ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวทย์ จอมไตร

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่5

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 246
      0
      26 มี.ค. 62

    เวลาเย็นค่ำที่นกกากลับจากหากิน นั่นแหละคือเวลาเลิกเรียนของเวทย์

    นานิมายืนพิงผนังบันไดทางขึ้นเจดีย์อันสูงชัน ชะเง้อชะแง้อยู่เป็นนาน เวทย์รอจังหวะเวลา จนกว่าพวกอั่งม้อกับเจ๊กนักท่องเที่ยวไปจนหมดก่อน

    พอพรวดพราดออกมา เป็นหลบมุมแทบไม่ทัน แม่คนนี้อะไรก็ไม่รู้ หูตาสอดส่องไปทั่ว เขาอาจถูกจับความลับได้ว่า โผล่ออกมาจากฐานเจดีย์ภูเขาทองไม่วันใดก็วันหนึ่งแน่

          คุณนานิ..ขอรับ”

    เสียงของเขามาทางข้างหลัง ใบหน้าน่ารักหันมาร้องอุ้ยอย่างสะดุ้งตกใจ  ไม่นึกว่าจะโดนเขาพบเจอก่อน กะว่าจะมาดักหาความลับ ทำไมเขาถึงต้องมาวัดแห่งนี้ทุกวันด้วย เวทย์ไม่ทันเปิดปากพูด หอยเบี้ยที่ถูกร้อยเป็นพวง ตามจำนวนค่าจ้างนักสืบถูกยื่นส่งมาให้ทันที

    “ฉันให้นาย”

    หอยเบี้ยจริงๆ ด้วย เวทย์นับดู ที่มันถูกร้อยเป็นพวงไว้อย่างดี

    “นายต้องการของพวกนี้ใช่ไหม สำหรับค่าจ้าง โชคดีที่สมัยคุณตาของฉันยังมีชีวิตอยู่ ท่านชอบสะสมเงินโบราณพวกเบี้ย พดด้วงเอาไว้มากมาย ฉันก็เลยหามาให้” ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร  หรือจะเอาไปปลุกเสกของขลัง นานิแสดงลักยิ้มออกมา   ดูเขาจะชอบของพวกนี้มาก แววตาคู่นั้นที่เคยไร้แวว บัดนี้มันเปลี่ยนไปเมื่อมองเธอ  ความจริงเขาต้องการเงินบาท เพื่อมาใช้จ่ายในโลกนี้ 

    “จ้างสืบคดีหรือ..ขอรับ”

    “ตอนนี้  ยังไม่รู้”

    “อ้าว..”

    “เอาเป็นว่า นายติดหนี้ฉันละกัน”

    หญิงสาวก้มหน้าทอดสายตาลง  เขาสังเกตเธอดูเชื่องซึมผิดตาไปมาก จากนั้นจึงแบ่งเบี้ยมาส่วนหนึ่ง ทำมันให้เป็นกำไล สวมให้ที่ข้อมือน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม

           “พกติดตัวนะขอรับ มันเป็นของขลัง ขจัดเภทภัยได้”

           “ประเภทเบี้ยแก้คุณไสยใช่ไหม เอามาทำแบบนี้แล้วสวยจังเลย

        ไม่ว่าจะกาลไหนก็ขอให้มีมันไว้ เบี้ยมีฤทธิ์ในการแก้อาถรรพ์แก้คุณไสย สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงและสิ่งนี้จะเป็นสื่อให้กระผม   ตามหาคุณนานิ ในยามเกิดเหตุเภทภัยนะขอรับไม่ว่าจะโลก สวรรค์หรือนรก ทั้งสามไตรภพ

    ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิไหนก็ตาม...เขายืนยัน

    พูดซะหวานหยดเซียว อย่างกับจะบอกรัก เธอยืนบิดอายม้วน ต่อจากนี้คงต้องเลิกมาตามสืบหาความลับของเขาที่นี่เสียที

    สองคนเดินเคียงกันไปตามฟุตบาท สวนทางกับนักท่องเที่ยวหัวแดง จีน แขก ในยามแสงโพล้เพล้ นานิซ่อนแววตาที่มักแสดงความอารมณ์ดีอยู่เสมอ เวทย์เองรู้สึกว่าเธอจะเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ ภายใต้สีหน้าที่ยิ้มแย้ม

    “ใครก็มักมองว่าฉันมาจากครอบครัว ที่สมบูรณ์เพียบพร้อม ฐานะดี มีพ่อแม่คอยเอาใจ ส่งเสริมให้ทุกอย่าง ไม่ว่าต้องการอะไรก็ต้องได้”

