ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15 งูเขียวหางไหม้และความหวัง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 779
      47
      22 พ.ย. 63

    บทที่ 15 งูเขียวหางไหม้และความหวัง


            หลังจากพันตรีขึ้นจากน้ำตก เขาป่วยหนักจนต้องนอนซม ไม่มีใครถามว่าทำไมเขาถึงจมน้ำได้ เพราะน้ำตกลึกแค่หน้าอกเท่านั้น เด็กหนุ่มร่างกายปวดเมื่อย ซ้ำยังอาเจียนจนตัวโยน เขานอนหมดแรงอยู่บนเตียง คิดถึงอักษราภัคอีกแล้ว งูเผือกของเขาไม่มีอีกแล้ว

              ทุกอย่างกลับสู่ปกติ เงียบเหงา ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก ก่อนหน้านั้นเขาฝืนร่างกายตัวเองเพื่อไปที่ลานน้ำตกอีกครั้ง เพื่อหาร่องรอยของเมืองบาดาล เหมือนคนเมามาย เขาลงน้ำ ควานหาเส้นทางที่อาจนำพาไปสู่แดนนาคาได้ เข้าไปที่ผาหินหลังม่านน้ำตกว่าพอจะมีร่องรอยแยกของผาหินบ้างหรือไม่ ทว่ากลับไม่พบเจอ มีเพียงรอยแผลถลอกจากการขูดโดนโขดหิน คนในบ้านไม่มีใครกล้าพูดอะไรกับเขาอีก คงมองว่าเขาเพี้ยนไปแล้วแต่ย่ากับป้าเยาว์ยังคงผลัดเปลี่ยนมาดูแลพันตรีตลอดช่วงเสาร์อาทิตย์
            เมื่อเด็กหนุ่มกลับจากบ้านของย่ามาเรียนตามปกติ เขาว่างเปล่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พยายามทุ่มสมาธิกับสอบไฟนอล การทำโปรเจ็คของคณะตามรายวิชา เขากลับมาเป็นพันตรีที่เงียบขรึมดังเดิม ปิดตัวเองจากคนอื่นๆ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เขานัก คนพลังลบเช่นเขาใครบ้างจะอยากอยู่ใกล้ จะมีแต่จ่อยกับนนท์ที่แวะเข้ามาทักทายเวลาเจอกันตอนทำงาน เด็กหนุ่มนึกถึงคำพูดของย่าก่อนกลับได้ดี

            'ย่าหมายความว่าอะไรเหรอครับที่บอกว่ารู้'คืนวันอาทิตยืก่อนที่เขาจะเดินทางกลับ ย่าเข้ามาหาเขาในห้องนอน เด็กหนุ่มจึงมีโอกาสถามไถ่หญิงชราอีกครั้ง ย่ามีสีหน้าอ่อนโยนลง ยื่นมือผอมมาลูบศีรษะเขาไปด้วย
     
            'ย่ารู้เพราะว่าตรีมีคนคอยคุ้มครองไง...วันก่อนตาเทิดเห็นผู้ชายผมยาวจากตรงหน้าต่าง ทีแรกนึกว่าเป็นผีเสียอีกแต่มองดีๆ ชายผมยาวหน้าตาสะสวย...เห็นว่าเอาแต่จ้องมาจากหน้าต่าง'

            'ย่าล่ะคิดว่าไงเหรอครับ'

            'ไม่สำคัญหรอกจ้ะ สำคัญที่ว่าตรีน่ะเป็นยังไงบ้าง บอกย่าได้ไหม'คำถามของย่าทำให้เด็กหนุ่มเงียบ แววตาหม่นลง เขาเอาแต่คิดวนเวียนเกี่ยวกับอักษราภัค เขากลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อน เอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว

            '..ก็แค่มีคนที่รักหายไปจากชีวิต'

            'เขาตายหรือ'

            'เปล่า เขาไม่กลับมาหาผมอีก'เด็กหนุ่มส่ายหน้า รู้สึกใจชื้นอยู่บ้างที่อย่างน้อยอักษราภัคยังมีชีวิตไม่ได้ตายจากไปไหน

            '...แต่เขาก็ยังอยู่ไม่ใช่หรือ'

            'หึ ผมไม่ชอบเรื่องน้ำเน่าแบบนั้นหรอก'เขาพึมพำ เรื่องราวทำนองนี้เขาได้ยินมามากได้อ่านมาก็บ่อย กับคำพูดที่ว่าได้รักแต่ไม่อาจครอบครอง

            'แล้วตรีจะทำยังไงล่ะ'ย่าถาม และเขาไม่มีคำตอบให้

            นั่นสินะ เขาจะไปทำอะไรได้ เด็กหนุ่มเงียบ สองตาร้อนผ่าว ก้มหน้าต่ำไม่ให้ย่ามองเห็นความอ่อนแอของตนเอง เช้าตรู่วันถัดมาเขาจึงเดินทางกลับ ย่าเอ่ยกับเขาเป็นครั้งสุดท้ายว่า

            “อะไรที่เป็นของๆเรา อย่างไรซะมันก็จะกลับมาอยู่ดี”เป็นคำปลอบใจตามแบบของย่า เขาได้แต่ยิ้มรับ
            
            ทว่าเสียงของนนท์กระชากให้เขากลับสู่ความจริง

            "เป็นอะไรวะ ทำหน้าบูดเป็นตูดหมึก"นนท์เงยหน้าจากโต๊ะดรออิ้งขึ้นมาถาม ระหว่างที่กำลังสเก็ตภาพคนเหมือน นางแบบมาจากรุ่นพี่ในเอกเดียวกันถูกพวกเขาจับมาเป็นแบบให้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายพยายามทำตัวร่าเริง แต่พันตรีไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเอ่ยปากตอบ จ้องเขม็งไปที่รุ่นพี่ผู้หญิงตรงกลางวงโต๊ะดรออิ้ง นนท์ชินกับท่าทีของเขาไปแล้ว ได้เอาแต่มองหน้าไม่ละสายตา

            "อกหักล่ะสิ แต่ไม่คิดว่ามึงจะมืดมนขนาดนี้นะเนี่ย"นนท์หัวเราะในลำคอ พันตรีหยุดมือหันไปจ้องอีกฝ่ายเงียบๆ จ่อยที่อยู่โต๊ะถัดไปทางขวาเงยหน้ามอง สีหน้ามีความกระอักกระอ่วน

            "...พูดออกมาบ้างก็ได้นะ ที่ถามเพราะห่วง ไม่ใช่ว่าเราเซ้าซี้ มึงเห็นพวกกูเป็นเพื่อนบ้างหรือเปล่า"นนท์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาหันมามองภาพดรออิ้งของตัวเอง ลายเส้นหนาเกินไป แม้ว่าเขาจะคอยเหลาดินสอให้แหลมแต่สุดท้ายเวลาที่เขาลงเส้นมันก็หักจนทิ้งรอยจุดเอาไว้เด่นชัด งานของเขาจึงออกมาไม่ปราณีตเหมือนคนไม่ตั้งใจ ซึ่งเขาไม่ชอบใจนักพยายามแก้ไข แต่เหมือนยิ่งทำให้แย่ลง พอมองไปที่นางแบบ ใบหน้าของอักษราภัคกลับปรากฏเข้ามาแทน จนเขาต้องหยุดทำสมาธิอยู่หลายหน

              จากนั้นเขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงเดินออกมาจากห้องดรออิ้ง อ้อมไประเบียงด้านหลังห้องแทน ทิ้งตัวลงที่พื้นร้อนจากแสงแดดส่องมาตลอดวัน นั่งชันเข่าก้มหน้าซบกับต้นแขน ศีรษะปวดตุบๆตลอดเวลา

             เวลานี้เหมือนร่างกายของพันตรีอ่อนแอลง เขาป่วยบ่อยขึ้น สงสัยว่าเพราะดวงจิตเสี้ยวเดียวในแท่นบูชาแตกสลายไปหรือเปล่าที่ทำให้เขาอ่อนแอลงแบบนี้ พอคิดเรื่องของอภันตี เขายิ่งคิดถึงอักษราภัคมากขึ้น พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านอีก แต่ผลสุดท้ายก็เอาแต่คิดวกวนอยู่กับเรื่องของงูเผือกไม่จบไม่สิ้น        

              ในตอนที่พันตรีเครียดหรือหยุดคิดถึงเรื่องในแดนนาคาไม่ได้ เขาจะขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ เพื่อไม่ต้องมองเห็นห้องกว้างๆ และเห็นรอยอดีตของงูเผือกที่ยังมีอยู่เต็มห้อง แม้กระทั่งในห้องน้ำ แต่มันก็ดีกว่าการนอนอยู่บนเตียงคนเดียว เขาเพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าการอยู่คนเดียวมันน่ากลัวมาก

            พันตรีไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แต่นานๆครั้งจะดื่มเบียร์ แม้ว่าช่วงนี้เขาอยากจะลองดื่มเหล้าให้เมาดูบ้าง แต่เขาไม่ชอบกลิ่นของมันจึงไม่ดื่มต่อเป็นแก้วที่สอง ส่วนเรื่องบุหรี่เขาสูบไม่เป็น และเหม็นเกินกว่าจะเอาเข้าปอด สุดท้ายเขาก็มาลงเอยด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ออกไปพบปะผู้คน แม้ว่านนท์กับจ่อยจะพยายามชวนไปเที่ยวกลางคืนบ้างเพื่อปลดปล่อย เพราะรู้ว่าเขาอยู่ในอาการเศร้าสร้อย เหมือนคนอกหักแต่พวกนั้นไม่เคยถามออกมาตรงๆ

