ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ 17 แลก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 757
      46
      22 พ.ย. 63

    บทที่ 17 แลก


    พันตรียังคงอยู่ที่บ้านของย่า หลังจากที่ส่งไวทินกลับไปยังแดนนาคา อีกฝ่ายให้เขาอุ้มมาส่งที่ลานน้ำตก คืนนั้นฟ้ายังคงมืดครึ้ม


    “ขอให้โชคดีก็แล้วกัน”เด็กหนุ่มไม่รู้จะอวยพรอะไรจึงเอ่ยเหมือนเดิม จากนั้นก็วางร่างของงูเขียวลงกับริมตลิ่งธารน้ำตก งูเขียวหันมองนิ่ง ๆ

    “ขอให้เจ้าสมปรารถนา”อีกฝ่ายตอบกลับมา เขาจ้องมองดวงตาสีเหลืองอยู่นานจากนั้นก็พยักหน้า เดินถอยหลังเพื่อกลับไปทางเดิม “หากว่าโชคดี ข้าอาจได้พูดคุยกับท่านอีก”ไวทินพึมพำ ทำให้พันตรีหยุดเดิน เหลียวไปมองทางด้านหลัง ก็พบว่าไร้ร่างของงูเขียวแล้ว มีแต่เสียงน้ำไหลเบาๆ เด็กหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน

    ช่วงปิดเทอมราวกับว่ายาวนาน พันตรีไม่ได้ทำอะไรนอกจากคอยฝึกมือวาดภาพ อ่านหนังสือฆ่าเวลา ยิ่งไม่มีอะไรให้ทำเขายิ่งคิดถึงอักษราภัค ป่านนี้เจ้าตัวจะเป็นเช่นไรบ้าง คำบอกเล่าของไวทินทำให้เขากังวลใจ หยิบกำไลออกมาลูบสัมผัสอยู่ตลอด บางครั้งเขาก็เผลอพูดกับกำไลอย่างลืมตัว

    พันตรีออกไปตัดกระเพราที่สวนหลังบ้าน ย่อตัวตัดมาสองกำมือ เขาสะดุ้งเมื่อเห็นงูทางมะพร้าว มันชูคออยู่ตรงริมรั้ว เด็กหนุ่มเหลียวมองไปทางชั้นบน ทางสะดวกจึงเดินเข้าไปหา

    “มีอะไร”เขาถาม งูทางมะพร้าวแค่สายหน้า แลบลิ้นออกมาอย่างเดียว พันตรีมองดวงตาสีดำของมันอย่างงุนงง

    “มีอะไรว่ามาสิ”พันตรีถามซ้ำ งูทางมะพร้าวเลื้อยวนเวียนอยู่หน้าประตู เด็กหนุ่มผลักประตูออกไป

    ก่อนจะนั่งลงตรงหน้างูสีน้ำตาล มองด้วยความสงสัย เขาได้ยินแต่เสียงขู่ฟ่อๆ เสียงลมจากในลำคอของงูเท่านั้น ท่าทางดูจะหงุดหงิดขึ้นมา

    “อะไรเนี่ย ฟังไม่รู้เรื่องเลย”พันตรีย่นหน้า งูทางมะพร้าวส่ายคอ ถอยกลับไปราบกับพื้น แต่ยกหัวขึ้นมาเล็กน้อย ยังคงทำเสียงฟ่อแฟ่ออกมา

    “นี่...”ฉับพลันเด็กหนุ่มชะงักไปก่อนที่จะชาไปทั้งร่าง เขาอึ้งไปเล็กน้อย หรือว่า...เขาจะไม่สามารถสื่อสารกับงูได้อีก พันตรีก้มมองงูตรงหน้าอีกครั้ง

    “คุณเข้าใจผมพูดหรือเปล่า”เขาถาม งูทางมะพร้าวผงกหัวขึ้นลง เด็กหนุ่มจึงเข้าใจ ในตอนนี้เขาฟังคำพูดของงูไม่รู้เรื่องอีกแล้ว อยู่ๆเหมือนว่าบางอย่างมันปลิวหายไป ใจนึกถึงอักษราภัคขึ้นมา

    “เมื่อวันก่อนยังดีๆอยู่เลย ผมยังคุยกับงูเขียวได้เลยนะ”พันตรีพึมพำกับตัวเอง งูทางมะพร้าวมอง จากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วม้วนตัวเลื้อยกลับไปยังป่าดังเดิม เด็กหนุ่มมองตามงูไปด้วยสายตาหม่นหมอง

    “ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าออกมาเพ่นพ่านอีกนะ เดี๋ยวจะเจ็บตัวเอา”เขาบอกไล่หลัง งูทางมะพร้าวหันมองชั่วครู่แล้วเลื้อยหายไปทางลานน้ำตก พันตรีได้แต่ยืนซึมอยู่กับที่ แล้วหนหน้าเขาจะสื่อสารกับงูเผือกได้อย่างไรกัน อักษราภัคก็ใช่ว่าใช้ร่างมนุษย์ได้ตลอดวัน

    เด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีเมฆลอยต่ำ สีดำทะมึน

    หรือนี่คือสิ่งที่เขาต้องแลกหรือเปล่า... ไม่สามารถพูดคุยกับงูหรือเข้าใจพวกงูได้อีกแล้ว

    ฉับพลันเขาก็เข้าใจ ถึงเวลาที่เขาต้องตามหาอักษราภัคบ้าง อีกฝ่ายคงมายังเมืองมนุษย์แล้ว เด็กหนุ่มไม่รู้สึกถึงความคุ้นเคยจากกำไลอีกเลย เขานึกเสียใจอยู่ไม่นานนัก จึงเร่งเดินกลับเข้าบ้านไปเพราะหายออกมานานแล้ว

    ขณะเดียวกันคำพูดสุดท้ายของไวทินผุดเข้ามาในหัว ‘ถ้าโชคดี คงได้พูดคุยกันอีก’

    อีกฝ่ายรู้อยู่แล้วงั้นเหรอว่าเขาจะต้องสูญเสียความสามารถในเรื่องนี้ไป ไวทินยังคงจะมาคุยกับเขาอีกงั้นเหรอ

    พันตรีไม่เข้าใจฝ่ายนั้นเลยจริงๆ

    ช่วงปิดเทอมน่าเบื่อเกินกว่าที่พันตรีจะทนอยู่ที่นี่ได้ เขากลับมาหอพักก่อนกำหนดการสองสัปดาห์ เด็กหนุ่มบอกลาย่า เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น  

    “ตรีมีสิ่งที่มีค่าอยู่แล้ว อย่ามองข้ามเด็ดขาด”

    แม้เขาจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็รับคำ เขาบอกให้อีกฝ่ายระวังเรื่องงูเรื่องสัตว์มีพิษชนิดอื่นด้วย เขาไม่แน่ใจว่าหลังจากกลับไปเรียนต่อแล้วพวกงูยังจะฟังคำของเขาอยู่หรือไม่


    .
    .

