ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 16 นาคาอธิษฐาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 803
      54
      22 พ.ย. 63

    บทที่ 16 นาคาอธิษฐาน


            เมื่อมหา'ลัยปิดเทอม พันตรีกลับไปอยู่บ้านย่าที่ต่างจังหวัด เขาบอกนนท์ไว้ว่าไม่อยู่ห้องเพราะจะกลับไปอยู่กับย่ายาวตลอดปิดเทอม อีกฝ่ายชอบแวะมาหาที่ห้องโดยไม่บอกกล่าวทุกที หลังจากที่เขากลับมาจากบาร์เกย์มา พันตรีไม่อยากเจอหน้าใคร จนกระทั่งเขาสงบสติอารมณ์ได้จึงเก็บของกลับบ้าน แต่คืนสุดท้าย นนท์มันแวะมาหาเขาที่ห้องแล้วไม่เจอ จึงเอาน้ำเต้าหู้ห้อยไว้ที่หน้าประตูแทน ตอนนั้นพันตรีไปรับรูปปั้นงูในเมือง กว่าจะกลับมาห้องก็ดึกดื่น นนท์ได้แค่บ่นว่ามาหาที่ไรไม่เคยเจอตัว พันตรีไม่กล้าบอกว่าเขาหายไปซื้อรูปปั้นสำหรับเอาพิธีบูชา

            ตั้งแต่วันที่เขาไล่ไวทินไป ไม่เห็นงูเขียวมาเพ่นพ่านใกล้ๆตัว อีกฝ่ายหายไปจากชีวิตของเขาจริงๆ เมื่อกลับมาถึงบ้านย่า พันตรีตั้งใจทำพิธีบูชางู จึงตั้งหิ้งบูชาไว้ในห้อง เขียนรูปนาคาสองตัวเพื่อถวายแก่พราหมณ์ จากนั้นก็เอาน้ำนม ข้าวตากไปให้พวกงูทางหลังบ้าน เขาลองไปเดินสำรวจดูเจอโพรงงูหลายแห่ง ไม่นับที่เจองูเข้าโดยบังเอิญอีก เป็นงูบนทั่วไปมีพิษอ่อน เขาได้ยินพวกมันพูดคุยกัน บอกว่าเขาทำเรื่องน่าชื่นชม แต่เขาไม่ได้ใส่ใจนัก พวกนั้นก็แค่ยินดีที่มีคนมาบูชา แต่พันตรีไม่ได้คิดบูชางูเหล่านี้มันก็แค่ส่วนหนึ่งของพิธีกรรม  

            ช่วงสัปดาห์นี้กรมอุตุเอ่ยเตือนว่าทางภาคเหนือจะมีฝนตกหนัก แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้จะไม่ถูกน้ำท่วม แต่ย่ากับคนในบ้านต้องระวังพวกสัตว์เลื้อยคลายหลายชนิด โดยเฉพาะงูซึ่งพันตรีคิดว่าไม่เป็นปัญหา งูไม่มีทางเข้ามาในตัวบ้าน เพราะเขาบอกกับงูทางมะพร้าวที่ขี้หงุดหงิดตัวหนึ่งว่าให้มาหลบฝนหรือน้ำในสวนหน้าบ้านได้ แต่อย่ามาทำอันตรายคนในบ้าน ถ้าไม่อยากถูกจับย่าง งูตัวนั้นเอาแต่จ้องหน้าแล้วก็บ่นไปตลอดทาง สุดท้ายก็ยอมไปกระจ่ายข่าวให้เขา พวกนี้ทำตามอย่างว่าง่าย อาจเพราะเคยเห็นพันตรีมาตั้งแต่เด็กๆ

            พิธีบูชางูไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น มีแต่จะกังวลอยู่ตลอด นอกจากจะถูกสายตาของคนในบ้านมองว่าเพี้ยน เขายังไวต่อความเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิด เขาคิดว่ามาจากอาการหวาดระแวง เรื่องการตอบสนองต่อกำไลของหมั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับพันตรีอีกเลย คงเพราะว่าเขาไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับแดนนาคาแล้ว

            หลังจากที่ผ่านพ้นพิธีบูชาไปสองวัน ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างปกติเหมือนเช่นเคย ความเงียบเหงา เด็กหนุ่มถือสมุดสเก็ตภาพออกไปผ่อนคลาย เขาเดินไปที่ลานน้ำตกตามความเคยชิน เขามักมานั่งเล่นที่นี่ในวันที่ฟ้าแจ่มใส ในสมุดภาพของเขามีแต่รูปวาดของงู อักษราภัค ถ้ำในเมืองบาดาล ราวกับว่าเขากลายเป็นพวกคลั่งลัทธิบูชางูในสายตาคนนอก จะมีก็แต่ย่าที่เข้าใจพันตรี

            "มาอีกแล้วเจ้าเด็กนี่"เสียงของงูทางมะพร้าวเอ่ย ลำตัวมีสีน้ำตาลอมเหลือง มีลายสีดำที่ลำตัวเป็นเส้นยาวสามสี่เส้นแล้วค่อยๆจางที่กึ่งกลางลำตัว เจ้างูเลื้อยรวดเร็วเป็นคลื่นเข้ามาหา เด็กหนุ่มหันไปมองงูตัวนั้นแล้วยื่นหมูตากแห้งให้ มันจ้องมองนิ่งเฉยไม่งับเข้าปาก ถ้าหมูสดคงอ้าปากกว้าง

            "มีอะไรแปลกๆบ้างไหม"เขาถาม ถือว่ากลายเป็นมิตรกับงูตัวนี้ไป เพื่อคอยถามไถ่เรื่องราวในป่า

            "ไม่มี เจ้าคิดว่าจะมีนาคาโผล่มาจากน้ำหรอกรึ"งูหันหน้าไปทางน้ำตก ลำตัวยาวขดเป็นคลื่น ลำคอขดยื่นมาด้านหน้า

            "...เจองูแปลกๆแถวนี้บ้างไหม"

            "แปลกที่ว่าหมายถึงอะไรล่ะ"

            "ก็สีผิว ขนาดตัวไง"

            "อ้อ...ไม่เจอหรอก แต่ข้าเจอแต่งูเขียวที่ดูเซื่องซึม ข้าคิดว่ามันป่วย"

            "งูเขียว? เจอที่ไหน"เขาถามเอื่อย ๆ งูทางมะพร้าวเลื้อยขยับมาใกล้จนถึงเสื่อรองนั่งของพันตรี ทำท่ายื่นหัวมาดูกระดาษสเก็ต ราวกับว่าจะรู้เรื่อง ดวงตากลมโตจ้องมองไม่ขยับ

            "อา...ในป่าไผ่"งูมองหน้า เด็กหนุ่มถอนหายใจ คงจะเป็นไวทิน นึกแล้วว่าไล่ยังไงก็คงไม่ไปง่ายๆ

            "คุณอยู่ที่นี่มานานหรือยัง"

            "ก็นานอยู่ ตั้งแต่แม่หญิงคนนั้นยังหัวไม่หงอกเท่านี้ แล้วเจ้าก็ตัวกะเปี๊ยก"งูเอ่ยช้าๆน้ำเสียงเหมือนชื่นชอบที่เอ่ยถึงเรื่องในอดีต พันตรีหันมองลายเกล็ดแล้วก็ขนลุก คงเพราะมีสีดำปนมาด้วยจึงทำให้ดูไม่น่าจับต้องนัก

            "ผมจำเรื่องตอนเด็กๆไม่ได้เลย"

            "เจ้าก็แค่เด็กดื้อ ชอบมาจับพวกข้าไปเล่นจนเฉามือ นึกว่าพวกเราเป็นหนู"งูพึมพำ เขายิ้มขำ รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้คุยกับพวกงู เท่าที่เขาสามารถผูกมิตรกับงูได้ก็จะมีแต่งูทางมะพร้าว งูสิงเท่านั้น ส่วนงูที่ดุร้ายกว่านั้น เขาไม่ได้เข้าไปวุ่นวายด้วย

             "เคยเจองูสีเผือกบ้างหรือเปล่า"เขาลองถาม งูทางมะพร้าวยื่นหน้ามา คล้ายกับมีสปริง

            "เคยเจอเขาอยู่ครั้งสองครั้ง ตอนที่เจ้าเป็นทารก กับเมื่อคราวที่เจ้ามาเมื่อสามเดือนก่อน"งูบอก เขาพยักหน้า     

            "เขาเป็นคนที่เจ้าชอบเหรอ"

            "อือ"พันตรีพึมพำ ลากดินสออย่างใจลอย งูสีน้ำตาลตัวอ้วนขยับเลื้อยไปใกล้กับตลิ่งน้ำตก ราวกับว่าจะมองลงไปในน้ำ

            "งูอย่างเรา ไม่มีคู่แท้หรอก เขาคงหลอกเจ้าเสียแล้ว"งูเอ่ยอย่างดุดัน พันตรีได้แต่เงียบ นั่นสิ อักษราภัคพูดโกหก แต่ดีที่อีกฝ่ายยังคิดบอก เขาจึงไม่รู้สึกเสียใจมากนัก งูเหลียวมองราบกับพื้น

