ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ 14 ทางเลือกสุดท้าย
บทที่ 14 ทางเลือกสุดท้าย
-อักษราภัค-
ข้าเคยกล่าวไว้กับพันตรี การที่เขายอมรับในตัวข้าได้ถือเป็นพรวิเศษ และยิ่งกว่าพรวิเศษ คือการที่เขายังมีชีวิตอยู่ ข้าจดจำทุกถ้อยคำที่เอ่ยไว้กับแท่นบูชานาคาไม่ลืม ‘คืนชีวิตให้แก่อภันตี’ ช่างเลือกได้ยากเหลือเกิน ต่อให้ข้าไม่คิดใช้มณีนำดวงจิตของเขาคืนสู่แดนนาคา อย่างไรซะ ท้าวปุณมนัสจะยินยอมหรือ เขารอเวลานี้มาเนิ่นนานไม่ต่างกับข้า มีคำตอบชัดแจ้งอยู่ในใจแล้วหลังจากพันตรีเริ่มตอบสนองต่อกำไลที่ข้าฝังมณีลงไป เขาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันนั้นข้าได้รับข่าวจากไวทิน งูเขียวหางไหม้ตัวน้อย ไม่คิดคบหาเป็นมิตรกับข้านัก อาจเพราะข้าคอยตามติดพันตรีไว้ไม่ห่าง ไวทินอาจไม่พอใจ ไม่ใช่เพราะเขาชอบพอพันตรี เพียงแต่เขาไม่ชอบหน้าข้าในเมืองมนุษย์เท่าไร ข้าที่ครอบครองพันตรีได้ก่อนหน้าที่พันตรีจะเกิด เขามีความยำเกรงต่อข้าอยู่บ้าง แต่เมื่อข้าเจอพันตรี เขาไม่ถือยศกับข้าอีก แต่ถ้าเทียบกันแล้วเขามีชาติกำเนิดสูง อยู่ในวรรณะสีทอง ซึ่งข้าก็หาได้ขุ่นข้องหมองใจอะไร"ได้เวลาที่จะนำดวงจิตที่เหลือของพระโอรสกลับแดนนาคาแล้ว...อย่าหาเรื่องรั้งอยู่นานจะดีกว่า หากศัตรูไหวตัวทัน พวกเจ้าอาจไม่โชคดีอีก"ไวทินเอ่ย เมื่อรู้ว่าอักคราโจมตีข้ากับพันตรี"อย่างกับว่าอมรานครเกรงกลัวอักคราเช่นนั้นล่ะ ข้ารู้ว่าท้าวปุณมนัสไม่พอใจข้าอยู่""เจ้าใช้เวลามากเกินไปแล้ว ทีแรกข้านึกว่าเจ้าจะให้พระโอรสฟื้นความทรงจำให้หมด เรื่องคงไม่ยากนัก แต่เจ้ากลับใช้เวลาเพื่อสานต่อกับพระองค์ในชาตินี้"ไวทินในร่างงูผงกหัวมองด้วยอารมณ์ ข้าแค่นิ่งเฉย นึกถึงพันตรีแล้วเศร้าใจนัก เขาไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับแดนนาคา"...เขาบอกไม่ต้องการกลับไป""นั่นไม่ใช่เขา...ดวงจิตของพระโอรสยังคงอยู่ เพียงแต่ดวงจิตที่ไปจุติยังเมืองมนุษย์ มันก็แค่ชาติหนึ่งที่ไม่สลักสำคัญใด"ไวทินเอ่ยเรียบ ๆ ข้าไม่คิดว่าสหายเก่าจะเอ่ยเช่นนี้มาก่อน ไร้เยื่อใย ข้าไม่รู้ว่าเขารู้สึกลบหรือบวกต่อพันตรี ต่อหน้าแสดงออกกับพันตรีอย่างไร ข้าไม่เคยได้เห็นพันตรีคุยกับไวทินมาก่อน มีเพียงคำบอกเล่าเท่านั้น ทีแรกข้ามองไวทินเป็นมิตร...แต่เห็นทีต้องมองเขาใหม่"เหตุใดเจ้าไม่ไปพูดกับพันตรีเองเล่า เขาจะได้เข้าใจ"ข้าโต้ตอบ งูเขียวชูคอค้างอยู่นาน มองหน้าข้าไม่ขยับ ข้าไม่กลัวไวทิน งูตัวน้อยเท่านี้ทำอะไรข้าไม่ได้ แปลกใจที่ท้าวปุณมนัสใช้งานเขาในร่างงูบริวาร"ขึ้นอยู่ที่เจ้าไม่ใช่รึ...อักษราภัค เจ้าอยากให้พระโอรสกลับมาหรือไม่"เป็นอีกครั้งที่ข้าถูกดูแคลนจากไวทิน ข้าตกใจ ยื่นมือหมายจะคว้าตัวงูไว้ แต่งูเขียวไหวตัวเลื้อยส่ายหนีมือไปได้ เขาขู่ข้า"เจ้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร"ผิดหวังในตัวไวทินเหลือเกิน พันตรีเล่า ข้าไม่อยากทำร้ายเขา ไม่อยากเสียเขาไป…ดวงจิตของพันตรีแตกแยกออกมาจากอภันตี เช่นนั้นแล้วจะพันตรีหรืออภันตีต่างมาจากจิตดวงเดียวกัน เพียงแต่ว่าดวงจิตหลักได้จุติมายังเมืองมนุษย์ ในเวลานี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ข้าขอเพียงได้อยู่กับคนที่ข้ารักก็พอไวทินมีทีท่าไม่พอใจมากขึ้น ตีปลายหางถี่ๆ"ข้าเอ่ยความจริงไงเล่า เจ้าคิดดูให้ดีว่าแท้จริงแล้ว เจ้ามีหน้าที่ใด องค์ศิวะบัญชาเจ้าว่าอย่างไร คืนมณีแก่เจ้าของเดิม ย่อมหมายถึงองค์อภันตีที่เป็นแก่นแท้...แม้ว่าพันตรีจะเป็นคนที่เจ้าผูกพันไปแล้วก็ตาม"เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็น ข้านิ่งงัน ถูกของเขา"...เรื่องมณี หากใช้พลังแน่ใจหรือว่าพันตรีจะปลอดภัย""เขาต้องสังเวยดวงจิตของตัวเอง เพื่อคืนชีวิตแก่พระโอรส เรื่องนี้หามีสิ่งใดผิดถูก เพียงแค่พระโอรสกลับมาอยู่ในที่ที่ควรอยู่ไม่ใช่หรือ""...แต่เขามีจิตใจ"พันตรีไม่ใช่เครื่องมือของผู้ใดที่เป็นสะพานไปสู่การคืนชีพแล้วเขี่ยทิ้งเสีย"สิ่งที่ข้ากลัวคือใจของเจ้า...อักษราภัค เจ้ามีรักมากเกินไป รังแต่จะเป็นอุปสรรคในการใหญ่เช่นนี้...ทุกสิ่งผันผ่านมาร้อยกว่าปี เจ้าจะปล่อยให้เสียเปล่างั้นรึ ข้าลงมาเมืองมนุษย์เพื่อองค์อภันตีแต่ผู้เดียว....หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ"ไวทินจดจ้องข้า ยังคงชูคอมอง"มันสูญเปล่างั้นรึ หากว่าพันตรีเลือกมีชีวิตของเขาเอง"ข้าไม่อาจปล่อยให้พันตรีสังเวยตนเอง เขาต้องพบความตายอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าไม่รู้ว่าความตายที่เกิดขึ้นมันโหดร้ายเช่นไร การที่ดวงจิตแหลกสลายไปเช่นนั้น เห็นข้ายังเงียบ ไวทินเลื้อยมาใกล้อีก แลบลิ้นผลุบเข้าออกตามวิสัย เอ่ยเสียงต่ำกดดัน"ถามใจเจ้าดูเถิดว่าคุ้มกันหรือไม่...เจ้าย่อมรู้ดีที่สุด""...ข้าขอเวลาสักหน่อย"ข้าบอกเขา งูเขียวค้างนิ่ง แต่ยอมลดตัวลงต่ำกว่าเดิม ผงกหัวช้าๆ"ได้ ข้าให้เวลาเจ้า...แต่หากยังไม่สามารถตัดสินใจได้อีก...องค์เหนือหัวจะตัดสินใจด้วยองค์เอง"ไวทินทิ้งท้าย เป็นคำขู่มากกว่าการกล่าวเตือนหลังจากวันนั้น ไวทินหายหน้าไปโดยไม่บอกกล่าว ข้าได้แต่ปล่อยผ่าน ไม่คิดใส่ใจนักจนพันตรีมีปฏิกริยาต่อกำไลมณีอีกครั้ง คราวนี้กลับรุนแรงขึ้น เขาเริ่มฟื้นคืนสู่แก่นเดิม รับชาติกำเนิดของตนเองทีละน้อย คืนนั้นเริ่มจากการเปลี่ยนร่างเป็นนาคา มณีของอภันตีมีหน้าที่ปกปักษ์รักษาผู้เป็นเจ้าของ อิทธิฤทธิ์ของมันนำพาข้ากับพันตรีไปยังถ้ำในแปลกถิ่น งูบริวารรับรู้ถึงนาคาสีทอง เข้ามาคุ้มกันโดยรอบ ดวงจิตของเขาไม่แปรเปลี่ยนยังคงเป็นนาคาสีทองที่สวยงาม เขาลอกครอบครั้งที่สอง ในรอบร้อยกว่าปีที่ผ่านมา…เนิ่นนานเหลือเกิน ...