    พันตรีกลับเข้ามาในห้องอันคุ้นเคย ก่อนจะเดินไปดูที่ตู้เสื้อผ้า เขาดึงลิ้นชักออก หยิบหีบออกมา ทว่าเขารับรู้ถึงน้ำหนักที่เบากว่าเดิม เขารีบเปิดออก พบว่าในนั้นไม่เหลือมณีเพชรพลอยอีก เด็กหนุ่มถอนหายใจ คงเพราะว่าอักษราภัคเลือกทิ้งแดนนาคา ของมีค่าเหล่านี้คงไม่สามารถคงอยู่ได้อีก


    พันตรีเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เว้าวอนของมีค่ามากนัก เขาหยิบกำไลแขนกับรัดเกล้าของอักษราภัคเข้ามาใส่ในหีบแทน จากนั้นก็หยิบผ้าไทยที่ซื้อให้อีกฝ่ายมาพับเก็บในลิ้นชัก

    คราวนี้เหมือนกับว่าพันตรีว่างเปล่าจริงๆ

    หลังจากที่พันตรีเข้าเรียนเทอมใหม่ได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ ป้าจิตบอกเขาว่าเจ้าของหอพักกำลังมารื้อเคลียร์ป่าทางหลังออกเพื่อสร้างหอพักใหม่ เขาแปลกใจมาก ได้แต่เมียงมองไปทางหลังหอพัก ช่วงนี้เขาไม่เห็นงูที่ไหนมาป้วนเปี้ยนอีกเลย เงียบหายไปจนน่าประหลาดใจ

    “สงสัยไม่อยากปล่อยให้รก ป้าว่าก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ไม่เป็นที่สุมของยุงกับพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขออีก อันตรายถ้ามากัดคนเช่าน่ะ”

     “แล้วพวกงูสีเผือกแถวนี้หอพักบ้างหรือครับ”เขากลั้นใจถาม ป้าจิตเงยมองอีกครั้ง

    “อย่าว่าแต่งูเผือกเลยตรี ต่อให้เป็นงูเขียวงูดำป้าก็ทุบหมดล่ะจ้ะ กลัวมากัดไอ้ปิงเอา”

    “ผมเคยเลี้ยงงูเอาไว้ มันหนีไปแล้วผมยังตามหาไม่เจอ แต่ไม่ดุหรอก เป็นงูเลี้ยง”เขาเอ่ยออกไป ป้าจิตทำหน้าเหลือเชื่อ

    “งูเนี่ยนะ ตรีก็แปลก หมาแมวไม่เลี้ยง งูสีเผือกเหรอ โอย แถวนี้ถ้าเจอหลุดไปนะคงเอาแห่รอบเมืองแหละจ้ะ”เธอเอ่ยติดตลกหัวเราะเสียงดัง พันตรีกระตุกยิ้ม พยายามไม่คิดในแง่ลบ

    “....ป้าล้อเล่น ไม่ต้องคิดมากหรอก ลองไปดูด้านหลังหรือยังล่ะ”

    “ไม่เจอเลยครับ”พันตรีตอบ ป้าจิตไม่ตอบอะไร หันไปมองทางหน้าร้าน ลงมือหั่นผักต่อ เด็กหนุ่มหมดหนทาง คงได้แต่รอให้อักษราภัคมาหาเอง ในใจประท้วงอย่างดุเดือดเหมือนว่าเขาไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย


    เทอมนี้พันตรีพยายามไม่วอกแวกอีก เพราะไม่อยากให้เกรดตก ปีสามเป็นปีที่ยากในการจะขยับเกรดเฉลี่ยให้เพิ่มขึ้น เพราะรายวิชาแต่ละตัวเริ่มแยกออกไปเป็นความถนัดเฉพาะทาง เด็กหนุ่มออกมานั่งที่ร้านกาแฟให้สมองปรอดโปร่ง เขาเลือกโต๊ะนั่งทางด้านนอกเพื่อรับลมเย็นๆ ระหว่างนั้นนนท์ก็ออกมาหา เข้ามานั่งข้างๆ ก่อนจะยื่นหน้ามอง


    “เฮ้อ ยังไม่หายเศร้าอีกเหรอ”

    “...ทำไงได้ล่ะ”เขาพึมพำ เลื่อนแก้วอเมริกาโน่มาดื่มช้าๆ อีกฝ่ายเท้าแขนมองคิ้วขมวดมองอยู่เงียบเชียบ พันตรีหันมองคนข้างๆด้วยสายตาเรียบเฉย จนกระทั่งความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา จำได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในแวดวงของการซื้อขายงู พี่ชายของนนท์เป็นหุ้นส่วนกับฟาร์มงู
    เขาลองเสี่ยงคุยกับนนท์เรื่องงูเผือก 

    “ถ้าเกิดว่าเราจะตามหางูสักตัวมันต้องเริ่มจากที่ไหนดีวะ”เขาถามไปเหมือนว่าไม่ใส่ใจนัก

    “มึงตามหางูเหรอ ทำไมวะ?”อีกฝ่ายมีสีหน้าสงสัย เขาไหวไหล่ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย  

    “สมมติว่ากูตามหางูสักตัว จะหาจากที่ไหน มึงพอรู้แหล่งไหม”

    พันตรีถามออกไป แม้รู้ดีว่าการตามหาอักษราภัคเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร นนท์ถึงกับอุทานออกมา

    “ยากว่ะ งูอะไรล่ะ งูพันธุ์สำหรับเลี้ยงหรืองูในป่าขนาดหมาแมวหลงยังตามหาไม่ง่ายเลยนะ ทำไมวะ งูหายเหรอ”

    “...เปล่า แต่กูแค่อยากตามหางูสีเผือกดู”

    “อืม....ตกลงเรื่องจริงหรือสมมติกันแน่”นนท์ถามกลับมาอย่างกังขา เขาเงียบก่อนจะระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ใจจริงเขาอยากบอกเล่าเรื่องของอักษราภัคให้นนท์ฟังบ้าง เขาอยากมีคนให้พูดคุยปรึกษาด้วย

    แต่อีกฝ่ายจะคิดว่าเขาเพี้ยนมากกว่า

    “เอาเป็นว่าถ้าเจองูสีเผือก ช่วยบอกหน่อยได้ไหม”พันตรีบอก

    “พันธุ์อะไรล่ะ”

    คำถามนี้ยากสำหรับเขาอีกแล้ว อักษราภัคไม่มีรูปลักษณะคล้ายกับงูชนิดไหนเหมือนมีความพิเศษที่เกล็ดและลักษณะลำตัวและรูปหาง

    พันตรีได้แต่ส่ายหน้า นนท์ถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ


    “เอาจริงดิ ถ้างูในป่าในธรรมชาติ มึงฝันไปเถอะ ชาตินี้คงเจอหรอก แต่ถ้าอยากได้งูสีขาวจริงๆ ไม่เอางูคอร์น หรือบอลล่ะ หรืออยากได้ไอ้เหลือมไอ้หลาม แต่แพงฉิบ”


    พันตรีจำต้องส่งรูปของอักษราภัคให้อีกฝ่ายดู เขาเลื่อนโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่าย เจ้าตัวรีบก้มลงมามอง ก่อนจะกดซูมไปที่หน้าเรียวมนของงูเผือก จากนั้นก็ซูมไปที่เกล็ดของงู สีหน้ามีประกายตื่นเต้น

    “เออ งูแปลกจริงๆด้วย อาจจะใกล้เคียงงูสิง แต่ตัวใหญ่กว่า สวยกว่า เกล็ดเรียบมันวาว ดูไม่เหมือนจะพบเจอในบ้านเราเลยนะ เอามาจากไหนวะ”นนท์เงยหน้ามอง สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เขาไหวไหล่

    “ญาติเอามาให้น่ะ”

    “สรุปคืองูหลุดไปสินะ”

    “ใช่ หายไปเลย”พันตรีตอบเสียงเบาหวิว เหมือนว่าตอกย้ำลงไปอีก

    “ยาก ถ้ามีคนเจอจริงๆล่ะก็ ไม่เลี้ยงไว้เอง ก็คงถูกจับไปขายให้เศรษฐีแน่ งูแบบนี้พวกคนชอบของแปลกอยากได้กันตรึม”ถ้อยคำของนนท์ทำให้เขาพูดไม่ออก