            "แต่กับเจ้าก็ไม่แน่หรอก นั่นคือนาคา...เจ้าทำพิธีบูชางู หวังว่าจะสำเร็จผล"งูเอ่ย ก่อนจะเลื้อยจากไป อีกฝ่ายข้ามลำธารน้ำตกสายเล็กไปยังป่าไผ่ เขามองร่างสีน้ำตาลเลื้อยหายไปในป่า พันตรีเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีเมฆจับตัวเป็นกลุ่มก้อนลอยต่ำ เค้าลางของพายุฝน เด็กหนุ่มจึงเก็บของ เดินกลับเข้าไปในบ้าน ระหว่างทางเขาได้แต่คิดถึงพิธีบูชางูที่ได้ทำไป มันจะส่งผลไปที่ใครกัน อักษราภัคจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาทำพิธีเหล่านี้


            กลับเข้ามาในตัวบ้านชั้นล่าง วันนี้ย่ากับป้าเยาว์ออกไปจ่ายตลอดในหมู่บ้านตั้งแต่ช่วงเช้าแต่ยังไม่กลับมา คงแวะไปคุยกับเพื่อนบ้านจนเพลินตามเคย ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดไม้ไปเรื่อย ๆ สองหูกลับได้ยินเสียงปึงปังจากในห้องนอนของตัวเอง พันตรีรีบวิ่งไปยังห้องของตนเองทันที พอเปิดประตูเข้าไป เขาเห็นว่ารูปปั้นนาคาที่ตั้งไว้บนหิ้งร่วงลงมากองกับพื้น ดีที่ตัวรูปปั้นทำจากหินขัดเงาจึงไม่แตก เขาเดินไปก้มหยิบวางไว้ที่หิ้งบูชาเช่นเดิม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูบานกระจกไว้ เหลือแต่ประตูลวดกันยุง เด็กหนุ่มมองออกไปที่นอกหน้าต่าง

            กวาดสายตามองไปทั่วสวนหน้าบ้าน ไม่พบความเคลื่อนไหวใด จึงกลับมานั่งบนเตียง หยิบโทรศัพท์มาเล่นฆ่าเวลา นนท์ไปเที่ยวช่วงปิดเทอมส่งรูปงูแปลกๆมาให้เขาดูตลอดเพราะเข้าใจว่าเขาชอบงู

            นนท์/ ทำอะไรอยู่

            พันตรี/ไม่ได้ทำอะไร เบื่อๆ

            นนท์/ ได้ข่าวว่ามีน้ำตก ไม่ไปเล่นล่ะ

            พันตรี/ไม่เล่น น้ำกำลังมา

            นนท์/เหรอวะ เออ กูคอลไปได้ไหม


    พันตรีแปลกใจ นึกสงสัยว่านนท์มันอยากคุยเรื่องอะไรกัน เลยตอบตกลง ไม่นานโทรศัพท์ก็ขึ้นโชว์ว่าอีกฝ่ายโทรเข้าแบบวีดีโอ เด็กหนุ่มกดรับ ทำให้หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏใบหน้าของนนท์ อีกฝ่ายนั่งอยู่ที่นอกระเบียง ทิวทัศน์ด้านหลังเป็นป่าเขา เจ้าตัวยิ้มกว้าง

            "เออ กูว่าจะคุยเรื่องรักๆใคร่ๆของมึง"

            "อะไรวะ"เขางงงวยชั่วขณะ เรื่องของอักษราภัคก็คุยกันจบไปแล้ว นนท์ขยับมาใกล้จนแทบเต็มหน้าจอ

            "มึงแอบมีกิ๊กใหม่แล้วเหรอ"

            "อะไรนะ"พันตรีตกใจมาก อยู่ๆก็หวนนึกถึงเรื่องที่เขาจ่ายเงินซื้อผู้ชายแล้วหน้าซีดลง เขามองหน้านนท์ในจอโทรศัพท์ เจ้าตัวมีคิ้วขมวด

            "อย่ามาทำงง จำได้ไหมวันที่กูเอาน้ำเต้าหู้ไปห้อยไว้ที่ประตู กูแวะไปหามึง แต่ว่ากูเห็นผู้ชายหน้าตาดีเดินออกมาจากห้อง กูเลยแปลกใจ"

    พันตรีตกใจ หัวใจเต้นถี่เขาอยากหวังให้เป็นอักษราภัคแต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะนนท์ก็ต้องบอกแล้วว่าเจออีกฝ่าย

            "คนเดียวที่เข้าห้องกูได้มีแต่พี่เขานั่นแหละ มึงมองผิดหรือเปล่า"เขาแปลกใจมาก นนท์ถอนหายใจ

            "อย่ามาปากแข็ง ก็กูเห็นผู้ชายเดินมาจากห้องของมึง "

            "หน้าตายังไง"เขาใจเต้นถี่ ใจถวิลหาอักษราภัคทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้

            "ไม่นะ ใส่ชุดสีดำ เดินสวนกูมา ตอนแรกกูตั้งใจจะเคาะเรียกมึงแล้ว แต่กูกลัวว่ามึงไม่อยากให้กูรู้เรื่องนี้"

            พันตรีจับต้นชนปลายไม่ถูก ผู้ชายชุดสีดำ...ภาพไวทินเข้ามาในหัว อีกฝ่ายร่างกายกำยำแข็งแกร่ง หน้าตาดี ผิวขาว ผมยาวถึงบ่า เป็นไวทินจริงเหรอ? ก่อนที่พันตรีจะกลับบ้าน เป็นช่วงที่เขาไล่ไวทินกลับไป ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าอีกฝ่ายมาดูเขางั้นเหรอ พันตรีพยายามไม่ตื่นตูม แสดงว่าไวทินเข้ามาหาในตอนที่เขาไม่อยู่ห้องแน่ ๆ

            "ไม่ใช่หรอก แค่คนรู้จัก"

            "เหรอวะ เห็นมองกูตาดุๆ"นนท์มีสีหน้าเคลือบแคลง พันตรีอยากเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แสงวาบที่นอกระเบียงบ่งบอกว่าฟ้าฝนกำลังจะมา พันตรีจึงมีข้ออ้างที่จะวางสาย

            "เออ ไม่ใช่แบบนั้นก็ดี กูนึกว่ามึงจะทำใจได้เร็วขนาดที่ว่าพาผู้ชายคนใหม่เข้าห้อง"นนท์พูดยิ้มๆ เขาแค่เงียบ อีกฝ่ายคิดไปไหนต่อไหนกันนะ หลังจากที่นนท์วางสายไป พันตรีจึงมาทบทวนคำบอกเล่าของเจ้าตัว ไวทินมาหาเขาทำไมกัน แถมเข้าออกห้องของเขาโดยพละการอีกด้วย ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย


               คืนนี้ฝนตกหนักมาก เม็ดฝนใหญ่เสียงดังกลบทุกความเคลื่อนไหวในบ้าน ก่อนที่ไฟฟ้าจะดับลง ในบ้านมีตะเกียงเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว เด็กหนุ่มจุดตะเกียงน้ำมันไว้ตามจุดเด่นๆในห้องนอน ที่โต๊ะข้างเตียง ริมหน้าต่าง ที่โต๊ะกลมข้างประตูห้อง และในห้องน้ำอีกหนึ่งดวง

            เขาดึงเก้าอี้มานั่งที่ริมหน้าต่าง จ้องมองเม็ดฝนในความมืด ตั้งแต่กลับมาจากแดนนาคา ร่างกายของเขาไม่ตอบสนองต่อฝนตกแล้ว พันตรีจึงคิดว่าสายเลือดนาคาในตัวคงจางหายไปพร้อมกับดวงจิตสุดท้ายของอภันตี เขาจับผ้าม่านไว้ แนบหน้ากับกระจกใสบานใหญ่ แสงไฟลิบหรี่จากบ้านทางฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นบ้านของตาเทิด เหมือนว่าอีกฝ่ายคอยจะเอาเรื่องของเขาไปพูดตามประสาคนแก่

            เด็กหนุ่มถอนหายใจ เปิดบานประตูกระจกออกแล้วเดินถือตะเกียงออกมานั่งที่ชานระเบียง นั่งมองม่านน้ำฝนอย่างใจลอย ที่สวนหน้าบ้านมืดสลัว เขามองเห็นแค่ต้นไม้ขยับไหวไปตามแรงลม หันไปมองที่ระเบียงบ้านทางฝั่งของย่า ชานระเบียงมืดสนิท ท่านคงเข้านอนไปแล้ว

            เสียงฟ้าร้องดังครืนเหมือนฟ้าจะถล่มดังกระหน่ำหลายครั้ง พันตรีขยับตัวไปที่ราวระเบียงยื่นมือไปรองน้ำฝนเย็นฉ่ำจากด้านนอก เขานึกถึงไออุ่นของงูเผือกขึ้นมาทั้งจากร่างมนุษย์และร่างงู ทำเอาร่างกายร้อนผ่าว พันตรีฟุ้งซ่าน มองไปที่สวนอย่างเหม่อลอย

            'พันตรี'

            เสียงกระซิบผ่านความมืดดังแผ่วเบาแทบกลืนกินไปกับสายฝน ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองหูฝาด จึงตั้งใจเงี่ยหูฟังอีกครั้ง เสียงนั้นเงียบหายไปจนเขาเกือบเชื่อว่าหูแว่วไปเอง เขาหยิบตะเกียงน้ำมันมาถือไว้เตรียมเข้าไปด้านใน แต่เสียงเรียกฉุดรั้งเอาไว้