    เวทย์เบิกตาเลิกคิ้ว หรือว่าเธอต้องการเพื่อนคุยปรับทุกข์ เมื่อวันก่อนพรายน้อยยังเคยมาปรับกับเขาด้วยเลย

    “ชีวิตที่ดีขอรับ แล้วเหตุใด...ทำหน้าเหมือนญาติผู้ใหญ่เสียล่ะขอรับ”

    “นี่! นาย”

    ตาเขียวปั๊ดของนานิ ง้างมือจะตบเข้าให้ เวทย์ย่อเข่าลง ยกมือพนมท่วมหัว

    “ขออภัย..ขอรับ”

    “กวนเป็นเหมือนกันนะ” เธอปรับระดับลมหายใจให้ได้ระดับ “เพื่อนในห้องเรียนของฉัน หลายคนนิสัยดี ฉันอยากจะคบหาเป็นเพื่อนด้วยมากนะ แต่พวกเขากลับสร้างระยะห่างกันฉันไว้ตลอด มองแต่ว่า ฉันมีคนขับรถรับส่ง  ได้ใช้โทรศัพท์แพงๆ ทำตัวเป็นคุณหนู บางทีก็พูดเหมือนกับว่า เรามันฐานะต่างกัน กีดกันฉันออกมาจากกลุ่มทุกครั้ง  รู้ไหมมันอึดอัดแค่ไหน ที่ต้องยิ้มคนเดียว หัวเราะคนเดียวโดยที่ไม่มีเพื่อน

    กลับบ้านมา เห็นแต่หน้าคุณแม่ที่ปั้นหน้าบึ้งอยู่ตลอด  คอยจ้ำจี้จ้ำไซเรื่องการบ้านการเรียนของฉัน บางทีไม่ได้ดั่งใจก็โดนตี ฉันรู้ระยะหลังมานี้ คุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกันบ่อยมาก” น้ำเสียงของเธอแผ่วจาง ดวงตาเลื่อนลอย

    “ขออภัยขอรับ ขอทราบด้วยเหตุอันใดฤา ขอรับ”

    สำเนียงของเขาแปร่งหูพิกล แต่นานิก็เริ่มจะชินแล้ว “แม่กล่าวหาพ่อ ที่ชอบกลับบ้านดึกทุกคืน จะต้องมีเมียน้อยไว้อีกบ้าน และจะต้องเป็นเลขาสาวสวยที่บริษัทของคุณพ่ออย่างแน่นอน คุณแม่ให้คนในบริษัท ตามสอดส่องพฤติกรรมมาตลอด สองคนมักขับรถออกไปไหนแต่ไหนด้วยกันหลังเลิกงาน คุณพ่อเถียงว่า นั่นเพราะได้รับเชิญไปงานเลี้ยงบ่อย เลขาต้องไปด้วยเพราะต้องเตรียมของไปด้วย เช่นพวกกระเซ้าดอกไม้ ของขวัญต่างๆ เรื่องนี้เถียงกันไม่จบซะที จนเลขาคนนั้นจะลาออกอยู่แล้ว”

    “ใจร่มๆ ขอรับ เรื่องของครอบครัว เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องเข้าใจผิดเล็กๆ หากไม่ได้รับการแก้ไขความเข้าใจให้ถูกต้อง อาจบานปลายจนเป็นความบาดหมาง จนยากจะแก้ไข ทางที่ดี ทั้งสองจะต้องหันหน้ามา ปรับความเข้าใจกันเสียใหม่ โดยมีคุณนานิเป็นคนกลางคอยประสานนะขอรับ”

    ขนตาของเธอกระพริบปริบ อ้าปากค้าง ที่เขาพูด มันไดอะล๊อกเดียวกับที่ครูที่ปรึกษาที่โรงเรียนพูดกับเธอเลย นึกว่าจะพล่ามเรื่องวิธีแก้คุณไสยเสียอีก

    “อีกเรื่องคือน้องสาวคนเล็กของฉันชื่อ หนูนา อายุ 5 ขวบ จนป่านนี้ยังไม่ยอมพูดเลย ยิ่งเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะ หนูนาเอาแต่เล่นกับตุ๊กตาหมี ไม่สนใจอะไรเลย แม่ปรับทุกข์กับฉันบ่อย บอกว่าสงสัยผู้หญิงคนนั้น จะทำคุณไสยใส่บ้านเรา”

