ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สนพ.Onederwhy _คนรักของผมเป็นงูเผือก *จบแล้ว*

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 13 คืนถิ่น

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 855
      55
      17 ส.ค. 61



     บทที่ 13 คืนถิ่น

    หลังจากที่พันตรีจัดการอาบน้ำชำระร่างกาย อักษราภัคจัดการให้เขาทุกอย่าง เด็กหนุ่มคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างพิจารณา ต่อให้เกิดอะไรขึ้นอีก เขาก็ยอมรับได้
    ในคืนนั้น พันตรีไม่กล้าหลับตาอีกเลย จนอักษราภัคขยับมากอดเขาไว้ อีกฝ่ายยังไม่คืนร่างนาคา

    “คุณหลับเถอะ อย่าห่วงผมเลย”


    “ข้าจะหลับได้อย่างไรกัน”อีกฝ่ายลูบหลังเบาๆไปด้วย เขาพยายามหลับตา พอความมืดเข้าครอบคลุม ก็เห็นแต่ใบหน้าของอภันตีปะปะกันตัวเขาจนมั่วไปหมด ได้แต่ซุกตัวหลับในอ้อมแขนอักษราภัค

    อีกเช่นเคย วันนี้เป็นอีกวันหนึงที่พันตรีต้องแบกร่างไปเรียน มีอักษราภัคตามติดอยู่ตลอด ราวกับงูห่วงไข่ เขาอยากหาคนปรึกษาอยู่เหมือนกัน แต่จะเอาเรื่องแบบนี้ไปบอกคนอื่นได้ยังไง ฉับพลันเขานึกถึงไวทินขึ้นมา เจ้านั่นหายหัวไปไหนกัน เด็กหนุ่มขยับกระเป๋าขึ้นมาวางบนตัก

    “ไวทินหายไปไหน คุณพอจะรู้ไหม”พันตรีถามอย่างแปลกใจ งูเผือกส่งเสียงออกมาจากในกระเป๋า

    “อืม เขาบอกจะคอยระวังให้เจ้า แต่เพลานี้กลับไม่อยู่...สันนิษฐานคงกลับแดนนาคาไปแล้ว”

    “งั้นเหรอ...ไปไม่ลากันเลย”

    เด็กหนุ่มได้แต่สงสัยอยู่ในใจ

    ใกล้สอบไฟนอลของวิชาปั้น พันตรีเลือกปั้นแบบลอยตัว เขาเลือกปั้นเกี่ยวกับนาคา ซึ่งเอาเรื่องศาสนามาเกี่ยวด้วย เรื่องการบูชางู...เขาอ้างอิงจากอินเดีย จ่อยเห็นถึงกับเอ่ยแซวว่าเขาคลั่งงูเกินไปหรือเปล่า นึกอยากจะหัวเราะกับมุกของอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน ได้แต่ยิ้มแห้งๆ หลังจากเริ่มงานไปได้ไม่มาก ยังไม่ทันได้ลงรายละเอียดสัดส่วนของนาคา มีโทรศัพท์จากคนแปลกหน้า เขาลังเลอยู่บ้าง แต่ก็กดรับ

    “สวัสดีครับ”

    [นี่ใช่พันตรี ญาติของย่ากานดาหรือเปล่าครับ] เสียงจากปรายสายเป็นผู้ชาย แต่ค่อนข้างจะแก่ตัว เด็กหนุ่มขมวดคิ้วสงสัย

    “ใช่ครับ ผมพูดสายอยู่”

    [อ้อ ตาเป็นคนสวนบ้านคุณกานดา พอดีว่าย่าเข้าโรง’บาลมาได้สองวันแล้ว แกโดนงูกัด] เขาตกใจมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับงู ด้วยความที่ย่าไม่เหลือญาติที่ไหนอีก คนสวนจึงโทรมาบอกข่าวแทน

    “แล้วย่าเป็นอะไรมากไหมครับ”เขาถามอย่างร้อนใจ แม้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อ แต่รู้สึกใจหายไม่น้อย ตาเทิด คนสวนที่บ้านของย่าบอกอาการของย่า ซึ่งตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แค่มีอาการบวมแดง

    พันตรีจึงรีบเช็ควันว่าง เขาต้องลาเรียนไปหนึ่งวันเพื่อกลับให้ตรงวันเสาร์อาทิตย์ เขากลับมาที่หอพักเพื่อเก็บของจำเป็นใส่กระเป๋า อักษราภัคนั่งมองอยู่บนเตียง ไม่พูดอะไรตั้งแต่รู้ข่าวนี้ เขาเหลือบมองเจ้าตัว และเห็นว่ามีสีหน้าไม่ชอบใจเท่าไร

    “คิดว่ามันไม่ปกติเหรอ”เขาถาม

    “ใช่...ไม่ปกติ ปกติคนแถวนั้นย่อมรู้ดีว่ามีงูพิษหรือไม่มี...ยิ่งเป็นคนเฒ่าเช่นนี้ย่อมมีประสบการณ์ไม่ใช่หรือ”

    “ผมใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้สิ”เด็กหนุ่มเครียด คำพูดของงูเผือกมีเหตุผล ย่าอยู่ที่บ้านหลังนั้นมาเกือบครึ่งชีวิต ไม่เคยมีปัญหาเรื่องงูเลยสักครั้ง อย่างน้อยเท่าที่เขารู้ ย่าไม่เคยเจ็บตัว

    “อย่ากังวลไป...ตอนนี้นางปลอดภัยแล้วไม่ใช่หรือ”อักษราภัคปลอบใจ

    หลังจากที่จองตั๋วรถทัวร์ได้ อักษราภัคติดตามเขามาเช่นเคย แต่อยู่ในร่างของงู เขาจับเจ้างูใส่ในกระเป๋าถือแบบมีหูหิ้ว เพราะไม่อยากให้ไปแออัดกับกระเป๋าเสื้อผ้า มองไปคล้ายกับว่าเด็กหนุ่มถือกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยง เขาเอากระเป๋าวางบนตักตลอดเส้นทาง การเดินทางในครั้งใช้เวลาเกือบหกชั่วโมง ไม่นับการต่อรถเข้าไปในหมุู่บ้านอีก โชคดีที่ย่ากานดามีให้ตาเทิด หัวหน้าคนสวน เอารถมารับเขาที่ท่ารถ

    ระหว่างทางมีฝนตกตลอดวัน ทำให้พันตรีไม่สบายใจนัก เขาอยากพูดคุยกับอักษราภัคแต่ไม่สะดวก ยกเว้นก็แต่ตอนที่รถทัวร์จอดที่สถานีขนส่งระหว่างทางเพื่อพักรถ เขาถึงมีโอกาสพูดคุยกับอีกฝ่าย เมื่อผู้โดยสารส่วนมากลงไปเข้าห้องน้ำทำธุระอื่น ๆ เห็นว่าเบาะที่นั่งใกล้ๆเขาไม่มีคนนั่งอยู่แล้วจึงก้มหน้าลงไปพูดกับเจ้าตัว

