ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #16 : [QUEEN] To the Ashes

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 62


    1/5/2019

    To the Ashes

    [ C I V I E S ]

     

    เป็นเวลาอาทิตย์กว่าแล้วที่สตีฟจะต้องทนอยู่กับอาการป่วย

    ถ้าสิ่งที่นายทหารคนนั้นพูดจริงๆ...ถ้าสตีฟติดโรคมหันตภัยนั่น โอกาสรอดของเขาก็แทบจะไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงของเพื่อนร่วมห้อง ชายหนุ่มตัวร้อนราวกับไฟ ร่างกายซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ของเหลวสีดำสนิทถูกสำรอกออกมาจากปากไม่เว้นช่วง ลมหายใจรวยรินนั่นแสดงออกได้ถึงความทรมานได้เป็นอย่างดี

    ฉันกับเดวิสต้องคอยผลัดกันดูแลสตีฟ เราไม่รู้ว่าควรรักษาโรคนิรนามนี่ยังไง แต่สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงต้องบรรเทาอาการเบื้องต้นไปก่อน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตอนนี้เสบียงที่ใช้ไปมากที่สุดก็คือยา มันคงไม่แปลกหรอกถ้ามันจะเหลืออยู่ร่อยหรอแบบนี้ แต่อาหารกับน้ำยังคงพอมีเหลืออยู่บ้าง น่าจะประทังชีวิตต่อไปได้อีกสัปดาห์หนึ่ง

    ผม...ต้องตายแน่ๆ

    น้ำเสียงแหบพล่าของผู้ป่วยเอ่ยขึ้นเบาๆ มันแฝงไปด้วยความสิ้นหวังอย่างสุดจะอธิบาย ฉันพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้สตีฟหวนนึกถึงเรื่องชวนเครียด โดยเฉพาะเรื่องความเป็นความตาย ดวงตาสีซีดบัดนี้เหลือบมองกลับมายังฉัน สัมผัสเย็นๆ จากผ้าชุบน้ำในมือลูบไล้แขนที่ร้อนระอุราวกับไฟ ฉันมองใบหน้าซีดเซียวนั่นกลับ ริมฝีปากของเขาสั่นระริกแถมยังแตกระแหงเพราะอาการป่วย

    ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าช่วยอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจแตะแขนสตีฟเบาๆ รอยยิ้มให้กำลังใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แลดูเศร้าสร้อยของฉัน สายตาสตีฟแลดูเลื่อนลอย...มีความเหนื่อยล้าแอบแฝงอยู่ในทุกห้วงลมหายใจของชายหนุ่ม

    ไม่ตายหรอกน่าฉันเอ่ย ทั้งๆ ที่ในใจก็ยังไม่รู้คำตอบแน่ชัดฉันอยู่นี่แล้ว

    ยา..คงจะใกล้หมดแล้วสินะ...

    ยังเหลือเยอะอยู่

    ง...งั้นเหรอ? แค่ก! บ้าฉิบผมจะทำให้เราตายกันหมด

    หยุดพูดเรื่องตายๆ อะไรแบบนั้นได้มั้ยน้ำเสียงของฉันฟังดูติดตลกแต่ก็จริงจังไปในเวลาเดียวกันตราบใดที่ฉันยังอยู่ ไม่ว่าจะคุณหรือเดวิส ก็จะไม่มีใครตายทั้งนั้น

    ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วไม่ทันไรก็ปล่อยเสียงหัวเราะแหบแห้งออกมา แม้จะไม่อยู่ในอารมณ์ชวนขำก็เถอะ แต่สุดท้ายฉันก็ห้ามเสียงหัวเราะของตัวเองไม่อยู่ พวกเราหัวเราะ ทั้งที่สถานการณ์ในตอนนี้กลับกลายเป็นนรกบนดินไปแล้วก็ตาม

    เอาจริงเหรอ? หน้า...เคป็อปอย่างคุณจะช่วยอะไรได้...

    ฉันเป็นนักกีฬา ไม่ใช่นักร้องสักหน่อย

    อย่าว่าอะไรเลยนะสตีฟคลี่ยิ้มอบอุ่นแต่หน้าคุณก็ไม่ต่างอะไรไปจาก...นักร้องพวกนั้นเลยสักนิด

    ตลกแล้วละมั้ง?

    ฮ่า-ฮ่า ตลกจังเลยนะคุณ

    ไม่นะ ผม...พูดจริง”เขายืนยัน”ร้องเพลงเป็นหรือเปล่า

    บ้าบอ ฉันคิดในใจ แต่ปากก็ยังคลี่ยิ้มไม่หยุด ถ้าจะให้พูดความจริงเรื่องนั้นละก็...คงไม่มีใครรู้ชีวิตส่วนตัวของฉันดีไปกว่าตัวฉันเองหรอก แม้แต่โค้ชก็ยังไม่รู้ว่างานอดิเรกของนักกีฬาในสังกัดตัวเองคืออะไร แต่ถึงอย่างนั้นสตีฟก็เอาแต่ยิงคำถามเดียวกันต่อๆ มาไม่หยุด เสียงหัวเราะแหบแห้งของชายหนุ่มดังปนออกมาพร้อมกับเสียงไอสำลัก เดาว่าถ้าไม่ตอบวันนี้สตีฟก็ไม่หยุดถามละมั้ง

    ก็ได้ๆ—“ในที่สุดก็ยอมแพ้ถ้าหายป่วยเดี๋ยวจะร้องให้ฟัง

    จริงดิ

    จริง

    สัญญานะ?”