    จะสุดทางเดินแล้ว คนขับรถจอดรถเบนซ์รออยู่ เห็นเธอจึงลงมาเปิดประตูรอรับเห็นท่าจะเตร่ไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว  นานิหันมามองใบหน้าของเขา รอยยิ้มอันอบอุ่นยามอาบแสงสีแดงสุกใสของพระอาทิตย์ในเวลาโพล้เพล้  ดูมีรัศมีเปล่งปลั่ง นานินึกแวบภาพเขียนบนฝาผนังโบสถ์วิหาร ภาพของเทพบุตร  ที่จิตรกรจะบรรจงเขียนเอาไว้ พอดีรถเมล์มาถึงป้ายพอดี เวทย์เห็นทีซอยเท้าเตรียมวิ่ง

    “รถเบนซ์ของผมก็มาแล้วขอรับ ไว้พบกัน พรุ่งนี้..ขอรับ”

    “ไม่ ค่ำนี้ ฉันไปหานายได้ไหม”

    “ไม่กลัวโกดังผีหรือ ขอรับ”

     

    เวทย์กลับมาถึงวัด พอดีเห็นมอเตอร์เด็กส่งพิซซ่าวิ่งผ่านหน้า แม้เพียงชั่วแล่นเขาก็จำได้ พรายน้อยนั่นเอง ก่อนรถจะเลี้ยวเข้าบ้านของนานิ เวทย์ได้รับปากอาจารย์ปู่สกมาตามเพื่อน จนป่านนี้ยังไม่คืบหน้า  ติดอยู่ว่าเย็นวันนี้ต้องอยู่ช่วยงานโปรเฟรสเซอร์ด้วย   

    ที่เมรุเห็นแสงไฟจากช่องเตาเผาลุกโซน โปรเฟรสเซอร์บุญคำกำลังเผาศพอยู่ แม้ร้อนระอุสีหน้าแกกลับเฉย ขณะที่เวทย์พอเข้าไปใกล้ กลับทนต่อความร้อนไม่ได้ ทั้งที่หมายตั้งใจจะช่วย

    “ไม่ต้องรีบมาช่วยหรอก เอ็งยังเผาศพไม่ได้”

    “เพราะเหตุไรฤา..ขอรับ”

    “เพราะเอ็ง ยังไม่ได้มนต์จากครู”

    “ผมจะรีบไปรีบมา..ขอรับ”

    “เออ.. เอ็งไม่ต้องรีบหรอก หลวงพ่อท่านสั่งมา ถ้าเอ็งกลับมาเมื่อไหร่ ให้ไปพบท่านที่กุฏิด่วน หลวงพ่อมีเรื่องจะขอปรึกษา  เสร็จแล้วเที่ยงคืนโน่น เอ็งค่อยมาที่นี่อีกที ข้าจะถ่ายทอดมนต์ให้”

    เวทย์ไปถึงกุฏิถึงได้รู้ความจริง ปู่โสมได้มาปล่อยเงินกู้ถึงวัดนี้แล้ว ท่านสมภารสีหน้าสลดไม่น้อยกับหนี้ก้อนโต ในเมื่อคุณพ่อของเขาเป็นเจ้าภาพใหญ่ บริจาคเงินสร้างวัดแห่งนี้ หวังเป็นที่พึ่งพาสุดท้าย

    เซียวนั่นหรือ..ขอรับ หลวงพ่อ ได้กู้เงินจากปู่โสมมา หนึ่งโกฏิเบี้ย

    “อาตมากู้มาหนึ่งล้านบาทนะโยมเวทย์  ไม่ใช่หนึ่งโกฏิเบี้ย ในตอนทำสัญญา อาตมาเห็นเป็นหนึ่งโกฏิเบี้ยจริง แต่ไม่เข้าใจความหมาย นึกเอาเองว่า มันคงเท่ากับหนึ่งล้านบาท เลยเซ็นไปก่อนตามที่โยมทนายหน้าหอแนะนำ โยมเวทย์ก็รู้ว่าหลังคาอุโบสถมันผุพังมากแล้ว เวลาฝนตกมาทีทำวัตรกันไม่ได้เลย ครั้นจะอาศัยปัจจัยจากญาติโยมหรือก็น้อยนิด ไม่พอจ่าย

    หนึ่งโกฏิเบี้ย เท่ากับหนึ่งพันล้านบาทในโลกมนุษย์ มันมากเกินไปที่วัดธรรมดาจะกู้และใช้คืนได้ ท่านสมภารต้องเล่ห์กล ของทนายหน้าหอทนายของปู่โสมเข้าให้แล้ว  เขาขมวดคิ้วคิดแน่นรอบคอบถ้วนทั่วดีแล้ว ก่อนจะรับปากจะหาทางช่วยพูดกับคุณพ่อเรื่องชดใช้หนี้ให้ ท่านสมภารจึงค่อยเบาใจ