    “ฝนตกอีกแล้ว รู้สึกไม่ค่อยดีเลย”

    “รู้สึกเช่นไร บอกให้ละเอียด”งูกระซิบถาม

    “เหมือนมันหวิวไปทั้งตัว ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก แต่แปลกมาก”

    “ลองจับความรู้สึกดีๆสิ ว่ารู้สึกแบบไหน”อักษราภัคบอก เด็กหนุ่มค่อยๆทำสมาธิ หลับตาเพื่อรับรู้ความรู้สึกจากภายใน เหมือนว่าร่างกายเบาหวิวลอยอยู่เป็นผิวน้ำนุ่ม...อาจจะเป็นความยินดีหรือเปล่านะ

    “เหมือนว่าเป็นเรื่องดี ความยินดี”เขาบอก

    “อืม….บางที ในแดนนาคาอาจมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง”

    “ดีหรือร้าย”

    “ดีสิ...อาจมีบางอย่างเกี่ยวกับเจ้า...อยากได้กำไลหรือไม่”

    “คุณเก็บไว้ก่อนดีกว่า”เขาบอก เพราะกลัวว่าจะเกิดปฏิกิริยากับมณีเข้า อักษราภัคส่งเสียงมาจากด้านใน เขามองจ้องสายฝนสีขาวหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ จากทางหน้าต่างอย่างกระสับกระส่าย แดนนาคามีเรื่องยินดีงั้นเหรอ ใช่ เรื่องมณีหรือเปล่านะ...เพราะไวทินก็หายหน้าไปเลยเช่นกัน คงจะจริงตามที่อักษราภัคบอก

    ผ่านไปอีกสองชั่วโมง รถทัวร์ถึงเข้ามาจอดเทียบที่สถานีขนส่งปรายทางสุดท้าย เขาลงจากรถ เจอกับรถกระบะสีขาวเก่า ๆ มาจอดรอ เขาเดินเข้าไปหาอย่างลังเล จนชายแก่คนนั้นหันมามองแล้วร้องเรียก

    “พันตรีใช่ไหม”

    “ใช่ครับ...สวัสดีครับ”เขายกมือไหว้ตามมารยาท อีกฝ่ายบอกว่าเป็นคนสวนในบ้าน ย่ากานดาขอให้มารับเขา

    “อาการย่าเป็นยังไงบ้างครับ”

    “ก็ดีขึ้น พิษไม่ได้รุนแรงมาก ตอนแรกนึกว่าจะแย่เพราะจับตัวงูมาไม่ได้ ไอ้เราก็ไม่รู้ว่ามันงูอะไรด้วย เดี๋ยวหมอเขาถามก็คงไม่รู้ แต่โชคดีที่หมอเก่ง แค่ถามอาการ ถามลักษณะงู ก็พอคาดเดาได้ว่าเป็นชนิดไหน...”พันตรีปล่อยให้ตาเทิดเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ อย่างน้อยภายในรถจะได้ไม่เงียบ เขาทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี

    “ย่ากลับมาบ้านแล้วล่ะ เพราะหมอให้ยามากินอย่างเดียว เหลือแค่อาการบวมเล็กน้อย”

    “ขอบคุณมากครับ”พันตรีเอ่ยเมื่อรถขับมาจอดที่หน้าบ้านเรือนไทยสองชั้น บริเวณสองข้างทางมีแต่สวนส้มหรือต้นไม้อื่นเต็มไปหมด บรรยากาศเย็นสดชื่น ลงจากรถมาก็ได้ยินเสียงสัตว์กลางคืนร้อง เขาถือกระเป๋าใส่งูไว้เอง แม้ว่าตาเทิดพยายามจะเอาไปถือเองก็ตามที เมื่อเดินมาถึงโถงบ้านชั้นแรก ห้องกว้างขวาง มีโต๊ะรับแขกตั้งไว้ เขาเห็นหญิงชรานั่งอยู่บนรถเข็น สวมแว่นตา กำลังถือพัดกระดาษในมือ 

    “ไงลูก ย่าไม่เป็นอะไรแล้วจ้ะ”

    “ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ ผมตกใจมาก ตอนที่ได้ยินข่าว”เขาเดินเข้าไปไหว้หญิงชรา ก่อนจะเข้าไปกอดร่างผอมของหญิงชรา ถึงแม้ไม่ได้สนิท แต่พอได้เจอหน้าก็อดเข้าไปกอดไม่ได้ เพราะความชราล่ะมั้งที่ทำให้เด็กหนุ่มนอบน้อมและเป็นกันเองมากขึ้น

    “เอาล่ะ ๆ ย่าก็แค่มีไข้ มือบวมนิดหน่อย ไม่ได้เจ็บหนักเหมือนตาเทิดบอกหรอก ไปหาหมอมาแล้วก็ดีขึ้นมาก”ย่าเอ่ยยิ้ม ๆ ยกมือลูกศีรษะเขาไปด้วย

    “ดีแล้วครับ”เขาบอก คอยระวังกระเป๋าใส่งูตลอด เพราะกลัวว่าจะเกิดล้มหรืองูแอบโผล่มาดู ย่าหันมามองกระเป๋าในมือด้วยความสงสัย

    “นั่นอะไรน่ะลูก”

    “อ๋อ….กระเป๋าใส่ของน่ะครับ ชอบเอาติดตัวมาอยู่เรื่อย”เขาตอบ ย่าแค่มองก่อนจะยิ้มไม่สนใจกระเป๋าอีก เด็กหนุ่มคุยกับย่าสักพัก ในบ้านอยู่กันสามคน คือย่า กับแม่บ้านสองคน คือป้าเยาว์กับป้าพร สองคนนี้คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยเจอตอนเด็กๆ ช่วงนั้น ป้าเยาว์เป็นคนดูแลเขาอีกที เขาจึงสบายใจไปได้เยอะ เพราะไม่ได้อยู่กับคนแปลกหน้ามากนัก แต่ก็นึกเป็นห่วงหญิงชราเหมือนกัน ในบ้านมีแต่ผู้หญิง ส่วนตาเทิด และลูกน้องอีกสามคน เป็นคนดูแลสวน จะบ้านพักทางฝั่งตรงข้าม คอยเป็นคนดูแลความปลอดภัยอีกที

    หลังจากที่คุยสารทุกข์สุขดินกันไปสักพัก ป้าเยาว์พาเขาไปดูห้องนอนที่ชั้นสอง บ้านทั้งหลังเป็นไม้สักยกพื้นสูง มีหน้าต่างบานใหญ่กรุกระจกเพื่อระบายอากาศ แม้ะจะเป็นบ้านเก่า แต่การตกแต่งหรือของอำนวยความสะดวกทันสมัยเพราะมีการปรับแต่งให้สวยงามมากขึ้น เมื่อเข้ามาถึงห้องนอนกว้าง มีเตียงสี่เสา หน้าต่างบานกระจกเลื่อนเปิดปิด มีระเบียงยื่นออกไปมองเห็นสวนหน้าบ้านได้