    “จะไม่ถูกทำร้ายใช่ไหม”

    “โอ้ย ไม่หรอก แทบบูชาเลยมั้ง ถ้ามีคนเจอจริงๆอาจบอกว่าเป็นเจ้าแม่นาคีนะเว้ย เหมือนงูเห่าขาวไง”อีกฝ่ายเอ่ยเหมือนจะหัวเราะออกมา พันตรีอยากจะขำตาม แต่ได้แค่ยิ้มเจื่อน

    “...เพศผู้น่ะ”

    “อ้าวเหรอ ฮ่าๆ โทษที แต่ก็นั่นล่ะ งูแปลกๆขายได้ราคาดี”นนท์หุบยิ้ม เมื่อเห็นว่าเขาไม่สนุกด้วย

    ”ไม่มีทางเจอเลยใช่ไหม”

    “อืม...เอาตามตรงนะ ถ้าหลุดมาจากห้องมึง ป่านนี้ไม่อยู่ไหนก็ไม่รู้ อาจเข้าป่าไปแล้วก็ได้ ถ้าไม่โดนรถเหยียบนะ”อีกฝ่ายตอบมาไม่ถนอมน้ำใจ พันตรีจึงหัวสมองว่างเปล่าไม่ได้พูดคุยกับนนท์อีก

    รู้สึกหวั่นใจไปหมด คราวนี้เด็กหนุ่มไม่สามารถพูดกับใครได้ หากบอกความจริงนนท์ไป อีกฝ่ายจะเชื่อหรือเปล่า

    ร่องรอยของงูเขียวหายไป ไม่มีแม้แต่เงา ส่วนงูเผือก เขาเหมือนคนมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน มีเพียงคำบอกเล่าของไวทินกับถ้อยคำของอักษราภัคที่บอกให้รอ พันตรีไม่ชอบการรอคอยเช่นนี้ เหมือนไม่มีจุดหมาย เขากังวลว่าอีกฝ่ายจะเจอเรื่องไม่ดี ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายแรงแบบนั้น
     

    .

    .

    .



    ....ข้าอาจฝันเฟื่องไปเอง ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นหลังจากที่พันตรีกลับไปยังที่จากมา เมืองมนุษย์ยังจำพูดของอีกฝ่ายได้ดี เรื่องคนกับนาคา และเรื่องหากเราสองต่างไม่มีชะตาคู่กัน

    คำเหล่านั้นกระทบใจข้าไม่น้อย เพราะรู้ดีว่าเรื่องราวในแดนนาคาจบสิ้นไปแล้ว ชะตาเนื้อคู่ของเราขาดสะบั้นลง พันตรีถือกำเนิดขึ้นข้าจึงตรวจดวงดาวและดวงของเขา ปรากฏว่า เราไม่ใช่เนื้อคู่ มีชะตาผกผัน ทว่ายังสามารถอยู่ร่วมกันได้ ข้าจึงเบาใจขึ้นมาได้

    ข้าอาจฝันเฟื่อง หากข้าอยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาที่เมืองมนุษย์ ปราศจากเรื่องวุ่นวายในแดนนาคา จะเป็นไปได้หรือไม่ ข้าไม่กล้าคิดเช่นนั้น จนกระทั่งข้าได้เจอกับไวทิน

    เหมือนว่าสหายของอภันตียังคงได้รับบัญชาจากท้าวปุณมนัสหลังจากที่พันตรีกลับไปยังโลกมนุษย์ ข้าเจอเขาที่อัตรคุปต์ ยิ่งกว่าแปลกใจที่เขามาหาข้าถึงเมืองชั้นใน

    เพลานี้เมืองด่านหน้าถูกยกให้น้องชายต่างมารดาอีกคนหนึ่งที่ไม่สนิทชิดเชื้อปกครองแทน

     "ข้าได้รับบัญชาจากองค์เหนือหัวเพื่อไปดูแลอภันตี"

    "เจ้ายังมองว่าเขาเป็นสหายของเจ้าอยู่หรือ"ข้าถาม เพลานี้ข้าอยู่สูงกว่าเขา ข้าขึ้นปกครองอัตรคุปต์ เป็นเจ้าเมืองแทนนาคาสีทองที่ก่อนหน้านั้นนั่งบังลังก์อยู่เกือบร้อยปี ใจจริงข้าไม่ต้องการอำนาจใดอีก นอกจากใช้ชีวิตสงบเท่านั้น แต่คำสั่งของท้าวปุณมนัสไม่อาจปฏิเสธได้

    "ข้าลืมไป...ดีที่เจ้าเตือน องค์เหนือหัวทรงมีเมตตา อย่างน้อยก็ติดตามความเป็นไปของเด็กหนุ่มคนนั้น"

    "เจ้ามาถึงที่อัตรคุปต์เพื่อบอกข้าเรื่องเดียวงั้นรึ"ไวทินจ้องมองข้าอย่างถือดี ข้าแปลกใจที่เขามีท่าทีเช่นนี้ เขาไม่ชอบข้างั้นหรือ ด้วยเรื่องใดกัน

    "ข้าแค่มาดูเจ้าให้เห็นกับตาว่ายังอยู่ดีมีสุข หากเจอพันตรี ข้าจะได้บอกเขาได้ถูก"

    "...เจ้า..."ข้าหงุดหงิดในใจ เมื่อรู้ว่าไวทินคิดจะไปสนิทชิดเชื้อกับพันตรีด้วย ข้าไม่อยากเดาใจไวทินนักหรอก กับอภันตีข้ามั่นใจว่าเขาเป็นสหายที่ดี แต่กับพันตรีเล่า เขาคิดการใดอยู่กัน น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถไปมาหาสู่ที่เมืองมนุษย์ได้ตามใจชอบ

    กฎของแดนนาคาบอกไว้ว่าห้ามข้องเกี่ยวกับเมืองมนุษย์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็นกฎที่เหล่านาคายึดถือมาช้านาน จะมีก็แต่เสด็จพ่อที่ไปรับมารดามาอยู่ด้วย จนเป็นเรื่องน่าหัวร่อกันไปทั้งสี่ทิศ

    "เจ้าอยากให้ข้าบอกอะไรเขาหรือไม่"

    "บอกว่าข้าจะกลับไปหาเขา บอกให้รอข้า...ข้าฝากของไปได้หรือไม่"ข้าถาม มีแหวนที่คิดอยากมอบให้พันตรี

    "ไม่ได้...เจ้าถูกตัดขาดจากเมืองมนุษย์แล้ว การหยิบยื่นเท่ากับละเมิดกฎ"ไวทินเอ่ย ข้าเจ็บใจอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าข้าได้ปกครองเมือง แต่ยังต้องฟังคำตัดสินจากผู้อื่น ทั่วทั้งสี่ทิศต่างรู้ดีว่าข้าคือนาคามีมลทินเคยโดนขับไล่เนรเทศ

    ไวทินจากไป ข้าร้อนรน ข้าอยากพันตรี คิดหาหนทางเพื่อเจอเขา การหนีไม่ใช่ทางออก เพราะข้าไม่มีอำนาจไปเมืองมนุษย์ ต้องไปดินแดนภาคกลางเพื่อไปยังประตูสองดินแดน นั่นเท่ากับว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากเบื้องบน

