ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #71 : Momotaro: Umi no Shinpei การ์ตูนโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นที่สายเกินไปเสียแล้ว

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 53


           

                    สวัสดีครับคนอ่านทุกครั้ง ขอพักซายะกินแมวหน่อยนะครับ จะอัฟวันเล็กๆ น้อยๆ เพราะว่ามันยาวจัดมาก ขอขึ้นตอนใหม่ก่อนนะครับ(แต่ไม่ทิ้งนะ)

                    ก่อนอื่นขอมีข่าวน่ายินดีก่อน การ์ตูนเรื่อง High School of The Dead  ถูกทำเป็นอมิเนชั่นแล้วครับ แค่นี้แหละ…..(ชอบโครตๆ เหล่าสาวๆ โมเอะกับหนุ่มสองหน่อที่ดูไม่ได้เรื่องเนี้ย)

    การ์ตูนที่จะมาโม้ตอนหน้าจะเป็นเรื่อง สึซึมิยะ ฮารุฮิ ตอน การหายตัวไปของสึซึมิยะ ฮารุฮิ ภาคการหายตัวไปของฮารุฮิ &นางาโตะ ยูคิจัง, นิวโร, คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา,สมาคมคนหนึโลก, สมาคมคนน็อตหลุด, สงครามรักนักข่าวหัวเห็ดกับมิสไซง่อน และ นัตซึเมะกับบันทึกพิศวง   (อาจไม่เรียง แต่เรื่องเหล่านี้จะถูกนำมาเขียนแน่นอน ที่แน่ๆ คินดะอิจิโครตมหายาวเพราะว่ามีนมีอิทธิพลต่อชีวิตวัยเด็กของผมเหลือเกิน และการ์ตูนที่ท่านขอไว้จะไม่มีการลงในนี้แน่นอน......)

    .....................................................

                    ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2  อันเป็นสงครามแห่งมวลมนุษยชาติ ที่ต่างฝ่ายต่างระดมกองกำลังและอาวุธเพื่อห่ำหั่นอีกฝ่ายอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ประเทศมหาอำนาจผู้ร่วมสงครามได้ทุ่มเทขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เพื่อการสงครามทั้งหมด โดยไม่แบ่งแยกทรัพยากรของพลเรือนหรือทหาร การต่อสู้เต็มไปด้วยความดุเดือดทั้งสองฝ่าย ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและอักษะ

                    ภายนอกเต็มไปด้วยสงคราม ภายในก็ไม่เว้น เมื่อภายในประเทศของตนต่างโฆษณาชวนเชื่อเต็มที่ เพื่อปลุกจิตสำนึกความรักชาติขึ้นมา โดยเฉพาะสื่อการ์ตูนถูกนำไปเสริมสร้างในความเป็นฮีโร่และความชอบธรรมในสงครามครั้งนี้ เพื่อเด็กที่เข้ามาดูมีความคิดคือฝ่ายตนคือธรรมะ พวกเราถูกต้องเสมอ ส่วนฝ่ายตรงข้ามคือคนเลว ต้องกำจัด

                    เราได้เห็นการ์ตูนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 22 ของสหรัฐอเมริกาไปแล้วที่นำฮีโร่อเมริกันมาโลดเล่นเตะตูดนาซี ต่อยทหารญี่ปุ่นอย่างเมามัน วันนี้เราไปดูการ์ตูนของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้าง พร้อมกับสิ่งที่ญี่ปุ่นกล่าวอ้างว่าการก่อสงครามเอเชียบูรพานั้นคือสงครามที่ชอบธรรมของฝ่ายตน

     

     

    Momotaro: Umi no Shinpei

    แนวโฆษณาชวนเชื่อ, สงคราม

    จำนวนฉายเวลา 75 นาที

    ไปดูได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=suRt7Dtdsmg&feature=related

    (คลิปมีทั้ง 9 คลิปนะครับ หาเองเอง)