    อักษราภัครีบคืนร่างมนุษย์แล้วเดินไปสอดส่องที่นอกหน้าต่าง คืนนี้ฝนยังคงตกประปราย พันตรีวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ในตู้ เดินไปสำรวจห้องน้ำ เห็นว่าทำใหม่มีอ่างอาบน้ำในตัว เขาหันมองอักษราภัคอีกหน เจ้าตัวยังคงยืนมองม่านน้ำที่นอกหน้าต่างเหมือนเดิม

    “เป็นยังไงบ้าง”

    “ดูท่า แถวนี้งูคงชุมจริงๆ เป็นพวกงูบ้านน่ะ… แต่ข้าไม่เห็นงูจากที่อื่นมาสอดส่องแถวนี้นัก แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี”อีกฝ่ายเอ่ยเสียงต่ำๆ เขาเดินเข้าไปหา จับแขนอุ่นๆของอักษราภัค นึกเป็นห่วงอีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน

    “ครับ...ว่าแต่คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

    “อย่าห่วงเลย ข้าแข็งแรงออก”อักษราภัคยิ้ม ยื่นมือมาเกลี่ยเส้นผมที่ละข้างแก้มของเด็กหนุ่มออก เขาจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น รู้สึกปลอดภัยที่เจ้าตัวอยู่ข้างๆในเวลานี้

    ก๊อก ก๊อก

    ตามหลังเสียงเคาะประตู ย่าส่งเสียงเรียก “ตรี นี่ย่าเองลูก”

    พันตรีเงยมองหน้าอักษราภัค จากนั้นเจ้าตัวก็เปลี่ยนเป็นงู เลื้อยหายไปทางหน้าต่าง ออกยังนอกระเบียง เขาจึงเดินไปเปิดประตู ย่านั่งวิลแชร์ มีป้าเยาว์คอยอยู่ด้านนอก เขาเปิดประตูออกกว้างให้ย่าเคลื่อนรถเข้ามาช้า ๆ

    “มีอะไรเหรอครับ”

    “ย่าแค่แวะมาดูเราน่ะ พอนอนได้ไหม”ย่าหยุดวิลแชร์ที่ข้างเตียง หันหน้ามามองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนไม่เปลี่ยน ทำให้เด็กหนุ่มอุ่นใจ ส่งยิ้มให้

    “ได้สิครับ แค่นี้เอง สบายดีออก”

    “ช่วงนี้ฝนก็ตกหนักแบบนี้ล่ะลูก...”ย่าหันมามองเขาอยู่นาน จนเด็กหนุ่มใจหาย สายตาราวกับว่ารู้ตื้นลึกหนาบาง

    “ฝนตกนอกจากยุงจะเยอะแล้ว งูคงชุมน่าดูเลยนะครับ”

    “เฮ้อ แก้ยังไงก็ไม่หายนะ ยกเว้นต้องโละสวนออกน่ะ”ย่าเอ่ยติดตลกก่อนจะหัวเราะเบาๆ เขายิ้ม

    “พอดีเลย ผมจะได้มาพักผ่อนวันหยุด”

    “ตาเทิดก็ไม่น่าโทรหาเราเลย ย่าไม่ได้เป็นอะไรมาก เราต้องมาเสียการเรียนไปอีก”ย่าส่ายหน้า บ่นขิงบ่นข่าไปเรื่อย เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ ยื่นไปกุมมือผอมแห้งของย่าไว้

    “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ ผมเองก็เป็นห่วงย่านะ...”

    “จ้ะ ย่าไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้ายังไงย่าไม่กวนแล้ว”หญิงชรายิ้ม จับมือเขาไว้แน่นก่อนจะปล่อย เด็กหนุ่มเข็นวิลแชร์ออกไปที่หน้าห้อง ป้าเยาว์เข้ามารับช่วงต่อ

    “ฝันดีครับย่า”


    หลังจากที่ย่ากลับออกไปแล้ว อักษราภัคถึงเลื้อยกลับเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มเข้าไปอุ้มงูมาไว้แนบอก ก่อนจะพาไปนอนบนเตียง เขาก้มหน้ากระซิบ

    “คืนนี้อยู่เป็นเพื่อนผมนะ”เขาเอ่ย อีกฝ่ายเข้าใจความหมาย คือนอนเป็นเพื่อนในร่างมนุษย์ เจ้าตัวขยับหน้าเข้ามาใกล้ ยื่นหัวมาแตะจมูกของเขา เด็กหนุ่มยิ้มลูบลำตัวของงูด้วยมืออีกข้าง

    ใกล้เที่ยงคืนแล้ว ทว่าพันตรียังคงนอนไม่หลับ อักษราภัคนอนกอดเขาไว้ สอดแขนเข้ามาโอบเอว อีกฝ่ายนอนซ้อนอยู่ด้านหลัง เขาจับมือของคนด้านหลังมาคลึงเล่นไปมา สายตามองตรงไปที่หน้าต่างบานกระจกใหญ่ รูดม่านเปิดไว้ครึ่งนึงเพื่อเอาไว้สอดส่อง อักษราภัคยังคงไม่หลับ แค่นอนนิ่งๆเท่านั้น

    คืนนี้อากาศเย็นลง เขาห่มผ้าไว้ ความอบอุ่นจากร่างของคนด้านหลังแผ่มาถึงเขา หน้าอก ต้นขาร้อนผะผ่าว จนต้องขยับไปนอนใกล้แทบเกยอีกฝ่าย เด็กหนุ่มแค่ชอบไออุ่น ไม่ได้คิดทำอย่างอื่น แต่อักษราภัคอาจตีความหมายผิดไป หรือจงใจเข้าใจผิดไปเอง เจ้าตัวโน้มลงมาจูบที่ท้ายทอยเบา ๆ ส่วนแขนที่กอดพันตรีไว้ ค่อยๆลากเลื้อยเข้ามาใต้เสื้อ  เขาคว้าหมับเอาไว้ก่อนที่มือนั้นจะเลื้อยขึ้นมาไต่หน้าอกของเขาได้

    “แค่กอดเท่านั้นพอ”เขาบอกเสียงขุ่น

    “นึกว่าเจ้าอยากให้ทำมากกว่านั้น”อีกฝ่ายพึมพำอยู่กับต้นคอของเด็กหนุ่ม ไอร้อนจากการพูดทำให้เกร็งตัว ก่อนจะหดคอหนี แล้วเหลียวไปมอง

    “อย่าดื้อสิ”พันตรีปราม อักษราภัคหัวเราะ ขยับมากอดหลวม ๆ แนบหน้าลงกับเรือนผมของเขา ขยับมือมาสอดประสานกับมือของเขาเอง

    “อย่ากังวล คืนนี้เจ้านอนหลับให้สบายเถิด ข้าจะดูแลเจ้าเอง พันตรี”เสียงนุ่มนวลจากอักษราภัคดังเบาๆ เขาหลับตาแน่น พลิกตัวเข้าหาร่างกายอุ่นแทน ขยับศีรษะเข้าไปนอนบนไหล่ของอีกฝ่าย สบตากันในความมืด

