจ้าเครื่องมือสื่อสารเงียบไป แต่มันกลับร้องดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง คนที่อยู่ในร้านเริ่มหันมามอง เพราะมันคงจะดังหนวกหู แต่ในเมื่อเขาไม่ใช่เจ้าของเครื่องมันก็ดูเสียมารยาทที่จะรับมัน
เจ้าเครื่องมือสื่อสารร้องขึ้นมาอีกรอบหลังจากที่เงียบไป อีทึกมองซ้ายมองขวาดูว่าคังอินจะกลับมาเมื่อไหร่แต่ก็ดูจะไม่มีวี่แววเลย จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาขึ้นมากดรับเพราะเกรงใจคนในร้านที่คงจะรำคาญเสียงของเจ้านี่เสียแล้ว
“สวัสดีครับ”
(พี่คังอิน!! ตอนนี้พี่อยู่ไหนครับ กลับบ้านได้แล้วนะพี่ ผมมีเรื่องจะฟ้อง!! พี่รู้มัยว่าพี่ฮีชอลรู้จักกับชเวซีวอนด้วย) พอปลายสายรับปุ๊บซองมินก็พูดออกมายาวเยียด ไม่ได้ฟังเสียงเลยว่าคนที่รับนั้นใช่ว่าที่พี่เขยของตัวเองหรือไม่
“...”
(พี่คังอิน พี่ครับ! ได้ยินผมมั้ย)
“ขอโทษครับ พอดีว่าตอนนี้คุณคังอินเขาไม่อยู่น่ะครับ เขาวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะ ผมเลยรับแทน” อีทึกตอบกลับไปเสียงเรียบ เหตุผลที่เขาเงียบเพราะชื่อที่หลุดออกมาจากปลายสาย ชเวซีวอน
(เอ่อ...ครับ งั้นแค่นี้นะครับ)
“ผมจะบอกเขาให้นะครับว่าคุณโทรมา” พูดจบก็ตัดสายทิ้งไป อีทึกหันไปมองหลังร้านทางที่คังอินเดินหายไป เมื่อยังไม่เห็นวี่แววว่าจะกลับออกมาจึงถือวิสาสะดูเบอร์ที่โทรเข้ามาเมื่อกี้นี้ก่อนจะเมมใส่เครื่องตัวเองไว้ และวางไว้ที่เดิม ถึงจะไม่แน่ใจว่าชื่อชเวซีวอนที่ได้ยินนั้นจะใช่คนๆเดียวที่เขารู้จักหรือเปล่าก็ตาม
ผ่านไปซักพักคังอินก็กลับมา สิ่งยิ้มหวานให้เล็กน้อยก่อนจะนั่งลง อีทึกเองก็ได้แต่ยิ้มบางๆกลับไปให้
“เมื่อกี้มีคนโทรมา ชื่อซองมิน”
“เอ่อ...ครับ” เมื่อได้ฟังก็พยักหน้ารับทราบโดยปราศจากรอยยิ้มใดๆ บนใบหน้า คังอินหยิบโทรศัพท์
มือถือขึ้นมาเปิดดูเบอร์โทรเข้าล่าสุด
“คือว่าผมรับให้น่ะครับ มันดังหลายรอบแล้ว” อีทึกชิงพูดขึ้นก่อน เพราะดูจากสีหน้าของคังอินนั้นไม่ค่อยน่าไว้ใจซักเท่าไหร่ อาจจะโกรธหรือโมโหก็ได้ ที่เขารับโทรศัพท์แล้วไม่ยอมบอก
“แล้วเค้าบอกอะไรหรือเปล่าครับ”
“เค้าถามว่าคุณอยู่ที่ไหน ให้กลับบ้านน่ะครับ ผมเลยบอกว่าจะบอกคุณให้” อีทึกบอกสิ่งที่ได้ยินออกไปคร่าวๆ
“ขอบคุณมากครับ” คังอินตอบกลับมายิ้มๆ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือและของที่วางอยู่บนโต๊ะใส่กระเป๋า
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ นี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้าโชคดีอาจจะได้เจอกันอีกนะครับ” บอกลาพอเป็นพิธีก่อนจะเดินออกมานอกร้าน คังอินหันกลับไปมองอีทึกที่อยู่ในร้านอีกครั้ง แล้วจึงเดินไปยังที่จอดรถของร้านที่อยู่ด้านหลัง