ข้าคิดถึงเขามาก ข้าได้รู้ซึ้งจนปวดแปลบไปทั้งใจ เมื่อได้เห็นร่างจริงของพันตรี เกล็ดสามเหลี่ยมเรียงตัวสวย ร่างอุ่นยาวเหยียด ข้ากอดเขาไว้แน่น เกล็ดสีส้มประกายทองยังคงเดิม ข้าสัมผัสผิวกายของนาคาหนุ่ม ลูบไล้ไปตามลำตัวยาว จากนั้นข้าคืนร่างเดิม นาคาสีเผือกมีกรรมพันธุ์ด้อยที่ได้รับจากมารดา ผิวเกล็ดสว่างในถ้ำมืด ข้าเคลื่อนตัวนอนข้างกายเขา เลื้อยรัดพันเกี่ยวเป็นเกลียวคลื่นด้วยใจคิดถึง แม้ว่าตัวข้าจะมีร่างน้อยกว่าเดิมกึ่งหนึง แต่เพราะแหวนที่ท้าวปุณมนัสมอบให้เมื่อครั้งยังสถิตแดนนาคา ทำให้ข้ามีร่างจริงนาคาสีทองหลับใหล...จนกระทั่งเขาฟื้นคืนสู่มนุษย์ กลับกลายเป็นพันตรี เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมอีกครั้ง ร่างกายเปล่าเปลือย ข้าจึงโอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขน เพราะความหนาวเย็นจากหยาดฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่หยุด พันตรีหนาวจนสั่น ข้าจึงทำให้เขาอบอุ่นมากขึ้น ปลอบประโลมไปด้วย หากเขาลืมตาตื่น ทุกสิ่งจะเปลี่ยนผัน และพันตรีจะไม่ใช่พันตรีอีกต่อไป เขาจะมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง อย่างน้อยก็รับเอาความรู้สึก อารมณ์ สำนึกคิดของอภันตีกลับคืนมาบ้างผ่านพ้นคืนนั้นไป...พันตรีราวกับว่าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด และเขายังเป็นที่รักของข้าไม่เปลี่ยน ทว่าคนของท้าวปุณมนัสมาเตือนข้าข้าไม่ต้องการให้พันตรีสังเวยชีวิต... คงเพราะได้ความชมชอบจากเขา ได้เชยชมเขาไปหมดสิ้น ทุกสิ่งเกี่ยวรัดกลายเป็นความผูกพันที่ตัดไม่ขาดไวทินกลับมาหาข้าอีกครั้ง และเขาไม่ต้องการความเห็นของข้าอีกต่อไป เขาเอ่ยถึงแผนการที่ทำให้ข้าต้องตกใจ"ข้าคิดหาหนทางในการฟื้นคีนชีพแก่องค์อภันตีได้แล้ว ก่อนอื่นต้องพาพระองค์กลับไปยังประตูสู่แดนนาคา...ที่บ้านของหญิงชรานางนั้น มีน้ำตกสายหนึ่ง คราก่อนข้ากับองค์เหนือหัวผ่านมาดูพระโอรส""หมายความว่าอย่างไร เจ้าคิดทำอะไร""ไม่มีทางอื่น ข้าจึงใช้วิธีนี้...แต่อย่าห่วง ข้าไม่ทำอันตรายหญิงชราถึงชีวิตหรอก""เจ้าลงมือไปแล้วหรือ"ข้าตกใจกับความคิดของไวทินนัก ไวทินที่จิตใจงามได้หายไปแล้วอย่างแท้จริง เวลาเปลี่ยนคนจึงแปรเปลี่ยนไปด้วย"ถูก...ข้าปล่อยพิษไปเพียงน้อยนิด เพียงพอให้นางต้องรับการรักษา...และนั่นจะเป็นหนทางเดียวที่จะนำพระโอรสคืนสู่อมรานคร"ไวทินตอบกลับมา เลื้อยหายไปจากทางด้านหลังหอพัก ข้ากังวลเหลือเกิน กลัวว่ามีข้อผิดพลาด ข้ากลายเป็นหมากบนกระดานของพวกเขาไปเสียแล้ว ชักจูงให้ข้าเดินตามเกมส์แล้วตักตวงผลประโยชน์ทีหลังหากทำเช่นนั้น ข้าจะกลับไปมองหน้าพันตรีได้อย่างไร ต้องกลับกลายเป็นคนสองหน้าไปเสียแล้ว แสร้งทำเหมือนไม่รู้เรื่อง ข้าไม่ชอบที่ตนเองเป็นเช่นนี้ท้ายที่สุดแล้ว ข้าควรปล่อยพันตรีไปเสีย ให้เขามีชีวิตที่ต้องการ ข้ารู้ดีว่าเขาคิดเช่นไร แต่ข้าเศร้า ราวกับว่าดอกไม้ในใจข้าเฉาไป โดนถอนรากถอนโคน ไม่เหลือสิ่งใดเลย และข้าควรกลับไปที่ที่ควรอยู่... คงเป็นดังเช่นไวทินบอก ข้ามีรักมากเกินไป เป็นข้าที่ทำผิดพลาดอีกแล้วหรือ ข้าไม่อยากสูญเสียใครอีก มันเจ็บปวดหากต้องรอคอย หรือแม้แต่ทำได้เพียงแค่มอง ไม่อาจจับต้องได้และที่ข้าเคยคิดไว้ ...ข้าอาจไม่มีพันตรี...ไปตลอดกาลเมื่อข้าต้องเดินทางไปยังบ้านของหญิงชรานามว่ากานดา นางเป็นย่าของพันตรี บ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ แต่ข้อเสียเดียวคือใกล้ชิดป่าเขามากเกินไป พวกงูมักมาสุมหัวกันที่นั่น...แม้ไม่ได้เข้าไปข้างในตัวบ้านเรือนไทย แต่รอบป่าหลังบ้านมีโพรงงูอยู่ทั่วลานน้ำตกอยู่ลึกไปถึงไม่ถึง300เมตร ผ่านเนินดินมีทางลาดเข้าสู่ลานน้ำตก ลำธารเส้นนั้นตามคำของไวทินเคยใช้เป็นประตูระหว่างแดนนาคาและมนุษย์ การให้พันตรีกลับมายังที่ตั้งจึงเป็นหนทางเดียวพันตรีดูกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายเดาได้หรือไม่ว่าการเจ็บป่วยของหญิงชราเป็นฝีมือของไวทิน เมื่อมีฝนตกลงมา รวมไปถึงบรรยากาศภายในบ้าน ทำให้อีกฝ่ายเก็บตัวไม่ออกไปไหน เกรงว่าจะออกไปเจอกับงูบริวารรอบตัวบ้านเข้า ข้าไปสำรวจรอบบ้านเพื่อดูแลความปลอดภัย ข้าเจอไวทินที่แปลงผักหลังบ้าน อีกฝ่ายมาคอยดูลาดเลาให้แดนนาคา"ข้ามีข่าวบอกเจ้า"งูเขียวเลื้อยพรางตัวไปตามกอตระไคร้ ชูคอแทรกไปตามใบยาวเรียว ข้าเหลียวมองไปรอบบ้าน มองไปทางหน้าต่างชั้นบน ไม่มีผู้ใดอยู่จึงหันมาสนทนาด้วย"มีอะไรสำคัญหรือ""ข้าเจอร่องรอยของนาคาสีดำ"ข้าขมวดคิ้ว นึกถึงพี่ชายขึ้นมา"อักครารึ"งูเขียวไม่ตอบ เพียงแค่เอ่ยเสียงต่ำ จดจ้องไปวางตา"เจ้าตอบมาตามตรง เจ้าไว้ชีวิตองค์อภัยภัทรงั้นหรือ"ข้าตกใจมาก คิดไปในทางเดียว นาคาสีดำที่ว่าคงเป็นเสด็จพ่อไม่ผิดแน่ ไวทินมีท่าทีโกรธเกรี้ยว"หลังเข้ามาเมืองมนุษย์ในปีที่ยี่สิบ ข้าตามหาเสด็จพ่อจนเจอ เขาอยู่ที่ถ้ำของมารดา เสด็จพ่อข้าร่างกายไม่เหมือนเก่า การฟื้นคืนองค์ตมะทำให้เขาเสียตบะไปเกือบหมด มณีของอภันตีไม่กลืนกินเขา เพียงปกปักษ์รักษาดวงแก้วมณีไว้แทน แต่เขาอ่อนแอมาก ตอนข้าเอามณีคืน เขาไม่ได้ต่อสู้ด้วยซ้ำ...มารดาข้าบอกว่าเสด็จพ่อมีชีวิตสั้นลง การใช้มณีของอภันตีเพื่อฟื้นตบะ ต้องมีการสังเวย ซึ่งใช้เลือดเนื้อของเจ้าของมณีจึงจะทำสำเร็จ"ข้าเอ่ยตามจริง ข้าหาเขาทั่วทั้งบกและบาดาล โชคดีข้าเจอร่องรอยของมารดา เป็นงูเห่าขาวตัวหนึ่ง บอกว่าเคยเจองูที่คล้ายกับข้า"เจ้าเล่านิทานครอบครัวให้ข้าฟังไปไย ข้าสนแต่เจ้าที่ไว้ชีวิตองค์อภัยภัทร สิ่งที่ควรทำคือปลิดชีพเขาเสีย"ไวทินเอ่ยเย็นชา ใจข้าพลันกระตุก นึกถึงฝ่ามืออุ่นของเสด็จพ่อยามที่พระองค์ลูบศีรษะข้าแล้วหัวใจเจ็บปวด ให้ข้าฆ่าเสด็จพ่อตนเองงั้นหรือ..."องค์ศิวะสั่งให้ข้าชิงมณีคืน ข้าเพียงทำตามคำบัญชานั้น""ถูก ความซื่อตรงของเจ้าเป็นดาบคืนสนองต่อเด็กหนุ่มนั่น"ไวทินโกรธเกรี้ยว ฟาดหางจนเกิดเสียง ข้ามองเขาอย่างพิจารณา อีกฝ่ายเป็นสหายอภันตีที่ภักดีมากคนหนึง"เขายังอยากใช้มณีอีกรึ"ข้าชาไปทั้งร่าง มือเย็นเยียบไปหมด งูเขียวสงบสติอารมณ์ได้จึงกลับไปพรางตัวต่อ เลื้อยแทรกไปตามช่องว่างของกอตระไคร้"คงจะเป็นแบบนั้น รู้ทั้งรู้ว่าต่อให้ครอบครองมณีไป ก็ไม่อาจทำให้อัตรคุปต์เป็นอิสระได้ เขาอยากจะก่อสงครามที่ไม่มีวันชนะ...