    การเป็นลูกชาย ส.ส.ทำให้เขาเป็นที่คาดหวังอยู่เสมอ แม้แต่เรื่องการเงิน

    โปรเพสเซอร์บุญคำนั่งพักยก ดวดเหล้าขาว 45 ดีกรี หน้าแข้งเหี่ยวของแกสั่นริกๆ อยู่หน้าเตาเผา เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เวทย์เดินหงอย เน็กไทด์หลวม ชายเสื้อแลบออกนอกกางเกง กลับมารายงานความคืบหน้าเรื่องหนี้สินของทางวัด

    “เอ็งติดต่อขอเงินที่พ่อ ส.ส. ของเอ็งไปแล้วหรือยังวะ”

    “ติดต่อแล้วขอรับ  ตอนนี้พ่อกำลังถูก สตง.ทางโน่นตรวจสอบการเงินอยู่ เบิกจ่ายเบี้ยมากๆ ไม่ได้”

    “แล้วเอ็ง จะเอาเบี้ยใบ้ที่ไหนมาจ่าย เงินออกมากโขขนาดนั้น ทำไมไม่ปฏิเสธหลวงพ่อไปเลย”

    เขากอดอกนิ่ง พูดจาสุขุม ““เรากินข้าวก้นบาตรทุกวัน นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะทดแทนคุณข้าวก้นบาตรแล้วขอรับ  จะยังไงก็ยอมให้วัดโดนยึดไม่ได้” โปรเพสเซอร์บุญคำมือปาดเหงื่อบนหน้าผากล้านเลี่ยน แม้เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยยังรู้สึกดี  เวทย์เป็นคนดีเหมือนท่าน ส.ส. คงไม่ยอมให้วัดนี้โดนยึดไปแน่

    “แสดงว่าเอ็ง  มีทางออกหาเบี้ยมาได้แล้ว

    เวทย์ยืนหันหลังให้อยู่นาน เกาหัวแกรกกราก ก่อนจะหันมายิ้มแหย เพราะคิดจนหนทางเหมือนกัน  ตะวันรุ่งเมื่อไหร่ เราค่อยมาคิดกันอีกทีนะขอรับ  ในตอนนี้กระผมคิดไม่ออกจริงๆ..ขอรับ

    ไฮ้! Goddamn! เฒ่าสัปเหร่อไสส้นเท้ายันจานสังกะสีใส่มะขามเปียกหล่นลงพื้นดังเคร้ง! ด้วยไม่สบอารมณ์

     

    ในกองเสื้อผ้าที่เวทย์ถอดกองไว้ เจ้าตัวรีบแล่นเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายยมบีบอยกับยมเอ๋อดันจุกขวดออกมาจากระเป๋าเสื้อ   ยิ้มหัวให้กันเพราะรู้ข้างนอก นานิกำลังเข้ามา เห็นจะชวนเธอมาเล่นสนุก ในเมื่อตอนนี้เวทย์กำลังสระสงอยู่ในห้องน้ำ  เสียงขันวักน้ำจากโอ่งดังซู่ๆ แล้ววาดสบู่หอมตรานกลูบไล้จนทั่วสรรพางค์กายหอมจรุง

    นานิเดินเลียบเคียงมาถึงโกดังเก็บศพ ไม่วายสายตาสอดส่องอย่างหวาดๆเข้าไปภายใน ที่มีหีบศพเก่าๆ แม้รู้สึกหวิวอยู่ในอกไม่น้อย แต่ในเมื่อถัดไปอีกหน่อยเป็นที่พักของเวทย์ ยิ่งมาเห็นพวกเด็กๆ วิ่งออกมาต้อนรับ เธอพอจะใจชื้นขึ้น

    “พี่ๆ ไม่กลัวผีเหยอ”

    รักยมบีบอยมาถึงก็จ้อทันที พี่สาวส่ายหน้า

    “ไม่กลัวเลย”

    แล้วเธอก็คุกเขาลง มาจับคางเด็กน้อย

    “พี่น่ะรู้นะเราสองคน ไม่ใช่เด็กธรรมดา..”