     

                    มานึกๆ ดู การ์ตูนญี่ปุ่นที่ฉากหลังเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบเต็มๆนี้ค่อนข้างหายากมากๆ เนื่องจากไม่ค่อยมีใครเขาทำกัน สาเหตุคือเสี่ยงต่อการฟ้องร้องและเป็นปัญหาของประเทศ ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนไม่กี่เรื่องที่มีฉากหลังบรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบเต็มๆ ก็ว่าได้

    เป็นการ์ตูนภาพเคลื่อนไหวเรื่องแรกของญี่ปุ่น กำกับโดย Mitsuyo Seo โดยถูกสั่งให้ทำเพื่อใช้เป็นภาพยนต์โฆษณาชวนชื่อสำหรับสงครามโดยกระทรวงทหารเรือญี่ปุ่น ฟิล์มมีความยาวกว่า 74 นาที ฉายเมื่อ 12 เมษายน 1945

    ที่ขำๆ มากๆ คือ การ์ตูนฉายในปี ค.ศ. 1945 ซึ่งปีที่ว่านี้ สงครามโลกครั้ง 2 ยุติพอดี ด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยสหรัฐอเมริกาตัดสินใจทิ้งระเบิดปรมาณูทั้งสองลูกบนแผ่นดินญี่ปุ่น ที่เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ ในตอนต้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 ส่วนทางด้านสหภาพโซเวียตก็ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และโจมตีแมนจูเรียของญี่ปุ่น  ญี่ปุ่นเลยตัดสินใจยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นได้เซ็นสัญญาในเอกสารยอมจำนนอย่างเป็นทางการ เป็นสิ้นสุดสงครามโลกอย่างเป็นทางการ ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้แห้วตามระเบียบเมื่อฉายออกมา เพราะเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามของทหารญี่ปุ่นที่รบชนะฝ่ายสัมพันธมิตรเสียด้วย

     

    โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) มีความหมายว่า เผยแพร่อุดมการณ์หรือความคิดเห็น ด้วยกลอุบายต่าง ๆ เช่นนำเสนอฝ่ายเราให้ดูดี ส่วนฝ่ายศัตรูภาพลักษ์แย่ เพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้เห็นคล้อยตาม ส่วนมากมักใช้ในศาสนาให้มีสาวกหรือผู้นับถือมาเข้าให้เยอะๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 การโฆษณาชวนเชื่อ ถือว่ามีอิทธิพลอย่างมากในการควบคุมจิตของผู้ฟัง,ผู้ดูในการสร้างความรู้สึกซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินเกิด จวบจนกระทั่งใช้ในผลประโยชน์ทางการเมือง ที่ต้องโน้มน้าวประชาชนพลเรือนนอกเหนือจากทหารให้เข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการเข้าทำสงครามของประเทศตน

    โฆษณาชวนเชื่อนั้นในการเรียนการสอนในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกจะให้ความหมายว่ารูปแบบของการติดต่อสื่อสารที่พยายามสร้างอิทธิพลเหนือความคิดเห็นและการกระทำของผู้อื่น โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงในเนื้อหาของข่าวสารที่โฆษณา การโฆษณาชวนเชื่อมักถูกมองว่าเป็นการเผยแพร่ข่าวสารที่ขาดความสุจริตใจ อาจมีการบิดเบือนความจริง (distortion) หลอกลวง (deception) และปิดบังอำพรางบางสิ่งบางอย่างไว้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้โฆษณาชวนเชื่อ หรือเพื่อให้ได้ประโยชน์ บางประการตามที่ตนได้คาดการณ์หรือคาดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว

    สำหรับทางทหารนั้นจะมองว่าการโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือหรือวิธีการหลักของการปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychology Operations: PsyOps) เพื่อก่อให้เกิดผลทางจิตวิทยาที่ต้องการ ซึ่งบางครั้งไม่จำเป็นต้องระบุที่มา หรือข้อมูลที่ถูกต้อง สามารถปลอมแปลงและโกหกให้คนอื่นหลงเชื่อได้ตามสะดวกโดยมีหลักการที่สำคัญคือ ข่าวสารที่แพร่ออกไปนั้นอย่าให้ผู้รับข่าวเกิดความรู้สึกว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ พยายามอย่าให้ถูกจับได้ว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะจะไม่สามารถทำการโฆษณาชวนเชื่อต่อไปได้ โดยหลักการโฆษณาชวนเชื่อ อาจสรุปลงง่ายๆ 7 ข้อ ได้แก่

    -Ad Hominem : โจมตีตัวบุคคล จับผิด ด่าทอ ต่อว่า ยิ่งเปรียบเทียบศัตรูว่าเป็นคนชั่วร้าย สมุนของปีศาจยิ่งได้ผลดีขึ้น ตัวอย่างเช่นนาซีมีการโฆษณาชวนเชื้อโจมตีนายกฯวินสตัน เชอร์ชิลว่าเป็นคนโง่ ดื้อด้าน

    -Ad nauseum : พูดซ้ำแล้วซ้ำล่าจนกว่าจะเชื่อ

    -Big Lie : โกหกคำโต ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น

    -Name calling : สร้างสมญานาม ใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ ให้น่าเกรงขาม เช่น Imperial Army : กองทัพบกของสมเด็จพระจักรพรรดิ ของกองทัพญี่ปุ่น

    - Black and White fallacy : ตรรกะผิด-ถูก แบบขาว-ดำ เปลี่ยนฝ่ายผิดเป็นฝ่ายถูกฝ่ายธรรมะ คนเราที่ชอบแสวงหาความดี ความถูกต้อง ตามหลักคำสอนทางจริยธรรมและศีลธรรมอยู่เสมอ ย่อมหลงเชื่ออย่างง่ายดาย

    -Flag Waving, Beautiful thing, and Great People reference : ชูธงสูงส่ง อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ ให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับว่าดี เช่นเทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์ ศาสดาที่ยิ่งใหญ่ เช่น พระพุทธเจ้า พระมะหะหมัด พระคริสต์ อ้างแหลกขอให้ฝ่ายตรงเชื่อเป็นพอ

    -. Disinformation by mass media : ควบคุมกำจัดข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน ข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง


              ในเนื้อเรื่องของ
    Momotaro: Umi no Shinpei ทหารญี่ปุ่นจะถูกนำมาเสนอในรูปของสัตว์ที่เดินขาเหมือนมนุษย์ โดยตัวละครหลักมาจากนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นชื่อดังเรื่องโมโมทาโร่ โดยโมโมทาโร่กลายเป็นนายทหารระดับสองของญี่ปุ่นที่บัญชาการรบเหล่าสัตว์ต่อสู้กับเหล่าฝ่ายสัมพันธมิตรในการรบที่เกาะสุลาเวสี ณ ประเทศอินโดนีเซีย(บางแห่งในไทยบอกว่าฉากรบเกิดขึ้นที่เพิร์ลฮาร์เบอร์แต่ดูภาพการ์ตูนแล้วก็น่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องเท่าไหร่)

    แน่นอนอย่างที่คาดไว้ การ์ตูนเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องโมโมทาโร่นั่นเอง เพียงแต่เปลี่ยนจากปราบยักษ์ที่มีพละกำลังและอำนาจน่ากลัวที่เกาะโอนิงะชิมะ มาเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรที่เกาะสุลาเวสีแทน ส่วนเหล่าสหายสัตว์ทั้งสามคือ สุนัข ลิง และนก ก็กลายมาเป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ต้องเป็นฝ่ายลาจากครอบครัวเพื่อไปรบในสงคราม โดยมีจุดประสงค์แฝงก็คือ ความรักชาติ ครอบครัว ความสามัคคี กล้าหาญ และความชอบธรรมในสงคราม