เขาแพ้ตั้งแต่เริ่มแผนการ""เจ้าว่าเขาแพ้หรือ เขาไม่ต้องการทำลายอมรานคร เขาแค้นเคืองต่อองค์เหนือหัว""นี่เจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าข้าหรือ เอาเถอะ เจ้ามันแค่นาคาไร้เกียรติ ทำผิดพลาดซ้ำซาก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ท่านทำร้ายองค์อภันตีตกอยู่ในอันตราย..."ไวทินเอ่ยอย่างมีโทสะ ไม่ทันที่ข้าจะอ้าปากตอบ งูเขียวเลื้อยหนีหายออกไปทางประตูที่เปิดอ้าไว้ข้านิ่งเงียบ ให้ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจ ข้าไม่รู้หรอกว่าการไว้ชีวิตเสด็จพ่อจะเป็นร้ายต่อพันตรี... สภาพของนาคาสีดำในยามนั้นอ่อนแรงเซื่องซึมไม่ขยับตัว ข้ารู้จากมารดาว่าเขาตาบอดแล้ว และเกิดอาการกินหางตัวเองไปเกือบครึ่งเพราะมีความผิดปกติทางระบบประสาท แม้มารดาจะช่วยเสด็จพ่อคายหางออก แต่เขาอ่อนแอพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากเดิม ข้าจึงเอามณีกลับคืน และปล่อยเสด็จพ่อไว้กับมารดา จากนั้นข้าไม่รู้ชะตากรรมของผู้ให้กำเนิดอีกเลยหากท้าวปุณมนัสทำการเปิดประตูเชื่อมทั้งสองแดน ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้อภันตีตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด กองทัพนาคาจัดเตรียมอยู่ในห้วงน้ำบาดาลอีกแดนหนึงอย่างไม่นึกสงสัย จะกลัวอันใดกลับนาคาสีดำที่มีแต่ความคับแค้นใจ ครานี้คงเป็นวาระสุดท้ายของเสด็จพ่อจริง ๆข้ารู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่เสด็จพ่อเลือกเส้นทางนี้ ความเสียหายรุนแรงเหลือเกิน ไม่กระทบเพียงแค่สายเลือดของท่าน แต่กระทบไปยังชาวเมืองหน้าด่านกันทุกคนมองฟ้าในยามเช้าตรู่แล้วกระจ่างใสเกินกว่าจะวางใจได้ ข้าถือโอกาสเล่นน้ำคลายความเครียด ในเมื่อที่น้ำตกนั่นข้าออกไปเล่นไม่ได้ นึกแล้วข้าอยากเล่นน้ำกับพันตรีสักครั้ง เขาโกรธข้า ถึงกระนั้นก็ยังเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขามีใจให้ข้ามากขึ้นเช่นกัน แสดงความรู้สึกกับข้าอย่างตรงไปตรงมา ในตอนนี้เขาห่วงข้าก็บอกว่าห่วง ต่างจากในวันแรกๆที่เขาปากแข็งนักเวลาความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ไม่ทันได้ยิ้มอย่างเต็มปาก นั่นสิ ข้ากับพันตรีเรายิ้มอย่างสุขใจได้กี่คร้ังกันเล่า ข้าอยากทำมากกว่าโอบกอดเขา ความรักทำให้ข้าโลภมาก“ข้าผูกพันกับเจ้ามานาน...ไม่มีทางที่ข้าจะทำร้ายเจ้านะพันตรี”ข้าเอ่ยจริง กอดร่างอุ่นไว้เต็มอ้อมแขน อีกฝ่ายสั่นไหว เขาร้องไห้ออกมา อย่างน้อยข้าเห็นรอยน้ำตา'ปวดใจนัก ไม่อยากเห็นน้ำตาเจ้าอีก ข้าให้สัญญาว่าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิต ข้ามีชีวิตเดียวก็ขอใช้ชีวิตให้แก่ชายคนรัก คงทำให้ข้าสมใจปรารถนาได้'“คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอ...หากผมไม่กลับไป...คุณคงเจ็บปวดมาก และสุดท้ายคุณก็จะจากผมไป...กลับไปแดนนาคา”“ใช่...ความจริงเป็นเช่นนั้น...ข้าอาจไม่มีเจ้า และเจ้า...กลับไปใช้ชีวิตดังเดิม”อย่างน้อยก็ดีกว่าการจากไปไม่หวนกลับ ทางเลือกนี้ไม่ใช่ทางเลวร้ายสำหรับพันตรี หรือสำหรับข้า แต่หากใช้ความรู้สึกตัดสิน เป็นทางเลือกที่มีหนามแหลมทิ่มแทง ข้าคงเหมือนตายทั้งเป็น...ไม่ตายก็เหมือนตาย คงเป็นเช่นนั้นข้าไม่ได้เอ่ยตอบโต้สิ่งใดอีก พันตรีกอดข้าแน่นราวกับจะกักเก็บข้าไว้ไม่ปล่อย บางทีพันตรีคงตัดสินใจได้แล้ว ข้ายิ่งกลัว กลัวว่าเขาจะยอมสังเวยตนเองหากข้าได้อภันตีกลับคืน เจ้าจะยังเป็นคนเดิมอยู่หรือไม่ จะเศร้าหมองหรือเปล่า ข้าเคยนึกภาพตามหากอภันตีฟื้นคืนตื่นจากความตาย เจ้าจะยังรู้สึกต่อข้าเช่นเดิมหรือไม่ มองหน้าข้าแล้วเจ้านึกถึงเสด็จพ่อบ้างหรือเปล่าคำถามเหล่านี้อ่อนไหวเกินกว่าที่ข้าจะกล้าเอ่ยออกไปเย็นวันนั้น เหตุการณ์ไม่ปกติ ข้าสังหรณ์ใจได้ถูกเมื่อมีเสียงดังเกิดขึ้นที่ประตูหลังบ้าน เป็นสัญญาณเตือนจากแดนนาคา มนุษย์ไม่รับรู้เหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ พวกเขาไม่รู้เห็น ข้าจึงไปสำรวจสิ่งผิดปกติคืนกำไลให้พันตรีเอาไว้ติดตัว ของที่เป็นของตนอย่างไรซะก็สามารถใช้ได้เอง ไม่ต่างจากอาคมที่มีอยู่ในสายเลือดนาคาข้าเลื้อยเข้าไปในป่าไผ่ใกล้กับน้ำตก ข้าเจองูบริวารตัวหนึ่งอารมณ์ดุร้าย เอ่ยห้วนสั้นว่ามีผู้เป็นใหญ่เดินทางมา ข้าสงสัยหรือจะเป็นนาคาสีดำเช่นเสด็จพ่อและอักครา"ไม่ใช่ที่เจ้าคิด เขาคือผู้เป็นใหญ่โดยแท้"ท้าวปุณมนัสหรือ....ทันใดนั้นข้ารีบกลับไปหาพันตรียังทิศทางที่จากมา ทว่าเขาหายไปเสียแล้ว มองเห็นร่องรอยการต่อสู้และรอยเลื้อยขนาดใหญ่ เสียงร้องแหลมของนาคาสะท้านก้องมาจากทางลานน้ำตกเสด็จพ่องั้นรึ...ข้ารีบตามติดไป ใช้แหวนให้พลังเพิ่มพูน ข้าเป็นนาคาขนาดเท่านาคาตนอื่น ระหว่างที่โผล่มาถึงเนินดิน ภาพปรากฏเบื้องหน้าคือไวทินต่อสู้กับเสด็จพ่อ ใช้ร่างนาคาห้ำหั่น ข้าไม่คิดว่าเสด็จพ่อจะกลับมาแข็งแรงได้อีก ใช้อาคมใดกันส่วนพันตรีข้ามองไม่เห็นเขาเลย แต่เมื่อเห็นปลายหางของอักคราจมหายไปยังใต้น้ำ ข้าคาดเดาเหตุการณ์ออกใจเต้นระรัว พันตรีอยู่ในน้ำ...หรือนี่จะเป็นกลลวงงั้นหรือ...หลอกแม้กระทั่งนาคาสีดำ ทั้งคนพ่อคนลูก เมื่อข้าจะลงไปยังธารน้ำ เสด็จพ่อหลบจากการโจมตีของไวทินได้ หันหน้ามาต่อว่าข้า"เจ้า เนรคุณนัก""เสด็จพ่อ""หึ อย่าหวังจะสมใจได้โดยง่าย"นาคาสีดำพุ่งเข้าใส่ไวทิน เฉียดไปนิดเดียว โต้กลับทันควัน อ้อมวนเข้าฉกกัดพ่นพิษใส่ไวทิน จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่ธารน้ำติดตามไป ไวทินตามไม่ห่างจากเสด็จพ่อ เขาไล่ตามลงไปในธารน้ำตก ปากอ้ากว้างฉกกัดเข้าที่โคนหางนาคาสีดำจนมีเลือดฟุ้งกระจาย น้ำกระเพื่อมเป็นวงใหญ่หายไปทั้งเสด็จพ่อและไวทินข้าเลื้อยหมายตามลงน้ำ ทว่ามีตรีศูลด้ามยาวหลายเล่มกักข้าไว้ราวกับกรง ข้าพลันชะงักไม่อาจเคลื่อนไหวร่างได้ เพราะคมจากตรีศูลทิ่มมาตลอดทั้งร่างจรดห่าง มองอ้อมหลังพบกองทัพนาคายืนประจันหน้า"อย่าได้สอดมือเข้าไปข้องเกี่ยว เจ้าตัดสินใจผิดมามากแล้วอักษราภัค"ท้าวกัมลาสน์ ผู้เป็นใหญ่ทางทิศใต้เอ่ย ส่วนนาคาจากทิศตะวันออก ท้าวภฑิลลาผู้ดูแลนาคาราชทัณฑ์ ข้ากลายเป็นนักโทษอีกครา ในศึกหนนี้พันตรี หวังว่าเจ้าปลอดภัย มณีคงช่วยรักษาดวงจิตเอาไว้ได้"อย่าห่วง เราจัดการดวงจิตขององค์อภันตีไว้เสร็จสิ้น ท้าวปุณมนัสจะคืนชีวิตให้พระโอรสในวันนี้...