    ยมเอ๋อยิ้มแห้ง จมูกมีน้ำมูกเป็นเส้นย้อยลงมา

    “พี่สาวไม่กลัวผีว่ะ ไอ้บี”

    นานิทำเสียงฮึ! มือเท้าสะเอวมองเด็กวัยไร้เดียงสา “แล้วกัน! นี่ตกลง เราสองคนจะมาหลอกผี พี่ใช่ไหม” เธอลากเสียงยาว กะว่าจะดุใส่เด็กน้อย

    “แฮ่ๆๆ แน่ใจนะไม่กลัวผี” ยมบีบอยถอดหัวออกมา แลบลิ้นยาวๆ ส่ายไปมา

    “เดี๋ยวจะเอาหัว  ไปเตะแทนลูกบอลเลย”

    “อย่ามากัดฟันพูดนะ! กลัวแล้วใช่ม้าย..”

    เธอยืนขำส่ายหน้า ในความประสาของเด็ก “นี่เชื่อหรือเปล่า  พี่มีความสามารถวิเศษติดตัวมาตั้งแต่เด็ก คือเห็นสิ่งเร้นลับ ประเภท ภูต ผี ปีศาจ มานักต่อนัก เมื่อก่อนพ่อของพี่ก็เคยเลี้ยงรักยม กะอิแค่เราสองคนน่ะ ธรรมดาม๊ากมาก..ขอบอก”

    “ไม่จริ๊ง! อย่ามาหลอกเด็ก”  ทีแรกนานิเหมือนตกใจ แต่แล้วก็หลุดขำออกมา หาได้กลัวไม่ พอจนหนทางหลอกให้พี่สาวกลัวไม่ได้ ยมบีบอยลงไปดิ้นตีแปลงฟัดฟาด

    ยมเอ๋อเห็นท่าไม่ดี เข้ามากระซิบเพื่อน เสียศักดิ์ศรีผีหมด ยังไงก็ยอมแพ้ไม่ได้แล้วกระซิบทีเด็ด เอาให้พี่สาวกระเจิงได้เลย

    “ไอ้เอ๋อ แกแน่ใจนะ”

    ยมเอ๋อยกนิ้วโป้งให้ แผนนี้เด็ดชัวร์

    “ว่าไงๆ วางแผนอะไรจะมาหลอกพี่”

    ยมบีบอยยิ้มดุ “ถ้าแน่จริง ตามพวกเรามาสิ เดี๋ยวเจอทีเด็ดแน่”

    “ยังมี ที่น่ากลัวกว่าเราอีกเรอะ”

    “ตามมาละกัน”

    ยมบีบอยเข้ามาดึงแขนนานิ อ้อมโกดัง วกไปด้านหลังบ้านพัก แล้วก็ชี้ไปที่ห้องๆ หนึ่ง สภาพมันคล้ายห้องน้ำ   

    “ในนี่แหละ หัวหน้าปีศาจ ที่ใครเห็นเป็นต้องร้องกรี๊ด พี่สาวกล้าเข้าไปป่าว”

    มันน่ากลัวกว่าโกดังเก็บศพตรงไหน นานิกลืนน้ำลายอึก ใบหน้าดูเซียวเล็กน้อย  ยังไงมันก็เป็นแค่ห้องน้ำ กระจอกจริงประตูไม่มี อาศัยถุงปุ๋ยตรากระต่ายเย็บเป็นผืนขึงบังไว้แทนผ้าม่าน  พอได้ยินเสียงเหมือนคนวักน้ำมาล้างตัวดังซู่ๆ น้ำกระเซ็นออกมา จะถอยหลังมาไม่ทันแล้ว  มองหน้าเด็กทั้งสอง ยมเอ๋อหัวร่อแฮะๆ พยักหน้าให้เพื่อน เข้ามาช่วยกันผลักหลังเธอพรวดพราดเข้าไป

    “ยมลูกพ่อ น้ำจะหมดโอ่งแล้ว ไปตักให้พ่อที”

    เวทย์กำลังฟอกแซมพูบนหัว หลับตาปี๋อยู่ด้วยกลัวแสบตา หญิงสาวโผล่พรวดเข้ามายืนจังงัง อีกเอื้อมมือเดียวจะโดนตัวเข้าแล้ว ยามชายหนุ่มหันหน้ามาเต็มตัว    รู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ด้านหลัง เธอถึงกับปากสั่นพับๆ

    กรี๊ดดดด...

    “ห๊ะ! ไหนๆ ปีศาจ! ยมลูกพ่อ! ช่วยพ่อด้วย!