            ขณะนั้นประตูหลังห้องเปิดออกเสียงดังปึง ตามมาด้วยเสียงฝ่าเท้าของใครสักคน ไม่จ่อยก็นนท์ที่เดินออกมา

            "เฮ้อ ตรีมึงหัวใกล้ระเบิดหรือยัง"เจ้าตัวนั่งลงข้างพันตรี  สีหน้าเหมือนเห็นใจ เขาส่ายหน้า

            "ก็แค่..."พยายามหาคำพูด แต่สุดท้ายก็เงียบ เขาอยากหาเพื่อนคุยเรื่องของอักษราภัคบ้าง คุยแบบหมดเปลือก แต่สุดท้ายก็ได้แต่คิดอยู่ในหัวของตัวเอง

            "อะไรล่ะ"อีกฝ่ายเร่งเร้า เพราะเขาเงียบไปนาน เด็กหนุ่มถอนหายใจก้มลงซบท่อนแขนดังเดิม พึมพำอู้อี้ในลำคอ
            
              "เขาแค่ไม่กลับมาแล้ว"

            นนท์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะนั่งเหยียดขาไปข้างหน้า

            "สรุปว่าอกหักจริงๆสินะ...ทำไมล่ะ ก็เห็นเข้ากันได้ดีไม่ใช่เหรอ"

            "...ไม่ใช่ว่าเลิกรักกัน...เขาแค่ไม่กลับมาแล้ว เราอยู่ด้วยกันไม่ได้"พันตรีพยายามอธิบาย แต่คงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งกับย่าด้วยแล้ว เรื่องรักๆใคร่ๆเขาไม่อยากเอาไประบายกับท่าน แม้ว่าท่านจะเข้าใจเขาก็ตาม

            "ครอบครัวกีดกันเหรอ"นนท์เดา เขาแค่นหัวเราะ

            "อืม..."เขาเลือกจะตอบไปแบบนั้น นนท์เขย่าแขนให้เขาหันมาคุยด้วย

            "เฮ้ย จริงดิ นี่มันสมัยไหนแล้วเนี่ย...อยากจะรู้จริงๆว่าพ่อแม่ของพี่เผือกเป็นคนแบบไหน..."นนท์บ่น พันตรีอยากจะตอบออกไปเหมือนกัน ว่าเป็นแบบมีเกล็ด ซ้ำยังใช้อาคมได้ด้วย

            "ช่างเถอะ มันไม่สำคัญหรอก เพราะกูเจอเขาไม่ได้อีกแล้ว"

            "ทำไมล่ะ โดนสั่งห้ามเหรอ"

            "....ติดต่อไม่ได้ เหมือนว่าอยู่คนละโลก"สิ้นเสียงของพันตรี มีความเงียบเกิดขึ้น ใช่...อยู่คนละโลกอย่างแท้จริง ขณะนั้นน้ำหนักมืออุ่นตบลงที่ไหล่เบาๆ พอหันหน้ามอง

            "ถ้ารักกันจริงก็ต้องทำทุกทางที่จะกลับมาเจอกัน...แต่ก็นั่นแหละ เราเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว จะหวังเรื่องรักจนทิ้งทุกอย่างได้ในวัยแบบนี้น่ะเหรอ"นนท์เอ่ยเรียบๆ พันตรีนั่งซึม รู้สึกใจสะท้านกับคำว่าทำทุกวิถีทาง...แต่อักษราภัคก็ทำทุกทางแล้ว

            การที่จะออกมาจากแดนนาคาได้นั้นต้องผ่านผู้เป็นใหญ่อย่างเจ้าเมืองทั้งสี่ทิศ แต่ไม่มีทางที่ท้าวปุณมนัสจะยอมให้อักษราภัคออกมาเจอเขาแน่นอน และองค์ศิวะก็เอ่ยไว้ชัดเจน ฝ่าฝืนสวรรค์ได้หรือ

            เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรอีก นนท์เลยบอกว่าทำสมองให้ปรอดโปร่งได้แล้วเพราะห่วงเขาเรื่องงาน เด็กหนุ่มรู้สึกดีที่มีเพื่อนที่จริงใจแม้ว่าเขาจะไม่ใช่เพื่อนที่ดีของใครนัก

            พันตรีกลับมาที่หอพัก เดินขึ้นห้องอย่างห่อเหี่ยว พอเปิดประตูเข้าไปภายในห้องที่เหมือนไร้แสงสว่าง แม้ว่าตอนนี้เพิ่งจะอยู่ในช่วงบ่าย เขาเดินไปเก็บของ จากนั้นก็เอางานออกมาทำต่อ นนท์ถ่ายรูปของนางแบบสาวไว้ให้ แสงและเงาเหมือนกับที่เขาร่างเอาไว้ เด็กหนุ่มจึงได้สติขึ้นมาบ้าง ต่อให้เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ควรให้กระทบกับการเรียน

            เขาหยิบกระดานสเก็ตออกมาวาง จากนั้นก็เหลือบไปกล่องงูใต้เตียงอย่างรวดร้าว กล่องเลี้ยงงูไม่ได้ใช้อีกต่อไปแล้ว และพันตรีไม่คิดเลี้ยงงูตัวอื่นอีก เพื่อมาแทนอักษราภัคน่ะเหรอ เขาทำไม่ได้หรอก  หากคิดจะเลี้ยง คงมีแค่งูเผือกเท่านั้น

               ร่องรอยของอักษราภัคยังหลงเหลืออยู่ มีกำไลแขนกับรัดเกล้าเกลี้ยงเกลาวางไว้บนโต๊ะกระจก เขาเดินไปหยิบขึ้นมาลูบช้าๆ ‘เมื่อไหร่จะกลับมาหาเขากันนะ’

            ชีวิตที่ไร้งูเผือกช่างจืดชืดเหลือเกิน เขากลืนน้ำลายลงคอ หมดอารมณ์ทำงานต่อ เขาเดินไปที่ครัว เปิดตู้เย็นหยิบเบียร์กระป๋องออกมาเปิด อย่างน้อยเขาดื่มเบียร์ได้ แต่ไม่ทำให้เมามายอะไรนอกจากอาการเวียนหัวเท่านั้น

            ระหว่างที่กำลังดื่มเบียร์ไปหลายอึก เสียงโทรศัพท์ก็สั่นยาว ๆ พันตรีเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับ ปรายสายไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นย่ากานดา

            เขาลังเล แต่สุดท้ายก็กดรับสาย

            "ครับย่า..."

            [ย่าโทรมากวนเราหรือเปล่าจ๊ะ]

            "ไม่หรอกครับ เพิ่งกลับมาถึงห้องพอดีเลย"เขาแสร้งทำร่าเริง

            [อ้อ พอดีว่าย่าเจอของของตรีตกอยู่ที่น้ำตกน่ะจ้ะ]

            "อะไรเหรอครับ"

            [กำไลน่ะลูก มันอยู่ในถุงผ้าสีทองๆน่ะ ย่าเลยจะส่งไปรษณีย์ตามไปทีหลัง]ย่าอธิบาย พันตรีตกใจ นั่นสิ...เขาลืมไปได้ยังไงกัน กำไลของหมั้นไม่ได้อยู่ที่เขา ตอนแรกคิดว่ามันอยู่ที่แดนนาคาเสียด้วยซ้ำ ใจจริงอยากให้อักษราภัคเก็บไว้ ในเมื่อเป็นของหมั้นที่อภันตีให้ไว้

            "ขอบคุณครับย่าที่เก็บมา"

            [ของสำคัญหรือลูก]ย่าถาม เขายิ้มเศร้า เขาคิดว่าย่ารู้ เพราะกำไลรูปนาคาวงนั้นมันชัดเจนเรื่องเกี่ยวกับงูแค่ไหน ไม่นับที่กำไลเป็นทองสีหม่น

            "ใช่ครับ สำคัญมาก"เขาเอ่ยช้าๆ  

            [จ้ะ พรุ่งนี้ย่าให้ตาเทิดส่งไปให้นะ แล้วเป็นยังไงบ้างเนี่ย หายไข้หรือยังล่ะ]

            "ดีขึ้นแล้วครับ ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นอะไรมากครับ"

            [จ้ะ รักษาตัวนะตรี ย่าเป็นห่วง]

            "ครับ ผมจะดูแลตัวเองดีๆ ไว้ปิดเทอมผมจะไปหานะครับ"เขาบอกทิ้งท้าย ก่อนที่ย่าจะวางสายไป หน้าจอโทรศัพท์กลายเป็นสีดำ เขายืนนิ่งอยู่หลายนาที จึงหันไปหยิบเบียร์มาดื่มต่อจนกระทั่งเริ่มมึนศีรษะ จนร่างกายร้อนผ่าว พันตรีนั่งมึนอยู่สักพัก จากนั้นก็ปีนขึ้นไปนอนบนเตียง ทอดสายตามองเพดานอย่างเลื่อนลอย หัวหมุนไปหมด

              เด็กหนุ่มเอื้อมไปควานหารัดเกล้าของอักษราภัคมากำไว้ จ้องมองจนผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

    .

    .