หลังจากปราบนาคาสีดำให้สิ้นซาก"ท้าวภฑิลลาเอ่ย สั่งนาคาราชทัณฑ์เข้าประกบ ข้าคืนร่างมนุษย์ดังเดิม ถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้ที่สองมือและที่สองขา มีโซ่อันใหญ่พันรอบลำคอเพื่อฉุดรั้ง สั่งให้เดินตามที่กำหนด กระทำกับข้าราวกับเป็นนาคาชั้นต่ำ จากนั้นนำข้าลงสู่ใต้บาดาลเมื่อลงมาลึก จนเห็นผืนดิน จึงรู้ได้ว่าที่นี่คือดินแดนภาคกลาง อิฐสีแดงเรียงรายทั่วปูทางสู่ตัวเมืองชั้นใน เป็นวิหารสำหรับงานพิธีและการบำเพ็ญตน ทั่วบริเวณล้อมรอบไว้ด้วยกองทัพนาคาจากสี่ทิศ สูงเหนือศีรษะขึ้นไปมีมวลน้ำทะมึนลอยปกคลุมทั้งจัตุรัส ศึกนี้เสด็จพ่อและอักคราถูกปิดตายไว้ นาคาสีทองและสีรุ้ง ร่างสูงสง่าพละกำลังสูงโซ่ตรวนเสียดสีถูกดึงรั้งจากด้านหลัง เมื่อข้าเห็นพันตรี เขามีเครื่องแต่งกายของแดนนาคา ร่างกายเป็นพันตรี แต่จิตใจข้าหารู้ไม่ หนุ่มน้อยของข้าถูกจับนั่งคุกเข่าต่อแท่นบูชานคาที่มีดวงจิตเสี้ยวเดียวของอภันตี เขามีแถบผ้าสีน้ำตาลผูกปิดดวงตาไว้ ลำตัวถูกตรึงด้วยเส้นสายสีทองสว่างจากอาคม บริเวณที่พันตรีนั่งเป็นใจกลางจัตุรัส มีเสาหินกลมเกลี้ยงวางรอบเป็นวงกลม ด้านบนมีเปลวเพลิงสีส้มอ่อนจุดทั้งหกเสา ราวกับเป็นแท่นพิธี ข้าและกำลังพลของนาคาทิศเหนือและใต้อยู่นอกจัตุรัส"พัน..."ไม่ทันจะร้องเรียกได้เต็มเสียง ปลายตรีศูลจ่อเข้าที่ลำคอจนเกิดรอยแผล ข้าเจ็บแสบ ขณะที่กลืนน้ำลายยากลำบาก"อักษรา..."เขารีบหันมาทางทิศทางที่ข้าอยู่ สีหน้าหมดหนทาง เขาดูอ่อนแอเหลือเกิน มองดูพันตรีเหมือนเป็นหุ่นที่นาคาเหล่านั้นจับมาทำพิธี ส่วนท้าวปุณมนัส ยืนอยู่นอกเขตวงกลม พร้อมผู้ติดตามสองคน เขาหันมามองดูข้าด้วยสีหน้านิ่งเฉยเสด็จพ่อต่อสู้กับไวทิน ฝ่ายอักคราถูกจับกุม กักขังอยู่ในกรงเหลี่ยม สภาพดูไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ขณะเดียวกันเสด็จพ่อตั้งตัวตรง ส่วนกลางลำตัวราบกับพื้นตั้งหลักไว้ พ่นพิษใส่ไวทินติดต่อกันราวกับไม่ให้มีช่องในการตอบโต้กลับ ไวทินถอยหลบ ฉับพลันนาคาสีรุ้งพุ่งทะยานเข้าหาลำคอของนาคาสีดำ ปล่อยพิษไฟที่มีผลต่อผิวหนังชั้นนอก นาคาสีดำดิ้นสะบัด หันหน้าเข้าไปจู่โจมนาคาสีรุ้งแทน เมื่อโจมตีคู่ต่อสู้ใหม่จึงมีช่องว่างเกิดขึ้นการต่อสู้นี้คือสนามสุดท้ายของเขา ...เสด็จพ่อ...'รอเวลาเถิดลูกรัก ข้าจะทวงความยุติธรรมให้เจ้า''มณีของเจ้า เกียรติของเจ้า พ่อจะทวงคืนเอง'ข้าไม่ต้องการแล้ว...ข้าแค่อยากมีความสุขที่แท้จริงร่างของนาคาสีดำเลื้อยปัดเปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้าใส่นาคาตนอื่นที่ตีวงเข้ามาสลับผลัดเปลี่ยนโจมตี ปล่อยพิษซ้ำหลากชนิด จนนาคาสีดำร้องลั่นสะเทือนสะบัดหางเข้าใส่นาคาที่เข้ามาโจมตี ครานี้ถือเป็นรุกโจมตีอย่างไม่หยุดพัก ข้าหันไปมองท้าวปุณมนัสที่ยืนดูโดยไม่เสียเรี่ยวแรง ราวกับว่าเสด็จพ่อข้าไม่มีค่าใดมากกว่าให้นาคาอื่นไปประมือผู้ติดตามของท้าวปุณมนัสเข้าบดบังพันตรีไปจากสายตาข้า หันมองเสด็จพ่อที่ยามนี้ล่าถอยไม่ได้ มีแต่ตายเอาดาบหน้า นาคาตนอื่นพุ่งกัดไปเรื่อย ๆ เสด็จพ่อข้าล่าถอยไปทีละนิด แต่ก็ถูกไล่จากทางด้านหลัง จนตรอกอย่างแท้จริง เป็นภาพไม่น่าดูนัก เมื่อเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ข้าเบือนหน้าหนีไม่อาจมองดู เสด็จพ่อข้าไม่ใช่คนดี แต่เขาเป็นพ่อที่ยังมองข้าเป็นลูก เสียงหนึ่งดังออกมาเบาราวสายลม"ถือซะว่าทวงให้เจ้าครึ่งเดียว อีกครึ่งมารดาของเจ้า..."เสด็จพ่อพูดไม่ทันจบ ไวทินถอยไปเพื่อโถมแรงพุ่งใส่รุนแรงไม่ต่างจากคมหอก อาวุธของตัวเขาเอง เลือดสาดกระเด็น เปรอะไปทั่วลานประลอง"มารดาหรือ..."ข้าผงะ หรือที่เขาฟื้นพลังขึ้นมาได้ เพราะแม่ข้ามอบตบะน้อยนิดให้ มารดาข้าเป็นงูบนบก วงจรชีวิตสั้นกว่าเสด็จพ่อข้านักพันตรีหันมองมายังทิศทางที่ข้าอยู่ เขาเหมือนลูกนกหลงทาง ยิ่งเห็นแล้วข้าไม่เข้าใจท้าวปุณมันสนัก เหตุใดต้องทำกับพันตรีเช่นนั้นลานประลองเงียบลง มีความเคลื่อนไหวเข้าไปในจัตุรัส มีเสียงพูดคุยว่าการสังเวยใช้เสด็จพ่อข้าไม่ได้ ร่างของนาคาสีดำนอนหายใจแผ่วเบา ท้าวภฑิลลาดึงมณีกลับ นำคืนสู่พันตรี เขาใช้ดาบใหญ่ฟันลงที่ลำคอของเสด็จพ่อ ง่ายดายราวกับตัดต้นไม้ ข้ามองด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จริงอยู่ข้าไม่ผูกพันกับเสด็จพ่อนัก ยิ่งเขาทำเรื่องเลวร้ายกับอภันตีทำให้ข้าหมดศรัทธาเสด็จพ่อ แต่ไม่ใช่การประหารต่อหน้าข้าเช่นนี้ เหมือนนาคาสีดำตนนั้นไม่มีค่าให้ต้องมากพิธีรีตองข้ารู้สึกเสียใจ โกรธเคืองปะปนกันไปหมด ก่อนจะมลายหายไปเมื่อเห็นท้าวปุณมนัส ท้าวกัมลาสน์และท้าวภฑิลลา ร่วมกันใช้อาคมเพื่อดึงพลังจากมณี สามนาคาผู้เป็นใหญ่ เดินเข้าไปในใจกลางจัตุรัส เข้าไปในเสาหกแท่น พันตรีนั่งตรงหน้าแท่นบูชา เป็นร่างของนาคาเลื้อยพันรอบดวงแก้วกลม เป็นแท่นขนาดเท่าคนสูงใหญ่หลอมจากศิลาดำชั่วพริบตา แท่นบูชารูปนาคาคล้ายมีเงาขยับ"ข้าปุณมนัส กราบศิวะเทพ และท้าววิรูปักษ์ มหาราชผู้ปกครองเหล่าพญานาคแห่งจาตุมหาราชิก ข้าขอพลังสถิตแก่เหล่าบริวารมีพิษทั้งหลาย ให้ข้าสมประสงค์"เป็นเพียงคำสวดง่ายๆ ข้าจ้องมองพันตรีอย่างเป็นห่วง เรื่องต่อจากนี้เปลี่ยนแปรทุกสิ่งทั้งสามผนึกอาคม วาดวงแขนเหนือศีรษะจรดลงที่ระดับสายตา เกิดวงแหวนสีทองประกายอ่อนคล้ายอาทิตย์ทรงกลดอยู่เหนือศีรษะ รอบกายพลันมืดลงราวกับตกอยู่อาเพศ"เลือด เนื้อ และดวงจิตเก่าของอภันตี นาคา วรรณะทอง ขอจงกลับคืนสู่อมรานคร