            'พันตรี...ที่นี่'เขาเพ่งมองผ่านความมืดลงไปยังสวนหน้าบ้าน เขาไม่เห็นอะไร เสียงกระซิบไม่คุ้นหู จนเด็กหนุ่มคิดว่าคงเป็นงูสักตัวที่เรียกหาเขา แต่แค่ไม่ปกติในเวลาแบบนี้ ในตอนที่ฝนตกไฟดับ ประกายแสงวิบวับสะท้อนตา อยู่ๆเขาก็นึกถึงพิธีบูชางู หรือว่าองค์ศิวะ นาคาอีกฝั่งตอบรับการบูชาจากเขากัน ถึงฟังดูงมงายแต่เขาพร้อมเชื่อหากว่าเป็นจริง

            เด็กหนุ่มจ้องมองประกายแสงเรืองรองเดี๋ยวสีทองสีแดงชั่วครู่ ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปด้านในหยิบร่มกับตะเกียงลงมาข้างล่างเพื่อหาต้นตอของเสียงเรียก เมื่อเดินมาถึงโถงใต้ถุนบ้านชั้นล่าง แสงสะท้อนยังคงเรืองรอง เขาเดินออกไปด้านนอก สวนมืดสลัวมีเพียงแสงจากจันทราสาดส่อง เขาถือร่มส่องตะเกียงออกไปข้างหน้า ทิศทางของแสงนั้นมาจากทางศาลาไม้ในสวนติดกับประตูรั้วหน้าบ้าน รู้สึกลังเลใจ

            เมื่อเดินเข้าไปในศาลาไม้เขาพบกำไลของหมั้นวางอยู่ ยิ่งรู้สึกแปลกใจที่มันมาวางอยู่ตรงนี้ได้ เขาหยิบใส่กระเป๋ากางเกงไว้ เหลียวมองรอบกายก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินกลับเข้าบ้าน ไม่อยากคิดให้ความหวังกับตัวเองมากเกินไป หากว่ากำไลกลายเป็นงูตัวน้อยเหมือนคราวที่เขาอยู่ในน้ำ มันอาจจะเลื้อยออกมาเอง แต่เพื่ออะไรกัน ทำไมไม่มาหาเขาแทนการออกมาด้านนอกแบบนี้ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

            เมื่อเข้ามาถึงห้องนอน พันตรีเปลี่ยนชุด ก่อนจะรูดม่านปิดที่ประตูกระจกระเบียง เข้ามานั่งบนเตียง แสงวูบไหวของดวงไฟในตะเกียงที่ตั้งไว้เป็นจุดๆ ทำให้พันตรีไม่หลับ ออกจะระแวงความมืดเหล่านี้ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรกว่าไฟฟ้าจะกลับมาดีดังเดิม อาจต้องรอถึงเช้าเพราะสายไฟคงล้ม หรือไม่ก็ขาดที่ไหนสักแห่ง

            เขาหยิบกำไลออกมาจับพลิกหาร่องรอยแปลกๆ เขาเช็ดกำไลกับผ้าห่ม แสงวิบวับของมันสะท้อนในแสงน้อยนิดจากตะเกียง เด็กหนุ่มใช้นิ้วโป้งลูบไปที่ศีรษะของงู มีหงอนแหลมขนาดเล็กที่เป็นเครื่องบอกวรรณะ

            พันตรีไม่เคยเอาออกไปใส่ จึงลองเอามาสวมที่ข้อมือ ดูแปลกที่แปลกทางเมื่อมาอยู่บนข้อมือของตัวเอง เขาจ้องมองกำไล จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนกับเตียง อธิษฐานอยู่ในใจ ขอให้เขาได้เจออักษราภัคอีกครั้ง ไม่ว่าจะจากในฝันหรือความจริงก็ตาม อย่างน้อยได้รู้ถึงความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายด้วยตัวเองเพราะคำบอกกล่าวของไวทินเชื่อถือไม่ได้

            เด็กหนุ่มหลับตาลง นอนฟังเสียงฝนไปตลอดคืน จนกระทั่งเขาเผลอหลับไปนาน พันตรีรู้สึกหนาวจึงควานหาผ้าห่มแล้วดึงมาจนถึงคอ เขาพลิกนอนตะแคง ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างรัดข้อมือ พอเขาลืมตา จ้องมองไปที่ข้อมือของตนเอง กำไลยิ่งรัดแน่นขึ้น พอสังเกตชัดๆในความมืดสลัว พบว่ากำไล แต่เดิมที่เป็นของแข็งค่อยๆคลายตัวเป็นผิวอ่อนนุ่ม

            พันตรีหัวใจเต้นแรง รีบผุดลุกมานั่ง แม้มีแสงจากตะเกียงช่วยขับให้บางสิ่งที่อยู่บนข้อมือชัดขึ้น แต่ก็ไม่สว่างเท่ากับไฟฟ้า เขาจ้องมองความเปลี่ยนแปลงตรงหน้า บอกไม่ถูกว่าดีใจมากแค่ไหน กำไลวงนี้สามารถเป็นงูมีชีวิตได้ คงมาจากอาคมของอักษราภัคที่ทิ้งไว้นานแล้ว เด็กหนุ่มมองไปรอบห้องอย่างตื่นตกใจ เพื่อหาร่องรอยอื่น เช่นงูตัวอื่น เงาวูบไหวจากเงาดำทำให้หิ้งบูชางูมีมนต์ขลัง เขากลืนน้ำลาย ก้มมองกำไลอีกครั้ง

            กำไลนาคาคลายตัวออก เส้นสีทองเลื้อยรัดเกี่ยวไปตามข้อมืออยู่หลานหน ลำตัวไม่ยาวมาก แต่มันพันรอบข้อมือของเขาได้สองรอบ

            "...เกิดอะไรขึ้น"เขาพึมพำ งูตัวน้อยสีทองยื่นหน้าแหลมมาใกล้ ปากอ้ากว้างก่อนที่จะมีเสียงกระซิบตามมา พันตรียิ่งหัวใจเต้นแรง ร่างกายราวกับได้รับไออุ่นของคนที่คิดถึง

            "พันตรี..."

            ฟังแล้วเป็นเสียงอักษราภัคไม่ผิดแน่ พันตรีรีบประคองตัวงูไว้ในฝ่ามือ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่พบอะไรนอกจากดวงตาสีแดงที่สะท้อนออกมา หรือว่าอักษราภัคพยายามสื่อสารผ่านเจ้างูตัวนี้

            "คุณเหรออักษรา..."เขาเอ่ยช้า ๆ ไม่เรียกชื่อเต็มของอีกฝ่าย ลึกในใจดอกไม้เบ่งบานกว่าที่เคย พันตรีจ้องมองงูตัวน้อยไม่ห่าง

            "เจ้าทำพิธีบูชานาคา...ข้ารู้สึกได้"เสียงแผ่วเบาดังมาจากงูสีทอง ที่ขดร่างเป็นเส้น ชูคอตั้งตัวตรง เด็กหนุ่มปรายสายตาไปที่หิ้งบูชา มองรูปปั้นงูที่พันเกี่ยวราวเชือกแล้วมองงูสีทองเช่นเดิม

            "แสดงว่าผมทำสำเร็จน่ะสิ...คุณเป็นยังไงบ้าง โอเคหรือเปล่า"เขาถามเสียงสั่นเครือ  หัวใจยังคงเต้นกระหน่ำ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ

            "ข้าสบายดี แต่ถูกจับตามองจากท้าวปุณมนัส ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเขา แต่ข้าใช้จิตอธิษฐานเพื่อสื่อสารกับเจ้า เพราะข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน"ถ้อยคำนุ่ม เสียงลึกซึ้งของงูเผือกทำให้พันตรียิ้ม

            "ผมปลอดภัยดีกลับมาอยู่กับย่าแล้ว ได้อ่านจดหมายที่คุณเขียนทิ้งไว้แล้ว...ทำไมคุณไม่เคยบอกผมบ้าง หากบอกให้เร็วกว่านี้ บางทีผมคงไม่ทำอะไรโง่ๆ"เขาเอ่ยอย่างนึกเสียดาย แต่ไม่ได้ตำหนิอีกฝ่าย เป็นเพียงคำบอกเล่า ทว่ามือเย็นเยียบไปหมด ไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์ตรงหน้าคือเรื่องจริง มันทำให้ดอกไม้ในใจเติบโตเร็วขึ้นราวกับได้รับยากระตุ้น

            "ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ทุกสิ่ง บางเรื่องข้าถูกสั่งไม่ให้พูดแต่เรื่องนี้ไม่สำคัญใด เท่าไวทิน เขาอยู่กับเจ้าหรือ"อักษราภัคมีน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา เสียงโทนต่ำทำให้พันตรีขมวดคิ้วตาม มองงูตัวน้อยที่ขยับตัวคลายขนด ยื่นหน้ามาหา ทำท่าทางเหมือนงูปกติ         

            "ไม่ได้อยู่ มีเรื่องอะไรเหรอ"เด็กหนุ่มหายใจติดขัดเมื่อนึกถึงไวทิน พยายามคาดเดาว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าแบบไหน