            แสงอัสดงส่องผ่านม่านที่รูดบังหน้าต่างไว้ ภายในห้องมืดสลัวลง ทว่าระหว่างที่พันตรีท่องอยู่ในความฝันของตนเอง ความรู้สึกอุ่นปัดผ่านท่อนขาไป เด็กหนุ่มสะลึมสะลือ สัมผัสอุ่นลื่นเข้ามาถึงท่อนแขนก่อนจะหยุดที่ข้างแก้ม คิ้วขมวดพยายามปัดป่ายสัมผัสดังกล่าวให้ออกห่างตัว พลิกตัวนอนไปอีกทาง ก่อนจะเริ่มได้สติ

              ...เมื่อกี้...ใครกัน

            เขารีบผุกลุกขึ้นมานั่งด้วยหัวใจเต้นรัว รีบมองหาร่องรอยของสัมผัสเมื่อครู่ก่อน พลันหุนหันลงจากเตียงแล้วก้มมองข้างใต้ เลื่อนกล่องงูออกมาดูอย่างรวดเร็ว ในใจคาดหวังว่าจะมีงูสีขาวอยู่ในนั้น แต่แล้วเขาก็ผิดหวัง พันตรีลูบหน้าอยู่นาน  นี่เขาฝันไปงั้นหรือ

              จากนั้นจึงลุกเดินไปที่หน้าต่างเปิดม่านออกดู ที่ลานหญ้าหน้าหอพัก ปลายหางสีเขียวหายไปจากทางหัวมุมถนน

              พันตรีชะงักไป  ไวทินหรือ

              เขาขยับตัวหมายจะวิ่งตามไป ทว่าก็หยุดชะงัก หัวไหล่สองข้างตกลง หากตามไปคงไม่ทันอยู่แล้ว เขายิ้มจาง ยกมือขยี้ตาไปด้วยจนแสบ แต่ไวทินมาหาเขาหรือเปล่า แล้วทำไมต้องทำลับๆล่อๆด้วยล่ะ เด็กหนุ่มนึกสงสัย ดอกไม้ในใจเริ่มงอกเงย เขาให้ความหวังตัวเองได้หรือไม่

              จากนั้นพันตรีเดินไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้สดชื่น จ้องมองเงาสะท้อนในกระจกอย่างพิจารณา พลางยกมือไปจับหน้าผากที่เป็นสีผิวตามปกติของตัวเอง

              ตอนนี้เขาคือพันตรี...เป็นแค่พันตรี คนธรรมดา


      
              พันตรีกลับมามีสติมากขึ้นหลังจากที่เขารวนไปหนึ่งสัปดาห์ เช้าวันนี้เป็นสุดท้ายสำหรับงานไฟนอลของวิชาปั้น เขาเตรียมตัวไปที่คณะแต่เช้าตรู่ แวะมาที่ร้านป้าจิตตามเคย สั่งต้มเลือดหมูกับข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย ลูกชายของป้าจิตสวมชุดนักเรียนอนุบาล นั่งตักข้าวต้มเข้าปากช้าๆ สายตาจ้องมองพันตรีอยู่ตลอด เขาทำตัวไม่ถูก เหลียวไปมองทางด้านหลัง ไม่เห็นว่ามีใครอยู่ จึงส่งยิ้มไปให้เด็กน้อย เจ้าตัวยิ้มก่อนจะก้มหน้าทานข้าวต้ม

              พันตรีเริ่มตักข้าวไปได้ไม่กี่คำก็ต้องตื่นเต้นกับเสียงร้องของน้องปิง

              "งู งู"เด็กน้อยร้องบอก ชี้นิ้วไปทางด้านหลังของพันตรี เขารีบหันขวับ พบงูเขียวหางไหม้เลื้อยหายไปบนถนน เขารีบลุกตามไปให้ทัน พอวิ่งขึ้นมาบนถนน พยายามมองหางูสีเขียวตามข้างทาง แต่กลับไม่เจอ หรือว่าจะเป็นแค่งูเขียวธรรมดาๆกันแน่ หากเป็นไวทินจริง มีเรื่องอะไรให้อีกฝ่ายต้องมายังเมืองมนุษย์อีกล่ะ เด็กหนุ่มเริ่มผิดหวัง ดอกไม้ในใจแห้งเหี่ยว
     
         เมื่อความคิดต่อมาทำร้ายเขามากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากไวทินมาเมืองมนุษย์ได้จริง อักษราภัคต้องมาได้ไม่ใช่หรือ พันตรีเดินคอตกกลับเข้าร้านเพราะยังไม่ได้จ่ายเงิน และไม่รู้สึกอยากอาหารอีก


              พันตรีเตรียมตัวอ่านสคริปต์พรีเซ็นต์งานให้เข้าใจมากขึ้น แต่งานปั้นของพันตรีไม่ได้เน้นเรื่องศาสนามากเกินไปจนเป็นเรื่องคร่ำครึ เขาจึงใช้งูเป็นสัญลักษณ์ของความรักหนุ่มสาว งูสองตัวเกี่ยวพันรัดเลื้อยออกมาจากปากของชายหญิงคู่รักที่แหงนหน้าไปคนละทาง งูหมายถึงคำพูดคำสัญญา หากว่าเอ่ยด้วยใจจริง งูจากปากผู้ชายจึงเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์ งูจากปากผู้หญิงดุร้ายแทนถึงคำโกหกเล่ห์เหลี่ยม ลิ้นสองแฉกหมายถึงเชื่อถือไม่ได้ ที่เขาใช้ผู้หญิงในแง่ลบเพราะโดยส่วนใหญ่บทบาทการบูชางูเป็นของผู้หญิงที่มักจะต้องมีเหตุให้กระทำผิดหรือสร้างบาปต่องู เหมือนเป็นมายเซ็ตเรื่องของเพศสภาพไปด้วยอีกนัยหนึ่ง 
     
              พันตรีได้อ่านถึงการบูชางูในศาสนาพาราหมณ์-ฮินดู และทำให้ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา… แต่พันตรีพยายามหักใจไม่ให้ค้นหาข้อมูลเชิงลึกมากไปกว่านี้ แต่มันเย้ายวนถ้าหากว่ามันทำให้เขาสามารถเจอกับอักษราภัคอีกสักครั้งได้ การบูชางู เกี่ยวโยงกับเทพเจ้าทางพาร์หมณ์ เช่นบูชาแก่องค์ศิวะ องค์วิษณุที่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับงู ถ้าหากว่าเขาทำพิธีบูชาอย่างจริงจังล่ะก็ บางที….

              เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะ เขาชักละเลือนมากทุกที

              งานปั้นของเขาเสร็จแล้ว ตรวจเช็ครายละเอียดอีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น พันตรีคล้ายกับว่าถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา หันมองไปรอบตัวอย่างสังเกตแต่ไม่พบเจอสายตาของใคร เขานึกถึงวันที่อักครามาแอบดู ความรุ้สึกก็เป็นเช่นนี้

            ไม่นานหลังจากที่การสอบไฟนอลเสร็จสิ้นลง เขาเตรียมตัวเก็บของ และได้รับกำไลคืนกลับมา ทว่ามณีสีแดงหายไปจากปากของนาคาแล้ว หัวใจพลันเหี่ยวลง เขาเก็บกำไลไว้ในลิ้นชัก เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเก็บของที่ไม่ได้ใช้ออก ทว่านึกถึงคราวที่อักษราภัคทำลับๆล่อๆที่ตู้เสื้อผ้า จึงเดินเข้าไปเปิดดู ปรากฏว่าเปิดไม่ออก 

            จำได้ว่าอักษราภัคเคยใช้อาคมที่ลิ้นชั้น แต่เขาไม่สามารถเปิดออกได้ ไปหาเหล็กมางัดออกก็เปิดไม่ออก เขาเดินไปหยิบกำไลออกมา ก่อนจะเอาไปเคาะที่ลิ้นชักสั่งให้เปิดออก แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาตลกตัวเองขึ้นมา

            ในตอนนี้เขาเป็นอะไรงั้นเหรอ ก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง ได้แต่นั่งเซื่องซึม พันตรีจึงตัดสินใจค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับพิธีบูชางูอีกครั้ง เขาจะทำทุกทาง ในเมื่ออักษราภัคลำบากและทำเพื่อเขามากเช่นกัน

            จะหาของบูชาได้ที่ไหนกัน พันตรีศึกษาอยู่นาน หลายความเชื่อปนเป จนกุมขมับ ซบลงกับท่อนแขน

            “พันตรี”

            เด็กหนุ่มสะดุ้งทันที หันไปมองทางด้านหลังที่มาของเสียงเรียก

              เจองูเขียวหางไหม้เลื้อยชูคออยู่บนพื้นห้อง เขารีบเข้าไปคุยด้วย แปลกใจและดีใจที่เห็นงูเขียวอีก

              “ไวทิน...คุณมาได้ยังไงกัน...แล้ว...”

              “ข้ารู้ท่านเอ่ยจะเอ่ยถึงเรื่องใด ที่ข้ามาเมืองมนุษย์เพราะคำสั่งของท้าวปุณมนัส เพื่อคอยดูท่าน”

              “ดูผม...ทำไมกัน”พันตรีแปลกใจ นึกว่าท้าวปุณมนัสจะไม่ชอบเขาเสียอีก

              “ท่านถามจริงรึ องค์เหนือหัวเป็นผู้ให้กำเนิดท่าน...อย่างน้อยก็เคยเป็นเช่นนั้น”คำพูดของไวทินไร้อารมณ์ เด็กหนุ่มมองไม่ออกว่าไวทินรู้สึกยังไง ความสงสัยฉายชัดในหัว เขาอยากรู้มานานแล้วเหมือนกัน

              “เรื่องย่าของผม...”