รวมดวงจิตแบ่งแยกให้หลอมรวมเป็นหนึ่งอีกครา"เสียงทุ้มต่ำของท้าวปุณมนัสเอ่ยสะท้อนก้องไปทั้งลานจัตุรัส ข้าหรี่ตาลงเมื่อแสงสว่างเหนือศีรษะจ้ามากขึ้นเสียงก่อตัวของคลื่นดังโหมกระหน่ำจนแผ่นดินสะเทือน เงาร่างสีเรืองรองก่อกำเนิดเป็นลำตัวยาวของนาคา ประกายสีทองเจือจางลอยเป็นเส้นประกอบร่างกลายเป็นเกล็ดทีละส่วนราวกับเม็ดทรายที่ถูกดึงกลับภาชนะ เงาร่างสง่าของนาคาสีทอง ยังคงโปร่งแสงไม่มีกายเนื้อกลับกันพันตรีเริ่มอยู่ไม่สุข เขางอตัว ดิ้นรน ใบหน้าเครียดเขม็ง ข้าเห็นว่าหน้าผากของเขามีวาวประกายเป็นรูปรีของมณีแดง"เลือด เนื้อ กระดูก ดวงจิตเก่าแก่กอบเกิดเป็นร่างมนุษย์ ขอหวนคืนสู่แก่นแท้ของเสี้ยวดวงจิตที่เหลืออยู่ในแดนนาคาแห่งนี้ คืนสู่เจ้าของเดิมจงสำแดงผล"ท้าวปุณมนัสเอ่ยอีกครั้งแสงอาทิตย์ทรงกลดขยายวงใหญ่ ดวงกลมตรงกลางสว่างจ้าเรืองรองราวกับเป็นดวงใจ เงาร่างที่ค่อยๆรวมเป็นมวลน้ำหนัก เกล็ดวาวสีสองเริ่มเกาะตัว เงาเส้นสายหนึ่งของนาคาเลื้อยปราดวนเวียนรอบกายของพันตรีไว้แทบจะกลืนกินดั่งคลื่นม้วนกลบร่าง นาคาพันรอบร่างของพันตรีอยู่หลายหนคลื่นน้ำหมุนวนนอกจัตุรัส สีขุ่นราวกับมีพายุฝนเปรี้ยงพลันปรากฏเสียงกัมปนาทราวกับสายฟ้าฟาด ทิศทางเกิดเสียงไม่ได้ไปทางพันตรี แต่แสงแสบตาเกิดขึ้นที่บริเวณพลทัพของท้าวกัมลาสน์ นาคาหลายสิบคนล้มลงราวกับโดนอสนีบาตฟาด เสี้ยววินาที ผู้เป็นใหญ่หันไปมองทางต้นเสียง เป็นนาคาสีดำ ผู้ติดตามของเสด็จพ่อที่ยังคงอยู่ในอัตรคุปต์ นาคาตนนั้นคงภักดีตนวาระสุดท้าย ไวทินพุ่งไปจู่โจมกับนาคาสีดำตนนั้นเปรี้ยงต่อมาเกิดเสียงอีกระลอกตามมาจากกองทัพด้านหลัง เป็นทางฝังของข้า พลของท้าวภฑิลลา ไม่มีผู้ใดคาดคิด พลหลายสิบคนล้มระเนระนาด ท้าวปุณมนัสกัดฟันกรอด หันมองไปที่นาคาสีดำอีกตัวที่ทำพยศครืนพริบตาเดียวเงาร่างดำเมื่อมของอักคราพุ่งทะลายจากกรงขังแตกกระจาย ถลาจู่โจมมาที่ใจกลางจัตุรัสในคราเดียว อากัปกิริยารวดเร็วจนไม่ทันตั้งรับ ทีแรกท้าวปุณมนัสคิดว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายพันตรี จึงใช้อาคมกางม่านพลังกันร่างเขาไว้ ทว่าเป้าหมายกลับเป็นที่แท่นบูชานาคา อักครากระโจนใส่เต็มแรงไม่ป้องกันร่างกายส่วนอื่นที่ถูกโจมตีกลับจากพลทัพนาคา ส่วนหัวของรูปสลักแตกกระจายกระเด็นออกไปทุกทิศทางที่ผ่านมาอักคราแสร้งตาย ไวทินตระหนกละจากนาคาสีดำตนนั้น แล้วฟาดหอกด้ามยาวเข้าใส่ใบหน้าของอักครา ชิ้นส่วนหลุดกระเด็นไปครึ่งข้าผงะตกใจ โซ่ตรวนทั้งมือเท้าถูกรั้งไว้จากนาคาราชทัณฑ์อีกครั้งเมื่อขยับร่าง ข้าร้องเรียกพันตรีท้าวปุณมนัสผงะ ใช้มืออีกข้างร่ายอาคมปล่อยอาวุธปลายแหลมด้ามยาว พุ่งเข้าใส่อักคราด้วยดาบเดียว แทงทะลุร่าง พริบตานาคาดิ้นปัดทุรนทุรายอยู่ชั่วครู่ขณะเดียวกันเส้นสายของนาคาสีทองพลันจางลง ก่อนแตกกระจายออกราวกับเม็ดทรายละเอียดในอากาศ"ไม่!!"ท้าวปุณมนัสตะโกนลั่น สองนาคาจากทิศใต้และเหนือร่วมกันผนึกอาคมอีกครั้ง แต่เหมือนไร้ผลอภันตี....เสี้ยวสุดท้ายในแดนนาคาปลิวหายไปแล้ว เวลาคล้ายหยุดนิ่ง คลื่นอารมณ์สะท้อนกลับมา ทีแรกข้าคิดว่าคงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักเพราะพันตรียังอยู่ ทว่าภาพที่ร่างนาคาสีทองสลายไปทีละน้อยทำให้ข้าทรุดร่างลงกับพื้น นึกถึงวันสุดท้ายของอภันตี ตอนที่เขามองมาที่ข้า เสียงกระซิบแผ่วเบาของห้วงสุดท้ายของชีวิตข้าไม่ต้องการให้เขาตาย ข้ารักอภันตี รักทุกสิ่งที่เป็นเขา เฉกเช่นพันตรีที่กอบเกิดจากดวงจิตของอภันตีเช่นกัน ข้าถึงบอกว่าไม่สำคัญอีกแล้วว่าข้าจะรักใคร เท่ากับรักจิตดวงเดียวกัน เพียงแค่จิตดวงนั้นมีชีวิตของตัวเองวูบบบวงกตแสงอัสดงดับวูบลงราวกับคืนเดือดดับ ก่อนที่จะเกิดวงแหวนพุ่งออกจากวงกลมในใจกลางอาทิตย์ทรงกลดเสียงกรีดร้องแหลมจากนาคาดังลั่นลานจัตุรัส พันตรีมืดบอด ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าศีรษะรวดร้าวรุนแรงจนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อในอกคล้ายถูกกระแทกอัดเต็มแรง เจ็บร้าวไปทั้งร่าง ไม่อาจเปล่งเสียงได้อีก เด็กหนุ่มทรุดตัวไปทางด้านหน้า ก่อนร่างจะกระแทกเข้ากับพื้น เขาถูกโอบรับจากใครคนหนึ่ง"เจ้า...เกิดอะไรขึ้น"เสียงของท้าวปุณมนัสดังข้างหู เขาส่ายหน้า มีเพียงความมืดมิดและเสียงวุ่นวายรอบตัว จากนั้นทั้งลานก็เงียบเสียงลง เขากัดฟันแน่นเมื่ออาการรวดร้าวใจภายในค่อยแผ่กระจาย ราวกับถูกฉีกกระชากร่างกาย เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อครู่นี้มีเสียงดังหลายครั้ง และเสียงอะไรบางอย่างหล่นกระทบ คล้ายกับหิน....เด็กหนุ่มน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ แสบร้อนไปทั้งตัว"อะ..."ลำตัวถูกรวบมัดไว้ด้วยอาคมทำให้เขาได้แต่กระเสือกกระสนหาทางออก อะไรก็ได้ที่สามารถหยุดความเจ็บนี้ภาพของอภันตีปรากฏอยู่ในความทรงจำ เส้นสายนาคาเจือจางหันมองมาทางเขา ส่งยิ้มให้บางๆ ก่อนจะคืนร่างนาคาเลื้อยหายไปตามอากาศ ปลิวลอยจนหายไป.....หายไปแล้ว อภันตี... ดวงจิตแตกสลายไปแล้วงั้นเหรอ เขาปะติดปะต่อเรื่องราวเอง เสียงอะไรแตกหัก ใช่มาจากแท่นบูชาที่เก็บดวงจิตของอภันตีไว้หรือเปล่าศีรษะร้าวระบมอีกครั้ง เมื่อความร้อนฉ่าปรากฏที่หน้าผากเหมือนโดนคมมีดทิ่มแทง เขามองไม่เห็น จึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเอง หรือทั้งหมดที่เขารู้สึกเป็นเพียงห้วงความคิดเท่านั้น ฉับพลันใบหน้าของอักษราภัคปรากฏวาบขึ้นมา"อักษราภัคอยู่ไหน"เขาถาม พยายามปัดป่ายมือที่ถูกมัดไว้ สองแขนของท้าวปุณมนัสคลายออก มีเสียงขยับเดิน เด็กหนุ่มล้มลงกับพื้น ไม่ทำให้เจ็บแต่มันทำให้เขาต้องกระเสือกกระสนหาทางลุกอย่างอยากลำบาก"เกิดอะไรขึ้น!""พันตรี!"เสียงของอักษราภัคร้องเรียก เขาหันไปทางฝั่งซ้ายมือ เท่าที่จำได้เขาอยู่ในจัตุรัส พื้นที่โดยรอบเป็นลานกว้างปูด้วยอิฐสีแดงทั้งหมดอักษราภัคอยากเจอเหลือเกินเขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวคล้ายกับเสียงโซ่และตามมาด้วยเสียงดังตุบ เหมือนใครสักคนถูกทุบตี พันตรีผงะ แสบร้อนไปทั่วร่างเหมือนผิวหนังหลุดลอก ลามมาที่ดวงตาด้วย"พันตรี..."