            "ไวทินลงมายังเมืองมนุษย์ แต่เพลานี้เขายังไม่กลับมารายงานต่อท้าวปุณมนัสมาสามสัปดาห์แล้ว"

            เสียงต่ำๆของอักษราภัคทำให้เกิดความเงียบน่าอึดอัดก่อตัวขึ้น พันตรีเหลือบมองห้องนอนที่มีแสงสว่างเป็นจุด ราวกับว่าการทำเช่นนี้อาจมองเห็นงูสีเขียวมาโผล่ในห้องเอาได้

            "...ผมไล่เขาไปตั้งแต่ช่วงสองสัปดาห์ก่อน เพราะว่าเขาให้ผมทำบางอย่าง..."พันตรีชะงักลังเลใจว่าจะเล่าดีหรือไม่ เขาคิดว่ามันอาจเกี่ยวกับการที่ไวทินหายไปไม่กลับไปรายงานต่อท้าวปุณมนัส เขาแปลกใจ ไม่คิดว่าคนจังรักภักดีเช่นไวทินจะทำตัวบิดพลิ้ว  

            "เขาให้เจ้าทำสิ่งใด..."เสียงของอักษราภัคเบาหวิว พันตรีเม้มปากแน่น นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้แล้วเสียอีก หรือแกล้งไม่รู้เพื่อถามไถ่ความรู้สึกของเขา

            "คุณไม่รู้จริงๆเหรอ"เขากระซิบกับงูสีทอง เขาหลับตาพยายามจินตนาการถึงอักษราภัค รูปร่างสูงขาวผ่องในความมืดสะท้อนเด่นชัดในความคิด

            "ข้าอยากฟังจากปากเจ้า"เสียงนั้นกระซิบดุดัน พันตรีคิ้วขมวด และไม่อยากปิดบังอะไร แต่การเอ่ยถึงเรื่องนั้น ทำให้เขาจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ดี ความรู้สึกรังเกียจและผิดหวังกัดกินจิตใจเขาจดจำไม่ลืม

            "...การเสพเมถุนแบบสำส่อนเพื่อชำระบาป"

            มีความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ อักษราภัคส่งเสียงในลำคอ คล้ายกับไม่พอใจเท่าไรนัก พันตรีขยับตัวอย่างอึดอัด ในความมืดเช่นนี้ช่างทำให้เขาหนาวเหน็บหัวใจได้ง่าย ความตึงเครียดอาบทั่วสรรพางค์กาย

            "...แต่เจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น"

            "ใช่ ผมทำไม่ได้...มันเริ่มที่..."พันตรีค่อยๆเล่ารายละเอียดเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้อักษราภัคฟัง เรื่องไวทินมาหาและจบลงด้วยการที่เขาไล่อีกฝ่ายไป อักษราภัคหายใจแรงจนพันตรีจินตนาการถึงลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารด

            "ไวทิน...ข้าเดาใจเขาไม่ออก"

            "ไม่คิดว่าเขาจะเป็นแบบนั้น ผมตกใจมาก"พันตรีผ่อนลมหายใจลง เมื่อสบายใจขึ้นที่ได้เล่าเรื่องนี้กับคนที่ควรบอกทุกอย่าง เขาอยากเจออีกฝ่าย หากว่าอยู่ข้างกันในเวลานี้ เขาคงเข้าไปกอดเจ้าตัวไว้ในความมืด

            "หนุ่มน้อยของข้า...ระวังตัวด้วย องค์ศิวะอาจรำคาญใจในเรื่องนี้ ปกติพิธีนี้สตรีจะเป็นผู้ทำพิธี"

            "แต่ไวทินบอกให้ทำได้"

            "ถูก เพราะเป็นเจ้ากระมัง องค์ศิวะไม่ได้มายุ่งเรื่องในเมืองนาคานัก เขาคุมสวรรค์กับอีกสองตรีมูรติ ดังนั้นการที่เจ้าบูชานาคาเพื่อองค์ศิวะ มันจึงส่งไปที่เขา...ถ้าเช่นนั้น เจ้าไม่เปลี่ยนมาบูชาข้าเล่า ข้าจะได้รู้เสึกถึงเจ้าอีกครั้ง ปรารถนาแรงกล้าของเจ้าข้าจะรับเอง"ถ้อยคำกระซิบเย้ายวนในความมืด เขากลืนน้ำลาย คิดประมวลว่าอีกฝ่ายพูดจริงมากเพียงใด ได้ยินเพียงแค่เสียงทำให้เขาไม่อาจคาดเดาสีหน้าแววตา พันตรีใช้มืออีกข้างลูบต้นคอ  

            "ใช่เหรอ"เขาถามกลับ

            "หึ ไม่เชื่อข้ารึ"นาคาเผือกจากอีกโลกหัวเราะตามหลังทำให้เขายิ้มตาม พันตรีจึงอบอุ่นไปทั้งหัวใจ อักษราภัคชอบทำล้อเล่นอยู่เรื่อย อารมณ์ดีแบบนี้แสดงว่าอักษราภัคคงสบายดีจริง มองงูตัวน้อยที่เลื้อยในมือเข้ามาที่แขนจนเขาขนลุกตามการเคลื่อนไหว งูตัวน้อยเกาะเกี่ยวมาจนถึงหัวไหล่ เด็กหนุ่มหลับตาลงส่งเสียงกระซิบในความมืด  

            "อักษรา....ผมคิดถึงคุณ"

            "...ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ ตบะของข้าไม่กล้าแกร่ง คงไม่อาจใช้จิตสื่อถึงเจ้าได้บ่อยหากโดนจับได้อาจเกิดเรื่องไม่ดี ที่ข้ามาหาเจ้าคืนนี้เพราะเรื่องไวทินหายไปกับเพราะเป็นห่วงเจ้า"ถ้อยคำเหล่านี้เหมือนตบหน้าพันตรีให้ได้สติ เขาละทิ้งความฟุ้งซ่าน

            "คุณคิดว่าเขาหายไปไหน"

            "ไม่รู้หรอก เจ้าเล่า คิดเห็นเช่นไร"

            "ตอนแรกผมคิดว่าเขาคงกลับแดนนาคา หรือไม่ก็ซุ่มซ่อนตัวอยู่เงียบๆ แต่กลายเป็นว่าเขาไม่ไปรายงานตัวกับท้าวปุณมนัสมันก็น่าสงสัย อ้อ ผมเพิ่งนึกได้ มีงูตัวหนึงบอกว่าเจองูเขียวแต่เหมือนว่าป่วย ไม่แน่ใจว่าใช่เขาไหม"พันตรีเอ่ยเสียงเบา

            อักษราภัคเงียบไปนานกว่าปกติ

            "ลองตามหาเขาดู บางทีเจ้านั่นอาจทำนอกเหนือคำสั่ง"ถ้อยคำนี้ทำให้พันตรีนึกไปถึงตอนที่ไวทินมีร่างมนุษย์ และคำบอกเล่าของนนท์ เด็กหนุ่มเงียบ ขณะที่เสียงอักษราภัคยังคงพูดไปเรื่อยๆ

            "ข้าว่าเจ้าอาจเดาถูก เขาใช้ร่างมนุษย์ช่วยเจ้าแสดงว่าเพลานี้คงหายไปฟื้นพลังโดยไม่ให้ท้าวปุณมนัสรู้ ร่างของงูเขียวมีอิทธิฤทธิ์จำกัด คิดว่าเขาคงใช้อาคม ทำนอกเหนือคำสั่งเพื่อช่วยเจ้า"สิ้นเสียงอักษราภัคเกิดความเงียบขึ้นอีกระลอก เขานิ่งไป ไม่เข้าใจในตัวไวทินแม้แต่น้อย

            "แปลก...ไม่เหมือนไวทินเลยนะ"พันตรีไม่อยากเชื่อว่าไวทินจะมีใจต่ออภันตี เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายห่วงหาสหายที่ไม่อาจกลืบมาได้ มันคงทำให้ไวทินเศร้ากระมัง

            "ข้าชักหวงเจ้าแล้วสิ จากที่คิดว่าให้ไวทินคอยเป็นหูเป็นตาให้ ตอนนี้ข้าควรระแวงเขาดีหรือไม่"

            "ระแวงไปก็เท่านั้น ผมมีคนรักคนเดียวนะ เป็นงูเผือก"พันตรีกระซิบกับงูตัวน้อย ร่างเรืองรองยังคงอยู่ที่หัวไหล่ งูตัวน้อยขยับเข้ามาใกล้จนเด็กหนุ่มเกร็ง หดคอหนีเมื่องูมีเสียงกระเซ้าจากอักษราภัค

            "อืม หากเจ้าอยู่ต่อหน้าข้า ป่านนี้ข้าคงจับเจ้ามากอด จากนั้นข้าจะ..."

            "ยังจะคิดอะไรแบบนี้อีกนะ"พันตรีว่า หายใจไม่ทั่วท้อง ใจเต้นระรัว พยายามคิดว่าอีกฝ่ายแค่หยอกเล่น ไม่เอาจริงเอาจริง เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงฟุ้งซ่านไปอีกยาว กลัวตัวเองขึ้นมาไม่น้อย อักษราภัคหัวเราะกลับมา

            "ข้าเพียงคิดถึงเจ้าก็เท่านั้น ทำอย่างไรไม่อาจเจอเจ้าได้ ข้าไม่อาจมาหาเจ้าในความฝัน หรือปนปะมากับความทรงจำ ข้าไม่แกร่งพอ"เสียงนุ่มหูทำให้ขนลุกไม่หาย พันตรีเอื้อมจับงูตัวน้อยออกมาจากไหล่

            "ผมเข้าใจ..."        