              “ข้าทำเอง เพื่อให้องค์อภันตีกลับคืนสู่อมรานคร”

              “นึกแล้วเชียว”เขาโกรธอยู่บ้าง แต่มันไม่สำคัญแล้ว

              “นางไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ...ที่ข้ามาหาท่านในวันนี้ ข้ามีข้อสงสัยเหลือเกิน”

              “อะไรล่ะ”เขาเอ่ยช้า ๆ มองหน้าเรียวเล็กของงูเขียวที่จดจ้องนิ่งงัน แม้ในใจอยากถามถึงอักษราภัคมากก็ตาม

              “ท่านรักอักษราภัคจริงหรือ”งูเขียวถามอย่างกังขา ทำเอาพันตรีถึงกับอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน

              “...อะไรนะ”

              “บอกมาตามจริง”งูเขียวจ้อง ดวงตาสีเหลืองไม่กระพริบทำให้เหมือนโดนกดดัน ไม่คิดว่าไวทินจะถามอะไรแบบนี้ มันยังไม่ชัดเจนอีกหรือไง

              “ใช่สิ ผมรักเขา ผมคิดว่าตัวเองรู้สึกตัวช้าไปด้วยซ้ำ...ผมรักอักษราภัค”เขาย้ำ จ้องตาสีเหลืองอยู่นาน งูเขียวไม่ตอบอะไร ทั้งห้องเงียบไร้ความเคลื่อนไหวทั้งงูทั้งคน

              “เพราะเหตุใดกัน...เพราะเรื่องในอดีตงั้นหรือ”

              “มีส่วนไม่ใช่หรือ คุณจะอ้างว่าเพราะแบบนั้นผมถึงรักเขาได้ง่ายดาย คงเหมือนพวกคุณที่พยายามทำให้อภันตีกลับคืนมาไม่ใช่หรือเพราะเรื่องในอดีต”เขาย้อนใส่ งูเขียวผงะไป

              “หึ...ท่านก็เป็นเสียเช่นนี้ ถูกชักจูงให้คล้อยตามง่ายดายเหมือนเคย….ต่อให้ท่านปฏิเสธหรือเป็นดวงจิตที่จุติใหม่แล้ว...ถึงอย่างไรท่านก็ยังเหมือนเดิมไม่ผิด”

              “คุณพูดอะไร...แล้วอักษราภัคเป็นยังไงบ้าง”พันตรีไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับไวทิน อีกฝ่ายพูดจาแปลกมากกว่าครั้งก่อน ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า งูเขียวเหมือนหงุดหงิด เพราะปลายหางตีถี่ๆกับพื้น หรืออาจเป็นลักษณะนิสัยของงูเขียวชนิดนี้อยู่แล้วก็ได้

         
              ไวทินไม่ตอบ

              “บอกผมได้ไหม”พันตรีขอร้อง จ้องมองดวงตาสีเหลืองของงูเขียวตัวน้อย เจ้าตัวแลบลิ้นออกมาจากนั้นก็พูดช้าๆ

              “เขาก็อยู่ดีมีสุข”

              คำตอบของไวทินทำให้เด็กหนุ่มเงียบ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา ภาพงูเขียวพร่าเบลอ

              “...ข้าโกหก ไม่ใช่เช่นนั้น เขา...ยังบาดเจ็บจากภายใน รักษาตัวไปด้วยพร้อมกับปกครองอัตรคุปต์แทนนาคาสีทอง องค์เหนือหัวยอมให้เขากลับไปทำการปกครองเพราะตระกูลขององค์อภัยภัทรเหลือแค่เขาที่เป็นทายาทสายตรง แต่อัตรคุปต์ยังอยู่ใต้อมรานครไม่เปลี่ยน”ไวทินเอ่ยบอก เลื้อยขยับมาใกล้ จนแทบจะชนกับใบหน้าของเด็กหนุ่ม

              พันตรีกำมือแน่นจากนั้นก็คลายออก ดีแล้ว อย่างน้อยเขายังคงปลอดภัย...แต่ลึกในใจแล้วเขาไม่ยินดีสักนิด หมายความว่าอักษราภัคเลือกบ้านเกิด เด็กหนุ่มทรุดนั่งกับพื้น

              “...ท่านเสียใจงั้นหรือ”

              พันตรีไม่ตอบ เพียงแค่หันไปมองกล่องงูเงียบๆ งูเขียวหันมองตาม จากนั้นก็นอนราบกับพื้นเลื้อยส่ายเข้าไปในกล่อง ทว่าพันตรีแค่ใจลอยไปชั่วขณะ รีบคว้าปลายหางของไวทินไว้ได้ทัน ก่อนจะดึงกลับมา

              “จะทำอะไร”เขาดึงงูออกมาจนได้ พยายามจับลำตัวของงูเอาไว้ให้มั่น  งูเขียวหัวเราะเบาๆ

              “ท่านต้องเลี้ยงข้า”ไวทินเอ่ย พันตรีตกใจ มองหน้าเรียนมนของงูเขียวอย่างไม่เหลือเชื่อ เลี้ยงงั้นเหรอ ทำไมถึงขออะไรแบบนี้กัน ลึกในใจของเขาต่อต้านโดยพลัน

              “ทำไมล่ะ”

              “การเลี้ยงงูตัวอื่นยากสำหรับท่านเช่นนี้เชียวหรือ...อักษราภัครู้เข้าคงดีใจจนต้องหลั่งน้ำตาเป็นแน่”ไวทินเอ่ยอย่างมีอารมณ์โกรธ พันตรีมองไวทินให้เต็มตา ในน้ำเสียงมีความไม่ชอบใจชัดเจน น่าแปลก เพิ่งรู้ในวันนี้ว่าไวทินไม่ชอบอักษราภัคงั้นเหรอ แต่เพราะอะไรกัน ในอดีตชาติ ไวทินเองยังสนทนาด้วยไมตรี

              “...คุณต้องการอะไรเหรอไวทิน”เขาถามไปตรงๆ งูเขียวเลื้อยเกาะเข้ามาบนแขน ยื่นหน้าเรียวยาวมาใกล้ จนเด็กหนุ่มเอนหน้าหนี

              “ข้าจะบอกท่าน...วิธีที่ท่านตามหา”

              ชั่วขณะนั้นหัวใจของพันตรีเต้นถี่ ความหวังงอกเงยขึ้นมาทันที เขาเกือบยิ้มออกมาแต่รักษาท่าทีเอาไว้

              “คุณพูดจริงหรือเปล่าล่ะ หากทำแล้วจะสำเร็จด้วยไหม”

              “อืม...ขึ้นอยู่ว่าท่านมีปรารถนาอย่างแรงกล้าหรือไม่ต่างหาก”

              “ได้ ผมจะเลี้ยงคุณ”พันตรีตัดสินใจ แค่เลี้ยงงูเขียวตัวเดียวคงไม่เป็นอะไร อย่างไรซะไวทินเป็นมิตรมากกว่าศัตรู และเขาไม่ถือว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์เลี้ยง

              “ข้าไม่ได้คิดเกินเลยกับท่าน เพียงแต่ว่าข้าไร้ที่ไป ...เพราะองค์เหนือหัวให้ข้าคอยตามท่าน พระองค์ยังมีเมตตา และข้าไม่อยากปล่อยให้ท่านคลาดสายตาไปไหนได้อีก”ไวทินเอ่ยอย่างจริงจัง พันตรีจึงโล่งใจขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาคิดเล็กคิดน้อยต่อตนเองก็ตาม แต่ก็อดเหลือเชื่อกับคำตอบของอีกฝ่ายไม่ได้

              “ถ้ามีเหตุผลแบบนั้น ผมก็ไม่ขัดหรอก”

              “อืม เข้าเรื่องที่ท่านต้องการจะดีกว่า ท่านต้องให้คำมั่นก่อนว่าจะทำเช่นนั้นจริง”ไวทินเอ่ยเสียงต่ำ

              “ผมอยากทำ อย่างน้อยขอเจออักษราภัคอีกครั้ง”เขาบอก มีเรื่องมากมายที่อยากบอกอักษราภัค ไวทินจ้องมองอยู่เงียบเชียบ


              “ท่านไม่ต้องทำพิธีบูชาใดหรอก...เพียงแค่ชำระบาปของท่านด้วยองค์เอง”ไวทินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พันตรีมองงูเขียวด้วยใจสั่นไหว มีบางอย่างในถ้อยคำนั้นที่ทำให้ไม่สบายใจ ..ล้างบาปงั้นเหรอ...ฟังแล้วรู้สึกลบกับประโยคนี้ขึ้นมาทันที พันตรีถามต่อ

              “ต้องทำยังไง”เด็กหนุ่มจะทำ ไม่สิ เขาต้องทำบางอย่างเพื่ออักษราภัคบ้าง งูเขียวเลื้อยลอดออกจากฝ่ามือของเด็กหนุ่ม หย่อนร่างลงพื้น จากนั้นก็ม้วนตัวเป็นขด ยื่นคอสูงระดับสายตาของพันตรีพอดี
           

       “ท่านแน่ใจนะว่าจะทำ...เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้”

              ฟังจากคำพูดกำกวมไม่เปิดเผยสักที ทำให้พันตรีคิดได้ว่าคงเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ก็อันตรายเกินกว่ามนุษย์จะทำงั้นสินะ แต่เขาอยากลงมือทำอะไรสักอย่าง นอกจากเอาแต่คร่ำครวญเหมือนคนไม่มีประโยชน์

              “ผมอยากมั่นใจ ว่าถ้าหากผมทำอย่างที่คุณบอก ผมจะเจออักษราภัคจริงๆใช่ไหม”เขาย้ำเพื่อให้แน่ใจ