เสียงเรียกของอักษราภัคทำให้พันตรีหลั่งน้ำตา น้ำเสียงอ่อนแรงเหมือนบาดเจ็บ เสียงรอบทิศอลม่านอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงสะบัดโซ่ดังขวับๆ หรือท้าวปุณมนัสจะลงโทษอักษราภัคอีกครั้ง"ได้โปรด...ปล่อยอักษราภัคไป"ทันทีที่เปล่งเสียง ไม่คิดว่ามันจะไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้ พันตรีไม่รู้ว่ามีใครได้ยินบ้าง บริเวณนี้มีใครยืนอยู่อีก เขามืดบอดอย่างแท้จริง ภาพหนึ่งปรากฏในห้วงความคิดอีกครั้ง ภาพที่อักษราภัคเคยอ้อนวอนองค์อภัยภัทร เพื่อขอให้ละเว้นชีวิตของเขา...อภันตี...."เจ้าว่ากระไรนะ""ผมขอร้อง ให้ปล่อยอักษราภัคไป...อย่าทำร้ายเขาอีกเลย"พันตรีบอกอีกหน ได้ยินเสียงสะอื้นของใครแว่วเข้ามา เสียงขยับโซ่ดังขึ้นอีกระลอก"พันตรี ปลอดภัยดีหรือไม่"เสียงของอักษราภัคตะโกนลั่น เขาส่ายหน้าหรือนี่เขาจะโดนลงทัณฑ์จากสวรรค์จริงๆ เขาสูดจมูก พยายามลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ น้ำหนักไม่มั่นคงเนื่องจากอาการปวดตุบที่หน้าอกทำให้หายใจลำบาก มีคนเข้ามาจับแขนไว้แน่น "ใครน่ะ...ไวทินเหรอ"เขาถาม พยายามก้าวเดินออกไปอย่างไม่รู้ทิศ ความมืดล้อมรอบตัว เขาเหมือนคนโง่งมที่พยายามหาทางออกความรวดร้าวยังคงดำเนิน ทั่วสรรพางค์กายสั่นสะท้านอีกครั้ง เขากำมือแน่นและกัดฟันทน เขารู้สึกได้ว่ามีของเหลวไหลรินผ่านแก้มไป เป็นเลือดของเขางั้นเหรอ...เพราะมณีกลับคืนมาแล้วหรือว่าถูกดึงออกไปกันแน่เสียงทรงอำนาจดังขึ้นมาอีกครั้ง ก้องไปทั่วลาน ไม่มีเสียงอื่นสอดแทรกมา"ถ้าเช่นนั้น...รับโทษของเจ้าซะ อย่างน้อยดวงจิตของอภันตียังอยู่ที่เด็กคนนี้ ให้เขามีชีวิตเพื่อเก็บดวงจิตเอาไว้ จับอักษราภัคให้มั่นอย่าให้เคลื่อนไหวได้อีก"คำบัญชาของท้าวปุณมนัสสิ้นสุดลง ตามมาด้วยเสียงเหล็กกระทบกัน"ไม่...จะทำอะไรเขา"เด็กหนุ่มร้องถาม แต่ไม่มีใครตอบ เขาพยายามเดินไปข้างหน้าแต่มือแน่นหนาจับที่แขนทั้งสองข้างของเขาไว้จนไม่อาจขยับตัวได้ ลำตัวชาไปหมด ไม่รุ้เพราะแรงกระชากหรือเพราะอาคมขณะนั้นมีอีกมือเข้ามาจับพันตรีกดให้นั่งลง เขาขืนตัวไว้แต่ไม่เป็นผล นาทีต่อมา รับรู้ว่าเข่าตนเองปวดร้าวจากการเตะ ก่อนที่หัวเข่ามันปักลงพื้นดังปึกจนพันตรีตัวงอเพราะร่างกายยังคงบอบช้ำจากพิธีเมื่อครู่ก่อนเด็กหนุ่มร้องไห้ออกมา เมื่อถูกปิดหูปิดตาจนแยกแยะอะไรไม่ออก เขาไม่เป็นที่ต้องการของใครอีกต่อไป เป็นเพียงกายเนื้อบรรจุดวงจิตของอภันตี...พอไม่สำเร็จก็ถูกกระทำเหมือนนักโทษชั้นเลว เขาสับสน แท้จริงแล้วตนเองใช้ความนึกคิดของใครกัน พันตรีไม่อาจแยกออกได้ เขากล่าวโทษทุกคน โทษไวทิน โทษท้าวปุณมนัสที่ก่อเรื่องพวกนี้ขึ้น"เลิกคร่ำครวญได้แล้ว เจ้ามันอ่อนแอไม่เปลี่ยน ไม่เติบโตขึ้นมาสักที!"ท้าวปุณมนัสเอ่ยอย่างไร้เยื่อใย พันตรีส่ายศีรษะ ร้องหาอักษราภัคอีกหน แต่คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีก ทำให้เขาเอ่ยกับท้าวปุณมนัสอีกรอบทั้งที่ไม่อยากสนทนากับนาคาตนนี้นัก"หากท่านต้องการชีวิตของอภันตี ผมยอมให้ก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำไปซะ"คราวนี้ท้าวปุณมนัสเข้ามาจับหน้าเขาไว้ รุ้สึกได้ถึงมือที่บีบคั้นที่คาง "เจ้าแน่ใจหรือพูดอันใดออกมา"พันตรีพยักศีรษะอีกครั้ง "ผมแน่ใจ""อย่า...พันตรี มันไม่สำคัญอีกแล้ว"เสียงแผ่วจากอักษราภัคดังขึ้นอีกรอบ ตามมาด้วยเสียงตวัดโซ่ดังครืนคราด เกิดอะไรขึ้นกับอักษราภัคกันแน่ มีคนทำร้ายอีกฝ่ายงั้นเหรอ ใจร้ายกันเกินไปแล้ว อักษราภัคโดนเนรเทศและออกตามหามณีจนเจอ และรอคอยการเกิดใหม่ของอภันตี แต่เหตุใดถึงต้องปฏิบัติกับอีกฝ่ายเช่นนั้น หรือเพราะเป็นนาคาสีดำงั้นเหรอ"ไม่...ผมเลือกแล้ว ผมจะคืนอภันตีให้คุณ...ให้คืนกลับแดนนาคาไปเสีย ดีหรือไม่ อย่างน้อยคุณจะได้ไม่โดดเดี่ยวอีก"พันตรีบอก แรงบีบที่แขนซ้ายเพิ่มขึ้น เขาคิดว่าเป็นไวทิน เมื่อมีเสียงอึกอักดังมาจากคนที่จับตัวเขาไว้"รู้ตัวหรือไม่ว่าพูดสิ่งใดอยู่พระโอรส"ไวทินเอ่ยออกมาในที่สุด ดังอยู่ข้างหู ไม่ได้พูดให้ใครฟัง มีเพียงเด็กหนุ่มได้ยิน"มณีไม่อาจใช้เครื่องสังเวยโดยผู้ใดก็ได้ องค์อภัยภัทรฟื้นองค์ตมะก็เพราะเขาใช้อภันตีสังเวย ผู้เป็นเจ้าของมณี แต่หนนี้หากฟื้นคืนอภันตี ย่อมใช้เจ้าของเดิม...แต่ไม่สำเร็จ...ดวงจิตแก่นแท้ของอภันตีแตกสลายไปแล้ว! จะให้ฟื้นคืนสิ่งใดได้อีก"ท้าวปุณมนัสเอ่ยเสียงห้วน ในน้ำเสียงแฝงความแค้นเคืองและเศร้าเสียใจ ยามเอ่ยชื่ออภันตีหางเสียงจะสั่นเครือเล็กน้อย"ข้าผิดเอง"เสียงของอักษราภัคดังขึ้น เด็กหนุ่มหันไปตามเสียง เขาอยากไปหาอีกฝ่าย อยากมองหน้าของเขาว่ายังปลอดภัยดีหรือไม่"ใช่ ทุกสิ่งล้วนเป็นความผิดเจ้า""ไม่ใช่!!"พันตรีโพลงออกมา เขาไม่ทนกับเรื่องราวพวกนี้อีกแล้ว เขาไม่สนใจความมืดบอดจากการปิดหูปิดตาของท้าวปุณมนัส พยายามดีดดิ้นออกจากมือของไวทิน "ปล่อยผม""อย่าทำให้เรื่องแย่ไปกว่านี้เลย"ไวทินบีบแขนแรงขึ้น กดไหล่ของเขาให้นั่งลงอีกครั้ง"เพราะท่านยึดเมืองอัตคุปต์ไม่ใช่หรือ ท่านต้องยอมรับผลของมันสิ ว่าถูกต่อต้านเป็นเหตุให้เสียอภันตีไป""ก็ถูก แต่เพราะพวกนั้นคิดกบฏ คิดทำในสิ่งที่ไม่มีทางชนะไม่ใช่หรือ อย่าอ้างเรื่องความชอบธรรมกับข้า เจ้าจะซื่อตรงแบบโง่งมไปอีกกี่ชาติกัน"จากนั้นแสงสว่างก็เจิดจ้าจนเขาดวงตาพร่าเลือน แถบผ้าถูกปลดออก เมื่อปรับสายตาได้ชัด เบื้องหน้าของเขาเป็นท้าวปุณมนัส ร่างสูงใหญ่ ใบหน้านิ่งขึงมีความเด็ดขาดอยู่ชัดเจน ศีรษะประดับเกี้ยวนาคาสีมรกต สวมเสื้อสีอ่อนแนบเนื้อยาวถึงแขนที่อกกำยำมีกรองคอประดับห้อยลงมา สวมโจงกระเบนสีแดงปักลายไทยหันไปมองรอบกาย เขาตกใจ เมื่อเห็นมือและเท้าของอักษราภัคถูกตรึงด้วยแผ่นเหล็กทำให้ไม่อาจขยับขาได้อีก เขาเห็นรอยแผลเปิดเป็นเส้นบาดลึกที่ลำคอ เลือดไหลเปรอะหน้าอกเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย บนใบหน้ามีรอยช้ำอยู่อักษราภัคส่ายหน้าช้าๆราวกับว่าร้องขอผ่านการกระทำนั้น แต่พันตรีตัดสินใจได้แล้ว ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเจ็บอีก"ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ยอมรับผลของมันซะสิ ว่าอภันตีตายไปแล้ว เหลือแต่ผมที่เป็นมนุษย์...