พอคังอินเดินพ้นสายตาไปแล้วอีทึกก็ทำการพิมคำว่า ‘คิมยองอุน’ ลงไปยังหน้าจอที่สว่างอยู่ด้านหน้า พร้อมกับชื่อของซองมินผู้ที่เอ่ยชื่อชเวชีวอนผู้ชายที่เขารักมากที่สุดออกมา แต่การจะค้นหาข้อมูลนั้นมันก็ไม่ได้ง่ายนัก เพราะคนเกาหลีชื่อซ้ำกันเป็นหมื่นเป็นล้านคน
นั่งอยู่ที่ร้านได้ไม่นานนักอีทึกก็ต้องกลับไปที่บริษัทเพราะคยูฮยอนกำลังจะถึงภายในไม่ช้านี้ ทั้งๆที่วันนี้มีแขกมาที่บ้านคิดว่าคยูฮยอนจะไม่เข้าบริษัทแต่น้องชายคนนี้ก็แวะมาจนได้ ต่างกับพี่ชายอย่างซีวอนโดยสิ้นเชิง รายนั้นพอตกกลางคืนคงออกไปเที่ยวหาความสำราญอีกเป็นแน่
“วันนี้ที่บริษัทเรียบร้อยดีมั้ยครับพี่ แล้วที่บ่อนเป็นยังไงบ้างครับ” ได้ทักทายกันไปพอเป็นพิธีเสร็จคยูฮยอนจึงถามถึงเรื่องธุรกิจต่อ
“เรียบร้อยดีครับ ที่บ่อนก็ปกติดี” อึนฮยอกตอบ
“พี่ว่านะ คนร้ายจะโจมตีเฉพาะที่ที่มีนายอยู่เท่านั้นแหละคยู พี่ถึงให้มือปืนคอยตามประกบนายไงเพื่อความปลอดภัย เพราะฉะนั้นห่วงตัวเองดีกว่านะ ส่วนเรื่องที่บ่อนพวกพี่จะดูแลกันเอง....แล้ววันนี้เป็นไงบ้างล่ะที่บ้านน่ะ” อีทึกบอกออกไปตามที่ตัวเองคาดการณ์ไว้และเตือนน้องไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะถามต่อ
“ก็ปกติดีครับ เพื่อนเก่าของคุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมคุณพ่อน่ะครับ รู้สึกจะไม่ได้เจอกันมาประมาณห้าปีได้แล้ว” คยูฮยอนตอบกลับไปยิ้มๆ
“อยู่กับพวกผู้ใหญ่คงเบื่อแย่เลยสินะ ซีวอนไม่อยากออกมาข้างนอกแย่เหรอ” ถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เพราะเอาแต่คิดถึงอีกอีกคนที่ไม่ค่อยชอบร่วมเข้าสังคมกับพวกผู้ใหญ่เท่าไหร่นัก คงจะนั่งทำหน้าเซ็งโลกแน่ๆตอนที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน
“ไม่หรอกครับ พอดีว่าคุณอาฮโยริท่านพาลูกชายกับหลายชายของท่านมาด้วย ที่จริงผมก็เคยไปเล่นกับลูกของคุณอาตอนเด็กๆ” คยูฮยอนอธิบายเพิ่มเติม แต่ไม่บอกได้บอกรายละเอียดมากนัก เพราะไม่อยากให้อีทึกรู้ว่าที่จริงแล้วนั้นคนที่อีทึกเป็นห่วงไปอยู่กับฮีชอลชายหนุ่มหน้าหวานหลานชายของฮโยริทั้งวัน
“เพื่อนสมัยเด็กงั้นสิ พี่รู้จักหรือเปล่า”
“เขาชื่อลีซองมินน่ะครับ แต่ผมไม่ได้เจอเขานานแล้ว ก่อนที่พี่อีทึกจะมาทำงานซะอีก พี่คงไม่รู้จักเขาหรอก”
“ลีซองมินงั้นเหรอ” พึมพำออกมาเบาๆเมื่อชื่อที่ได้ยินมันคุ้นหูเสียเหลือเกิน
“ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับพี่อีทึก” คยูฮยอนเห็นท่าทางอีทึกดูเหม่อลอยเหมือนคนที่กำลังใช้ความคิดอยู่จึงร้องทักขึ้น เพราะอีทึกทวนชื่อซองมินออกมา ทำให้เขาคิดว่าอีทึกอาจจะรู้จักซองมินก็เป็นได้