              “ได้เจอแน่...การล้างบาปของท่าน กล่าวง่ายๆ ท่านมีนามว่าพันตรี เคยล่วงเกินทางวาจาและทางใจต่อองค์ศิวะหรือสามตรีมูรติบ้างหรือไม่ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ บาปของท่านจะส่งผลในชาตินี้ ไม่มีลูก เป็นโรคเรื้อน หรือโรคตา”คำอธิบายจากไวทินไม่ทุกข์ร้อน ราวกับสาธยายเรื่องอาหารการกิน

              “...ไม่แน่ใจ แค่คำตัดพ้อต่อสวรรค์เท่านั้นเอง”พันตรีบอก ฟังคำของไวทินแล้วรู้สึกกลัวและหัวใจหนาวเย็นขึ้นมา

              “นั่นล่ะ สามตรีมูรติเป็นผู้ปกครองสวรรค์ไม่รู้หรือ ”

              “ผมต้องทำยังไงล่ะ”

              “...การจะล้างบาปของท่านคือการต้องใช้วิธีเสพเมถุนแบบสำส่อน”

    ไวทินตอบด้วยความเรียบเฉย ทิ้งให้พันตรีตื่นตระหนกอยู่นาน สมองประมวลผลกับคำว่าเสพเมถุนและคำว่าสำส่อน เขาอึ้งไป ก่อนจะถอยตัวจากงูเขียวช้า ๆ ถ้อยคำของไวทินเอ่ยต่อไปเรื่อยๆ

              “ปกติต้องเป็นหญิงสาวที่ทำพิธี แต่ท่าน....เป็นเช่นนี้ก็คงทำได้ ไม่ใช่หรือ”

              “...ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ”เขาถามด้วยใจสั่นสะท้าน กัดปากแน่นจนเลือดซึม เขาแทบไม่เคบมั่วสมในเรื่องแบบนั้น อีกอย่าง...การส่ำส่อนเป็นเรื่องที่ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ

            งูเขียวหัวเราะเย็นชา

             “เห็นหรือไม่ ท่านไม่ได้รักอักษราภัคจริง เพราะเรื่องในอดีต ความรักมัวเมาจากชาติก่อน...ท่านที่เป็นมนุษย์ไม่เคยผ่านมือชาย...เว้นอักษราภัคไว้คน แต่นั่นไม่นับ ท่านต้องเสพเมถุนกับผู้อื่นอย่างสำส่อน หวังว่าท่านจะเข้าใจที่ข้าเอ่ยถึง หากไม่เข้าใจข้าจะอธิบายต่อ”

              พันตรีไม่อยากฟังต่อ เขาเงียบ ไม่เคยคิดว่าจะพลีกายให้ใครอื่นนอกจากอักษราภัค เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นที่นอนกับคนอื่นมั่วๆ ในใจมแต่ความลังเลและไม่กล้า

              “คุณเอ่ยจริงหรือ แน่ใจว่าจะทำให้ผมเจออักษราภัคอีก”

              “คิดว่าข้าโกหก ไม่จำเป็นต้องทำตามที่ข้าบอก”

              “แล้วพิธีบูชางูล่ะ ใช้ไม่ได้งั้นเหรอ”

              “นั่นก็แค่พิธีบูชางูโดยทั่วไปเท่านั้น ท่านจะทำเช่นนั้นก็ได้ แต่ไม่มีผลใดนอกจากองค์ศิวะรำคาญใจเท่านั้น”คำตอบของไวทิน ทำให้พันตรีคิดหนัก เขาปิดปากแน่น พยายามไม่คิดถึงเรื่องราวต่อจากนี้

              “องค์เหนือหัวไม่ต้องการให้ท่านใช้วิธีนี้...การที่อักษราภัคจะสามารถเข้ามาเมืองมนุษย์ได้นั้นต้องผ่านความเห็นชอบจากเบื้องบน เพราะเขามีมลทินติดตัว”

              พันตรีนิ่งเงียบ งูเขียวเลื้อยเชื่องช้าเข้าไปในนอนในกล่องงูใต้เตียงอย่างเชื่องช้า

              “ท่านสามารถคิดไตร่ตรองได้อีกหลายวัน แต่ต้องเสพเมถุนในวันขึ้นห้าค่ำ เดือนศราวณะ เดือนเก้าตามจันทรคติ นั่นคือเดือนสิงหาคม ต้องวันขึ้นห้าค่ำเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีผล”เสียงไวทินย้ำเตือน

             เขาอยากอาเจียน รีบผุดลุกเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็เร่งล้างหน้าหลายหน หยดน้ำเกาะพราวไปทั่วใบหน้าและลำคอ แววตาสะท้อนแต่ความหวาดกลัว ขึ้นห้าค่ำ ดูเหมือนว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า…

              พันตรีทรุดตัวลงกับพื้น เขาตัดสินใจลำบากนัก นึกภาพแบบนั้นไม่ออกเลย เขามีปรารถนาแรงกล้าที่อยากจะเจออักษราภัค อยากให้เขากลับมาหาอีกครั้ง เสียงหนึ่งในหัวผุดขึ้น ‘นั่นไม่ใช่การไปตายก็แค่เซ็กส์’ ‘ส่ำสอน ฉันไม่ใช่คนส่ำสอน’ ความคิดสับสนตีกันวุ่น เขาปวดศีรษะหนักขึ้น
     

              อยู่ๆภาพงูเลื้อยออกจากปาก งานปั้นของเขาฉายชัดขึ้น..คำโกหก เขาสะบัดศีรษะไล่ความคิด เขารักอักษราภัคเรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ หากสิ่งแปดเปื้อนนั้นสามารถตีค่าความรักของเขาได้...บางที...นั่นคือสิ่งที่ควรทำ แต่สิ่งเหล่านั้นจะชักล้างให้ออกได้หรือ...การทำแปดเปื้อนมั่วโลกีย์ล้างบาปจริงงั้นเหรอ ได้แต่นึกสงสัย มันไม่มีเหตุมีผลใดเลย

              ‘เพราะเขาทำผิด ล่วงเกินองค์ศิวะ’ เพราะเหตุผลเท่านี้เองหรือ พันตรีไม่มั่นใจ แต่ไม่อยากถูกดูแคลนว่าความรักของตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องจริง




              หลังจากที่ไวทินเข้ามาอยู่ในห้องของเขา เจ้าตัวไม่ได้วุ่นวายอะไรแค่อยู่เงียบๆ ไม่ค่อยออกมาให้เห็นหน้า ซึ่งพันตรีคิดว่าดีแล้ว เขายังทำใจเรื่องการเสพเมถุนอยู่ และวันนี้เป็นวันขึ้นห้าค่ำแล้ว พันตรีกระสับกระส่าย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก

              “ลิ้นชักนั่น ข้าแก้ให้ท่านแล้ว”ไวทินโผล่หน้าจากขอนไม้ออกมาพูด เด็กหนุ่มแปลกใจมาก รีบเข้าไปเปิดลิ้นชักออกดู  ด้านในมีหีบไม้ขนาดเท่ากล่องรองเท้า สลักลายไทยไว้ที่มุมกล่องทั้งสี่ด้าน พอยกออกมาแล้วปรากฏว่ามันหนักอึ้ง พันตรีวางลงกับพื้น พยายามหาทางเปิดหีบ เผื่อว่าเป็นของที่อักษราภัคทิ้งไว้ เขาตั้งความหวังเอาไว้มาก แต่เปิดไม่ออก เงยมองไวทินอย่างขอความช่วยเหลือ

              “อาคมไม่ยากนัก แม้ข้าจะมีอิทธิฤทธิ์น้อยนิดก็ตาม”เอ่ยเนิบนาบ เลื้อยออกจากกล่องงู เคลื่อนตัวมาที่หีบไม้

              จากนั้นพริบตาเดียวร่างของงูพลันเลื้อยหายเข้าไปตามช่องกุญแจน้อยนิด พันตรีอึ้ง ไม่คิดว่าการแก้อาคมจะเป็นเช่นนี้ ไม่นานเส้นสายสีเขียวพริ้วพราวก่อนจะโผล่ออกมาทางเดิม มีเสียงดังกริ๊ก ร่างของงูกลับมามีเนื้อหนังดังเดิม

              งูเขียวเลื้อยราบติดพื้นกลับเข้ากล่องงู ท่าทางเหมือนเหนื่อยล้า “เขาช่างมีน้ำใจต่อท่าน”งูโผล่มองจากกล่อง ก่อนจะผลุกหายไป

              พันตรีรีบเปิดหีบ กลายเป็นว่าข้างในมีแต่เพชรทับทิมจินดาเต็มไปหมด เขาหัวเราะออกมา อีกฝ่ายคิดว่าเขาอยากได้ของมีค่าจริงๆงั้นเหรอ หยิบมณีสีเหลืองออกมาดู ไม่มีกระจิตกะใจเอาของของอักษราภัคไปขายเลยแม้แต่นิดเดียว เขายิ้มเมื่อนึกถึงความจริงจังของงูเผือกตนนั้น พลันคิดถึงอีกฝ่ายมากขึ้น เขาเก็บมณี ปิดหีบยกเอาไปไว้ในลิ้นชักตามเดิม

              “ผมแค่เอ่ยเล่นไม่คิดว่าเขาจริงจัง”

              “เขาแค่ไม่อยากให้เจ้าอดยาก ของในหีบนั่นมาจากคลังสมบัติของเขา บ่อมรกตในถ้ำลับแลของอักษราภัค ท่านคงรู้”