            "...ฉะนั้นเจ้าจงรอข้า อย่าให้ผู้ใดล่วงเกินเจ้าอีกล่ะ"อักษราภัคทิ้งท้าย ไม่ทันที่เขาจะอ้าปากตอบ กำไลกลับคืนสู่สภาพเดิมไปแล้ว มันวางอยู่บนฝ่ามือของเขาดังเดิมกลับกลายเป็นกำไลธรรมดา แต่เขาไม่คิดเสียดาย เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายสุขสบายดี อยู่ที่แดนนาคาอักษราภัคมีสิ่งที่ต้องทำ

            พันตรีล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มถึงคอ นอนตัวงอลูบไล้กำไลเย็นวาบอย่างครุ่นคิด ในหัววกกลับมาคิดเรื่องของไวทินแล้วทำเอาเด็กหนุ่มนอนไม่หลับ 'ทำไมกันนะ...คิดทำอะไรกันแน่'    

            ฝนที่ตกตลอดคืนทำให้เมื่อแสงอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า กระจ่างใสแสงสีส้มระบายทั่วขอบฟ้า เด็กหนุ่มตื่นแต่เช้า เขาเก็บกำไลไว้ในถุงผ้าชิ้นเล็กเอาติดตัวไว้เสมอ น้ำฝนชุ่มช่ำในดินและผืนหญ้า ทำให้อากาศมีความชื้นอยู่ เด็กหนุ่มเลื่อนประตูกระจกเหลือเพียงประตูลวดไว้ มองออกไปที่ยามเช้า พันตรีเหมือนได้ชะล้างจิตใจที่หม่นหมองมาหลายสัปดาห์

            เขาจัดการอาบน้ำแต่งตัวไปในครัวเป็นครั้งแรก เจอกับย่ากับป้าเยาว์กำลังนั่งคุยกัน ในมือถือมีดกำลังปอกบวบเหลี่ยม เมื่อเขาเดินมาข้างใน เสียงคุยเงียบลง ย่าหันมองมีรอยยิ้มกระจ่างชัด

            "มานี่สิ ช่วยย่าทำสำรับเช้าหน่อย"ย่าเอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชี้ไปที่เก้าอี้ว่างข้างตัว

            "วันนี้ตื่นเช้าจังนะตรี เมื่อคืนนอนได้ไหมเรา ไฟดับทั้งคืนเลย ป้าก็กลัวจะตาย"ป้าเยาว์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี พันตรียิ้ม

            "นอนได้ครับ ฝนเล่นตกตลอดคืนแบบนี้ ยิ่งนอนสบายครับ"เขาตอบ ย่ายิ้ม หั่นบวบเป็นชิ้นลงถ้วยก้นลึกสีเงิน เด็กหนุ่มมองตระกร้าผักสีเขียวบนโต๊ะ มองหาว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง ป้าเยาว์บอกว่าจะทำบวบผัดไข่ใส่หมูสับไปด้วย กับต้มจืดมะระ

            "แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ"ย่าถาม พันตรีไม่แน่ใจว่าย่าถามเรื่องอะไร สุขภาพ หรือเรื่องพิธีบูชางู เขาแค่มองหน้าย่า ป้าเยาว์ยืนอยู่หน้าเตากำลังคุมหม้อแกงจืดอยูาควันลอยส่งกลิ่นหอมหวานของมะระ แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายฟังอยู่ เด็กหนุ่มคิดอยู่นาน

            "ก็ราบรื่นดีครับ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ก็แค่ฟุ้งซ่านมากไปหน่อย"เขาหัวเราะกับตัวเองไปด้วย ไม่ได้มองไปที่ย่าหรือใคร แค่หยิบผักชีใบยาวขึ้นดมกลิ่นหอมของมัน ย่าหั่นบวบไปเรื่อยๆ

            "ดีๆ แล้ววันนี้จะไปหลังบ้านอีกไหมเรา"ย่าถาม บวบถูกหั่นเป็นชิ้นหล่นลงจานเสียงดังตามเรื่อย ๆ เขาเหลือบตามองแผ่นหลังของป้าเยาว์ไปด้วย

            "ไปครับ แถวนั้นอากาศดี"

            ย่าอาจรู้เห็นว่าเขาผูกมิตรกับพวกงู

            "ยังไงก็ระวังๆพวกสัตว์มีพิษนะ ไว้ใจมันไม่ได้หรอกโดนกัดเอาจะแย่"ย่าเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง เด็กหนุ่มขานรับ ช่วยย่าปอกบวบอีกแรง

            ช่วงสาย เขาเดินออกไปที่สวน หยาดน้ำฝนที่ตกลงมาทำให้ทุกที่ที่เขาย่างกายผ่านชุ่มน้ำ เม็ดฝนคั่งค้างบนต้นไม้สะท้อนแดด เขานั่งด้านในศาลา นั่งมองรั้วเหล็กสูงหน้าบ้าน เฝ้ามองรถไถขับผ่านบ่อย ๆ  ที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่มากพิธีรีตอง ชาวบ้านใจดีมีของอะไรก็แบ่งปันกัน แต่ติดเรื่องเดียว พวกเขาชอบตีงู โดยเฉพาะงูสิงที่แพร่พันธุ์เยอะพอๆกับการโดนจับไปทำอาหาร โชคดีที่บ้านย่าไม่นิยม เว้นตาเทิดไว้คน หากมีงูที่กินได้อีกฝ่ายจะจับ

            แต่ช่วงปิดเทอมเขามาอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายไม่ค่อยเอ่ยถึงงูเท่าไรเพราะเขาเคยบอกคนสวนไว้ว่าไม่ต้องฆ่ามัน แค่ปล่อยไป อย่างน้อยถ้าหากว่าตัดหญ้าอยู่เจองูเข้าก็เอาไม้เขี่ยไปให้พ้นๆ เจ้าพวกนี้ได้ฟังคำเตือนของเขาไปแล้ว พวกมันฟังทำตัวดีเลื้อยกลับเข้าป่าตามเดิม

              พันตรีกลับมาคิดเรื่องงูเขียวอีกครั้ง ใกล้เที่ยงทว่ายังแดดไม่ร้อนนัก เขาจึงหยิบกระเป๋าใบใหญ่เดินไปที่หลังบ้าน แต่คราวนี้เอากล้องสองตา Binocula ติดมาด้วยเพื่อส่องดูนก เขายังมือใหม่อยู่แค่หาอะไรทำเป็นงานอดิเรกโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เด็กหนุ่มออกไปยังลานน้ำตกตามเดิม มองหางูทางมะพร้าวขี้บ่นตัวนั้นต่อหมายจะถามไถ่เรื่องงูเขียวที่พบ

            เมื่อมาถึงลานหินเรียบ เขาหยิบเอาเสื่อผืนน้อยออกมาปู ก่อนจะหยิบสมุดสเก็ตออกมาตามความเคยชิน หยิบกล้องออกมาส่องไปยังอีกฝั่งของธารน้ำตกสายเล็ก ป่าไผ่สั่นไหวเพราะแรงลม เขาส่องไปตามพื้นเพื่อหาร่องรอยของงู แต่ไม่พบอะไรนอกจากไบไม้ ปกติเขาส่องนกเจอแต่นกตัวน้อยที่พบในท้องถิ่นเป็นประจำอย่างนกปรอดหัวสีเขม่า เกาะเป็นคู่ตามสายไฟบ้าง แต่เขาชอบมองเกาะบนต้นไม้ทำให้ดูสวยขึ้นเป็นกอง หรือจะนกศิวะหางตาลที่ออกทำรังในฤดูฝน ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นนกอะไรแต่ถามเอากับตาเทิด

            งูทางมะพร้าวเลื้อยเป็นคลื่นส่ายเข้ามาหา หัวราบกับพื้น "เฮ้อ เมื่อคืนฝนตกหนักราวกับว่าฟ้าพิโรธ"งูบ่น คราวนี้เขาเอาชิ้นหมูสดติดมาด้วย ปริมาณไม่เยอะ เขาใช้ไม้ลูกชิ้นจิ้มแล้วยื่นให้งู มันอ้าปากงับแล้วกลืนลงท้อง

            "เจองูเขียวอีกไหม เผื่อว่าเป็นคนที่ผมตามหา"

            "เจ้าว่าคนรึ...ข้าไปดูอีกรอบแต่ไม่เจอแล้วคงไปตามทางแล้วกระมัง เมื่อคืนฝนตกไม่ใช่หรือเขาคงไปหาที่แห้งหลบ บ้านเจ้าน่าจะเหมาะที่สุด"คำตอบของงูทางมะพร้าวทำให้พันตรีถอนหายใจ เขาหันมองไปทางน้ำตกที่ไหลเสียงดัง น้ำสีใสไม่ขุ่น เขายื่นถุงใส่ชิ้นหมูวางไว้ งูยื่นหน้ามาฉกไปกิน

            "เขาตามผมมาน่ะ เป็นคนของแดนนาคา"