“เอ่อ...เปล่าหรอก...แล้วคนที่ชื่อซองมินเนี่ยเขามีพี่ชายหรือเปล่า” อีทึกส่ายหน้าปฏิเสธคำถามของคยูฮยอนก่อนจะเป็นฝ่ายถามต่อ
“ผมไม่แน่ใจครับ แต่คิดว่าไม่น่าจะมี พี่ถามไปทำไมครับ” ทำท่านึกซักพักก่อนจะตอบออกมา
“พี่ก็ถามไปงั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก...จะเอากาแฟมั้ยเดี๋ยวพี่ชงให้” ปฏิเสธอีกครั้งแล้วเปลี่ยนเรื่องในทันที อีทึกยิ้มก่อนจะทำท่าลุกขึ้นเดินเพื่อไปชงกาแฟให้คยูฮยอน บางทีเขาอาจจะคิดมากจนเอาเรื่องที่เจอมาผูกเป็นเรื่องโดยที่มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันซักนิดเลยก็เป็นได้
“ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมก็จะกลับแล้ว แค่แวะมาดูเฉยๆ ว่าแต่พี่สองคนจะกลับพร้อมผมเลยมั้ย” คยูฮยอนคว้าแขนอีทึกไว้ก่อนที่พี่ชายคนสวยจะได้เดินไปไหน ที่จริงเขากะว่าจะมารับอีทึกมากกว่า
“ผมจะกลับไปที่บ่อนก่อนน่ะครับ” อึนฮยอกตอบ
“งั้นพี่กลับพร้อมผมเลยแล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมไปส่งที่คอนโด” สรุปเสร็จสรรพคยูฮยอนก็เดินเก็บข้าวของของอีทึกที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะบอกลาอึนฮยอกแล้วเดินนำออกไป
“พี่ไปก่อนนะอึนฮยอก” หันมาบอกลาน้องชายร่วมงานก่อนจะรีบเดินตามคยูฮยอนออกไป
------------------------------ 50% ------------------------------
เวลาตอนนี้เลิกเรียนมาได้ซักพักหนึ่งแล้ว ห้องเรียนที่เคยมีนักเรียนส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายเหลือเพียงแค่ชายหนุ่มร่างเล็กคนเดียวเท่านั้นในตอนนี้
ซองมินควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายหลังจากที่เก็บของบนโต๊ะเรียนเสร็จ ก่อนจะกดสองสามทีแล้วยกขึ้นมาแนบกับหู รอเสียงสัญญาณดังเพียงไม่กี่ครั้งก็เปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มนุ่มแทน
(สวัสดีครับ)
“คยูฮยอนเหรอ นี่พี่ซองมินเองนะ” แนะนำตัวเองออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายจำได้ ก่อนเหยียดรอยยิ้มออกมา
(อ่า...ครับ พี่รู้เบอร์ผมได้ยังไงเหรอครับ) ปลายสายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงสงสัย เพราะวันที่เจอที่บ้านไม่ได้แลกเบอร์กันไว้
“ไม่มีเรื่องไหนที่เกี่ยวกับนายแล้วพี่ไม่รู้หรอก” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงฟังดูขี้เล่น แล้วยิ้มร้ายกาจเพียงแต่อีกฝ่ายไม่มีทางจะเห็นได้เท่านั้น
(ฮ่าๆๆ งั้นเหรอครับ แล้วพี่มีอะไรหรือเปล่า) หัวเราะออกมาด้วยความขำขันเพราะคิดว่าซองมินนั้นพูดออกมาเล่นๆ