              พันตรีจำได้ ที่นั่นมีของมีค่าเหล่านี้อยู่ เขายิ้มเศร้า ไม่ได้ต้องการของมีค่า จากนั้นเขาตัดสินใจเด็ดขาด

              “ผมจะทำ”พันตรีบอก แต่งูเขียวไม่โผล่ออกมา เด็กหนุ่มเข้าไปเลื่อนกล่องงูใต้เตียงออกมา เจองูเขียวนอนขดอยู่มุมกล่อง อีกฝ่ายชูคอตกใจ

              “เจ้าแน่ใจแล้วหรือ”

              “แน่ใจ”พันตรีย้ำ งูเขียวนิ่งค้าง

              “อืม ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมตัวซะ เจ้าเข้าใจการเสพเมถุนใช่หรือไม่”

              เด็กหนุ่มไม่คิดอยากฟังไวทินร่ายยาว “ผมรู้ เลิกย้ำเถอะ”

              “ไปที่ซ่องสิ อย่างน้อยต้องสามคน เป็นบุรุษหาใช่สตรี”

              พันตรีนิ่งไป แต่นั่นเป็นสิ่งที่คาดเดาไว้ “อืม...คุณจะไปด้วยหรือเปล่า”

              “ไม่...นั่นเป็นกิจของท่าน”งูเขียวเลื้อยเข้าไปในขอนไม้ปลอม หลบตัวอยู่ในเงามืด เด็กหนุ่มมองด้วยใจนิ่งสงบ เขายิ้มเยาะตัวเอง จากนั้นก็เลื่อนกล่องงูเก็บ จากนั้นแค่รอเวลาให้ฟ้ามืดลง

    .


    .


                   พันตรีไม่คิดว่าตนเองจะจนตรอกแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้จะคราคร่ำไปด้วยคนประเภทนั้นเต็มไปหมด แต่เขาก็เต็มใจเดินเข้าไปในซอยคาวโลกีย์ ตลอดทางเดินมีแต่ชายหญิงเข้ามาถามไถ่ต่อรองราคา เด็กหนุ่มเดินเข้าไปยังบาร์ที่อยู่เกือบท้ายซอย ในใจเต้นระส่ำ แต่ความกลัวคงมากกว่า เปิดประตูเข้าไป เห็นแสงสีด้านในแล้วก็ไม่คิดสนใจเท่าไหร่ เดินเข้าไปหาแม่เล้า...จะให้ถูกก็ต้องพ่อเล้านั่นแหละ เขาเคยโทรมาสอบถามเรื่องผู้ชายของที่นี่

                  “มาแล้วเหรอ...อยากไปที่ไหน ห้องของเราหรือว่าจะไปโรงแรม”ชายรูปร่างผอมสูง ผิวขาว ใบหน้ามีรอยยิ้มรับแขก พันตรีไม่กล้ามองไปทางอื่น เสียงดนตรีดังกลบเสียงหัวใจที่เต้นอย่างหวาดกลัว เขาพยักหน้า

              “ที่นี่นั่นแหละ แล้วเรื่องเด็กล่ะ”เขาถาม ชายหลังเคาร์เตอร์ผุดยิ้ม ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้

              “พี่เตรียมไว้ให้แล้วจ้ะ...แน่ใจนะว่าไหวน่ะ เหมือนเราจะไม่เชี่ยวเท่าไหร่”อีกฝ่ายมองหน้าอยู่นาน ใช้สายตาไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า พันตรีเม้มปากก่อนจะพยักหน้า
         
              “ตามนั้นนั่นแหละครับ”เขาบอก

              จากนั้นก็มีคนเดินนำไปยังชั้นสอง ที่เป็นทางเดินยาว แต่ล่ะบานประตูมีคนจับจองไว้แล้ว เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องตรงกลาง ชายที่เดินนำยื่นการ์ดให้ ก่อนจะขยิบตาอย่างทะเล้น พันตรีพรูลมหายใจยาว ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

              ภายในห้องเปิดไฟสว่างไว้ พอเดินพ้นห้องน้ำ เจอกับเตียงนอนสีขาว มีผู้ชายรูปร่างดี หุ่นเท่าๆกัน ทั้งสองคนพันผ้าเช็ดตัวไว้อย่างเดียว อีกคนหนึ่งเขาไม่เห็น ไม่ทันที่จะขยับปากถาม แรงกอดจากด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้ง

              “เดี๋ยวสิ”เขาร้องบอกไม่ทันได้เตรียมตัว แต่เหมือนว่าคนพวกนี้ไม่ฟังคำพูดเขา เข้ามารุมล้อม เข้ามาลูบคลำตามร่างกาย

              “ก็ทำตามที่อยากได้ไง พี่กรบอกว่าให้จัดเต็มได้เลย”ผู้ชายหน้าตาเข้มเอ่ย พันตรีขมวดคิ้ว จะดีดดิ้นไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะเขาเป็นคนเดินเข้ามาเอง เปิดห้องเองและจองตัวคนเหล่านี้ไว้  แม้ใจจะขัดแย้งรุนแรง อักษราภัคปรากฏในความคิดอีกครั้ง เขานิ่งปล่อยให้สามคนนั้นทำหน้าที่ไป เขาไม่ลืมตามองร่างเปลือยเปล่าของคนพวกนี้


              ‘ข้าไม่ผสมพันธุ์กับงูบนบกไปทั่วนะพันตรี’

              อยู่ๆคำพูดในตอนนั้นของอักษราภัคก็ดังในหัว พันตรีลืมตาขึ้น เขาคิดว่าตัวเองน่ารังเกียจเหลือเกิน หากว่าจบเรื่องแล้ว มันจะเป็นยังไงต่อกัน หากเจออักษราภัคแล้ว อีกฝ่ายจะยินดีที่เจอกับเขางั้นเหรอ… มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้ว อักษราภัคไม่มีทางยอมรับได้

              ‘การที่คุณคืน มันจะหมายความว่าคุณไม่รับของหมั้น งั้นผมก็เป็นอิสระจากคุณใช่ไหม’

              ‘ไม่ เจ้าเป็นของข้า’

              ‘ให้ข้ากอดเจ้านานขึ้นอีกหน่อย’

              ‘ข้ารอเจ้า และหวังว่าเจ้าจะรอข้า...ให้เจ้ามีข้าแต่เพียงผู้เดียว’


              ถ้อยคำของอักษราภัคพรั่งพรูอยู่ในหัวราวกับย้ำเตือนว่าเขาเป็นของใคร พันตรีผลักมือและใบหน้าของสามคนนี้ออกห่าง

              “พอ ไม่ต้องทำแล้ว!”เขารีบหนีจากวงล้อม พวกเขาส่งเสียงหงุดหงิด เข้ามาจับกอดไม่ยอมปล่อย พันตรีดิ้นหนีใบหน้าของอีกคน พอพ้นก็เจอเข้ากับปากที่เข้ามาเพื่อจูบ ร่างกายเริ่มเจ็บเมื่อพวกเขาล้วงเข้ามาปลุกเร้า

              พันตรีออกแรงมากขึ้น “บอกให้ปล่อยไง พอแล้ว ผมจะกลับ”เขาบอก นี่เป็นการซื้อขายหากเขาไม่ต้องการแล้วทำไมคนพวกนี้ถึงไม่หยุด

              “อะไรวะ ดิ้นอยู่ได้”

              “บอกว่าไปให้พ้น!”พันตรีร้องลั่น เมื่อแรงกระชากดึงให้ล้มไปกระแทกกับเตียงนอน คนพวกนี้หื่นกระหายจนน่ากลัว พันตรีถีบขาไปเต็มแรง

              “ไม่เอาน่า เดี๋ยวทำให้สนุกเอง อุตส่าห์จ่ายมาแล้วก็เอาให้คุ้มสิ”ชายผิวเข้มเข้ามากดจับที่แขน พันตรีมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าอีกสองคนเข้ามากดตัวเขาไว้

              “ก็แค่เอาเงินไป กูไม่เอาแล้ว ไม่ได้ยินเหรอ”เขามีโทสะ พยายามขืนตัวให้ลุก แต่ทำไม่ได้ แขนขาถูกจับกดไว้จนเจ็บ เขามองไปที่ทั้งสามคน ดูเหมือนว่าร่างกายจะพร้อมกันหมด แต่พันตรีไม่ต้องการ เขาตัดสินใจผิดพลาด ไม่น่าทำแบบนี้ ตัวเองต้องแปดเปื้อนไม่ใช่เพื่อการล้างบาปอะไรนั่น มันเป็นการดูถูกตัวเองและดูถูกความรักของอักษราภัคด้วย พอคิดเช่นนี้ทำให้เขาน้ำตาซึม กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไงกัน คิดจะนอนกับผู้ชายสามคนพร้อมๆกัน

              “เขาบอกให้พวกเจ้าหยุดไม่ใช่หรือ”เสียงทุ้มดังมาจากทางปลายเตียง พันตรีมองไม่เห็นแต่จำได้ว่าเป็นเสียงของไวทิน พันตรียิ่งดิ้น สามคนนั้นมองหน้ากันอย่างแปลกใจ คนที่กดต้นขาเขาไว้ หันไปมอง ไม่ทันจะได้ทำอะไรก็หงายหลังไปกองกับพื้น ทำให้เห็นผู้ชายรูปร่างสูงกำยำ สวมเสื้อสีดำทั้งตัว เป็นเสื้อผ้าชุดสูทแบบสมัยใหม่ เขาแปลกใจมาก

              “เฮ้ย เข้ามาได้ไงวะ”

              “ปล่อยพระโอรสซะ”