    “ขอบคุณมากนะ”

    “เรื่องเล็กน้อย เจ้านอนเสีย... ข้าจะกล่อมเจ้าเอง”อักษราภัคจริงจัง ตบมือที่หลังเบาๆเหมือนกล่อมเด็กนอน
    เขากลั้นยิ้ม เอื้อมไปกอดเจ้าตัวไว้ ค่อยๆปิดตาลง ขณะเดียวกันยังรับรู้ถึงสัมผัสร้อนที่ประทับลงมายังเปลือกตา ยิ่งทำให้เขากอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น ซุกหน้าสูดกลิ่นของอักษราภัคไปด้วย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพูสระผม
    ตลอดคืน พันตรีวนเวียนอยู่ในความทรงจำของอภันตีซ้ำไปซ้ำมาอย่างหาทางออกไม่เจอ

    พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ คนต่างจังหวัดตื่นกันแต่เช้ามืด อักษราภัคคืนร่างงูดังเดิม และออกไปสอดส่องดูลาดเลาแถวๆสวนหลังบ้าน ที่สามารถทะลุไปยังลานน้ำตกได้ พันตรีไม่คิดอยากไปใกล้น้ำมากนัก เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอีก เด็กหนุ่มลงไปยังชั้นล่าง เข้าไปในครัว ก็เจอย่ากับแม่บ้านทำครัวอีกสองคน เขาเอ่ยทักทายอย่างสดชื่น แล้วช่วยหยิบจับงานในครัว

    พันตรีจึงมีโอกาสคุยกับย่ามากขึ้น ส่วนมากท่านจะถามถึงเรื่องการเรียน และเรื่องสุขภาพ ดูเหมือนย่าจะใส่ใจเป็นพิเศษ

    “ผมไม่ค่อยได้ป่วยหรอกครับ ร่างกายแข็งแรงดี”เขาตอบ รู้สึกเหมือนกำลังโกหก เพราะช่วงนี้ร่างกายของเขาอ่อนเพลียง่าย แต่ไม่ได้มาจากการป่วยไข้ ย่ามองเขาผ่านแว่นสายตา ทำให้เหมือนโดนอ่านความนึกคิด เด็กหนุ่มไม่หลบตา

    “สงสัยเพราะเทวดาคุ้มครองเรานะ”เขาสงสัยว่าทำไมย่าถึงพูดแบบนี้ ป้าเยาว์หันมาเล่าขยายความ

    “ไม่รู้ว่าวันนั้นป้าตาฝาดไปเองหรือเปล่า สมัยที่ตรียังตัวน้อยๆ นอนอยู่ในเปล มีคนมาไกลเปลให้หนูไง เป็นผู้ชายผมยาวๆหน่อย แต่งตัวเหมือนเทวดาเลยนะ ไปเล่าให้ฟังเขาก็หาว่าป้าเพ้อเจ้อ”ป้าเยาว์หัวเราะอย่างไม่คิดอะไร กำลังจดจ่ออยู่กับการหั่นฟักเป็นลูกเต๋าอยู่ ย่าหันมายิ้มให้เขาอย่างชอบใจ

    “ย่าไม่ได้บอกให้เชื่อนะ แต่ตอนเรายังเด็กน่ะ มีคนคอยคุ้มครองเราจริงๆนะ”ย่าเอ่ย พันตรีหัวใจเต้นรัว ลักษณะที่ป้าเยาว์เล่าถึง คืออักษราภัคไม่ใช่เหรอ… เด็กหนุ่มรู้สึกขอบคุณ ซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก อักษราภัคคอยดูเขามาตลอด….คงรอเวลาที่เขา…อภันตีมาเกิดใหม่อยู่หลายร้อยปี เวลานานขนาดนั้นอีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงกันนะ เขานึกไม่ออกเลย

    พันตรีได้แต่ยิ้มรับ

    “แล้วงูอะไรที่มันกัดย่าเหรอครับ”เขานึกขึ้นได้ เลยถาม ย่าขมวดคิ้วส่งเสียงในลำคอก่อนจะหันมาตอบ

    “เห็นตัวสีเขียวๆ น่าจะงูเขียวหางไหม้นะลูก”

    พันตรีชะงักทันที รู้สึกหน้าซีดลง งูเขียว...เขานึกถึงสหายเก่า ใช่ ไวทินหรือไม่ แต่มีเหตุผลอะไรที่อีกฝ่ายต้องมาทำร้ายย่าของเขาด้วย เด็กหนุ่มเก็บอาการตกใจไว้เงียบเชียบ

    “อืม ที่บ้านมีแต่สวน งูคงเยอะน่าดู ย่าเองต้องระวังให้มากๆนะครับ ยิ่งฝนตกแบบนี้ด้วย”เขาบอก ไม่นึกอยากออกไปข้างนอกนัก กลัวว่าจะเจอพวกงูบนบก ย่าหัวเราะแห้งๆ

    “ย่าไม่กลัวหรอกจ้ะ ส่วนมากพวกมันก็มาหาอะไรกิน แล้วก็ไม่ค่อยมีพิษรุนแรงเหมือนพวกงูเห่างูจงอาง นี่ตาเทิดก็คอยดูแลเรื่องงูเงี้ยวอยู่ตลอด ไม่เข้ามาในบ้านแน่ๆ”

    “ดีแล้วครับ...”เขาพึมพำ แต่ย่าเจองูกัดตอนที่ไปเก็บผักที่ทางหลังบ้าน ซึ่งในบริเวณนั้นล้อมรั้วไว้หมด ไม่มีต้นไม้สูงใกล้รั้วบ้านด้วย เขาเลยกังวลใจ เพราะถ้าเป็นงูเขียวทั่วไป ไม่น่าจะเข้ามาถึงในบ้านได้ขนาดนั้น เขาอยู่ในครัวไม่นานเพราะป้าเยาว์กับป้าพรเตรียมของไว้หมดแล้ว มื้อแรกของพันตรีเป็นแกงจืดฟักซี่โครงหมูเห็ดหอม เขาไม่ได้อยู่ช่วยต่ออีก จึงออกไปสำรวจรอบๆบ้านแทน


    เมื่อฟ้าสว่าง จนทองเห็นท้องฟ้ากระจ่างไร้เมฆ สภาพอากาศกลับมาแจ่มใสมากขึ้น เด็กหนุ่มออกไปตามหางูเผือก เพราะอีกฝ่ายหายไปตั้งช่วงตีห้าครึ่ง จนตอนนี้ผ่านมาสองชั่วโมงแล้วยังไม่กลับมาอีก เด็กหนุ่มลังเลที่จะเดินไปทางหลังบ้าน พอผ่านแปรงผักก็จะเจอกับรั้วสูงท่วมศีรษะ เขาเอ่ยเรียกชื่ออักษราภัค แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา

    ร่องรอยของงูตัวอื่นๆเขายังไม่เห็นเลยสักตัวเดียว เด็กหนุ่มตัดสินใจเลื่อนประตูเหล็กออก เพื่อเดินออกไปยังลานน้ำตกลำเล็ก เสียงน้ำไหลดังมาแต่ไหล พอพ้นเนินดินขึ้นมา เขาเจอทางลาดลงไปยังลานน้ำตก กวาดสายตามองหาร่างสีขาวของงูแต่ไม่พบ ‘หายไปไหนนะ’

    “อักษราภัค...อยู่แถวนี้หรือเปล่า”พันตรีเรียก เดินเข้าหาลานน้ำตกไปอีกหลายก้าว แหงนมองท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าอ่อน เห็นปุยเมฆบางเบา รอบลานน้ำตกมีป่าไผ่ล้อมรอบ

    พันตรี…

    เสียงกระซิบแผ่วเบาราวกับผ่านสายลม เด็กหนุ่มหันรีหันขวางเพื่อหาต้นตอของเสียง

    “ใครน่ะ...”เขาร้องลั่น สายตาเหลือบมองธารน้ำตกเป็นฟองสีขาว ก่อนจะเดินถอยหลังกลับไปยังทิศทางเดิม ไม่มีทางที่อักษราภัคจะหลง เพราะก็เคยมาหาเด็กหนุ่มก่อนหน้านั้นแล้ว

    พันตรีกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ขึ้นไปชั้นสองเพื่อไปดูอักษราภัคเผื่อว่ากลับมาอยู่ในห้อง พอเปิดประตูเข้าไป เขาได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากในห้องน้ำ เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เร่งเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาพบร่างขาวผ่องของอักษราภัคนอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ เขาเดินเข้าไปหาด้วยความโกรธ

    “หายไปตั้งนาน ผมเป็นห่วงรู้ไหม”

    “ข้าแค่ไปดูลาดเลาเท่านั้น บ้านหลังนี้ข้าเคยมาหาเจ้าตอนเด็กๆ ...ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัว”อักษราภัคยิ้ม เอนตัวลงไปพิงกับขอบอ่างอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้พันตรีฉุนเฉียวอยู่คนเดียว เด็กหนุ่มตั้งท่าจะเดินออกจากห้องน้ำ

    “อยู่ก่อน อาบน้ำกับข้าเถิด”

    “บ้าเหรอ”

    “น่านะ...นานแล้วที่ไม่ได้เล่นน้ำด้วยกัน”

    “ถ้าอยากเล่นน้ำ ไปเล่นที่น้ำตกดีกว่าไหม”

    “ข้าจะไปโชว์ตัวโจ่งแจ้งได้อย่างไร...มาหาข้า เร็วเข้า”อีกฝ่ายไม่ฟังเขาสักนิด ขยับตัวมานั่ง เพื่อให้เขาเข้ามานั่งด้านในด้วยกัน อ่างแคบแบบนั้นคงได้อึดอัด

    เด็กหนุ่มลังเล “ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก อยู่ที่นี่ ข้ารู้จักกาละเทศะ”อักษราภัคพูดเสียงจริงจัง ทำให้เขาหัวเราะเบาๆ
    จากนั้นก็หันไปถอดเสื้อผ้าออก แม้ว่าจะมีความอายอยู่บ้าง แต่เขาแสร้งทำใจกล้า อักษราภัคจับจ้องไม่ละสายตาไปไหน พันตรีเดินไปที่อ่าง อีกฝ่ายดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

    เขาก้าวเข้าไปนั่งในน้ำอุ่น ก่อนจะรีบนั่งลง หันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย อักษราภัคยิ้มก่อนจะเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ที่ใต้น้ำมืออ่อนนุ่มของอีกฝ่ายช้อนขาของเขามาพาดเอวของตัวเองไว้ อากัปกิริยยารวดเร็วจนเด็กหนุ่มต้องจับขอบอ่างไว้เพราะกลัวลื่นไถล

    “เดี๋ยวสิ”พันตรีตกใจมาก ไม่คิดว่างูเผือกจะกล้าทำแบบนี้ในห้องน้ำ เขาอยู่ในท่าล่อแหลม นั่งซ้อนตักอักษราภัคไว้ พยายามดันตัวหนี แต่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้

    “ขอกอดหน่อย”

    เขาหน้าตึง เพราะไม่ไว้ใจอีกฝ่ายด้วย กลัวจะหาทางชิดใกล้อีก อ้อมแขนของอักษราภัคโอบแผ่นหลังของพันตรีไว้ เหมือนเราใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะเขายอมให้อีกฝ่ายไป...เจ้าตัวถึงกล้าถึงเนื้อถึงตัวเขาแบบนี้

    “ยอมให้หน่อย คุณก็รีบฉวยโอกาสเลยนะ”พันตรีบ่น

    “น้ำขึ้นให้รีบตักไงเล่า”อักษราภัคยื่นหน้ามาหอมแก้มเขา ก่อนจะใช้มือลูบไปทั่วใบหน้า มือเปียกชื้นของเขาลูบไปทั่วใบหน้า เด็กหนุ่มถอนหายใจ คว้ามือของอักษราภัคไว้แทน

    “รู้ไหมที่คุณหายไปผมเป็นห่วง”เขาจริงจัง อักษราภัคยิ้ม นัยน์ตาทอประกายยินดี เจ้าตัวเปลี่ยนมาจับมือเขาไว้แทน

    “กลัวข้าหายไปไหนรึ”อักษราภัคพูดเจือเสียงหัวเราะ

    จากนั้นพวกเขาแค่กอดจูบเท่านั้นไม่ได้มีอะไรเกินเลย แม้ว่าร่างกายจะถูกเติมเชื้อไฟไปไม่น้อย แต่เพราะเสียงเคาะประตูทำให้พันตรีรีบผละออกจากอักษราภัค เจ้าตัวยิ้มดวงตาวาววับ

    “ได้เวลาทานข้าวเช้าแล้วจ้ะตรี”เสียงของป้าเยาว์ดังมาจากหน้าประตูห้อง

    “ครับ เดี๋ยวผมลงไป”เด็กหนุ่มตะโกนตอบกลับไป เขาได้ยินเสียงลากเท้าจากไป พันตรีพรูลมหายใจออก

    “อยากไปทานข้าวบ้างเหมือนกัน”อักษราภัคมองด้วยสายตาทีเล่นทีจริง

    “น่าเสียดายนะ รู้แบบนี้คุณน่าจะใช้ร่างมนุษย์ก็ดี”เป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ เขากับอักษราภัคไม่เคยทานข้าวเช้าด้วยกันจริงๆสักที

    “คนในบ้านเคยเห็นข้ามาก่อน”

    “จริงด้วยสิ...คุณมาดูแลผมนานหรือเปล่า”เขาถาม

    “อืมเฉพาะช่วงที่เจ้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้...สมัยเจ้ายังเป็นทารกเจ้าร่างกายไม่สู้ดี ข้าช่วยฟื้นฟูให้เจ้า”