    ต้นฉบับของการ์ตูนเรื่องนี้ได้หายไปในเวลาต่อมา คาดว่าจะถูกยุดและเผาโดยกองทัพอเมริกัน ดังนั้นภาพยนต์การ์ตูนเรื่องนี้จึงเหลือแต่เพียงฉบับสำรองเก็บไว้ในโรงเก็บและได้กลายเป็นสิ่งที่ระลึกเตือนใจในสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้นเอง

     

    เปิดฉากออกมาเป็นภาพป่าเขาในวีถีชีวิตชนบท ตัวเอกหลักซึ่งเป็นเหล่าสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในเรื่องโมโมทาโร่ประกอบด้วยไก่ฟ้าที่นำหน้าเต้นไปเต้นมา ด้วยมีลิง, หมา และหมีตามหลังอยู่ห่างๆ (หมีมันตัวละครจากนิทานเรื่องคิวทาโร่....)

    สัตว์ทั้งสี่กำลังจะเข้าร่วมกองทัพญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมสงคราม พวกเขาได้ไปกราบไว้ศาลเจ้าเพื่ออิทธฐานให้ได้รับชัยชนะในสงคราม จากนั้นก็เข้าไปในหมู่บ้าน เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ออกมาต้อนรับดั่งวีรบุรุษ

    สัตว์ทั้งสี่แยกย้ายไปบอกลาครอบครัว จะเห็นได้ว่าครอบครัวของสัตว์ทั้งสี่ต่างมีครอบครัว หมีมีพ่อที่ชราที่ลาจากด้วยน้ำชา ไก่ฟ้ามีเหล่าลูกๆ ที่เป็นลูกเจี๊ยบอยู่ในรัง สุนัขมีพ่อแม่ที่แก่ชราที่กำลังทำไร่ไถนา

     

    หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ความสามัคคีเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่ฉากต่อไปจะตัดมาที่ฐานบัญชาการแห่งหนึ่งที่เกาะแห่งหนึ่ง ที่จะเห็นความเหล่าสัตว์สามัคคีกัน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการรบ การสำรวจแผนที่ การสร้างที่อยู่อาศัยของทหาร โดยสัตว์ทั้งหลายทำงานอ่างแข็งขันด้วยรอยยิ้ม พร้อมเพลงประกอบด้วยเสียงเด็กร้อง พร้อมกับการชูธงจักรวรรดิญี่ปุ่น

     จากนั้นก็มีเครื่องบินลำใหญ่ลำหนึ่งมาจอด(เครื่องบินรบมีตราเป็นลูกท้อ) กับฉากปรากฏตัวของโมโมทาโร่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่เหล่าสัตว์ต้องเคารพอย่างยิ่งยวด

    เหล่าสัตว์ๆ ทำการเตรียมสัมภาระ เตรียมอาหาร ขัดอาวุธปืนกล และเตรียมเครื่องบินรบอย่างสามัคคี เต็มไปด้วยความสนุกสนานและรอยยิ้ม แม้กระทั้งฉากอธิบายแผนการรบเหล่าสัตว์ก็ร้องเพลงราวกับมานั่งเรียนโรงเรียนประถม บางตัวแทบไม่สนใจด้วยซ้ำ

     

    ฉากที่ต้องมีในหนังสงคราม คือการได้รับจดหมายจากทางบ้านที่อยู่ห่างไกล แน่นอนมันเป็นฉากซ้ำๆ ของเหล่าทหารที่อยากกลับไปหาครอบครัวเมื่อสิ้นสุดสงคราม