              สองคนนั้นหัวเราะ แต่แค่ไวทินยื่นมือเท่านั้น แสงทองเจือจางวูบขึ้นพริบตาเดียว ร่างของชายเปลือยทั้งสองกระเด็นหล่นจากเตียงทันที และแน่นิ่งไป พันตรีรีบกุลีกุจอลงจากเตียง เขาเผลอสะดุดผ้าห่มที่พันแข้งขาของตนเอง

              “พระองค์โง่งมถึงเพียงนี้เลยหรือ”เขาหันมาพูด พันตรีนิ่งงัน เนื้อตัวสั่นก่อนจะทนไม่ไหวทรุดนั่งลง สองมือปิดหน้าไว้แน่นราวกับไม่อยากเห็นภาพที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาส่ายหน้า เริ่มมีน้ำตาอีกหน

              “ผม...แค่อยากได้อักษราภัคคืนมาเท่านั้น! อยากทำอะไรเพื่อเขาบ้าง ไม่ใช่แค่ทำตัวอ่อนแอเอาแต่เพ้อถึงเขาอย่างเดียว!”พันตรีร่ำร้อง

              “ท่านเหมือนเดิม...เหมือนเดิมจนน่าเศร้านัก องค์อภันตีก็โง่งมเช่นนี้ เพราะเขามีรัก มีแต่รัก...แต่ไม่เหลือใจเอาไว้ไตร่ตรองสิ่งใด”เสียงของไวทินเรียบเฉยราวกับว่ากำลังสั่งสอนไปด้วย คำพูดเหล่านั้นยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกแย่

              “ผมไม่มีอาคม ไม่มีอะไรทั้งนั้น! เป็นแค่มนุษย์โง่ๆไง คุณบอกเองนี่ว่าทำแบบนี้แล้วผมจะได้เจออักษราภัค! แล้วทำไมต้องมาต่อว่าผมด้วย”เขาเงยมองคนตรงหน้า ยังคงไม่ลุกยืนไปไหน เขาตัวสั่นทั้งโกรธทั้งหวาดกลัวไม่หาย

              “ข้าหลอกท่าน”

              คำพูดเดียวของไวทินทำให้พันตรีชะงักค้าง หัวใจหล่นโครม ไม่เหลืออะไรให้งอกเงยได้อีก นั่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน หันมองไปที่ผู้ชายที่ไม่มีสติแล้วเลื่อนสายตามองไวทิน จึงเข้าใจเรื่องราว  เด็กหนุ่มปล่อยน้ำตาไหลลงอาบแก้ม

              หมายความว่าเขาเป็นคนโง่ และเป็นคนน่ารังเกียจ แม้ว่าตนเองไม่ถือคติเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่การที่เขาตัดสินใจทำตัวสำส่อนเช่นนี้มันเหมือนตอกย้ำว่าเขาไม่มีค่าอะไร ขนาดคนที่เคยเป็นสหายในกาลก่อนยังไม่เห็นค่า หลอกกันได้หน้าตาเฉย อีกฝ่ายเห็นเป็นเรื่องสนุกงั้นเหรอ

              “ทำไม...หลอกกันทำไม คุณ...ต้องการอะไร ต้องการอะไรจากผม!”พันตรีตะโกนใส่ กำมือแน่น เขาอยากหาที่ระบายอารมณ์ จึงได้แต่ทุบพื้นห้องอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมีเพียงความโกรธที่อัดแน่น เขาอยาทำร้ายไวทินแต่รู้ดีว่าทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้

              “ข้าอยากรู้ว่าท่านจะทำทุกวิถีทางหรือไม่ เช่นวิถีทางนี้ หากท่านทำจริง มันช่วยให้บาปของท่านลดลงได้จริง แต่ท่านต้องโสมม และข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกอักษราภัคให้เขาตรอมใจไปเสีย”ไวทินเอ่ยอย่างเย็นชา  พันตรีมองคนตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็น อะไรกัน ทำไมไวทินถึงเป็นคนเช่นนี้

              “คุณกลียดอักษราภัคเหรอ เขาทำอะไรให้คุณ”

              “ไม่ได้ทำอะไร….เพียงแต่ว่า...ข้าเป็นสหายของท่านมานาน และติดตามท่านมานานเช่นกัน คิดดูแล้ว...องค์เหนือหัวให้ข้ามาคอยระวังให้ท่านอยู่ห่างๆ ข้าได้แต่นึกสงสัย หากเป็นข้าที่มาดูท่านเอง ในวันนี้ข้าคงได้สหายกลับคืนมา เรื่องคงต่างจากนี้นัก”ไวทินเอ่ย ก้มมองมาที่เด็กหนุ่มด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก พันตรีไม่เข้าใจ อีกฝ่ายเอ่ยเรื่องเหล่านี้ได้หน้าตาเฉย ไม่เหมือนไวทินในอดีตแม้แต่น้อย

              ราวกับว่าอ่านความคิดเขาออก ไวทินยิ้มเยาะก่อนจะเอ่ยต่อไปเรื่อยๆราวกับท่องหนังสือ

              “ข้าเป็นสหายของท่าน ข้าเห็นท่านมาแต่เกิด ข้าเพียงอยากได้ความไว้ใจจากองค์เหนือหัว และจากท่าน...แต่มันไร้ประโยชน์ อภันตีไม่กลับมาอีกแล้ว ข้าเสียสหายไปตลอดกาล”

              พันตรีพูดไม่ออก ไวทินต้องการอภันตีกลับมา แต่สุดท้ายทำไม่สำเร็จ สำหรับเจ้าตัวแล้วเขาคงเป็นมนุษย์ที่เก็บดวงจิตของอภันตี สหายของตัวเองเพียงเท่านั้น

              “แล้วไงล่ะ ตอนนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ความจริงคือมันเหลือแค่ผมเท่านั้นที่ยังอยู่”พันตรีสงบสติอารมณ์ขณะลุกขึ้นยืน ไม่ชายตามองไปที่ชายสามคนนั้นอีก เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองโดนจับต้องไปมากจนน่าละอาย ทั้งจากไวทิน ตนเองและต่ออักษราภัค ทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์อะไร ไวทินหลอกลวงเขา อีกฝ่ายจิตใจทำด้วยอะไรกัน เด็กหนุ่มเงยมองคนตรงหน้า เกิดความเงียบระหว่างเขากับไวทิน เจ้าตัวมีสีหน้าแปลกประหลาด สายตาหม่นเศร้าขึ้นมาชั่ววูบ

              “คุณไปตามทางของคุณเถอะ ไม่ต้องมาดูแลอะไรผมหรอก ตอนนี้ไม่มีเรื่องให้ต้องมาป้องกันแล้วไม่ใช่เหรอ ไปบอกท้าวปุณมนัสด้วยว่าไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก ต่างฝ่ายต่างอยู่ เลิกทำร้ายอักษราภัคเถอะ ผมขอร้อง”พันตรีเอ่ยช้าๆ รู้สึกหัวใจคล้ายมีเข็มทิ่ม เขาเสียความรู้สึก เพียงเพราะไวทินอยากทดสอบ หากเขาทำจริง ไวทินก็จะเอาเรื่องคาวๆไปบอกอักษราภัค
    ไวทินไม่พูดอะไรเพียงแค่มอง

              “ถ้าหากว่าการที่คุณไปมาเมืองมนุษย์ได้ง่ายนัก บอกอักษราภัคสิว่าผมรอเขาอยู่ บอกให้เขากลับมา”พันตรีเอ่ยต่อด้วยท่าทีนิ่งเฉย อยากเจออักษราภัคจริงๆ ในโลกนี้นอกจากย่าคงไม่มีใครดีเท่าอีกฝ่าย

              “...ข้า”ไวทินมีสีหน้ายุ่งยากใจ ความลังเลปรากฏในแววตา ยิ่งทำให้พันตรีคาดคั้นมากขึ้น

              “ทำไมล่ะ จะไม่บอกงั้นเหรอ…”พันตรีรู้สึกโกรธ ไม่อาจเชื่อคำพูดของไวทินได้อีกแล้ว สิ่งไหนจริงหรือเท็จ ไวทินเพียงแค่จ้องมองเท่านั้น จนพันตรีเริ่มหงุดหงิด

              “ตกลงแล้วอักษราภัคสามารถมาหาผมได้หรือเปล่า ปั่นหัวผมไปแล้วได้อะไร”

              “ไม่ต้องทำสิ่งใด... แค่ท่านทำพิธีบูชางูตามปกติ”ไวทินบอกช้า ๆ กวาดสายตามองหน้าเขาไปด้วย พันตรีกำมือแน่น เขามองไปที่ชายสามคนที่นอนนิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เกือบไปแล้ว หากไวทินไม่เข้ามาช่วย เขาคงพลาดท่า กระทำแบบนั้นขึ้นมาจริง เขาไม่อาจรับผลของมันได้

              พันตรีเหวี่ยงหมัดใส่ไวทิน การกระทำของเขาไม่รวดเร็ว หากไวทินจะหลบย่อมทำได้แต่ เขายืนนิ่ง ปล่อยให้หมัดของเด็กหนุ่มกระทบหน้าเต็มแรง อีกฝ่ายไม่ไหวเซ แค่ยืนนิ่ง จ้องตาพันตรีที่หายใจแรง

              “ไปให้พ้น! ไม่ต้องมาโหยหาสหายอะไรทั้งนั้น คนอย่างคุณ อภันตีไม่นับว่าเป็นสหายหรอก คิดว่าเขาอยากคบเป็นเพื่อนกับคุณงั้นเหรอ!”พันตรีพูดเสียงดังตามอารมณ์