    จนกระทั่งข้าเจอตำราเก่าชื่อ นาคาอัปยศจากทั่วทั้งสี่ทิศ มีหัวข้อหนึ่งกล่าวถึงพ่อข้าและอัตรคุปต์ เหตุการณ์ชิงมณีแดง ข้าไม่สนใจอ่านเปิดย้อนกลับไปสมัยแรกเริ่มของแดนนาคา มีหัวข้อที่พูดถึง การละทิ้งที่โง่เขลาของจ้าวกมลทัต

    ข้าอ่านรายละเอียด พบว่านาคาในเมืองเล็กของทิศใต้ที่ท้าวกัม ลาสน์ปกครอง ชื่อจ้าวกมลทัต นาคาวรรณะสีเขียวหลงรักมนุษย์ เขาอยากครองคู่กับมนุษย์สาวผู้นั้น จึงยื่นฎีกาแก่ท้าววิรูปักษ์เพื่อให้ท่านพิจารณาโทษ เพราะการละทิ้งบ้านเกิดถือมีโทษฐานละทิ้งหน้าที่

    ย่อหน้าสุดท้ายระบุว่า ท้าววิรูปักษ์มีเมตตา ทว่าต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน นั่นก็คือชีวิตครึ่งหนึ่งของนาคา และการเผชิญเคราะห์ด้วยตนเอง ท้ายคำนั้นมีดอกจันทร์ติดไว้ มีคำอธิบายข้างใต้ว่า

    เผชิญเคราะห์ การเข้าสู่เมืองมนุษย์ในฐานงูบริวาร อาคมถูกลิดรอน บรรทัดสุดท้ายระบุไว้ว่าผ่านมาหนึ่งร้อยปีไม่พบร่องรอยของจ้าวกมลทัตอีกเลย

    ข้าถึงกับกุมขมับ ทีแรกนึกว่าอ่านเรื่องเล่าประจำเมือง แต่ผู้บันทึกจากเหตุการณ์ของจ้าวเมืองกมลทัตจากทิศใต้ กล่าวไว้ว่าเหตุการณ์นี้สร้างความอับอายแก่ตระกูลเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้ข้าลังเลใจ ข้าอยากกลับไปหาพันตรี ยิ่งเจอไวทินเข้ามาพูดจากับข้าเช่นนั้นแล้วยิ่งทำให้ไฟในตัวลุกโชน 

    ข้าอยากเป็นอิสระ

    ข้าจึงเริ่มเขียนฎีกาถึงท้าววิรูปักษ์ ข้าส่งสารไปให้ท้าวปุณมนัส เพื่อที่อีกฝ่ายจะแจ้งแก่ผู้ปกครองโลกพญานาค ทันทีที่ทาวปุณมนัสทราบข่าวส่งคนมาตามติดข้า จนกระทั่งมีบัญชาจากท้าววิรูปักษ์สำหรับการพิจารณาโทษของข้า การละทิ้งสำหรับข้าไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย ทว่าเป็นความกล้าต่างหาก

    ไวทินหายหน้าไปจากแดนนาคา ข้าถามไถ่ที่ปรึกษาอย่างแปลกใจ

    นาคาสีทองตนนี้เป็นคนเงียบขรึมไม่เอาความลับของข้าไปบอกแก่ท้าวปุณมนัส ข้าจึงไว้ใจและปรึกษาปัญหากับเขาโดยตลอด อีกฝ่ายเหมือนคนที่ทำตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เขาบอกกับว่าแม้ท้าวปุณมนัสจะเป็นผู้บัญชาเขาเพื่อคอยรับใช้ข้า ในเรื่องการปกครอง

    แต่ไม่ได้บัญชาให้ยุ่มย่ามในเรื่องส่วนตัว นาคาสีทองเช่นเขามีเกียรติของตนเอง หากมีเจ้านายต้องรับใช้คนเดียว ดูท่าเขาจะเลือกอัตรคุปต์ที่มีข้าปกครอง

    "เขายังไม่กลับมาที่นี่ ย่อมหมายถึงเขามีเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ หรือไม่ก็กำลังหลบเลี่ยงบางอย่าง"คำทิ้งท้ายของที่ปรึกษารบกวนใจข้ายิ่งนัก


    เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าจึงได้รับข่าวว่าไวทินไม่มารายงานแก่ท้าวปุณมัสเกือบสองสัปดาห์แล้ว นั่นไม่ปกติสำหรับคนเช่นไวทิน เรื่องอันตรายตัดทิ้งไปได้ ข้ากังวลใจเกี่ยวกับพันตรี แต่อีกเช่นเคยข้าเดาใจไวทินไม่ออก

    ข้าต้องจำศีลชั่วคราวเพื่อส่งจิตอธิษฐานไปหาพันตรี การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าสามารถทำได้ง่ายเหมือนการกินดื่ม จ่ายเงินให้แล้วได้ของกลับมา ข้าต้องใชตบะที่ไม่กล้าแกร่งเพื่อสื่อสารกับเขา ใจข้าร้อนรน ข้ากลัว

    จนกระทั่งได้พูดคุยกับพันตรีข้าถึงใจสงบลงได้ นึกถึงถ้อยคำ ท่วงทีของเขาแล้วอดสุขใจไม่ได้

    ‘อยากกอดเจ้าเหลือเกินพันตรี’ ไม่ชินนักที่ข้าจะนอนโดยไร้เขาข้างกาย นั่นสิ...ความเคยชินนั้นน่ากลัว

    และข้า...ไม่อาจสละมันไปตลอดกาลได้ ข้าถึงต้องสละอัตรคุปต์และแดนนาคา เพื่อไม่ให้เสียพันตรีไป เพราะข้ามีชีวิตเดียว พันตรีก็มีชีวิตเดียว ข้าจึงขอให้ชาติภพนี้มีชีวิตเพื่อเขา การรอคอยของข้าจะได้สิ้นสุดลงเสียที

    ท้ายที่สุด ไวทินกลับมารายงานเรื่องในเมืองมนุษย์ต่อท้าวปุณมนัสหลังข้าพูดคุยกับพันตรีได้สามวัน คนส่งข่าวบอกว่าท้าวปุณมนัสโมโหที่ไวทินหายหน้าไปนาน

    ซักถามความจริงอยู่หลายยามก็ได้คำตอบว่าใช้อาคมเพื่อช่วยพันตรี ไวทินจึงถูกลงโทษด้วยการลดขั้น ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย อีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะถูกนำตัวไปยังแดนภาคกลางเพื่อรับฟังโทษ คล้ายกับการไต่สวน ข้ามีคำตอบของตนเองอยู่แล้ว
     
    ทว่า อายุขัยของข้าตลอดร้อยปีที่ผ่านมาจะถูกชิงไปครึ่งหนึ่ง ปกตินาคามีอายุขัยยืนยาวสามารถอยู่ต่อไปได้เกือบพันปี ข้าคงเจอพันตรีที่ไม่ใช่พันตรีไปอีกกี่ภพชาติกันเล่า อิทธิฤทธิ์ถูกลิดรอนไปกว่าครึ่ง อาจน้อยกว่าครั้งที่โดนเนรเทศเสียอีก

    “แน่ใจหรืออักษราภัคว่าเจ้าต้องการสละทิ้ง”เสียงของพญานาคาที่ข้าไม่รู้ชื่อ แต่ได้ยินว่าท่านนี้เป็นพญานาคาที่อยู่ชนชั้นปกครอง เหนือกว่านาคาผู้เป็นใหญ่ทั้งสี่ทิศ ข้าเอ่ยไม่คิดเปลี่ยนใจ