ไม่ใช่คนของที่นี่อีกต่อไป ท่านเสียลูกชายไปตลอดกาล""หยุดนะ! อภันตีเจ้าไม่มีความจำเก่าใด ถึงกล้าเอ่ยเรื่องนี้กับข้า"ท้าวปุณมนัสมายืนอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายดูไร้สติไปแล้ว ราวกับว่าถูกความผิดหวังครอบงำจนไม่คิดอ่านอะไรสักอย่าง ร่ำร้องจะลงโทษคน"ผมมี..."เขาเอ่ย เขาจำได้ทุกอย่าง แต่มันไม่มีผลอะไรต่อตนเองแม้แต่น้อย เพียงแค่เข้าใจอภันตีมากขึ้น"นั่นไม่ใช่การฟื้นคืนโดยสมบูรณ์ เพราะอักษราภัคที่ทำให้เรื่องลงเอยเช่นนี้ หากเจ้าไม่รั้งอยู่นาน คอยแต่เก็บเกี่ยวเอาความไม่รู้ของเด็กคนนี้เพื่อหล่อเลี้ยงความรักของตัวเอง เจ้าทำผิดมาหลายครั้งเหลือเกิน และข้าก็มอบโอกาสให้เจ้ามากมาย ถึงเวลาที่ต้องมาชำระโทษตามกฏ"ท้าวปุณมนัสเอ่ย จากนั้นสั่งให้นาคาราชทัณฑ์นำตัวอักษราภัคมาที่ใจกลางจัตุรัส พันตรีหันรีหันขวาง ทำอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นไวทินไปได้"อย่าลงโทษอักษราภัคอีกเลย"พันตรีร้องขอ ที่ผ่านมาอักษราภัคได้รับโทษของตนเองมากเกินไปด้วยซ้ำ"เจ้าบอกเองว่าลูกข้าตายไปแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์ออกเสียงใดๆอีก"อะไรนะ...."ขอร้องล่ะ ปล่อยอักษราภัคไปเถิด เขาเจ็บปวดมามากพอแล้ว""แล้วบิดามารดาที่ให้กำเนิดเจ้าเล่าไม่คิดว่าพวกเขาต้องโศกเศร้าหรือ...""...ถ้าอย่างนั้น ผมยอมอยู่ที่นี่ ท่านอยากทำอะไรก็ตามแต่ใจ"พันตรีร้องบอก อะไรก็ได้ ขอเพียงให้เรื่องเลวร้ายนี้จบลงเถอะ เขาไม่อยากเจ็บปวด หรือสูญเสียความเป็นตัวเองมากไปกว่า และที่สำคัญ...เขาไม่อยากให้อักษราภัคต้องมาเจ็บปวดอย่างไม่จบไม่สิ้นอีกแล้ว"ทำให้มันจบลงในที่แห่งนี้เถิด"พันตรีเอ่ยต่อ ท้าวปุณมนัสขยับเข้าหา สีหน้าเกิดความหวังฉายชัด เด็กหนุ่มไม่หลบตาไปไหน ได้ยินเสียงร้องห้ามจากอักษราภัค หันมองเห็นอีกฝ่ายโดนดึงรั้งลำคอจนเงียบเสียงอีกครั้ง"เจ้ามั่นใจหรือ"ผู้เป็นใหญ่ในทิศเหนือเอ่ยย้ำอีกครั้ง ไม่ทันที่พันตรีจะขยับปากเปล่งวาจาทันใดนั้นเหนือจัตุรัสมีเงาร่างเกิดขึ้น พร้อมแสงสว่างจ้าจนแสบตา"ไม่ได้...."เสียงกังวาน ทรงพลังดังขึ้น ทุกคนพลันก้มหน้านั่งลงคุกเข่าทันที ไวทินดึงฉุดให้เขานั่งลง หัวใจเต้นโครมคราม แสงจ้าจนไม่อาจเงยมอง ไวทินเข้ามากระซิบบอกห้ามมองเด็ดขาดเพราะบารมีไม่ถึง นั่นคือองค์ศิวะงั้นเหรอ"คำบัญชาของข้า คือให้อักษราภัคทำสำเร็จลุล่วงแล้วไม่ใช่หรือ ข้าสั่งให้เขาชิงมณีกลับคืนแต่เจ้าของเดิมเท่านั้น หามีเงื่อนไขใดไม่...เหตุไฉนท่านถึงใช้อำนาจตัดสินเขาอยู่อีก""เขาทำผิดกฏ"ท้าวปุณมนัสเอ่ยบอก"เหตุการณ์นี้เกินกว่าจะมีบทลงโทษ...ลงโทษผู้ที่ควรถูกลงโทษจะดีกว่า"องค์ศิวะหมายถึงนาคาสีดำที่ร่วมทำให้เกิดความเสียหายในจัตุรัสแห่งนี้"ส่วนเจ้า...ดวงแก้วมณีของอภันตีแตกสลาย หนึ่งเสี้ยวอยู่ในแดนนาคา ที่เหลือจุติยังเมืองมนุษย์....ฝืนชะตาใช้มณีคืนชีวิตแต่ไม่สำเร็จผลดังหวัง เสี้ยวเดียวของอภันตีสลายไป...เหลือไว้เพียงอภันตีที่ไม่ใช่อภันตีอีกต่อไป...การจุติคือสิ่งใด ข้าเชื่อว่าท่านเข้าใจ"ท้าวปุณมนัสนิ่งงันได้แต่รับฟัง เขาหันไปหาอักษราภัคที่ถูกให้นั่งคุกเข่า ใบหน้าว่างเปล่าแต่แววตาสะท้อนความรู้สึก สั่นไหว ไม่มั่นคง เจ้าตัวหันมาสบตาเขา ใบหน้านั้นไม่อาจยิ้มได้อีก"ไม่อาจฝืนชะตาของเขาได้ อภันตีไม่สามารถหวนคืนสู่แดนนาคาได้อีกต่อไป...เขาสิ้นบุญแล้ว...อาจจะตั้งแต่เมื่อคราวถูกทำลายดวงแก้วไป ทว่าอักษราภัคดึงดันเก็บเสี้ยววิญญาณเอาไว้ ดวงจิตที่เหลือนั้นหากเอ่ยตามกฏสวรรค์....ถือว่าไม่ข้องเกี่ยวกับอดีตอีก เกิดดับในภพนี้ จุติใหม่ในภพถัดไป"พันตรีรู้ดีว่าคำเอ่ยขององค์ศิวะนั้นเป็นวาจาสิทธิ์ อักษราภัคยังคงถูกพันธนาการไว้ เด็กหนุ่มขยับร่างกายได้แล้ว ไวทินไม่เข้ามาจับกุมเขาอีก เขาจึงรีบเดินโซเซไปหาอักษราภัคที่แววตาแดงก่ำอย่างอดกลั้น ก่อนจะหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของงูเผือกพันตรีมองไปทั่วร่างกายของนาคาเผือก เส้นผมยาวแผ่กระจายเต็มไหล่ เขาทรุดตัวนั่งลง ยื่นมือเข้าไปจับรอยแผลตามร่างกายของอีกฝ่าย มีริ้วแดงเป็นทาง รอยเลือดซึมอยู่ ปากแผลไม่กว้าง แต่ทำให้พันตรีหัวใจหดรัดแน่น เลื่อนสายตาไปมองลำคอที่มีรอยแดงจากอาวุธ ยื่นมือไปแตะอย่างแผ่วเบา บาดแผลนี้มาจากตอนที่อักษราภัคกำลังร้องเรียกเขาแต่ถูกแทงเข้าซะก่อน เขาเม้มปาก ปัดเส้นผมดำเข้าไปไว้ทางด้านหลัง"บาดเจ็บตรงไหนอีก"ประเมินจากสายตาบาดแผลภายนอกไม่รุนแรง แต่ภายในอาจบอบช้ำเพราะโดนทุบตี อักษราภัคส่ายหน้า"อย่าห่วงข้าเลย แล้วเจ้าเล่า อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง...เหมือนเจ้าดูทรมาน"เจ้าตัวถามเสียงแผ่วเบา ริมฝีปากปริแตก ฝ่ามือขาวยื่นมาแตะที่หน้าผาก อาการปวดร้าวลามเลียขึ้นมาอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้า แม้ว่าข้างในอกยังคงเจ็บแสบจากอะไรบางอย่าง เขาไม่อาจรู้ได้ มันทำให้หายใจไม่สะดวก เจ็บหน้าอกอยู่ตลอดเวลา“ตกลงแล้ว...”เด็กหนุ่มไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก แต่ถ้อยคำขององค์ศิวะกระจ่างชัด อักษราภัคเข้ามาใกล้ เพื่อหาคำพูดเอ่ยต่อเขา“เจ้าไม่ใช่คนของแดนนาคาอีกแล้ว...สิ้นสุดสถานะดวงจิตของอภันตีในภพมนุษย์”เสียงขององค์ศิวะดังกังวานอีกครั้ง ตอกย้ำให้พันตรีไร้เรี่ยวแรง ประสานตากับอักษราภัคทันที คนตรงหน้าดวงตาหม่นไร้ประกาย ส่ายหน้าเล็กน้อย“ขอพระองค์มีเมตตาละเว้นพันตรี หรือขอให้ข้าได้อยู่ร่วมกับเขาด้วยเถิด”อักษราภัคเอ่ยออกมาก้มหน้าลงต่ำ ไม่สบตาใคร เขาจดจ้องมองแต่อักษราภัคเพียงเท่านั้น อีกฝ่ายเข้ามาจับมือเขาแน่นขึ้น ระหว่างรอคำตอบ อยู่ๆดวงตาแสบร้อนขึ้นมา ...