            "อืม เช่นนั้นปล่อยเขาไปเถอะ คงไม่มาให้เจ้าเจอหากไม่อยากให้เห็น อีกอย่าง เจ้าระวังหน่อย ทับสมิงคลาออกมาเพ่นพ่านแล้ว ถึงเจ้าจะเจรจาได้ แต่งูมีพิษร้ายต้องระวัง"ฟังงูทางมะพร้าวเอ่ยเตือนแล้วกระตุกยิ้ม งูเตือนคนเรื่องงูมีพิษ


           ขณะนั้น มีเสียงฝีเท้าดังมาจากเนินดินห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตรทำให้งูทางมะพร้าวรีบเลื้อยหนีอย่างรวดเร็ว เลื้อยสวบสาบข้ามธารน้ำตื้น หายไปทางป่าไผ่ พันตรีหันไปมอง เห็นว่าเป็นตาเทิดเดินถือปิ่นโตมาด้วย

            "ย่าฝากเอาข้าวเที่ยงมาให้เราน่ะ"

            "ขอบคุณครับ ว่าแต่ตาจะทำอะไรเหรอครับ"เขายื่นมือรับปิ่นโตหนักเอาไว้ ที่ตัวของตาเทิดสะพายปอกมีดอันยาวไว้ มีกระสอบเหน็บห้อยอยู่ข้างกัน แต่งตัวมิดชิดสวมรองเท้าบู๊ตยางสีดำถึงแข้ง เจ้าตัวมองไปทางป่าไผ่

            "ว่าจะไปหาหน่อไม้สักสามสี่หน่อไว้ให้แม่เยาว์แกงกับห่อหมกสักหม้อน่ะครับ"

    ตาเทิดบอก จากนั้นก็เดินผ่านพันตรีไปยังธารสายเล็ก ข้ามไปยังป่าไผ่รกทางด้านซ้ายมือ ธารน้ำตกตื้นไหลตัดผ่านโขดหิน จึงทำให้สามารถเดินข้ามไปอีกฝั่งได้ พันตรีมองตามหลังไป รู้สึกกังวลใจที่เห็นว่าตาเทิดเดินไปทางเดียวกับงูทางมะพร้าว ไม่รู้เลยว่าจะห่วงคนหรืองูมากกว่ากัน

            พันตรีจึงเก็บกล้องใส่กระเป๋า พับเสื่อเก็บ เดินตามตาเทิดไปยังป่าไผ่ด้วยความกังวลใจ อากาศเย็นเมื่อเขาเดินเข้าใกล้กับป่าเขา ก้าวเดินอย่างระมัดระวังข้ามธารน้ำสายเล็กมาได้ เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปข้างหน้า ทางเรียบเตียนประกบด้วยดงไผ่เรียงเป็นแถบ ทั้งสูง โน้มลงมาเกี่ยวกัน เขาเดินหาตาเทิดแต่เหมือนอีกฝ่ายชำนาญทางจึงหายไปจากบริเวณนี้แล้ว เขาเดินตรงไปเรื่อยๆ ลำไผ่มีทั้งเขียวเข้มไปจนเหลืองน้ำตาล

            พันตรีเดินสะดุดก้อนหินที่โผล่พ้นดินมาไม่มากจนล้มลง รู้ตัวอีกที่ก็นอนอยู่บนพื้น ข้อศอกเสียวแปลบขึ้นมา เขาลุกขึ้นมานั่นเพื่อมองดูรอยถลอกที่แขน

            "ซวยฉิบ..."เด็กหนุ่มพึมพำ ก่อนจะปัดเนื้อปัดตัว ดินชื้นปกคลุมไปด้วยไปไผ่และใบไม้เปียก เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้มลงปัดขาที่เปื้อนดิน เขาชั่งใจระหว่างการเดินเข้าไปต่อหรือว่าจะถอยหลังกลับ บริเวณป่าเงียบกริบ มีแต่เสียงนก เสียงลมพัดดังผ่านกิ่งไม้ที่ขยับเสียดสีกัน เหมือนว่าหัวใจของเขาเต้นถี่ ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลค่อยๆคืบคลานเข้ามา

            "ตาครับ..."เขาเอ่ยเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา จึงตัดสินใจหันหลังกลับ ทว่าเขาหันมาเผชิญกับงูเขียวหางไหม้ที่ดูคุ้นตา หน้าสามเหลี่ยมลำตัวเรียวยาวเลื้อยเชื่องช้า เขามองอยู่นิ่ง ๆ ถอยออกห่าง

            "ตามมาทำไม"

            "ข้าแค่ทำตามหน้าที่"ไวทินตอบ

            "คุณควรพรางตัวมากกว่าจะมาปรากฏตัวแบบนี้"เขาบอก เหลียวมองไปรอบๆไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดจนน่าแปลก

            "ป่าแห่งนี้แม้มีบริวารดุร้าย แท้จริงแล้วบ้านหลังนี้ปลอดภัย งูบริวารมีมากก็เพื่อท่าน"

            "คุณต้องการอะไร ในเมื่อผมก็แค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น"เขาบอก ท้าวปุณมนัสยังจะมาวุ่นวายกับเขาอยู่อีก เขาไม่คิดว่าชายคนนั้นจะจิตใจเมตตาอะไร เพราะอีกฝ่ายมองเขาเป็นแค่เด็กคนหนึงเท่านั้น งูเขียวไม่ขยับตัว เพียงแค่จดจ้องด้วยดวงตาสีเหลือง มีความเงียบเกิดขึ้นอีกระลอก

            "ข้าขอโทษ"

            ไวทินขยับมาใกล้ทีละนิด เด็กหนุ่มส่ายหน้า เรื่องราวผ่านมาแล้ว เขาไม่ต้องการคำขอโทษอะไรทั้งนั้น ไม่สะดวกใจที่จะพูดคุยกันต่อ

            "ช่างเถอะ ...ไม่สำคัญหรอก"

            "ข้าแค่สงสัยใคร่รู้ว่าท่านจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน จนกว่าที่จะมีสติขึ้นมาได้"

            นี่คือความต้องการของอีกฝ่าย อยากให้เขาตาสว่างเรื่องอักษราภัค...เฝ้าปั่นหัวเขาว่าอีกฝ่ายยังคงอยู่ดีมีสุขในแดนนาคา ไม่คิดกลับมาหาเขาอีก

            "ใช่ ต้องขอบคุณเหมือนกัน ผมเองก็ได้สติขึ้นมาบ้าง...แต่ผมก็จะรออักษราภัค ผมยังเชื่อว่าเรายังสามารถอยู่ร่วมกันได้"พันตรีตอบ อักษราภัคยังบอกให้เขา อีกฝ่ายยังมีความเชื่อมั่นความหวัง แม้ว่ามันอาจจะนานเป็นปี หรือมากกว่านั้น ปล่อยให้โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน งูเขียวนิ่งงัน พันตรีเดินอ้อมหนีอีกฝ่ายแทน กลับไปทางเดิม ไม่ได้หันไปมองด้านหลังอีก

            "ตรี! ระวังงู"ทว่ามีเสียงร้องของตาเทิดดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงดังปึกของอะไรบางอย่าง พันตรีรีบหันกลับมอง เขาตกใจมาก เมื่อเห็นว่างูเขียวมีรอยเลือดกระเซ็น ที่กลางลำตัวมีแผลฉีดขาด เขาบอกไม่ได้ว่านั่นอาจทำให้ตัวของงูขาดหวิ่นหรือเปล่า ขณะเดียวกันตาเทิดกำลังง้างแขนหมายจะฟันลงมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มร้องห้าม

            "พอแล้วครับ มันไม่ทำอะไรผมแล้ว"เขายกมือกันตัวงูไว้ รู้ใจสะท้านแปลกประหลาด หวิวไปทั้งร่าง ตาเทิดมีสีหน้าประหลาดใจ ทางข้างหลังไม่ถึงเมตรมีถุงกระสอบใส่หน่อไม้ใหญ่ไว้สามหน่อ

            "เมื้อกี้ถ้าตาไม่ฟันมัน ป่านนี้เราคงโดนงูกัดแล้วนะ ฤทธิ์เจ้านี่มันแรงอย่าบอกใคร ปวดตุบเชียว...สงสัยว่าใช่ไอ้พันธุ์นี้หรือเปล่าที่มากัดย่าเราน่ะ แบบนี้ต้องฆ่ามันทิ้ง งูมีพิษ"ตาเทิดเอ่ยเสียงแข็ง มองงูด้วยสายตาขยาด พันตรีรีบพูดแทรก

            "ไม่เป็นไรแล้วครับ มันน่าจะตายแล้ว"เขาบอก เหลือบมองงูที่นิ่งสนิท ไม่คิดว่างูเขียวจะกัดเขา หรือว่าตาเทิดจะมองผิด บางทีไวทินแค่เลื้อยตามหลังมาเท่านั้น พันตรีมองดวงตาสีเหลืองที่เบิกโพลงอยู่ของงู ตาเทิดหาไม้มาเขี่ยร่างของงูไปให้พ้นทาง ลำตัวห้อยตกราวกับสายยางอ่อน บาดแผลรุนแรงเหมือนลำตัวแยกจากกัน พันตรีไม่กล้าคิดว่าไวทินจะตาย เขาเป็นถึงนาคาคงไม่ตายง่ายดายขนาดนี้