    “ข้าแน่ใจพะยะค่ะ”

    “หากเจ้าไปยังเมืองมนุษย์แล้ว หนนี้เจ้าไม่สามารถกลับมายังแดนนาคาได้อีก เจ้าเข้าใจหรือไม่”

    “ข้าเข้าใจดี”

    “...เจ้าคิดฝืนชะตาตนเองและของมนุษย์ผู้นั้นหรือ เจ้าต้องสูญเสียบางสิ่งเพื่อแลกกับการที่เจ้าจะได้ครองคู่กับเขา เจ้าไม่คิดเสียดายหรือเสียใจภายหลังแน่รึ”เสียงของพญานาคาเอ่ย

    ข้าเงียบ สูญเสียบางสิ่งเพื่อแลกงั้นหรือ...ข้อนี้เองก็ติดอยู่ในใจข้า ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากตัวของผู้สละบ้านเมือง

    “ข้ายอมรับได้และไม่คิดเสียใจภายหลังเป็นแน่ เพราะข้าปรารถนามีรักเดียว ข้ามีชีวิตมาได้หลายร้อยปี ก็เพื่อคนที่รัก ถ้าหากว่าไร้รักข้าคงไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิด อยู่อย่างไร้เกียรติไปจนร่วงโรย”ข้าเอ่ยตามที่ใจคิด ไม่สนว่าถ้อยคำเหล่านี้จะกระทบใจผู้ใด ทั้งโถงเงียบไปอึดใจเดียว

    “...คงไม่แปรเปลี่ยนสินะ เจ้ารู้ชะตาของจ้าวกมลทัตหรือไม่ เขาร่อนเร่ในเมืองมนุษย์มีชีวิตเดียว ร่างกายเดียวนั่นก็คือเป็นงูจงอาง แต่ตลอดเวลาที่ผันผ่านมา ไม่มีผู้ใดได้ยินเรื่องราวของเขาอีกเลย เจ้าว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

    “ข้าไม่สามารถคาดเดาได้ เขาอาจจะมีสุขหรือทุกข์ ไม่ก็ตาย”ข้าเอ่ยตอบ แม้ในใจข้าต่างรู้ดีว่าจ้าวกมลทัตอาจตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาคงอยู่ไม่สุขสบายนัก

    “เช่นนั้นเจ้ายังจะสละทิ้งทุกสิ่งอีกหรือ”เสียงของพญานาคาเอ่ยซ้ำ ข้าเงยมองเขาดวงตาหมายมั่น ข้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าไม่อาจเอาแต่อยู่ในแดนนาคาได้อีก

    “ข้ายืนยันเช่นเดิมพะยะค่ะ”

    “มนุษย์ผู้นั้นเล่า เจ้าสามารถยอมรับได้หรือไม่กับสิ่งที่เขาต้องแลก”ถ้อยคำดังกล่าวกระทบใจข้าไม่น้อย ข้าคิดว่าขอเพียงไม่พรากเอาชีวิตของพันตรี ก็ไม่เป็นไร ข้าเชื่อว่าพันตรีย่อมผ่านไปได้ และเชื่อมั่นในตัวเขา

    “หากไม่ใช่ชีวิตของเขา ข้ายินดียอมรับ”

    “สิ่งเดียวที่มนุษย์ผู้นั้นจะได้รับก็คือการทดสอบจิตใจ เจ้าน่าจะรู้ดี ความแตกต่างระหว่างคนกับนาคา เมืองมนุษย์มีหลายสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะกับใจคน...เขาสามารถรับเจ้าได้หรือไม่ หากว่าเจ้าเป็นแค่งูธรรมดาเท่านั้น หาใช่นาคาที่มีร่างมนุษย์ เขาสามารถกินนอนกับงูได้หรือไม่ กล่าวง่ายๆ เขาสามารถใช้ทั้งชีวิตไปกับงูตัวเดียวได้หรือ...”

    ถ้อยคำกังวานของพญานาคาก้องอยู่ในใจ ...ทั้งชีวิตงั้นเหรอ...ข้ารู้ว่าพันตรีไม่ต้องสละชีวิตก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ข้าไม่ต้องการให้เขาตาย ทว่า...สิ่งที่ต้องแลกคือการทดสอบจิตใจงั้นเหรอ

    “ข้ายินดี และเชื่อว่าเขาจะเข้าใจข้า”

    “...เจ้าเชื่อ...เอาเถิดเจ้าถวายฎีกาขึ้นมาเช่นนี้ย่อมหมายถึงการตัดสินใจที่ไม่หวนกลับ...เช่นนั้นจงฟังคำของข้าครั้งสุดท้าย วงจรชีวิตของเจ้าเหลือกึ่งหนึง ฉะนั้นเจ้าจะมีชีวิตเดียว หากเจ้าตาย...นั่นหมายถึงเจ้าจะไม่ฟื้นคืนอีก ปรารถนาของเจ้าก็ไม่บรรลุผล การเผชิญเคราะห์ในเมืองมนุษย์ไม่ใช่เหมือนตอนที่เจ้าโดนเนรเทศ...หากเจ้ายินดีจะสละทิ้ง ข้าก็จะมอบปรารถนานั้นให้...”


    สิ้นเสียงของพญานาคา ข้าเงยมองท่าน แสงสว่างวาบจนตาพร่าเลือน



    ความเจ็บปวดเหมือนโดนกระชากวิญญาณถาโถมใส่ ข้าร้องออกมาอย่างสุดกลั้น ราวกับว่าผิวหนังกำลังถูกเข็มทิ่มโดยเฉพาะกับที่ใบหน้าซีกซ้าย มันเจ็บมาก ปวดจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก


    ข้านึกถึงสิ่งที่ต้องแลก...พญานาคาคงโป้ปด เพราะอาจสูญเสียมากกว่าพลังชีวิตกึงหนึ่ง
     


         เหนือร่างของข้าคือแผ่นฟ้าคราม เสียงรอบกายคือประหลาดที่ดังยาวๆ บ้างก็เดี๋ยวดังเดี๋ยวผ่อน ข้าขยับตัว มองไปที่มาของเสียง พ้นจากต้นหญ้านั่นคือถนนหนทาง นี่ข้ามาอยู่ที่เมืองมนุษย์แล้วหรือ

    ข้าม้วนตัวหลบเข้าไปในกอหญ้าใหญ่ นึกทบทวนเรื่องราวอยู่นาน ความเจ็บแสบประดังประเดมาที่ใบหน้า ข้ามองไม่เห็นว่าขณะนี้ข้าบาดเจ็บเช่นไร พยายามมองหาแหล่งน้ำแต่ไม่พบ สองทางดูพร่าเลือนตลอด

    ข้าคิดว่าเพราะอาการบาดเจ็บ ทำอย่างไรก็มองไม่ชัด ข้าจึงใช้การดมกลิ่น ประสาทสัมผัสจากดวงตาอีกข้างแทน

    ข้าอยู่ใดกัน ไม่มีสัญญาณบอกว่าข้าเคยรู้จักที่แห่งนี้มาก่อน ในใจหวนคิดถึงพันตรีขึ้นมา ทำอย่างไรจะเจอเจ้าได้เร็ววัน ข้าผงกหัวมองไปยังถนนที่มีรถคันใหญ่แล่นผ่าน บ้างก็ตามมาด้วยรถขนาดเล็ก ข้าไม่กล้าข้ามไปยังอีกฝาก ไม่รู้เหนือรู้ใต้ นึกถึงเรื่องราวของจ้าวกมลทัต เขาหายไปในเมืองมนุษย์....