     จากนั้นฉากก็ตัดมาถึงประวัติของอินโดนีเซีย(หลักฐานชัดๆ เลยว่าที่นี้คืออินโดนีเซียไม่ใช้ฐานทัพที่ใกล้เพิร์ลฮาร์เบอร์แต่อย่างใด)ประกอบด้วยหมู่เกาะที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน แต่ต่อมาต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์อยู่นาน 300 ปี อินโดนีเซียต้องทนทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนานและหวังที่จะมีใครสักคนเป็นวีรบุรุษกอบกู้ประเทศนี้ไว้เพื่อพวกเขา

     (ในเดือนมกราคม 1940 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นบุกอินโดนีเซีย และทำการขับไล่เนเธอร์แลนด์เจ้าอาณานิคมของอินโดนีเซียออกไปได้สำเร็จ จึงทำให้ผู้นำอินโดนีเซียคนสำคัญ ๆ ในสมัยนั้นให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ให้ความไว้วางใจกับญี่ปุ่นมากนัก เพราะมีเหตุเคลือบแคลง คือ เมื่อมีผู้รักชาติชาวอินโดนีเซียจัดตั้งขบวนการต่าง ๆ ขึ้นมา ญี่ปุ่นจะขอเข้าร่วมควบคุมและดำเนินงานด้วย

    เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายพันธมิตร อินโดนีเซียได้ถือโอกาสประกาศเอกราชในในที่สุด )

            

    เมื่อถึงฉากออกรบเล่าสัตว์ทั้งหลายต่างขึ้นเครื่องบินรบด้วยหน้าตาที่จริงจัง สังเกตว่ามีลิงอุรังดุตังมาโบกมือลาด้วย(ลิงอุรังอุตังเป็นสัญลักษณ์ของอินโดนีเซีย หรือก็คือตัวแทนของคนอินโดนีเซียนั่นเอง)

    ภายในเครื่องบินรบเหล่าทหารสัตว์ต่างแสดงความปลุกเล้าอารมณ์ซึ่งกันและกัน โมโมทาโร่ตะโกนให้เหล่าทหารสัตว์เตรียมพร้อมรบ เหล่าฝูงบินอยู่เหนือค่ายสัมพันธมิตร จากนั้นเหล่าทหารสัตว์ทั้งหลายก็กระโดดเล่มสู่พื้นที่อาณาเขตของข้าศึก และเมื่อมาถึงเหล่าทหารจักรวรรดิญี่ปุ่นบุกแบบสายฟ้าแลบ ระดมยิงทั้งปืนใหญ่ ปืนกล

     

    ตอนนี้แหละพึ่งปรากฏทหารของฝ่ายศัตรู และพบว่าเหล่าฝ่ายสัมพันธมิตรปัญญาอ่อนโดยสิ้นเชิง โดนเหล่าทหารสัตว์ฆ่าอย่างงายดาย ขี้ขนาด หนีตายอย่างจ้าละหวั่น เสมือนกับมาปิกนิกมากกว่ามารบ ไม่เตรียมพร้อมที่จะทำสงครามเสียเลย แถมหน้าตาแต่ละคนสุดแสนจะอัปลักษณ์และไม่สมส่วนอย่างรุนแรง มีทั้งผอม ลงพุง

    เหล่าฝ่ายสัมพันธมิตรพ่ายแพ่ต้องเหล่าสัตว์อย่างง่ายดาย ยกธงขาวออกมาอย่างตาละห้อย จากนั้นทั้งฝ่ายอักษระ(ทหารสัตว์)และฝ่ายสัมพันธมิตรก็เปิดโต๊ะเจรจากัน ทหารระดับพันธมิตรระดับสูงไร้สง่าราศี หน้าตาอัปลักษณ์พอๆ กับลูกน้องระดับร้อง แถมขี้ขลาดไม่แพ้กันอีก พูดไปร้องไห้ไป ขอร้องให้เหล่าสัตว์อ่านข้อเงื่อนไขเจาจรหน่อย พอโมโมทาโร่ได้ฟังทำท่าโกรธ ทหารระดับสูงก็ยอมแพ้ไม่กล้าพูดอะไรอีก เป็นอันตกลงข้อสัญญาของแต่ละฝ่ายในที่สุด