    เวทย์เอาหัวมุดโอ่งรีบวักน้ำล้างใหญ่  สงสัยปีศาจผู้หญิงจะเข้ามาแผลงฤทธิ์ พอลืมตาอีกทีก็เห็นรักยมทั้งสองยืนยิ้มอวดฟัน

    “ช่วยด้วยลูกพ่อ เมื่อกี้ปีศาจมันเข้ามา”

    “เราไล่นางปีศาจไปแล้วพ่อ รับรองต่อไปไม่มาอีกแน่”

    “ขอบใจมาก รักยมลูกพ่อ”

    เวทย์ต้องถอนใจดังเฮ้อ..

     

    สายลมดึกครางหวีดหวิวผ่านใบหู  อาคารเมรุตั้งตระหง่านตรงหน้า เวทย์ก้าวย่างอย่างมั่นคง เขาพร้อมแล้วสำหรับการรับมนต์จากโปรเฟรสเซอร์ พอไปถึงเห็นนั่งเก้าอี้ดูดยาเส้นเป็นเงาตะคุ่มรออยู่เป็นนาน ข้างในเตาเผายังคงได้ยินเสียงถ่านประทุ

    “พรุ่งนี้ก่อนอีกาตื่น เอ็งต้องตื่นมาช่วยข้าเก็บกระดูก”

    “ขอรับ”

    เวลาก่อนก่อนอีกาตื่น ประมาณตี 4-5 ที่สัปเหร่อต้องจัดการกับอัฐิกับเถ้าอังคาร รวบรวมให้พร้อมก่อนญาติมาทำพิธี

    พอเปิดเตาเผา แสงสีแดงจากถ่านร้อนๆ อาบใบหน้าสองศิษย์อาจารย์ ความร้อนทำให้เวทย์เหงื่อย้อย แล้วยังน้ำตาไหลจากควัน หากโปรเฟสเซอร์ยังนิ่งเฉย

    “โปรเฟสเซอร์ ไม่ร้อนฤา..ขอรับ”

    แกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงเยือกเย็น “ไฟจากการเผาศพ มันคือไฟเฉกเช่นเดียวกับไฟนรก ใครจะใช้คาถาป้องกันจากความร้อนของมันไม่ได้เลย  จอมขมังเวทย์เกรียงไกรแค่ไหนก็สู้ไฟนรกไม่ได้  จะมีแต่คนเป็นสัปเหร่อเท่านั้น ที่มีคาถาป้องพิษร้อนของมัน แล้วสัปเหร่อจะถ่ายทอดคาถานี้ให้เฉพาะลูกศิษย์ของตนเท่านั้น”

    แกเหลือบสายตาเหลืองขุ่น เห็นเส้นเลือดฝอยมา เวทย์รู้ตัวยกมือพนม พร้อมรับคาถา

    “จงจำไว้ให้ดี  คาถา หักด่านไฟนรกข้าจะว่าเพียงครั้งเดียว จะไม่มีครั้งที่สองต่อหน้าเตาเผาศพแห่งนี้” สัปเหร่อเฒ่าประกาศก้อง

    ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีรับคาถา เวทย์ลืมความง่วง อาศัยแคร่เอนกายมองท้องฟ้า ที่คืนนี้มันดวงดาวมันช่างแพรวพราวอวดแสงกว่าทุกคืน

    มีแสงดาวตกพุ่งวาบไปที่ดงต้นตาล ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ราวกับอสูรกายเคลื่อนกายเดินแหวกดงไม้ใหญ่ ตรงมายังสถานที่พักนอนของเขา ไม่ผิดแน่ที่เห็นต้องเป็นจานผี UFO ของเปโตรที่ย่อส่วนเพื่อพรางตาจากมนุษย์

    “ไงเวทย์ คืนนี้นายสบายใจจังนะ”

    เสียงที่ดังจากเหนือหลังคาขึ้นไป สิ่งที่เขาเห็นคือ เจ้าอสูรกายปากเท่ารูเข็มยื่นหน้าชะโงกลงมามอง

    “ดวงดาวคืนนี้ มันสวยกว่าทุกคืน”

    เขายิ้มอ่อนแล้วกวักมือเรียกเพื่อน ให้ย่อตัวลงมานั่งคุยกัน ไม่มีเก้าอี้ตัวไหนในโลกให้เปโตรนั่งได้ นอกจากลงไปนั่งกอดเข่ากับพื้น สิ่งที่เพื่อนจากต่างดาวเห็นผิดแผกไปจากทุกคืน ไม่ซึมกะทือเหมือนนกเค้าแมวเหมือนอย่างทุกที