    คงเจอสถานการณ์เช่นนี้ ปรากฏขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าคือที่แห่งใด

    ข้าไม่กล้าออกไปบนถนน เลื้อยกลับเข้าป่าลึกเพื่อถามไถ่กับงูบริวาร พยายามหาโพรงงูอยู่นานแต่ไม่เจอ ข้าแสบไปทั้งหน้า พยายามใช้อาคม คืนร่างมนุษย์ ทว่ากลับไร้ผล ข้าไม่มีตบะมากพอ

    นั่นสิ...ในตอนนี้ข้าไม่ใช่นาคาแล้ว เป็นเพียงงู...พันตรียอมรับงูเช่นข้าได้หรือไม่ แม้ว่าเขาจะเคยกอดจูบข้าในร่างงู แต่นั่นเพราะข้ามีร่างมนุษย์ด้วยเช่นกัน แต่นี่....จะตลอดชีวิตเลยหรือ...ใจข้าสั่นคลอน

    เลื้อยหาที่หลบเมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ฝนกำลังจะตก ข้าต้องหาที่แห้ง แต่มองไปรอบพงป่าแห่งนี้เหมือนมีแต่ต้นไม้สูงเท่านั้น คงไมใช่ป่าลึกกว้างขวางเท่าไรแน่

    ข้าเคลื่อนไหวอีกครั้ง มองหาท่อนไม้ที่พอจะเป็นแหล่งกำบัง เจอแค่โพรงดินตื้น ข้าซุกตัวเข้าไปด้านใน กวาดตามองแล้วไม่พบผู้อาศัยอื่นนอกจากไส้เดือนดิน ข้าหลบอยู่นานจนกระทั่งเริ่มมีความมืดคืบคลานเข้ามา

    ‘ข้าอยู่ที่ไหน’ ‘อีกนานเท่าใดกว่าจะเจอพันตรีเล่า’ ข้าคิดเช่นนี้อยู่นาน เม็ดฝนตกลงมาต่อเนื่องจนทำให้หนาวเหน็บ ข้าต้องหาที่อุ่นแห้งอาศัย โพรงงูแห่งนี้อีกเดี๋ยวก็ชุ่มไปด้วยเม็ดฝน ข้าหลบอยู่ในโพรงดินอยู่หลายวัน ฝนยังคงตกเรื่อยๆ จนรั้งอยู่นานไม่ไหว จึงเคลื่อนตัวออกจากโพรง


         ข้าเลื้อยรวดเร็ว ดินใต้ผิวหนังทำให้ไม่สบายตัวนักแต่ต้องอดทน ข้าสอดส่องหาที่หลบอยู่นาน เจอแต่ต้นไม้สูง ไม่มีบ้านคนหรือแม้แต่ ขอนไม้เก่า จนข้าชัดเหนื่อย เริ่มหิวขึ้นมา

    ข้าต้องกินนอนดังงูบนบก มองหาเหยื่อสักตัว อย่างน้อยต้องเป็นหนูไม่ก็กบสักตัว ข้าเลื้อยต่ำ จนกระทั่งได้ยินเสียงเคลื่อนไหวพรึบพับของสิ่งมีชีวิต เลื้อยไปเรื่อยๆจนพ้นชายป่า แม้ว่าสายตาของข้าไม่ดี แต่ข้ายังเห็นสีเขียวขจีกว้างอร่ามไปหมด ทุ่งนา...ใจข้าเต้นตึกตัก เลื้อยเข้าไปอย่างระมัดระวัง

    ข้าเคยลงมาอยู่เมืองมนุษย์ หากเจอเข้ากับกับดักล่ะก็ อาจตายแล้วไปเกิดใหม่ได้เลย ข้าก้มต่ำราบไปกับพื้น ซุ่มตัวตามเงามืดของต้นข้าว มองหาหนูนาสักตัว

    ความเคลื่อนไหวดังมาใกล้ ข้าเหลียวมองอย่างระแวดระวัง พยายามไม่ให้ลำตัวโผล่ไปในที่โล่ง ซุ่มรออยู่นานจนกระทั่งเสียงเคลื่อนไหวรวดเร็ววิ่งผ่านในใกล้ ข้าได้กลิ่นของสัตว์ชนิดนั้น หนูนาตัวใหญ่กำลังนั่งขะยุกขะยิกกินอาหาร ข้าเพ่งมองไปที่ตัวของมัน แม้ว่าสายตาจะย่ำแย่ แต่ข้ามั่นใจว่าจะไม่พลาด ไม่กี่วินาทีก็พุ่งฉกเข้าที่ลำตัวของมัน

    งูบางชนิดไม่จำเป็นต้องรัดเหยื่อตัวน้อยให้ตาย เพียงแค่ฉกกัดก็ทำให้ตายได้ ข้าจัดการเจ้าหนูตัวอ้วนจนอิ่มท้อง เคลื่อนตัวไปตามต้นข้าวที่ไม่ห่างกันนัก พยายามฟังเสียงรอบข้าง ตื่นตัวไม่ประมาท ข้าไม่เห็นมนุษย์อยู่ในบริเวณใกล้เคียง อย่างน้อยน่าจะเจอกับงูสักตัว ข้าอยากถามไถ่ว่าที่นี่คือที่ใดกัน


    จนกระทั่งข้ามาจนถึงคันดินสูง ข้าโผล่ออกมามองลาดเลา ภาพเบื้องหน้าเบลอ ไม่ชัดเจน แต่เห็นแสงไฟจากกระท่อมหลังเล็ก บ้านนั้นมีใต้ถุนเตี้ย ๆ อยู่ ข้าเหลียวมองรอบทิศ ห่างออกไปมีแสงไฟเล็กอยู่เรียงราย อาจมีบ้านคนอยู่รอบนอกของที่นาผืนนี้ ข้าลังเล แต่ตอนนี้ต้องมีที่แห้งอาศัย

    ฝนในเวลานี้เหลือเพียงปรอยๆไม่หนักเท่าตอนแรก ข้าเลื้อยรวดเร็วเข้าหากระท่อมหลังเล็ก รีบซ่อนร่างสีขาวเข้าไปในข้างใต้ ข้าม้วนตัวเข้าไปอยู่ในถังสีดำที่คว่ำอยู่ใต้เสาเรือน ขดรัดตัวเองเป็นก้อนเพื่อความอบอุ่น สองตาจับจ้องความมืดตรงหน้า แต่ดวงตาข้ายังแจ่มชัด...แค่ข้างเดียว  

    เพราะความอ่อนเพลียข้าจึงหลับไปช้า ๆ ในหัวมีแต่เรื่องของพันตรีวนเวียนไปหมด ไหนจะเสียงของพญานาคาที่คอยมาเติมความกังวลให้อยู่ทั้งคืน จนกระทั่งเริ่มมีแสงเล็ดรอดเข้ามา ข้าระวังระไวอีกครั้ง คนในกระท่อมยังไม่เคลื่อนไหว ข้ายื่นหน้าออกมามอง เพื่อหาที่หลบซ่อนอื่น แต่ไม่มีที่ใดให้หลบ ข้าจึงได้แต่เฝ้าระวังอย่างเงียบเชียบ เวลาสว่างเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่กระปี้กระเปร่านัก

    “เฮ้ย!”เสียงร้องตกใจ จากนั้นตามมาด้วยคำสบถ ข้ารีบเลื้อยหนีให้เร็วที่สุด แสงสว่างทำให้ข้ามองเห็นทางไม่สะดวกนักด้วยตาข้างเดียว ไม่ทันไร ข้าเหมือนโดนแรงกระแทกมาที่ช่วงหาง จนต้องหนี รู้ตัวอีกทีข้าถูกจับด้วยไม้คล้องงู มัดรัดคอของข้าไว้แน่นเสียหายใจลำบาก