            "แล้วตาหายไปทางไหนครับ ผมตามมาแล้วไม่เห็นเลย"

            "ตาก็อยู่ตรงทางแยกไปไม่กี่เมตรนั่นไง เจอหน่อไม้อ่อนมาสองสามต้นเลยรีบตัด ได้ยินเสียงเราเรียก ตาก็รีบตามมา เห็นงูอยู่ทางด้านหลังเลื้อยตามมา อีกนิดเดียวมันจะกัดเราแล้วนะ ดีที่มันไม่เร็วนะไอ้งูตัวนี้"ตาเทิดเล่า เหลือบมองซากงูที่แน่นิ่้งไป พันตรีรู้สึกใจไม่ดีเท่าไหร่ เขาไม่เคยอยากให้ใครมาฆ่าฟันงู มันเหมือนว่าเขามองพวกงูเป็นมิตร นึกถึงเจ้างูทางมะพร้าว อีกฝ่ายจะยังอยู่ดีไหมนะ เพราะตาเทิดไปทางเดียวกัน แต่ไม่เห็นว่าชายชราจะเอ่ยถึงงูตัวอื่น

            "ตากลับไปก่อนก็ได้ครับ ผมว่าจะนั่งวาดรูปสักพัก"เด็กหนุ่มบอก ใจจริงอยากจะอยู่ดูไวทินก่อน ตาเทิดทำหน้ากระอักกระอ่วน เหลือบมองงูแล้วหันมองเด็กหนุ่มอีกหน เขาสงสัยว่าชายชราได้ยินที่เขาคุยกับงูหรือเปล่า

            เจ้าตัวยอมฟัง เดินแบกกระสอบหน่อไม้กลับออกไปตามทางเรียบเตียนช้าๆ เด็กหนุ่มยืนนิ่ง รอจนกว่าชายชราจะลาสายตา จากนั้นก็หันไปดูไวทินที่ยังไม่ขยับ

            "เป็นยังไงบ้าง ตายหรือยัง"เขาถามยื่นมือไปแตะงูอย่างกล้าๆกลัวๆ รอยแผลเหวอะที่กลางลำตัวดูไม่น่ามอง งูขยับหัวเชื่องช้ามามอง

            "ยัง...ข้าไม่ตายง่ายเพียงนี้ แค่ทำให้บาดเจ็บเล็กน้อย"ทว่าลำตัวที่ห้อยรุ่งริ่งเหลือเพียงเนื้อที่ยังไม่ขาด จึงไม่สามารถขยับท่อนล่างได้ เด็กหนุ่มหน้าซีด เหลียวมองรอบตัว รู้สึกลังเล

            "ใช้อาคมได้หรือเปล่า"

            "ไม่ได้แล้ว"

            "แล้ววันนั้นล่ะ ทำไมถึงใช้ร่างมนุษย์ได้"เขาถาม งูเขียวไม่ตอบในทันที พันตรีจึงถอนหายใจ หันไปหาไม้ซีกหนา พอที่จะช้อนร่างงูขึ้นมาได้ เขาไม่กล้าจับเพราะกลัวงูจะขาดครึ่งเอา

            "รักษาตัวเองยังไงล่ะ โดนขนาดนี้"

            "ข้าคงฟื้นตัวได้เอง อาจใช้เวลานานหน่อย"งูเขียวตอบแผ่วเบา เด็กหนุ่มค่อยถือไม้ที่มีลำตัวของงูพาดไว้หมิ่นเหม่ เร่งฝีเท้าให้เดินไปจนพ้นชายป่าไผ่ ลอบมองรอบบริเวณเมื่อไม่พบใครจึงเดินข้ามธารน้ำกลับมา ปิ่นโตข้าวเที่ยงกับกระเป๋าใส่สมุดสเก็ตยังคงวางไว้ที่เดิม เขารีบเดินไปที่ลานหิน จากนั้นก็เอาสมุดออก หย่อนร่างของไวทินลงกระเป๋าช้า ๆ จนไวทินส่งเสียงทางลำคอ

            "ข้าลอบใช้อาคม ร่างมนุษย์ของข้าทำให้เสียตบะไปไม่น้อย เพราะข้าฝืนใช้ ในร่างของงูเขียวตัวนี้ไม่มีอิทธิฤทธิ์กล้าแกร่ง หลังจากวันนั้นข้าต้องจำศีลชั่วคราวเพื่อฟื้นพลัง"

    คำอธิบายของไวทิน ทำให้เขาได้แต่เหนื่อยหน่าย เขานึกว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหายหน้าไปเอง แต่ความจริงแล้วเพราะเสียพลังไปเยอะก็เท่านั้น เด็กหนุ่มเม้มปาก ไม่อยากฟังอะไรอีกจึงสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่ เก็บของกลับเข้าบ้าน

          ระหว่างทางเดินกลับ พันตรีได้แต่คิดขัดแย้งกันเอง การช่วยเหลือไวทินจะส่งผลดีหรือร้ายกัน พอเอาเข้าจริงๆ เขาไม่กล้าปล่อยให้งูเขียวบาดเจ็บ


          เด็กหนุ่มกลับเข้าบ้าน พบว่าในบ้านไม่มีใครอยู่ พันตรีขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่อมาถึงรีบวางกระเป๋า เดินไปหากล่องปฐมพยาบาลออกมา แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวติดมาด้วย งูเขียวไม่โผล่ออกมาจากกระเป๋า ทำให้เขามองเข้าไปด้านใน งูไม่ขยับตัว เด็กหนุ่มจึงค่อยๆเทร่างของงูออกมาช้าไม่ให้ลำตัวฉีกขาดมากขึ้น พองูออกมานอนที่ผ้าเช็ดตัวได้ ลำตัวเรียวยาวม้วนเข้าหากัน ทำให้เห็นบาดแผลชัดขึ้น ผิวหนังถลอก เลือดยังคงไหลซึมออกมา เด็กหนุ่มหยิบสำลีออกมาเช็ดแผลอย่างเบามือ

            "เอาไงดี ตัวคุณจะสมานกันได้ยังไง"เขานึกไม่ออกนึก ทำใจกล้าเช็ดไปที่แผล พยายามขยับร่างงูท่อนบน ท่อนล่างมาชิดกัน งูเขียวส่งเสียงจากลำคอ

            "ปล่อยไว้เช่นนี้ ข้าจะสมานแผลได้เอง"

            "จริงเหรอ"เขาแปลกใจ ระหว่างที่เปลี่ยนสำลี เขาหยิบผ้าก๊อซแบบบางออกมาตัดให้สั้นและเป็นแถบเล็กประมาณสองนิ้ว

            "ข้าขอโทษ..."ไวทินกล่าวด้วยน้ำเสียงล้ำลึก มีความรู้สึกแฝงอยู่ แต่พันตรีไม่คิดใส่ใจ ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร แค่หันไปเทเบตาดีนใส่สำลีแล้วกดลงที่บาดแผล งูเขียวจึงนอนราบกับผ้าเช็ดตัวไม่พูดอะไรอีกจนกระทั่งเขาพันผ้าก๊อซรอบลำตัวจนเสร็จ การรักษาแบบเบื้องต้นเท่านั้น หลังจากนั้นให้ไวทินรักษาตัวเอง

            พันตรีขยับมานั่งบนเตียง มองงูเขียวอย่างเฉยเมย  ไวทินเลื้อยมาหา เงยหน้ามอง ดวงตาสีเหลืองเรียวเบิกโพลง ก่อนที่จะเอ่ยเรื่องที่ทำให้พันตรีต้องไม่พอใจขึ้นมา

           "อักษราภัคกำลังโดนพิจารณาโทษ"

            "เขายังโดนลงโทษอีกเหรอ"พันตรีนึกด่าทอท้าวปุณมนัสในใจ ไวทินเงียบ เมื่อคืนอักษราภัคไม่ได้เอ่ยถึง เรื่องนี้เลย อีกฝ่ายดูอารมณ์ดีเหมือนไม่เเสร้งทำ แต่งูเผือกเคยเอ่ยลวงต่อเขามาแล้ว โดยอ้างว่าเป็นห่วง พันตรีครุ่นคิด

             "...เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า"

             "ไม่...เพียงถูกกักบริเวณในอัตรคุปต์"คำพูดของไวทินเหมือนกำลังบอกเป็นนัยว่าอีกฝ่ายจะยังไม่สามารถกลับมาหาเขาได้ในเร็ววัน

             ในห้องไม่มีเสียงพูดหรือใครขยับตัวอีก พันตรีนิ่งคิดปล่อยใจไปกับเรื่องของอักษราภัค

             “คุณไม่กลับไปรายงานท้าวปุณมนัสหรือ”

             คำถามของเด็กหนุ่มทำให้งูเขียวโหยงตัวตกใจ เขาก้มมอง

             “...หากข้าฟื้นพลังได้ ข้ากลับไปหาองค์เหนือหัวอยู่แล้ว ว่าแต่เหตุใดท่านถึงรู้...”