“ตอนนี้นายว่างหรือเปล่า คือที่จริงพี่เพิ่งกลับมาเรียนที่เกาหลีได้ไม่นานนี้เอง อยากจะไปเที่ยวรอบโซลดูบ้าง แต่ก็ไม่มีคนพาไป” แสร้งทำเสียงให้ฟังดูน่าสงสารเข้าไว้ เพราะคิดว่ายังไงซะคนอย่างคยูฮยอนคงไม่ยอมไปไหนกับใครง่ายๆหากไม่จำเป็นจริงๆ เพราะกำลังอยู่ในช่วงสถานการณ์คับขันแบบนี้ อีกอย่างอีทึกคงไม่ยอมปล่อยให้คยูฮยอนไปไหนคนเดียวเป็นแน่
(วันนี้เลยเหรอครับ)
“พอดีพี่ได้ยินว่าวันนี้มีงานเทศกาลโคมไฟดอกบัวเลยอยากไปดูน่ะ ปีหนึ่งมีแค่ครั้งเดียวเอง แต่ถ้านายไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่นั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้” ปั้นน้ำเสียงให้ดูเศร้าลงไปอีก หาเหตุผลต่างๆนานาขึ้นมาอ้างให้ดูน่าเห็นใจที่ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่อยากที่จะปฏิเสธ
(เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปรับก็ได้ รอผมที่มหาลัยแล้วกันนะครับ) ถึงจะรู้สึกลำบากใจในตอนแรกแต่คยูฮยอนก็ตอบตกลงออกไปในที่สุด
“ขอบใจมากเลยนะ แล้วพี่จะรอนะ” บอกออกมาอย่างอารมณ์ดีก่อนจะตัดสายทิ้งไป ซองมินมองโทรศัพท์มือถือในมือก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ว่าทำไมทุกคนถึงได้รักคยูฮยอนกันขนาดนี้
หลังจากวางสายจากซองมินไปคยูฮยอนก็กดโทรออกหาอีทึกทันทีเพราะต้องรายงานก่อนว่าตัวเองจะไปไหนกับใครและอย่างไร เขาคิดว่าซองมินคงไม่อยากให้บอดี้การ์ดตามไปด้วยแน่ๆ เพราะฉะนั้นต้องขออนุญาตพี่ชายคนสวยก่อน
(จำเป็นมากขนาดนั้นเลยเหรอ) นี่เป็นคำถามแรกของอีทึกเมื่อคยูฮยอนโทรไปรายงาน น้ำเสียงนั้นฟังดูไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ ไปเที่ยวเขาไม่ได้ว่าอะไร แต่ไม่อยากให้คยูฮยอนไปไหนโดยไม่มีบอดี้การ์ดคอยรักษาความปลอดภัย
“งานเทศกาลมันมีวันนี้วันเดียวครับพี่อีทึก ผมไปกับซองมินคงไม่เป็นอะไรหรอกครับ” บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจเพราะไม่อยากขัดใจอีทึกมากนัก แต่ก็ตอบตกลงกับซองมินไปแล้ว
(นั่นมันเทศกาลของคนพุทธไม่ใช่เหรอคยู พี่ไม่อยากให้เราไปไหนถ้าไม่จำเป็น)
“แต่ผมสัญญากับซองมินไว้แล้วครับพี่ ให้ผมไปเถอะนะ แล้วผมจะรีบกลับและระวังตัวอย่างดี” คยูฮยอนรู้ดีว่าอีทึกเป็นห่วงเขาขนาดไหน แต่ถึงจะบอกข้ออ้างอะไรไปพี่ชายก็คงไม่ไว้วางใจอยู่ดี
(ทำไมนายชอบทำให้พี่เป็นห่วงนักนะ)
“ขอโทษครับ แล้วผมจะรีบกลับนะ” พูดจบก็ตัดหน้าชิงวางสายไปก่อน ไม่งั้นอีทึกคงได้บ่นต่อยาวเยียดแน่
คยูฮยอนกลับไปหาบอดี้การ์ดที่วันนี้ถูกส่งมาดูแลเขาแทนทงแฮที่รถก่อนจะออกคำสั่ง
“วันนี้กลับไปที่บ่อนก่อนเลยนะ นี่ค่ารถนั่งแท็กซี่ไปก็แล้วกัน ฉันโทรบอกพี่อีทึกเรียบร้อยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง” ยื่นเงินไปให้ตรงหน้าตบบ่าเบาๆสองสามทีก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถแล้วขับออกไปทันที ปล่อยให้บอดี้การ์ดผู้โชคร้ายโดนเจ้านายทิ้งได้แต่ยืนทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว
คยูฮยอนเลี้ยวรถเข้ามาในวิทยาลัยศิลปะโซลซึ่งเป็นทางผ่านที่เขาขับรถผ่านระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัยเป็นประจำแต่ก็ไม่เคยแวะเข้ามาซักที รถสีดำคลับคันหรูจอดสนิทอยู่ที่ด้านข้างสนามของวิทยาลัย ร่างสูงโปร่งเดินลงมาจากรถก่อนจะสอดส่ายสายตาหาบุคคลที่ได้นัดหมายเอาไว้
ซองมินซึ่งกำลังนั่งรออยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ของวิทยาลัยเมื่อเห็นบุคคลที่คุ้นตาทำท่าเหมือนกำลังมองหาใครซักคนอยู่จึงเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปหาในทันที
“ขอโทษด้วยนะ ที่พี่รบกวน” เอ่ยทักออกไปเป็นคำแรกก่อนจะยิ้มบางๆออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าเราไปกันเถอะ” ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตอบกลับไป พร้อมกับเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้เสร็จสรรพ
“ขอบใจมากนะ” ยิ้มสดใสเป็นการขอบคุณแล้วจึงยัดตัวเองเข้าไปในรถ คยูฮยอนเอื้อมมือไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยมารัดให้ทำเอาซองมินสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้แล้วจึงเดินอ้อมกลับไปประจำที่นั่งคนขับของตนเอง
และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง คยูฮยอนขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามกีฬาทงแดมุนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนแห่โคมไฟ
“พี่ชวนนายมาแบบนี้รบกวนนายหรือเปล่า เพราะที่จริงแล้วนายต้องกลับไปที่บริษัทใช่มั้ย” ซองมินเริ่มชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในรถมันเงียบจนเกินไป
“ไม่หรอกครับ” หันมาตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆก่อนจะหันกลับไปมองทางอย่างเดิม เพราะเขาไม่อยากให้ซองมินคิดว่ามันเป็นการรบกวน
“งั้นวันหลังเราไปเที่ยวด้วยกันเอามั้ย เพราะดูท่าทางนายเครียดๆ พี่อยากให้นายผ่อนคลายบ้าง เหมือนตอนเด็กๆที่เราเคยเล่นด้วยกันไง จำได้มั้ย” พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงก่อนจะมอบรอยยิ้มสดใสให้เป็นการตบท้าย
“จำได้สิครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงผม” คยูฮยอนยิ้มตลอดเวลาที่พูด เขารู้สึกได้ว่าแม้จะไม่ได้เจอซองมินมานานหลายปีแล้วก็ตาม แต่พี่ชายคนนี้ก็ยังคงดูเป็นห่วงน้อยชายคนนี้เหมือนวันก่อนๆไม่มีผิด