    “นายคงจะคิดถึงล่ะสิท่า ที่ มหาวิทยาลัยมีสาวสวยระดับนางฟ้าอยู่หลายคน ถูกใจอยากคบหาคนไหน อย่าลืมแนะนำให้ฉันรู้จักด้วยนะ”

    เครื่องแปลเสียง คงทำให้เปโตรช่างพูดเกินไปแล้ว

    “กระผมคิดถึงแม่ต่างหาก แม่ตายไปสี่ปีแล้ว”

    เวทย์โกหกไม่เก่งเลย ดวงตาหวานฉ่ำคู่นั้นมันฟ้องว่าคิดถึงสาวข้างวัดมากกว่า  ปากเล็กจิ๋วเป่าปากปี๊ดๆ ล้อเลียนคนปากแข็ง ทำเอาโปรเฟรสเซอร์ที่นอนไม่หลับอยู่ข้างในเอามือเคาะฝาห้อง เตือนให้ทั้งสองเงียบเสียงลงหน่อย

    “พรุ่งนี้ ต้องตื่นแต่เช้านะ อย่าลืม”

    “ขอรับ”

    โบร๋ววว!!..โบร๋ววว!!..ว.ว..

    หมาในวัดพร้อมใจกันหอนเสียงยาว ดังระงมส่งต่อกันเป็นทอดๆ เปโตรหงุดหงิดยิ่งนัก เห็นจะคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง หยิบเอาปืนยิงคลื่นความถี่สูงใส่ ยิงไม่ยั้ง พวกหมาร้องเอ๋ง! พากันหนีเตลิด ด้วยเกีรยติของนักศึกษาปริญญาโทจะโดนหยามไม่ได้ เสียงหมายิ่งทำให้คนข้างในกระสับกระส่ายด้วยรำคาญยิ่ง

    “ปกตินายยืม UFO ของฉันขี่ย้อนเวลากลับไปเยี่ยมแม่ประจำนี่”

    เปโตรหันมาพูดคุยอีกครั้ง เวทย์แค่นยิ้ม รู้สึกเพื่อนจะเป็นศัตรูกับหมาเสียจริง

    “จริงขอรับ กระผมพึ่งจะกลับไปเยี่ยมแม่ เมื่ออาทิตย์มานี่เอง แม่ยังต่อว่าไม่รู้จักโต ยังไงเพลาปัจจุบันนี้แม่ก็ตายไปแล้ว ในอนาคตแม่ก็ไม่มี”

    แม่มาเกิดในโลกมนุษย์ เขาหวังว่าจะหาแม่ให้พบเข้าสักวัน

    “แล้วการเรียนของเปโตรล่ะขอรับ เรื่องการใช้ทรัพยาการของมนุษย์โลกในศตวรรษนี้” เวทย์ถาม นัยว่าเปลี่ยนเรื่องคุย

    “วันนี้ฉันนั่ง UFO ย้อนเวลาไปใน ค.ศ. 1950 เพื่อเก็บข้อมูลทิวทยานิพนธ์ แล้วดันไปเอาต้นเหตุของสงครามนิวเคลียร์มาด้วย นายลองทายดูสิว่าใคร ในปีนั้น นักวิทยาศาสตร์คนไหนที่มีผลงานเด่น”

    “ช่วงเพลานั้นก็มี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ เจ้าของทฤษฎีสัมพันธภาพ” แล้วเวทย์ก็ตาพอง เปโตรเป็นNGO ด้านสิ่งแวดล้อมที่ต่อต้านโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์  “คงไม่ได้ย้อนเวลา ไปจัดการกับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บิดาแห่งนิวเคลียร์นะขอรับ วัฏจักรแห่งเวลามันจะร่วนเอาได้นะขอรับ พวกกรมเมืองจะตามมาเอาเรื่องได้”

    เจ้าตัวนั่งกอดเข่า พอนึกภาพวีรกรรมที่ทำมา แล้วขำงอหาย “เปล่าเลย ฉันไม่ได้เล่นถึงตายหรอก เอาแค่สั่งสอน ตอนนั้นอัลเบิร์ต ไอนสไตน์กำลังนั่งหวีผม พิจารณาความหล่ออยู่หน้ากระจก  เส้นผมของเขาดำเป็นมันเงา แถมเรียบแปล้ ฉันเลยทำอะไรไปอย่างหนึ่ง เป็นการแก้แค้นบิดาแห่งนิวเคลียร์”