    ข้าดิ้นหนี แต่เหมือนว่าจะไม่รอด ชายคนดังกล่าวหันไปพูดกับมนุษย์หญิงอีกคน จากนั้นข้าก็ถูกโยนใส่กระสอบสีขาว เงยหน้ามองด้านบน ใบหน้าของชายคนนั้นดูประหลาดใจ ปะปนความตื่นเต้น จากนั้นเขาก็ปิดถุงจนหายใจได้ลำบาก ข้าขดตัวอย่างกังวลใจ ความเจ็บแปลบที่โคนหางยังคงอยู่

    ชายคนนี้จะฆ่าข้าหรือไม่... จะเอาข้าไปทำอาหาร เหมือนที่พวกงูสิงโดนจับไป ข้าไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่คนกับงู...หากไม่ใช่พันตรีแล้ว ข้าคงไม่ถูกทำดีด้วย ใจข้าได้แต่คิดถึงพันตรี ข้าจะได้เจอเขาอีกหรือไม่ ที่แห่งนี้คือหนใดข้าไม่อาจรู้ มองจากเมื่อครู่ ราวกับว่าแถวนี้อยู่ห่างไกลตึกสูง ไม่คล้ายแถวบ้านของย่าพันตรีนัก...ลักษณะไม่ร่มรื่นชุ่มชื้น แดดที่นี่เจิดจ้าเกินไป
     
    หรือจะอยู่คนละแห่งกับพันตรี


    ข้าได้แต่ซุกตัวอยู่ที่มุมกระสอบ จากนั้นก็โคลงเคลงเมื่อถูกยกขึ้นสูง ข้าฟังสองคนนี้คุยกัน เหมือนว่าเขาแปลกใจระคนตื่นเต้นที่เจองูเช่นข้า เมืองมนุษย์มีงูสีเผือกเช่นกัน แต่ไม่เจอโดยง่าย และดูท่าราคาของข้าคงได้สูงนักเพราะสองคนนี้หัวเราะดีใจกันยกใหญ่


    เกล็ดของข้าต่างจากงูบนบก บางที ข้าอาจกลายเป็นของสร้างมูลค่าให้กับคนพวกนี้ ข้าไม่โดนกิน แต่อาจจะถูกขายให้ผู้อื่นที่รักชอบงูเช่นข้าเรื่องพวกนี้ข้าเคยได้ยินมาเช่นกัน คล้ายกับเพื่อนของพันตรี แต่ว่านั่นเป็นงูเลี้ยง ไม่ใช่งูในธรรมชาติ ข้าคิดวกวนอยู่นาน ยังคงเอกกะเทเร่ในกระสอบถุงนี้

     “ถุงอะไรวะ”เสียงของชายอีกคนหนึ่งดังขึ้น ข้าดิ้นอยู่ในถุง ต่อมาจึงรับรู้แรงกระแทกที่ฟาดลงมา ข้าจึงนิ่งเงียบ

    “งูเว้ย งูเผือกด้วยนะ ไม่ใช่จะเจอง่ายๆ”

    “ลาภปากเลยสิ มึงจะเอาไปให้เสี่ยโชคใช่ไหมวะ”

    “เออสิ เห็นเสี่ยแกชอบงูแปลกๆ เอาไปขายให้ คงได้ราคาดี”

    “ไหน ขอดูหน่อย งูพันธุ์อะไร”เสียงผู้ชายห้าวๆเอ่ยขอ จากนั้น ถุงกระสอบถูกวางลงกับพื้น พร้อมกับแสงสว่างสาดเข้ามา ข้าหดคออยู่กับที่ เหลือกตามองคนแปลกหน้าที่กำลังจ้องดู

    “ไม่รู้ว่ะ มึงว่าพันธุ์อะไร”

    “สีสวยดีว่ะ ลายเกล็ดดูไม่เหมือนพวกงูสิงเลย”ชายคนดังกล่าวจุดบุหรี่มองลงมา ข้าไม่ชอบใจนักกับการถูกจ้องมองเหมือนว่าเป็นของแปลก “ดุไหมวะ”

    “ไม่ดุ ดูๆแล้วมันสงบๆ สงสัยจะขี้อายนะ”ชายหัวเกรียนที่จับข้ามาหัวเราะ

    ข้าเลยอ้าปากขู่ไปหมายจะฉกมือที่จับกระสอบอยู่ โดนพิษข้าไปคงจบไม่สวย สองคนนั้นร้องโวยวายก่อนจะปล่อยมือจากกระสอบ ข้ารีบเลื้อยหนีอย่างรวดเร็ว ลำตัวทางช่วงหางเจ็บขึ้นมา เมื่อแผลเก่ายังคงสดอยู่

    “เฮ้ย จับมันไว้ๆ”เสียงผู้ชายร้องบอกด้วยความตระหนก ข้ากัดฟันเลื้อยหนี ทว่ามีเสียงสุนัขเห่าดังแว่วมา ข้านึกตกใจ เมืองมนุษย์สัตว์ชนิดนี้ไม่ถูกโฉลกกับพวกงูนัก ทันใดนั้นราวกับว่ามีอะไรบางอย่างครอบลงมา ทำเอามืดไปหมด รู้ตัวอีกที ข้าถูกกักเอาไว้ในภาชนะกลมกว้าง ไม่มีทางออก

    เสียงสุนัขยังคงดังมาใกล้ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหอบ

    “มึงจับหมาไปที่อื่นก่อน เดี๋ยวได้ตายพอดี”

    “อืม มึงจับงูไว้ดีๆ จะเอาไปให้เสี่ยดู”เสียงนั้นเอ่ยอย่างเร่งร้อน ข้าแสบที่หน้าขึ้นมา รู้สึกหมดแรง เลื้อยเซื่องซึมอยู่ด้านในวงกลมร้อนระอุ ข้าขดตัวนิ่ง ๆ เอาเถิดข้าหนีไปมีแต่จะเสี่ยงตาย ข้ายังตายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นที่ข้าลงมายังเมืองมนุษย์ถือว่าเสียเปล่า

    ในวันนั้นข้าถูกจับใส่กระสอบดังเดิม ก่อนที่จะมองไม่เห็นอะไรอีก พยายามจะสอดส่องมองผ่านถุงสีขาวทึบเหมือนคนโง่งม มันคงง่ายหากว่าข้ามีร่างมนุษย์ ข้านึกถึงจ้าวกมลทัตแล้วก็อดเศร้าใจไม่ได้ หากไม่ได้ครองคู่กับหญิงนางนั้น เขาอาจตายในเมืองมนุษย์ ข้ายังไม่ถอดใจหรอก เพียงแค่เหนื่อยล้า หากว่าข้ารอดไปได้ ยังคงเป็นปัญหาว่าข้าจะตามหาพันตรีได้จากที่ไหน


    ข้ายังหวังอยู่


    ดวงตาของข้ากลับมามองเห็นได้อีกครั้ง เมื่อถูกเปิดปากกระสอบออก ข้ามองคนด้านบน มีชายแก่ร่างท้วมจ้องมองมา ท่าทางระวังระไว ข้าไม่พุ่งไปกัดเขา เวลานี้ร่างกายของข้าเชื่องช้ามากกว่าเดิมจึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ

    “อืม งูสวยมาก แต่มันมีแผล ลุงตีมันเหรอ”เสียงคนแก่กว่าถาม

    “ก็ตอนเจอมันผมตกใจนี่นา ไม่รู้ว่าจะมีพิษหรือไม่มี”

    “ดูจากหลังมันเไม่ได้ป็นสันคงไม่มีพิษร้ายแรงหรอก เหมือนงูสิงนะ”คนแก่พูด ข้านึกรำคาญใจ การที่ข้าเป็นงูรูปร่างกลม ไม่ใช่หน้าท้องแบน หรือลักษณะสามเหลี่ยมหลังมีสันขึ้นมาเหมือนงูมีพิษ โดยส่วนใหญ่งูที่ดุและพิษอันตรายจะมีรูปร่างเช่นนั้น

    “อาจจะเป็นงูที่ผสมข้ามพันธุ์หรือเปล่า”เสียงของคนหนุ่มกว่าบอก

    “ไม่รู้ ต้องเอาไปตรวจสอบก่อน”

    จากนั้นแสงสว่างหายไป ปากกระสอบถูกปิด ข้าได้ยินพวกเขาต่อรองราคากัน จนหูตาพร่าลายเพราะความง่วง ข้าหดหัวลงนอน บางทีตื่นมาแล้วข้าอาจฝันไปก็ได้...


    “ไง เจ้าเผือก”เสียงทุ่มต่ำ ฟังแล้วระคายหูราวกับมาจากผู้ชายอายุมาก ข้าเบิกตามองไปยังที่มาของเสียง ในทีแรกมันเบลอไม่ชัดเจน เพราะดวงตาอีกข้างของข้าคล้ายกับเป็นต้อ ไม่ถึงขั้นมืดบอด เมื่อปรับสายตาได้ชัดขึ้น เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ต้องผงะ ข้าเห็นใบหน้าแหลมของอีกฝ่ายอยู่ห่างจากข้าไม่ถึงคืบ ข้าตกใจพุ่งเข้ากัดตามสัญชาติญาณ


    กึก


    ข้าต้องเจอกับความเจ็บจนถอยตัวไปด้านหลัง เมื่อครู่ข้าจนกับของแข็งตรงหน้า

    ข้าถอยร่นไปอยู่ที่มุมของกล่องใสราวกับแก้ว คิดอย่างถี่ถ้วน ข้าพบว่าข้าอยู่ในกล่องกระจกที่ปิดสนิท แคบ อึดอัด ข้ามองคนตรงหน้าชัดๆ ชายคนดังกล่าวผุดยิ้ม จนเห็นฟันขาว ฟันเขี้ยวข้างซ้ายปรากฏเพชรสะท้อนตาออกมา ข้ารังเกียจเขาตั้งแต่แรกเห็น

    “เจ็บตัวเฉย...ฮ่ะๆ ได้แผลเพิ่มไปอีก”ชายคนนั้นเอ่ยเสียงแผ่วเบา ราวกับว่าข้าจะรู้เรื่อง...หึ ข้ารู้เรื่องแต่เขาไม่

    ข้าเจ็บที่หน้ามากได้แต่ขดตัวนอนให้ห่างจากใบหน้าที่จ่อใกล้กระจก สายตาของเขาแข็งกระด้างไม่เหมือนพันตรี ข้าคิดถึงพันตรี ให้ตาย ข้าถูกจับมาเป็นของโชว์งั้นหรือ ข้าคิดเช่นนี้เพราะเมื่อมองไปที่ข้างๆ

    เขาเจอกับตู้กระจกขนาดเท่าๆกัน มีงูสีเผือกเช่นเดียวกับข้า ทว่า เจ้านั่นมันงูหลามต่างหาก ลำตัวอ้วนหนา ใบหน้ากลมมน นอนอืดอยู่ด้านใน ข้าส่งเสียงเรียก

    “เจ้าน่ะ รู้หรือไม่ว่าที่แห่งนี้คือที่ใด”

    งูหลามขยับมอง ก่อนจะแลบลิ้นออกมา ข้าเหลียวมองชายตรงหน้าที่ยืดตัวขึ้นสูง ก่อนจะเลื่อนฝากระจกออก มือหนายื่นเข้ามาใกล้ ข้าถอยหนีไปชิดมุมกระจก

    “ชู่ว”

    มือหนาจับแตะมาที่ลำตัวของข้าช้าๆ ลูบไล้ไปทั่วลำตัวยาว ข้าเลื้อยหนีมือของอีกฝ่าย ไม่ใช่มนุษย์หน้าไหนจะมาจับต้องข้าได้ ข้าขู่เขาไป อีกฝ่ายตกใจ เก็บมือออกรีบปิดฝาทันที ก่อนจะก้มมอง

    “ดุเหมือนกัน แต่ไม่น่ามีพิษ”มันพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะใช้นิ้วมาเคาะกระจกดังก๊อกๆจนน่ารำคาญ ข้าได้แต่เลื้อยหนีไปอีกฝั่งนอนเอาหน้าแนบกระจกมองไปทางงูหลาม

    “ว่าไงเล่า”ข้าเร่งเร้า งูหลามที่นอนเหมือนตายจึงค่อยขยับตัว คลายขนดแล้วเงยมองด้วยใบหน้ากลมมน

    “อืม...ไม่รู้”งูหลามตอบ

    “ไร้ประโยชน์จริงๆ”

    “ข้ามาอยู่ที่นี่เนิ่นนาน ไม่รู้วันคืนหรอก ครั้งหนึ่งข้ามาจากป่า”

    “อา...ข้าก็เช่นกัน”ข้าพึมพำ ไม่ได้มองไปที่งูหลามอีก ชายคนนั้นเดินหายไปแล้ว ภายในห้องสว่างแห่งนี้ไม่เหมือนห้องของพันตรี เบื้องหน้าข้ามีที่ประทับของมนุษย์ ตัวยาวและนุ่มวางอยู่ 

    ก้มมองสิ่งแปลกปลอมที่เป็นเหมือนเปลือกไม้อ่อนๆกระจายไปทั่วตู้กระจก ข้าไม่สบายตัวนัก อยากได้ที่อุ่นๆนอน

    ‘พันตรี...ข้าอาจไม่เจอเจ้าอีกก็เป็นได้...’

    ข้าจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไรดี แม้ข้ายังไม่หมดหวัง แต่ก็ริบหรี่เหลือเกิน พยายามใช้อาคมแต่ไม่เกิดผลใด ข้าถอนหายใจ เหลียวมองไปทางโคนหางของตัวเองมีรอยรักษาของมนุษย์ แม้ข้าจะแสบผิวเกล็ดอยู่ไม่คลาย ดวงตาอีกข้างคล้ายจะรักษาไม่ได้แล้วเช่นกัน ข้านึกถึงเสด็จพ่อขึ้นมา เขาก็ตาบอดเหมือนกัน   

    หวังว่าข้าจะไม่ต้องแลกอะไรไปมากกว่านี้








    [Talk]
    มาต่อแล้วจ้า ตอนนี้สั้นนิดนึง
    ใครเบื่อมาม่าอืด ไม่เป็นไร ตอนหน้าบอกใบ้ว่าคงได้เจอกัน อะไรยังไง ฝากติดตามด้วยจ้ะจะจบแล้ว รู้สึกผ่านไปเร็วเหมือนกัน จากที่ตั้งใจว่าจะให้ออกมาคอมเมดี้อะไรแบบนี้ กลายเป็นแบบนี้ไปซะได้ นอกจากจะไม่มีมุกใดๆกลับกลายได้มาม่ามาหนึ่งชาม
    ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×