ซองมินยิ้มตอบกลับไปให้ก่อนจะหันออกไปมองบรรยากาศข้างทางเพราะคยูฮยอนขับรถเข้าใกล้บริเวณที่ใช้ในการจัดขบวนแห่แล้ว โคมไฟรูปทรงสวยงามมากมายที่ประดับประดาอยู่ในขบวนแห่ บรรยากาศยามเย็นที่ไร้แสงจากดวงอาทิตย์ทำให้โคมไฟเหล่านั้นดูเด่นและน่าสนใจยิ่งนัก ในงานโคมไฟดอกบัวนี่เป็นงานของชาวพุทธและดูเหมือนซองมินจะให้ความสนใจมันอยู่พอสมควร
“สวยเนอะ แต่คนเยอะมากเลยอ่ะ” ทำปากแบะอย่างคนไม่พอใจเมื่อเห็นบรรดาผู้คนมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาชมงาน ไม่ว่าจะเป็นคนเกาหลีหรือคนต่างชาติ คนเยอะแบบนี้แล้วเขาจะมองเห็นขบวนแห่มั้ยล่ะเนี่ย
“คนก็เยอะแบบนี้ทุกปีแหละครับ ถ้าเราจะมาดูต้องมาจองที่ไว้ก่อน” คยูฮยอนวนรถเพื่อหาที่จอดแต่มันหาไม่ได้ง่ายนัก เพราะคนส่วนใหญ่จะเดินทางมาด้วยรถประจำทางกัน
ยังไม่ทันที่จะหาที่จอดรถได้เสียงโทรศัพท์ของคยูฮยอนก็ดังขึ้นซะก่อน เจ้าของเครื่องหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
“สวัสดีครับพี่”
(คุณคยูฮยอนครับ! ลูกค้าที่บ่อนโดนทำร้ายครับ! และดูเหมือนคนที่ทำจะเป็นเด็กในบ่อนเรานี่แหละครับ!) เสียงตื่นๆของเยซองตอบกลับมา
“เด็กในบ่อนงั้นเหรอ” พึมพำออกมาไม่เบานักเหมือนเป็นการย้ำเตือนสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เด็กในบ่อนเขากล้าทำร้ายแขกงั้นเหรอ
(ใช่ครับ! คุณคยูฮยอนมาที่บ่อนได้มั้ยครับ ตอนนี้พี่อีทึกกับอึนฮยอกกำลังตามมา)
“ได้ครับ! แล้วผมจะรีบไป” พูดจบก็ตัดสายทิ้งไปก่อนจะกลับรถทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ซองมินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของคยูฮยอนเปลี่ยนไป
“เกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ เอาเป็นว่าผมจะไปส่งพี่ที่บ้านก่อนนะครับ” ตอบสีหน้าเครียด เมื่อเลี้ยวรถออกมาพ้นจากบริเวณงานก็เหยียบคันเร่งมิดทันที
“แต่พี่ว่ามันไม่น่าจะนิดแล้วนะ ให้พี่ไปด้วยได้มั้ย” ท่าทางของคยูฮยอนมันไม่ได้เป็นอย่างที่บอกมาเลยซักนิด ท่าทางที่เร่งรีบและสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดขนาดนี้มันคงไม่ใช่แค่เรื่องนิดหน่อยแน่
“อย่าเลยครับมันอันตราย” ปฏิเสธออกไปเสียงแข็ง ที่แบบนั้นเขาให้ซองมินไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด
“แต่พี่จะไปกับนาย!”
-----------------------------------------------
kr...Talk
มาแล้วจ้า มาต่อให้อีก100%
แต่อยากรู้จริงๆ คนอ่านหายไปไหนกันหมด
มันไม่สนุกหรืองัยเนี่ย
ไรเตอร์เริ่มท้อและไม่อยากเขียนอยากแต่งเรื่องนี้แล้วนะ
อยากลบทิ้งไปเลย
ถ้าไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น มาอ่าน มาเม้นกันเถอะ
อยากให้เรื่องนี้ได้จบจังเลย
ชอบพล็อตเรื่องอ่ะ ที่จะเกิดต่อไปในอนาคต
ขอเรียกเม้นหน่อยแล้วกัน
ไม่ถึง200เม้น ไม่อัพจริงๆด้วย
ความคิดเห็น