    “งั้นเหรอ เพราะดวงจิตไม่สมบูรณ์ ผมเลยไม่แข็งแรง”เขาคาดการณ์ อักษราภัคจดจ้องแล้วค่อยๆพูด

    “ใช่..แต่ในตอนนี้เจ้าไม่มีสิ่งใดให้น่าห่วง”

    พอพูดถึงตรงนี้ พวกเขาสองคนเงียบ ความคิดเกี่ยวกับการคืนชีพอภันตีกลับเข้ามาทำลายบรรยากาศอีกครั้ง เมื่อมีความเงียบมากเกินไป เด็กหนุ่มลุกจากอ่างอาบน้ำ ก่อนจะหยิบสบู่เหลวออกมาชำระร่างกาย สองหูได้ยินเสียงกระเพื่อมของน้ำ ตามมาด้วยเสียงย่ำฝีเท้ามาใกล้ เขายังคงทำเมินเฉย ก่อนที่รับสัมผัสจากท่อนแขนและลำตัวเปลือยเปล่าเข้ามากอดไว้

    “ข้าผูกพันกับเจ้ามานาน...ไม่มีทางที่ข้าจะทำร้ายเจ้านะพันตรี”อ้อมแขนกระชับขึ้น เส้นผมของคนด้านหลังเลื่อนปรกมาโดนแขนของพันตรี เขาเงียบ พยายามสงบใจ

    “คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอ...หากผมไม่กลับไป...คุณคงเจ็บปวดมาก และสุดท้ายคุณก็จะจากผมไป...กลับไปแดนนาคา”เขาเอ่ยเสียงเครือ พยายามไล่น้ำตาที่เอ่อล้นจนรู้สึกร้อนตาไปหมด

    “ใช่...ความจริงเป็นเช่นนั้น...ข้าอาจไม่มีเจ้า และเจ้า...กลับไปใช้ชีวิตดังเดิม”อักษราภัคกอดแน่นขึ้นอีก น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรู้สึกโหยหา

    ถึงตอนนี้ พันตรีไม่เหลือความเยือกเย็นใดๆอีก เขาหันไปกอดอักษราภัคไว้แน่น เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรักเขามากแค่ไหน …

    เด็กหนุ่มไม่กล้าจะทำลายความทุ่มเทตลอดหลายร้อยปีของอีกฝ่ายได้ลง…เขาตัดสินใจแล้ว เขาจะทำปราถนาของอักษราภัคให้สำเร็จ

    ...การคืนชีวิตแก่อภันตี ไม่ว่าจะแบบไหน อภันตีคือผู้ก่อกำเนิด ‘พันตรี’ขึ้นมา


    อาการของย่ากานดาดีขึ้นแล้ว ที่มือซ้ายอาการบวดลดลง ไม่มีพิษเข้าสู่กระแสเลือด ย่าเลยได้แต่บ่นเป็นหมีกินผึ้งเรื่องที่ตาเทิดโทรหาเขา ทำให้ต้องเสียการเรียน แต่เด็กหนุ่มไม่ได้คิดว่าเป็นการเสียเปล่าไม่ซะหมดอย่างน้อยก็ถือมาพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ย่าเล่าเรื่องสมัยเด็กของเขาให้ฟังว่าเป็นเด็กทะโมนแค่ไหน ปีนป่ายต้นไม้ ชอบไปจับงูมาเล่น

    “ตอนแรกย่าล่ะตกใจ เห็นเราไปจับงูมาเล่น ไม่รู้ว่ามันบังเอิญหรือเปล่า หลังจากที่ตรีกลับไปเรียนต่อม.ปลาย งูกลับมาชุมเหมือนเดิม คนแถวนี้เขาฆ่างูกันเป็นเบือ...”
    เรื่องเล่าของย่าทำให้เขานิ่ง ไม่เคยได้ยินหรือจดจำได้มาก่อน

    “...ย่าคิดว่ายังไงเหรอครับ”

    “ตรีจะหาว่าย่าบ้าน่ะสิ”หญิงชราหันมาจับแขนเขาไว้ เด็กหน่มส่ายหน้าทันที

    “ไม่หรอกครับ ผมเองก็อยากฟัง”

    “อืม ก็ช่วงที่เราอยู่กับย่า เหมือนว่าพวกงูมันเชื่อง ไม่มาวุ่นวายกับชาวบ้าน ทำนองว่างูส่วนงู คนส่วนคน ไม่มาล้ำเส้นกัน...เหมือนงูมันฟังเรา”

    “ปกติพวกงูเป็นสัตว์ที่รักสงบอยู่แล้ว...แต่ที่มันเข้ามายุ่งกับบ้านคนเพราะต้องการหาอาหาร...งูที่ว่าเป็นงูประเภทไหนเหรอครับ”

    “หลายชนิดเลยลูก ย่าก็ไม่เคยเห็นนะ บางตัวมีสีแปลกๆ ที่นี่ปกติจะมีแค่งูเขียว แต่นานๆไป มันก็ไม่ได้มายุ่งอีก  เว้นก็แต่งูเขียวหางไหม้มันชอบมาโผล่แถวหลังบ้านอยู่เรื่อย”

    เขาปล่อยให้คำพูดของย่าผ่านหูไป...งูเขียวหางไหม้อีกแล้ว เป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือว่าเป็นความตั้งใจของไวทิน...

    ทำไมกันนะ…

    เด็กหนุ่มนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กไม่ออกเลย


    วันทั้งวันพันตรีไม่ได้ออกไปนอกเรือนนัก เขาอยู่แต่ในบ้าน เฝ้ามองความเคลื่อนไหวของคนสวนที่กำลังรดน้ำต้นไม้ในสวนตามปกติ อักษราภัคจะปรากฏตัวเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น อีกฝ่ายคืนกำไลให้เขาแล้ว เขานั่งมองกำไลสีทองหม่นอย่างใจลอย มณีสีแดงวิบวับสะท้อนตา เพียงยื่นนิ้วไปสัมผัสเขารับรู้ถึงกระแสความอุ่นไหลผ่านผิวหนัง...ความคุ้นเคย…

    งูเผือกเลื้อยมาหา เคลื่อนตัวเข้ามาขดอยู่บนตักของพันตรี เด็กหนุ่มเก็บกำไลใส่กระเป๋ากางเกงไว้ ยื่นมือไปจับงูอย่างเคยชิน

    “ที่นี่เงียบสงบดี”

    “อืม...เงียบจนเกินไปซะด้วยซ้ำ”เขาบอก ขณะที่เสียงนกยังคงร้องจิ๊บๆให้ได้ยิน ไม่นับเสียงไก่ขัน งูเผือกผงกหัวเงยมอง

    “นึกว่าเจ้าจะชอบเสียอีก”

    “ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนก็คงชอบ...แต่ตอนนี้ความเงียบสงบของป่าเขาทำให้ผมกลัว”เขาบอก ลูบสัมผัสลำตัวของงูไปมา

    “มีข้าอยู่ทั้งคนอย่าได้กลัวสิ่งใด”อักษราภัคกระซิบ

    ปัง!