    ฉากสุดท้ายของภาพยนตร์กลับมาที่หมู่บ้านในตอนต้น เหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านได้วาดแผนที่โลกไว้ พวกเขาทำท่าก้าวเดินไปข้างหน้าที่ละจุดเสมือนกับบอกว่า “เราจะยึดครองโลก ว่ะ ฮ่าๆๆๆ”(เรื่องราวชีวิตจริงก็คงไม่ต้องพูดถึง ญี่ปุ่นถอดกำลังออกจากเกาะแพ้สงครามเรียบร้อย)

     

    เนื้อหาของภาพยนตร์ก็จบเรียบร้อย เป็นไงบ้างครับสนุกไม่สนุก ก็มันเป็นการ์ตูนเก่าน่าจะเอาอะไรมาก(แถมเป็นโฆษณาชวนเชื่อที่เรารู้แกวมันอีก) ตอนที่ญี่ปุ่นสร้างอมิเนชั่นนี้เวลานั้นทรัพยกรญี่ปุ่นต่างลงทุนเพื่อสงครามจนแทบไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว การทำภาพยนตร์แบบนี้ได้ถือว่าโครตเก่งเลยครับ ต้องนับถือตรงนี้ 

    ส่วนเรื่องข้อเท็จจริงสงครามแห่งเกาะเกาะสุลาเวสีจะเอาไว้ในตอนต่อไป วันนี้เรามาดูความชอบธรรมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่นดีกว่าครับ

    ปัจจุบันญี่ปุ่นยังยึดมั่นความชอบธรรมในสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ หลักฐานก็คือหนังสือตำราเรียนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่จนบัดนี้ยังไม่ได้แก้ไขเนื้อหาแต่อย่างใด การบุกรุกประเทศต่างๆ ในเอเซียตะวันออกโยเฉพาะจีนถูกบิดเบือนกลบเกลื่อนอาชญากรรมแห่งมวลมนุษยชาติ โดยเนื้อหาที่จนบัดนี้ญี่ปุ่นยังไม่ทำแก้ไขแต่อย่างใดมีดังต่อไปนี้

    -ญี่ปุ่นไม่ยอมใช้คำ “รุกราน” กับตนเองตลอดมา ไม่ว่าจะเป็น การรุกรานเกาหลี หรือรุกรานจีน การก่อสงครามแปซิฟิค ญี่ปุ่นใช่คำว่าถูกบีบให้ทาสงคราม และใช้คำว่า “เข้าไป” แทนคำว่า “รุกราน”

    -ประเทศจีนมีอิทธิพลจากลัทธิคอมมัวนิสต์ผ่านโซเวียตโดยการใช้กำลัง ทำให้ฯปุ่นจำเป็นต้องป้องกันตัวจากจีนและควบคุมสถานการณ์ไม่ให้รุนแรงไปกว่านี้

    -ญี่ปุ่นปลดปล่อยเอเชียพ้นจากแอกมหาอำนาจอังกฤษ และอเมริกา และทำสงครามเพื่อขจัดอิทธิพลที่ครอบงำชาวเอเชีย เพื่อสร้างแดนสุขาวดีขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ส่วนอินโดนีเซียและพม่าได้ก่อตั้งทหารภายใต้การชี้นำของญี่ปุ่น ผู้นำเอเชียหลายคนปรากฏตัวขึ้นเพื่อต่อสู้ชิงเอกราชของชาติ ด้วยการช่วยเหลือญี่ปุ่น

     

    "If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will be believed. "
    Adolf Hitler, Mein Kampf "Why the second reich collapse"
    "หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ"
    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, การต่อสู้ของข้าพเจ้า "เหตุใดจักรวรรดิไรค์ที่ 2 จึงล่มสลาย"+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×