             พันตรีไม่ตอบ แต่อีกฝ่ายคงคาดเดาได้เอง

             “คุณช่วยผมทำไม”เขาถาม เรื่องในโรงแรมแห่งนั้น ไวทินเปลี่ยนใจไม่ปล่อยให้เขาทำตัวสำส่อนแบบที่อีกฝ่ายต้องการใคร่รู้

             “...สุดท้ายข้าไม่ปล่อยให้ท่านตกอยู่ในอันตรายได้อีก”

             “ผมไม่ใช่อภันตีแล้ว”เขาย้ำเตือน งูเขียวเงียบ ก้มราบกับผ้าเช็ดตัวไม่ขยับตัวอีก

              “...บางคราข้าคงฟั่นเฟือง เผลอคิดว่าท่านเป็นองค์อภันตีอยู่เรื่อย”

              พันตรีถอนหายใจช้า ๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเหลือบมองบานกระจก ที่ข้างนอกฟ้าครึ้มอีกแล้ว

              “กลับไปรายงานท้าวปุณมนัสเถอะ การกระทำเช่นนี้อาจเกิดเรื่องไม่ดีในแดนนาคาอีก ท้าวปุณมนัสหาเรื่องลงโทษอักษราภัค”

              “...เขาไม่ได้รับอันตรายใด หรือต่อได้รับอันตราย นั่นเพราะเขาเลือกเอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเขามากนัก”ไวทินเอ่ยห้วนๆขึ้นมา

              “คุณเข้าไปในห้องผมโดยพลการ ในเมืองมนุษย์คุณทำเรื่องเสียมารยาทอยู่”

              “...ข้าแค่ไปดูท่าน”

               “...”

               “ข้าเกรงว่าท่านจะตำหนิตนเองมากเกินไป ท่านชอบทำให้ตนเองมึนเมา อาจถึงขั้นทำตนเองบาดเจ็บ ข้าจึงไปตรวจสอบดู”ไวทินเอ่ยแผ่วเบา พันตรีขมวดคิ้ว มองงูเขียวเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน แสดงว่าวันที่เขาดื่มเบียร์จนหลับไป เป็นไวทินจริงๆงั้นเหรอ...เขาจำสัมผัสที่ใบหน้าได้ ทำให้รู้สึกคันยิบที่ใจ นึกถึงความสงสัยของอักษราภัคต่อไวทินแล้วหัวสมองว่างเปล่า

             “ผมไม่ทำร้ายตัวเองหรอก”

              “...หลังจากนี้ข้าอาจไม่เจอท่านอีก”อยู่ไวทินก็ขยับเลื้อยร่างมาใกล้ จนถึงขาของเด็กหนุ่ม เขาถดขาออกห่าง งูเขียวจึงหยุดนิ่ง

              “แล้วไงล่ะ”

              “ข้ามาส่งข่าวครั้งสุดท้ายว่าอักษราภัคจะยื่นฎีกาต่อท้าววิรูปักษ์”

              พันตรีหันมองทันที งูเขียวชูคอขึ้นมอง “เรื่องอะไร”

              “ขอละทิ้งอัตรคุปต์ และแดนนาคาเพื่อมนุษย์เช่นท่าน เขาถึงได้โดนกักบริเวณระหว่างรอพิจารณาโทษ”ไวทินทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก ผ่านไปชั่วครู่ พันตรีจึงคิดได้ อักษราภัคหาทางมาที่นี่ ‘ละทิ้ง’ เป็นคำที่ไม่ดีนัก เขารู้สึกถึงเค้าลางบางอย่าง...เรื่องไม่ดี

              “จะเกิดเรื่องร้ายหรือไม่...มันจะเป็นไปได้เหรอ”เขาไม่กล้าหวังมากในเรื่องนี้ การที่นาคาตนหนึ่งจะละทิ้งบ้านเมืองเพื่อมนุษย์ ในวิสัยทัศน์ของนักปกครองสามารถยอมรับได้รึเปล่า งูเขียวนิ่งค้าง

             “เป็นไปได้ แต่ทุกสิ่งย่อมไม่ได้มาโดยเปล่า เขาต้องแลก และท่านต้องแลกเช่นกัน”ไวทินเอ่ยอย่างเรียบเฉย หัวใจของพันตรีสั่นสะท้าน ต้องแลกด้วยสิ่งใดงั้นเหรอ เขาไม่กล้าคิด ไม่กล้ายินดี

             “คุณรู้ไหมว่าคืออะไร”

               “ไม่...ไม่มีผู้ใดรู้เช่นผู้ร้องขอ เมื่อถึงเวลา อักษราภัคต้องเผชิญด้วยตัวเขา เช่นท่านต้องรับรู้ด้วยตนเอง”งูเขียวเอ่ยเสียงเบาหวิว พันตรีจับมือกันแน่น มือเกี่ยวรัดอย่างกังวลใจ ก่อนจะหลับตาลง อักษราภัคบอกเขาเองว่าให้รอ นั่นหมายถึงอีกฝ่ายตัดสินใจแล้วว่าจะละทิ้งอัตรคุปต์เพื่อเขา…

              “บ้านเมืองนั้นเป็นของเขา...”

               พันตรีนึกถึงคำพูดของนนท์ทันที ที่บอกว่ามีใครบ้างจะยอมสละทุกอย่างเพื่อความรัก

               “ใช่ แต่ท่านคงทราบ ว่าสายเลือดของเขาได้ตายไปหมดสิ้น เหลือก็แต่ญาติคนละสายเลือด ไม่ชิดเชื้อ อีกทั้งอัตรคุปต์ยังคงอยู่ใต้การปกครองของอมรานคร เขาคาดคะเนแล้วว่าสิ่งใดที่คุ้มค่ากว่ากัน”

              ถ้อยคำของไวทินตกค้างอยู่ในใจ พันตรีมองงูเขียวอย่างไม่เข้าใจ

              “ทำไมถึงบอกผมล่ะ นึกว่าคุณไม่ชอบผม ไม่ชอบอักษราภัค”

               “...ข้าไม่ชอบอักษราภัค”

               พันตรีเงียบ เป็นความเงียบที่กระอักกระอ่วนใจของเขา เพราะคำตอบของไวทิน

                ขณะเดียวกันงูเขียวค่อยๆขยับเลื้อยมาทางเขา แลบลิ้นออกมาหลายครั้ง ลำตัวยาวเป็นคลื่น ไม่รวดเร็วไม่แต่ก่อน แม้ว่างูพันธุ์นี้ปกติจะเลื้อยช้า ๆ มีพิษต่อเลือด เขายังนึกโกรธที่ไวทินกัดย่าของเขา พิษของงูเขียวหากได้รับเยอะจะเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ถึงตายได้ พันตรีสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อระบายความกรุ่นโกรธ  

                “ข้าแค่มาลาท่าน”ไวทินมองเขา ยื่นหน้ามาหา ลำตัวพาดอยู่ที่ขาของเด็กหนุ่มครึ่งนึง เขาเหลือบมองผ้าก๊อซที่พันไว้ ปลายหางเรียวสีแดงส้ม ในใจขัดแย้งกัน ไม่มีทางที่ไวทินจะมีใจต่ออภันตี เหมือนที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกต่อเขา แต่อีกฝ่ายมีคำลวงมากเช่นกัน

                “อืม ไปเถอะ”เขาบอก งูเขียวยังคงมองอยู่

                “ข้า...”

                 พันตรีหลุบตามองดวงตาสีเหลือง ไวทินทำให้เขานึกถึงงานปั้นของตัวเอง คำพูดจริงกับคำเท็จ และความรักของหนุ่มสาว

                “ท่านยังคงเป็นสหายของข้า”

                “ขอให้โชคดี”เขาอวยพร งูเขียวยังไม่ขยับไปไหน พันตรีขมวดคิ้ว ยื่นมือไปจับตัวของงูเพื่อให้เขาลงจากขาของตัวเอง งูเขียวหางไหม้โหยงตัวหนี แต่เจ้าตัวบาดเจ็บอยู่จึงไม่รวดเร็ว เขาวางงูลงพื้นห้อง ไม่รู้ว่าไวทินจะเข้าออกทางไหน

             “แต่ข้าไปคืนนี้”ไวทินบอก พันตรีเลิกคิ้วสูงอย่างมีคำถาม ‘แล้วไงล่ะ คุณต้องการอะไร’

             “อืม”

              “ขอพักสักเดี๋ยว”ไวทินพึมพำ เลื้องเชื่องช้า หลบเข้ามาอยู่ใต้เตียง เขามองปลายหางที่หายไปข้างใต้ เด็กหนุ่มพรูลมหายใจออกมา ยกขาขึ้นมาบนเตียงแทน เขาหยิบถุงผ้าใส่กำไลออกมาดู

              อักษราภัคยอมแลก เช่นนั้นเขาไม่คิดกังวลอีก เพราะมั่นใจว่าไม่ใช่การตายจาก เจ้าตัวคงไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีก เป็นครั้งที่สาม พันตรีจึงเบาใจได้  การแลกเปลี่ยนนั้นคืออะไรกันล่ะ?




    [Talk]

    ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวแล้วจ้ะ

    มาม่าอืดไม่อร่อยเท่าไร (เหรอ) คำนวนไว้แล้ว อีก 2 ตอนจบ + ตอนพิเศษสักตอนสองตอน(ถ้าขยันเป็นพิเศษ)

    ฝากติดตามกันต่อนะ อย่าเพิ่งเราไปก่อน รอพี่งูเรามีความสุขก่อน แอบสงสารรอเลยนะเนี่ย (โดนตี) 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×