    เสียงประตูเหล็กกระทบกับรั้วดังลั่นราวกับมีลมปะทะอย่างแรง เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นยืน ไม่ลืมที่จะอุ้มงูไว้ในอ้อมแขน เขาชะเง้อมองลงไปที่หน้าต่าง ตาเทิดวิ่งอ้อมไปยังทางหลังบ้านเพื่อดูต้นตอของเสียง เขาเดินลงไปชั้นล่าง เพื่อไปหาย่า

    “เกิดอะไรขึ้น”พันตรีพึมพำ

    “เจ้าจะเอาข้าไปเช่นนี้รึ”

    “ช่างเถอะ ย่ารู้ว่าผมไม่กลัวงู อีกอย่างงูสวยๆแบบนี้ไม่มีใครกลัวหรอก”

    พวกเขามาถึงชั้นล่าง แต่ว่าไม่พบใครเลย ลองตะโกนเรียกหาย่ากับป้าเยาว์ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาแปลกใจ ตัดสินใจเดินไปยังหลังบ้าน

    “ไม่มีใครอยู่แถวนี้”งูเผือกบอก

    เด็กหนุ่มเดินออกไปทางประตูหลังบ้านที่เปิดอ้าไว้ งูเผือกในอ้อมแขนยังคงอุ่นทำให้คลายความกังวลใจลงได้

    พรึบ พรึบ

    เสียงคล้ายนกตีปีกระงมไปทั่ว พอแหงนมองท้องฟเา พบว่ามีนกหลายสิบตัวบินวนเหนือยอดไม้ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น

    “มีใครอยู่แถวนี้ไหม”เขาถามงูเผือก

    “เดี๋ยวข้าไปดูตรงป่าไผ่ เจ้ารออยู่นี่”งูเผือกบอก เขาวางงูลงกับพื้น ก่อนที่งูจะเลื้อยปราดเปรียวไปตามพื้นดิน สายลมแรงพัดปะทะหน้า พัดเอาฝุ่นละอองและเศษใบไม้หมุนวนจนเด็กหนุ่มต้องหรี่ตา ไม่นานหลังลมสงบ เขาไม่เห็นอักษราภัคแล้ว ทว่าเจอเข้ากับงูสีดำตัวใหญ่

    เป็นนาคา เกล็ดหนา ผิวเรียบ และหน้าแหลมเป็นสามเหลี่ยม เขาค่อยๆถอยห่าง

    “ส่งมณีมา หากยังรักชีวิตอยู่”เสียงทุ้มเอ่ยต่ำๆ เขานึกหวาดกลัว เพราะงูตรงหน้าต่างจากอักครามาก...นี่ไม่ใช่อักครา นาคาตัวนี้สูงท่วมศีรษะ ราวกับต้นไม้ใหญ่ เด็กหนุ่มถอยหนีเมื่อมันพุ่งฉกลงมา เขาวิ่งไปทางธารน้ำตกอย่างไม่มีทางเลือกเพราะ ทางซ้ายมือที่จะกลับไปยังสวนหน้าบ้านมี นาคาสีดำอีกตัวดักรอ พวกนี้คือใครกัน?

    “อย่าดิ้นรนอีกเลย เด็กน้อย ข้าให้ชีวิตเจ้ามาเนิ่นนานเหลือเกิน”

    พันตรีเกือบสะดุดล้มเมื่อได้ยินคำพูดที่คลับคล้ายคลับคลากับผู้ที่เคยเข่นฆ่าตัวเองในอดีต

    องค์อภัยภัทร...ยังมีชีวิตอยู่หรือ...จำได้ว่าอักษราภัคบอกว่าไม่ตายก็เหมือนตาย...บางทีตอนที่อักษราภัคไปชิงมณีกลับมา ในตอนนั้นเจ้าตัวคิดว่าเสด็จพ่อของตัวเองอาจจะสิ้นฤทธิ์แล้ว

    เสียงน้ำไหลดังขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเขาพ้นเนินดิน หางของงูเฉียดใบหน้าไปเพียงเส้นยาแดง แต่ก็ทำให้เขากลิ้งล้มไปตามทาง เจ็บแสบไปทั้งตัว ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ลานหิน เขารีบลุกขึ้นตั้งหลัก อักษราภัค...หายไปไหน

    มองไปก็เจอแต่ทางตัน ธารน้ำไหลแรงเพราะก่อนหน้านั้นมีฝนตกลงมาไม่ขาดสาย เขาไม่มีที่ให้หนีได้อีกต่อไป….มณีนาคาหรือกำไลร้อนแผดเผาผิวหนังผ่านกระเป๋ากางเกง เด็กหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า สัมผัสอุ่นอาบไล้ไปทั่งร่าง นาคาสีดำทะยานเลื้อยมาอย่างรวดเร็ว ผงกหัว อ้าปากอย่างดุร้าย

    “สิ่งของที่ไม่ใช่ของตนเอง คิดอยากได้งั้นหรือ….พระองค์ฝันอยู่หรือไร”เสียงหนึ่งดังขึ้น ไวทินยืนอยู่ในร่างมนุษย์ แต่งองค์เหมือนในแดนนาคา ในมือถือหอกด้ามยาว เพียงแค่ตวัดครั้งเดียวนาคาบริวารพลันขาดสะบั้นไปท่อน
    ปลายหางใหญ่ของนาคาสีดำตวัดเข้าหาไวทิน พันตรีไม่ทันจะหาหนทางหนี กลับเจอกลับใบหน้าแหลมของนาคาตนหนึ่ง มองไปแล้วรู้ได้ว่าคือองค์อักครา

    ไม่มีเวลาให้หลบหลีก อักคราอ้าปากฉกเข้าที่ลำตัวของพันตรีเต็มแรง เด็กหนุ่มยกแขนมากำบัง รู้สึกถึงเลือดอุ่นทะลักออกจากแขน และใบหน้าของเขา พลันเซถลาลงธารน้ำที่ไหลแรง

    ตูม

    “พระโอรส!”เสียงไวทินดังลั่น

    เด็กหนุ่มสำลักน้ำ แสงสว่างจากด้านบน ส่องลงมาไม่ถึงผิวน้ำ ม่านน้ำขุ่นมัว เต็มไปด้วยเศษใบไม้ เขาพยายามว่ายขึ้นฝั่ง ทว่าเหมือนไร้เรี่ยวแรง แสบไปทั้งจมูก

    ‘อักษราภัค อยู่ที่ไหน….ช่วยผมด้วย’เขาร่ำร้อง

    ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงแรงกอดรัดจากนาคาตัวใหญ่ มันพยายามรัดให้เขาตายและจมลงใต้น้ำ เด็กหนุ่มดิ้น ปัดป่าย ต่อยตีทำทุกทางเพื่อผลักดันให้งูคลายแรงรัด ใบหน้าแหลมของมันหันมาพุ่งใส่จนเจ็บปราบไปทั้งหน้า รสเลือกคาวคลุ้งไปทั้งลำคอ กระแสน้ำปะเปื้อนไปด้วยเลือดของพันตรี ความปวดแสบปวดร้อนกัดกร่อนจากท่อนแขนลามมาที่ใบหน้า

    พิษงูงั้นเหรอ….