ต้องจากกันงั้นเหรอ...เขาคิดภาพไม่ออกนักกับการไม่มีงูเผือกอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้...ฝืนกฏสวรรค์ไปไย ไม่มีประโยชน์อันใด หรือจะให้ท้าววิรูปักษ์มาจัดการเรื่องในแดนนาคาเสียให้สิ้น"ราวกับเป็นบัญชาที่ไม่อาจแทรกแซงได้...ท้าววิรูปักเป็นใหญ่เหนือนาคาทั้งสี่ทิศ มีอิทธิฤทธิ์บารมีมากกว่านาคาสีทอง นาคาคือนาคา นาคราชคือนาคราช เหล่าผู้ใช้พิษต่างยอมสยบให้พญานาค ท้าววิรูปักษ์เป็นผู้คุมโลกของพญานาคเหมือนโดนกลบฝังความหวังจนดับมอด พันตรีหันมองอักษราภัคอีกครั้ง อีกฝ่ายยิ้มเศร้า แววตาสิ้นหวัง ไม่มีประกายใดอีก มีเพียงใบหน้าของเด็กหนุ่มที่สะท้อนอยู่ในแก้วตา“ข้าไม่เปลี่ยนใจไปจากเจ้าหรอก ไม่ว่าจะอภันตีหรือพันตรีล้วนต่างเป็นคนที่ข้ารัก”“....จะให้ผมจากไปทั้งแบบนี้งั้นเหรอ”เขาเอ่ยเสียงเครือ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงอีกครั้ง เหมือนปรารถนาของอักษราภัคอยู่แค่เอื้อมแต่กลับคว้าไว้ไม่ได้“ข้าผิดเอง”“ไม่ คุณไม่ผิด เรื่องของเราไม่มีถูกผิดหรอก ...มันก็แค่....”เขาพูดไม่ออก กุมมือของอักษราภัคไว้แน่น ดวงตาสีดำมีความเจ็บปวดสะท้อนให้เห็น เหมือนว่าอีกฝ่ายไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้อีก สุดท้ายเขาเห็นว่ามีน้ำใสเอ่อล้นออกจากดวงตา ทำให้พันตรีโถมกอดเจ้าตัวไว้แน่น ซุกหน้าลงกับต้นคอที่เปรอะไปด้วยเลือด"ผมอยากอยู่กับคุณ..."เขากระซิบบอก หัวใจสั่นสะท้าน เขาเจ็บที่หัวใจ เมื่อหายใจก็เจ็บ อยู่นิ่งเฉยก็เจ็บ สาเหตุมาจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านั้นหรือว่าเพราะอักษราภัคกันแน่ เขาแยกไม่ได้"ข้าปรารถนาเช่นเดียวกัน...แต่...""ผมรักคุณ ผมคิดว่าผมรักคุณ"พันตรีเอ่ยตัดบท อ้อมกอดนี้ไม่อุ่น มันหนาวเหน็บจนอยากจะกอดไว้ให้ความเย็นเยือกนั้นหายไป เขากำมือแน่น รู้สึกถึงแรงกอดรัดที่เพิ่มมากขึ้น เด็กหนุ่มมองข้ามไหล่ของอักษราภัคไป กลับเจอแต่แสงจ้าจนตาพร่าลาย พลันผละออกจากเจ้าตัว สบตากับคนตรงหน้าอีกครั้งอักษราภัคยิ้ม ดวงตาสีดำกลับเศร้าและมีหยาดน้ำตา ไม่ทันที่จะฟังอีกฝ่ายเปล่งเสียงพูด พันตรีรู้สึกเหมือนว่าแสงจากทางด้านหลังกำลังกลืนกินตนเองและอักษราภัคไปจนหมด"อักษราภัค...."วูบเดียว พันตรีโดนสาดซัดเข้ากับของแข็ง แรงปะทะทำให้เจ็บไปทั้งร่าง เขาหายใจไม่ออก น้ำไหลเข้าปากจนสำลัก จนแสบไปทั้งจมูก สายน้ำเย็นฉ่ำทำให้ได้สติ เด็กหนุ่มสั่นสะท้าน ลืมตาจ้องมองแสงเหนือผิวน้ำ พยายามออกแรงแหวกว่ายขึ้นไป เขาชะงัก....กลับมาที่น้ำตกอีกครั้งพันตรีโผล่พ้นผิวน้ำสูดอากาศหายใจเข้าปอด"ตรี!!"เสียงผู้ชายร้องเรียก ด้านบนบกมีตาเทิดกับคนสวนสามคนยืนร้องเรียก หนึ่งในนั้นพยายามว่ายน้ำเข้ามาหา เขาคิดถึงอักษราภัคขึ้นมา ใจพลันเศร้าลงอีกหน ตัดสินใจดำลงน้ำอีกครั้ง เหมือนคนไม่มีสติทำไมสวรรค์ต้องทำร้ายอักษราภัคซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย ไม่คิดว่าการจากลาจะเศร้าเพียงนี้ เขาไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก เมื่อดำลงไปกลับมองไม่เห็นอะไรนอกจากกระแสน้ำขุ่นเข้ม เด็กหนุ่มดำผุดดำว่ายอย่างไร้ทิศทาง ไม่อาจต้านแรงของน้ำได้ เสียงน้ำไหลดังกลบเสียงรอบกาย ไม่ทันได้ว่ายไปต่อ ทว่ามีแขนเข้ามาฉุดรั้งเขาให้กลับขึ้นฝั่ง เด็กหนุ่มโวยวาย เมื่อพบว่าเขาจากอักษราภัคมาแล้วจริงๆ ย้ำว่าเขาทั้งสองไม่อาจอยู่ร่วมกันได้"พันตรีลูก..."เสียงของหญิงชราดังมาจากที่แสนไกล เขาเบลอ ร่างกายแทบแหลกลาน เหมือนสติดับวูบ สองตามืดบอดไปชั่วขณะ ราวกับถูกดูดดึงจากเบื้องบน พันตรีสะดุ้งเฮือก สำลักเอาน้ำออกมาจากปาก แสบไปทั้งจมูกและลำคอ เสียงอลม่านดังขึ้นรอบตัวจนกระทั่งพันตรีสามารถมองเห็นได้ชัด ใบหน้าของหญิงชรา...ย่ากานดาของเขานั่นเอง"...ย่า..."ที่นี่คือโลกมนุษย์ เด็กหนุ่มตัดขาดกับแดนนาคา ตัดขาดกับอักษราภัคโดยสิ้นเชิง"เขาหายไปแล้ว...ไม่กลับมาอีกแล้ว"พันตรีร้องออกมา ส่งเสียงสะอื้น เขาถูกประคองให้นั่ง มีผ้าห่มเข้ามาคลุมตัวไว้ มือของเขาสั่นไปหมด ตาเทิดยืนมองอยู่ไม่ไกลสองกุมมือแน่นอย่างนึกห่วง ย่าเข้ามากอดเขาไว้ ลูบไปทั่วหลังอย่างปลอบประโลม"ไม่เป็นแล้วลูก ตรีปลอดภัยแล้ว"ย่าเอ่ยเสียงสั่นเครือ เด็กหนุ่มส่ายหน้า รีบเบนตัวออกจากหญิงชรา"ไม่...เขาจะไม่กลับมาแล้ว อักษรา..."ถ้อยคำแผ่วเบาลงทุกขณะ พันตรีชาไปทั่งร่าง เหตุการณ์ในแดนนาคายังตรึงอยู่ในใจ ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคืออักษราภัคร้องไห้ ไม่ทันที่จะได้พูดกับเขาด้วยซ้ำ ย่าดึงมือของเขาไปจับไว้แน่น"ย่ารู้ลูก...ย่ารู้"หญิงชราบอก พันตรีเงยมองย่าอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกตายับย่นนั้นมีแววเศร้าฉายอยู่ ย่ารู้หรือ....รู้เรื่องอักษราภัคงั้นเหรอพันตรีส่ายศีรษะ ทำอย่างไรจะให้อักษราภัคกลับคืนมาไหนว่าเขาเป็นเนื้อคู่ไม่ใช่หรือ หรือเรื่องดวงชะตาอะไรนั่นเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงกันงั้นเหรอ... เด็กหนุ่มยกมือปิดหน้า...ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์กับงู ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้... แล้วเหตุใดถึง... เขากลั้นก้อนสะอึก เหตุใดถึงต้องรักนาคาเผือกตนนั้นถึงขนาดนี้ แล้วจะให้เขาจากไปง่ายดาย อยู่อย่างเป็นสุขได้ลงหรืออักษราภัค คุณโกหกงั้นเหรอ โกหกว่าชะตาของเราคู่กัน[Talk]มาต่อแล้วววตอนนี้อภินิหารมนตรานาคามากจริงๆ 5555ส่วนเรื่ององค์ศิวะ ขอเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากองค์อินทร์มาเป็นองค์ศิวะค่ะสำหรับตอนนี้ไม่แน่ใจว่าคนอ่านจะอินไหม รู้สึกยังไงบอกกันได้เน้อขอบคุณค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น