              ใช่ อภันตีไม่คิดคบกับไวทินที่คิดอ่านไม่บริสุทธิ์ เด็กหนุ่มรีบเดินหนีออกจากห้องโสมมแห่งนี้ เขาวิ่งออกจากร้าน โดยไม่มองหน้าใครทั้งนั้น

             พันตรียังคงรังเกียจการตัดสินใจของตัวเองไม่จางหาย เด็กหนุ่มร้องไห้อยู่สักพัก จนผ่านไปดึกดื่น เขาถึงกลับหอพัก เดินไร้เรี่ยงแรงกลับเข้าห้อง ภายในห้องเงียบกริบ เขาเปิดไฟ เดินตรงไปในห้องน้ำ ขังตัวเองไว้อยู่นาน จ้องมองกระจกอีกครั้ง

              พันตรีอีกคนมองสะท้อนมา ผมเผ้ายุ่งไม่เป็นระเบียบ ปากบ่วมเจ่อ ที่แขนมีรอยมือ ไม่นับคราบน้ำลายที่มองไม่เห็นจากพวกนั้นอีก

              เด็กหนุ่มรีบถอดเสื้อผ้าออก เขาอาบน้ำชำระร่างกาย แม้ว่าไม่ได้โดนจับต้องมาถึงข้างใน แต่ความรู้สึกนั้นยังไม่จางหาย เขาไม่ได้โดนข่มขืน แต่ก็ไม่ได้เต็มใจ แม้จะจ่ายเงินออกไปเอง...โทษใครได้ ไวทินไม่ได้เอามีดมาจ่อตอนที่เขาขอซื้อผู้ชายสามคนนั้น

              มันเป็นเพราะเขาเองนั่นแหละ ที่จิตใจเหลาะแหละ คิดเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้อักษราภัคกลับมาได้ ทำไมเขาถึงโง่เชื่อด้วยนะ

              ถึงจะผ่านมาได้ พันตรียังคงไม่ยอมยกโทษให้ไวทินอีก เขามองคราบฟองสบู่ที่ไหลงพื้นช้าๆ ด้วยใจด้านชาขึ้นมา หรือว่าเขาควรพอ… อักษราภัคจะไม่โกรธใช่ไหม หากเขาเลิกหาวิธีติดต่อกับอีกฝ่าย เด็กหนุ่มไหล่ตก ปล่อยให้สายน้ำชำระสิ่งสกปรกออกไปจนหมด

              กว่าที่พันตรีจะออกจากห้องน้ำก็ผ่านไปสองชั่วโมง เด็กหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำกับนั่งเหม่อ จนกระทั่งได้สติจึงเดินออกมา ในห้องไม่มีสิ่งชีวิตใดแล้ว เขาแต่งตัวเสร็จ ลากกล่องงูออกไปทิ้ง แล้วกลับมาทิ้งตัวนอนลงเตียง หยิบกำไลออกมาลูบคลำ อยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมา


              กึก

              เสียงหล่นจากชั้นหนังสือดังขึ้น พันตรีเช็ดหน้า มองไปที่มาของเสียง เป็นสมุดสเก็ตเก็บผลงานของเขาเอง เขาจ้องอยู่นานก่อนจะเหลียวมองไปรอบห้องอย่างตื่นตัว มันหล่นมาได้ยังไงกัน

              “ใช่อักษราภัคหรือเปล่า ...”เขาเอ่ยถามไปแบบนั้น

              เขาหวัง

              เด็กหนุ่มเดินลงเตียง เดินไปหยิบสมุดสเก็ตขึ้นมา ทว่ากลับชะงัก ก่อนจำได้ว่าเขาดรออิ้งภาพของอักษราภัคไว้ เขาค่อยๆเปิดไปดูภาพดังกล่าว เป็นภาพของอักษราภัคนอนเท้าแขนกับพื้นหญ้า ดวงตาเป็นประกายสดใส มีรอยยิ้มแพรวพราว อีกฝ่ายกำลังอารมณ์ดี เขายิ้มออกมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

              เขาก้มมองรอยบางอย่างที่เหมือนนูนมาจากกระดาษ มันซ้อนทับกับหน้ากระดาษอีกฝั่ง พันตรีรีบพลิกหน้ากระดาษทันที หัวใจพลันเต้นแรง เขาแทบร้องดีใจออกมา

            อักษราภัคเขียนข้อความถึงพันตรี

            ‘ถึง พันตรีของข้า

             ตอนที่ข้าเขียนจดหมายนี้ถึงเจ้า เพลานั้นข้าอาจจะมีเจ้าอยู่ข้างหาย หรือหนทางสุดท้าย ข้าอาจไม่มีเจ้า แต่ข้ารู้ใจเจ้า เจ้าจะยอมสังเวยตนเอง ข้าไม่ปรารถนาเช่นนั้นเลยพันตรี เพราะข้ามีรักต่อเจ้ามากเกินไป ทั้งรักอภันตี และตัวเจ้า...เข้าใจข้าใช่หรือไม่ว่าข้าไม่สนใจว่าดวงจิตเป็นผู้ใด ขอแค่ให้ได้อยู่กับคนที่รัก ซึ่งคือเจ้า...พันตรี…

              ข้าอาจไม่มีเจ้า หากวันนั้นมาถึง เจ้าอย่าเสียใจ ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถอยู่ได้โดยไม่มีข้า เจ้าเป็นคนเข้มแข็ง อย่าหาหนทางเพื่อเจอข้า เจ้าอาจกำลังทำเรื่องไม่ดี

              หนทางสุดท้ายที่เจ้าจะทำได้ คือการขอพรให้ข้า...พิธีกรรมใดที่เจ้าทำนั้นบรรลุผลหรือไม่ ข้าจะรู้เอง เพียงแต่อย่าไว้ใจไวทินมากนัก ข้าไม่รู้ว่าเขาคิดต่อเจ้าเช่นไร ทั้งกับอภันตีหรือพันตรี แต่คาดเดา...ว่าเขาเองเสียใจมากเช่นกันที่ไม่อาจช่วยอภันตีในวันที่โดนชิงมณีไป เขามาช้าและพบว่าอภันตีเหลือดวงจิตเสี้ยวเดียว...เขาเป็นสหายของเจ้าของอภันตี คงมีความผูกพันเช่นกัน ไม่แปลกที่เขาจะคิดอ่านแปลกไป
       
               ดังนั้น หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง เจ้าไม่ต้องคิดว่าข้าติดค้างอะไรเจ้า ข้าเลือกเอง หาใช่การบังคับ ข้าเจ็บก็เพราะลงมือเอง ข้ายอมรับในชะตา
               
               และขอสารภาพต่อเจ้า...อภัยให้ข้าด้วย ขอโทษ ข้าโป้ปด

               เราสองไม่มีชะตาสมพงษ์กัน มันขาดมาตั้งแต่อภันตีตายจากข้าไปแล้ว...แต่ข้าพยายามเชื่อว่าชะตาสามารถผูกต่อกันได้ใหม่ หากฟื้นคืนอภันตี แต่เปล่าเลย ชะตายังคงเดิม ดวงดาวบอกว่าข้าจะเสียเจ้าไป แต่ไม่ตลอดกาล

                ข้ายังมีความหวังเสมอ หากเจ้าหมดหนทาง จงกลับไปอยู่กับหญิงชรานางนั้นเสีย ที่นั่นปลอดภัยมีบริวารคอยดูแลเสมอ ส่วนเรื่องไวทินเป็นเหตุสุดวิสัย เป็นอีกเรื่องที่ข้าละอายใจนัก ข้ารู้มาก่อนว่าย่าของเจ้าโดนไวทินกัด

               ข้าขอโทษ รักเจ้าเสมอ…
               จากอักษรา...  ลืมไปอย่าง รู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดชื่อของตัวเอง
               โปรดรอข้า คงไม่เนิ่นนานถึงร้อยปีหรอก ไม่ให้เจ้าแก่หงอกหง่อมเป็นแน่’


               ลายมืออักษราภัคอ่านยาก แต่พันตรีเข้าใจในทันที พออ่านจบเขายืนนิ่งงัน ราวกับโดนกระแทกอัดที่ใบหน้า เขาก้มมองลายมือขยุกขยิกของอักษราภัคอีกครั้ง อ่านซ้ำให้มั่นใจ ...อักษราภัคจะรู้หรือไม่ ว่าเขาทำอะไรลงไป

              การรอคอยมันยาวนาน แต่ไม่เป็นไร หากอักษราภัครอได้ พันตรีก็รอได้ เขามีความหวังเสมอ และปรารถนาให้ความหวังเป็นจริง




    [Talk]


    รูปกำไลลักษณะจะเป็นแบบนี้ เผื่อใครนึกภาพตามไม่ออก ว่าจะเอามาแปะนานแล้วแต่ลืมทุกทีค่ะ 


    ถือว่าเราได้อยู่กับพี่งูนานขึ้น เรื่องนี้อาจยืดไปอีก
    เรื่องราวทั้งหมดนี้ เราคิดนานเหมือนกันนะ แต่ตัดสินใจใช้ไม้นี้ ซึ่งตามความเชื่อของการบูชางูมีหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องเสพเมถุน ทั้งเรื่องบูชางูของพราหมณ์ เราเอามาผูกให้เข้ากับเรื่อง
    ตอนนี้พี่งูค่าตัวแพงจ้ะ ยังไม่ออก อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ ต้มมาม่ารอซดได้เลย (โดนตี)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×