    เสียงกัมปนาทจากบนบกดังต่อเนื่อง ขณะนั้น ธารน้ำแดงฉานไปทั่ว ต้นตอของแสงมาจากกำไล มันลอยออกจากกระเป๋ากางเกง หมุนวนมาที่ใบหน้าของพันตรี น่าแปลกที่กำไลทรงกลมเป็นรูปนาคาม้วนตัวเข้าหากันในปากมีมณีสีแดงเม็ดเล็ก คลายตัวออก ราวกับเป็นงูอีกตัว งูสีทอง...ในปากคาบมณีเอาไว้

    เขาเริ่มดวงตาพร่าลาย พลันงูตัวน้อยพุ่งเข้าไปหานาคาสีดำหลบเข้าไปในปากที่อ้ากว้าง กำไลมณีหายไปในร่างของนาคาสีดำ จากนั้นเสียงร้องสะท้อนไปทั่วผืนน้ำ ร่างของงูคลายตัวลง มันอ้าปากอีกครั้ง มีเลือดทะลักออกมา แสงสีแดงพลันส่องทะลุเกล็ดและลำตัวของนาคาสีดำ ดวงตาแดงฉานด้วยฤทธิ์ของมณี นาคาสีดำปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แต่ว่าปวดร้าวไปทั้งตัว

    เขาเกือบหมดลมหายใจ น้ำทะลักเข้าปากมาไม่น้อย จนจุกเสียดหน้าอก ศีรษะปวดแทบระเบิด

    งูสีทองตัวน้อย เลื้อยว่ายมาหาเขา ในปากคาบมณีไว้ เลื้อยวนมาที่ใบหน้า ใกล้จนเห็นรอยเกล็ด ก่อนที่ มณีเม็ดเล็กหลุดออกจากปากของนาคา พุ่งประทับเข้าที่หน้าผาก

    ฉับพลัน เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ราวกับถูกกดบีบด้วยมือล่องหน น้ำทะลักเข้ามาในปากอีกครั้ง แสงสว่างจ้าจนตาพร่าเลือน เขามองไม่เห็นอะไรอีก มีเพียงเสียงจากความทรงจำ

    ภาพของอักษราภัคคุกเข่าร้ำร้องอยู่หน้าแท่นบูชานาคา ที่มีเศษเสี้ยวดวงจิตของอภันตี

    ‘เป็นเพราะข้า เจ้าถึงมีชะตาเช่นนี้ อภันตี ข้าจะช่วยเจ้าให้ได้ เพียงแค่เจ้ารอข้า’
    ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ ข้ายังเป็นคู่หมั้นของเจ้า ต่อให้ตายตกไป อย่างไรซะ ข้าต้องทวงคืนชีวิตให้เจ้า ใจข้าถึงจะสงบสุขลงได้ เช่นนั้นแล้ว อภันตี ได้โปรดรอข้า’

    เสียงของอักษราภัคดังก้องในหัว อาจมาจากใจของเขาด้วย ปรารถนาของอักษราภัคนั้นแรงกล้า พลันดวงตาแสบร้อน อยากร้องไห้ออกมา

    ขณะที่ร่างกายราวกับโดนฉุดรั้งจากมือที่มองไม่เห็น แสงเส้นลายตาจนเบลอไปหมด มวลน้ำมหาศาลโถมเข้าใส่พันตีคล้ายคลื่นทะเล ม้วนพาให้เขาเข้าไปใต้น้ำลึก เขาคิดว่าเขาคงจมน้ำตาย แต่ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาแทน จำได้ว่าน้ำตกแห่งนี้น้ำไม่ลึกถึงขนาดนี้

    ...ภาพของนาคาสีทอง เช่น ท้าวปุณทนัสและไวทินปรากฏกายเพื่อมาดูเขาในวัยเด็ก และถ้อยคำของอักษราภัคที่บอกว่าการจะเชื่อมต่อระหว่างแดนนาคากับเมืองมนุษย์ได้นั้นต้องมีผู้เปิดทาง จึงจะสามารถเข้าออกเมืองมนุษย์ได้
    ขณะนั้น เด็กหนุ่มเข้าใจเรื่องราวได้ทันที

    ‘อภันตี!’

    เสียงเรียกดังขึ้น เป็นเสียงอักษราภัค เด็กหนุ่มสะดุ้ง พลันลืมตาขึ้นมา กลับพบว่าตนเองนอนอยู่บนอิฐสีแดง รอบกายยังมีเสียงต่อสู้ปะทะกันรุนแรง เขาคิดว่าตัวเองกำลังมองท้องฟ้า แต่ว่าไม่ใช่ เป็นเพดานน้ำสีครามสวยงามราวกับอยู่ในอคาเรี่ยมขนาดใหญ่…

    เสียงทุ้มเป็นของผู้ชายดังขึ้น

    “เขาฟื้นแล้ว ป้องกันเขาให้ดี”มีมือเข้ามาฉุดให้เขาลุกขึ้น พันตรีตั้งสติ ตั้งหลักยืนบนอิฐสีแดง เป็นทางยาว พอมองสังเกตอย่างตั้งใจแล้ว เขากำลังยืนอยู่บนทางเดินยาว มีเสากลมเรียงราย เบื้องหน้าห่างออกไปสุดตาคือวิหารสูงใหญ่ เสียงร้องของนาคาปะปนกัน

    “อภันตี...”

    เสียงนั้น….เป็นเสียงของท้าวปุณมนัส

    เด็กหนุ่มหันมอง คิดว่าตัวเองอาจฝัน...เหมือนครั้งก่อน ๆ ก้มมองดูตัวเอง เขากลับไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าของพันตรีอีกต่อไป...กลับกลายเป็นการแต่งกายของแดนนาคา ผ้านุ่งไทยสีทองอ่อนแบบที่อภันตีเคยสวมใส่

    เด็กหนุ่มตกใจมากยิ่งขึ้น เมื่อรอบตัวเขามีกองทัพนาคารายล้อม บ้างสวมเกราะ บ้างก็ถืออาวุธเช่นสามง่าม บ้างก็ใช้ร่างนาคาปกป้องกองทัพ

     ‘อักษราภัคไปไหนเสียแล้ว’




    [Talk]
    ตอนนี้เขียนยากนิดหน่อย กลัวว่ามันจะออกแนวอภินิหารมากเกินไป 555 เรื่องนี้จบแฮปปี้แน่นอนแหล่ะ แต่กว่าจะผ่านจุดนั้นมา ก็ต้องมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลง หลายๆคนอาจเดาทางออก หรืออาจจะขัดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผ่านมาใกล้จะถึงบทสรุป ตอนหน้า (14) อาจจะมาช้าหน่อยนะคะ
    ขอบคุณค่ะ
     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×