    “วิธีการใดหรือ ขอรับ” เวทย์รู้สึกเริ่มได้อรรถรส แก้เหงาได้เยอะ

    “โดยการหลอกหลอนจากทางหน้ากระจกยังไงล่ะ  จนเส้นผมสีดำเงางามของไอน์สไตน์หงอกขาวชี้ฟู  แล้วฉันยังเอาเจลชนิดพิเศษจากศตวรรษที่ 22 ละเลงบนหัวของเขาด้วย ทำให้เส้นผมเรียบแปล้ฟูกระเซิง เหมือนคนโดนผีหลอกไปตลอดกาล     นี่แหละคือ การแก้แค้นของคนจากศตวรรษที่ 22” เปโตรกล่าวอย่างสะใจ

    “อะห๊า! เอาจริงหรือขอรับ” เวทย์ทั้งขำ ทั้งตกใจ

    เปโตรยังเล่าอีกว่า ชีวิตมนุษย์ภายหลังยุคสงคามนิวเคลียร์ ฝุ่นละอองจากแรงระเบิดได้ฟุ้งขึ้นปกคลุมแทนหมู่เมฆ  เกิดเป็นเมฆร้ายดำมืดอย่างยาวนาน เมื่อแสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่านลงมายังพื้นดินได้  ทำให้เกิดฤดูหนาวนิวเคลียร์ แล้วยังพิษรังสีที่แผ่กระจายไปทั่ว ทำให้ไม่สามารถปลูกพืชพันธ์เลี้ยงชืพอันใดได้อีกเลย  โลกบอบช้ำเกินกว่าสิ่งมีชีวิตจะอยู่อาศัยได้อีกต่อไป  มนุษย์จึงมุ่งมั่นค้นหาดาวดวงอื่นเพื่ออยู่อาศัย กลุ่มดาวเนบิลล่ารูปม้าบินคือเป้าหมาย พวกเขาดัดแปลงพันธุกรรมของมนุษย์  เพื่อปรับสภาพร่างกายให้กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป บรรยากาศบนดาวเนบิลล่ามีกรดซัลฟูริกสูง อุณหภูมิก็สูงเกิน 400 องศา หากเเต่ยังมีจุลินซีสิ่งมีชีวิตเล็กดำรงอยู่ได้  มนุษย์จึงหมายมั่นไปอยู่อาศัย โดยยอมดัดเเปลงพันธุ์ใหม่ มนุษย์พันธุ์ใหม่จึงมีร่างกายสูงใหญ่ น้ำหนักตัวกว่า 1ตัน สูงนับสิบเมตรเพื่อทนทานกับบรรยากาศที่โหดร้าย

    พวกเขามีเทคโนโลยีสูงมาก สามารถสร้างไทม์แมชซีน เดินทางย้อนเวลามาในอดีต เพื่อเยี่ยมเยือนบรรพบุรุษ ครั้งหนึ่งเปโตรเคยย้อนเวลาไปบางกอกน้อย ในสมัยรัชกาลที่ 2 หรือในยุค ค.ศ.1800 ชาวบ้านในย่านนั้นล้วนตกใจกลัว ต่างเรียกขานนามว่าเปตรโต ผู้มีบาปหนัก ทั้งที่เขาเป็นมนุษย์อีกพันธ์หนึ่งเท่านั้น และในอีกครั้งในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทีเปโตรมักปรากฏตัวแถวัดสุทัศน์ เพื่อต้องการที่จะช่วยเหลือผู้คนจากโรคอหิวาห์ตกโรคที่ระบาดในตอนนั้น จนมีคนล้มตายมากมาย แต่กลับกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิด คิดว่าเขามาขอส่วนบุญ

    เวทย์ได้ยินเพื่อนเล่าตำนานของตนเองจนเพลิน ไม่รู้จะขำหรือเศร้าด้วย มันเจือๆ กันอยู่แยกไม่ออก ได้แต่พูดปลอบใจไป

    “สักวันมนุษย์จะต้องเข้าใจ และยอมรับ เปโตรคือมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งนะขอรับ”

    ทั้งสองต่างสบตากัน คำพูดของเวทย์ ทำให้เปโตรสูขใจล้น

    ปัง!..โครม!..

    “เลิกโม้ซะทีไอ้เปตรโต! แยกย้ายกันไปนอนได้แล้ว!

    คราวนี้กระโถนลอยออกมาเลย โดนขอบประตู กระดอนเฉี่ยวหัวไปนิดเดียว เวทย์เองต้องขอตัวไปนอน ก่อนที่โปรเฟรสเซอร์บุญคำจะมีโมโหไปมากกว่านี้    

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×