    ฉันพยักหน้า แต่ในตอนนั้นเองน้ำตาก็เผลอไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว จำไม่ได้แล้วว่าคำสัญญาครั้งล่าสุดของตัวเองมันลงเอยยังไง...สตีฟมองหน้ากลับ เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นมาปัดหยดน้ำใสๆ ที่เปรอะอยู่บนแก้มของฉันทิ้ง สัมผัสอันเย็นยะเยือกยังคงแฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันยกมือขึ้นมาปิดปากปิดจมูก พยายามไม่หวนนึกถึงสภาพของอีกฝ่ายต่อจากนี้

    ใช่..เราต่างรู้ชะตากรรมของคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ดี

    ไม่มีใครรอดสักคน

    สายลมอันอบอุ่นพัดเข้ามาภายในห้อง โมบายล์ซึ่งถูกแขวนประดับเอาไว้ตรงริมหน้าต่างขยับเอื่อยเฉื่อย มันส่งเสียงไพเราะอย่างเบาบางยามสัมผัสกับสายลม แสงอาทิตย์สีทองอ่อนสาดกระทบลงบนใบหน้าซีดของสตีฟ เขาเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์เมืองใหญ่ด้านนอกเงียบๆ ดวงตาไร้แววสดใสสะท้อนภาพท้องฟ้าสีหม่น ฉันพยายามมองตามสายตาของอีกฝ่าย อยากรู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในหัว

    เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีเต็ม ในที่สุดก็เสร็จงานดูแลผู้ป่วยในช่วงเช้าไป ต่อจากนี้คงต้องปล่อยให้เขาได้พักผ่อนเหมือนกับวันที่ผ่านๆ มานั่นล่ะ สตีฟผล็อยหลับไปแล้ว ฉันเฝ้ามองทรวงอกของเขาขยับขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจ ไม่นานนักฉันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เก็บข้าวของกลับเข้าชั้นวางตรงหัวเตียง หลังจากยืนมองใบหน้าเรียบสนิทนั่นตกอยู่ในห้วงนิทรา ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจเดินออกไปด้านนอกห้อง

    เขาเป็นไงบ้าง

    นั่นคือคำพูดแรกของเดวิส ฉันเห็นเด็กหนุ่มนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาหน้าจอโทรทัศน์ เขาเอ่ยถามขึ้นทันทีหลังจากที่ก้าวออกมานอกห้อง ฉันไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน ไม่มีใครรู้สึกสบายใจกับอาการป่วยของสตีฟ ถ้าไม่นับเรื่องความเป็นมนุษย์ที่กำลังยึดถืออยู่ในตอนนี้ คนป่วยทุกคนคือแหล่งแพร่เชื้อสำคัญ...ถ้าเขายังอยู่ ความปลอดภัยของเราก็จะลดน้อยลงไปด้วย

    ไม่ดีเท่าไหร่ฉันพูดตามความจริง เดวิสหน้าหดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

    แบบนี้แย่แน่ๆ แถมที่ยิ่งไปกว่านั้นยาก็กำลัง—“

    จะหมด ฉันรู้น่า

    แล้วเธอจะทำยังไง

    ดูเหมือนว่าการกระทำจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ฉันรู้ตัวว่าควรทำอะไรขณะเดินไปเอากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย เมื่อเห็นดังนั้นแทนที่จะทำให้รู้สึกสบายใจ มันกลับทำให้อึดอัดมากกว่าเดิม เดวิสถอนหายใจดังลั่น  คงจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ละมั้งกับเรื่องที่จะต้องออกไปหาเสบียงแบบนี้ ทั้งๆ ที่ตอนแรกก็ตกลงกันเอาไว้แล้วเชียวว่าเสบียงที่ได้มาจะต้องใช้ต่อไปอีกสองหรือสามอาทิตย์ แต่นี่ยังไม่ทันจะเข้าอาทิตย์ที่สอง ฉันก็ต้องออกไปหาเพิ่มอีกแล้ว

    ฉันรู้ดีว่าทำไมเดวิสถึงไม่อยากให้ออกไปข้างนอก ทุกคนในห้องจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่ลืม ภาพของกองกำลังทหารในเครื่องแบบลายพรางสีเทา คำพูดของเจ้าของขนนกสีดำนั่นยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท แววตาไร้ความเป็นมนุษย์ของชายหนุ่มคอยย้ำเตือนเรื่องสตีฟแก่ฉันอยู่เสมอ

    ก็คงต้องออกไปข้างนอก

    อีกแล้วเหรอ?”

    ใช่ อีกแล้วน้ำเสียงของฉันฟังดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัดแต่เดี๋ยวก็กลับ

    ตอนไหนล่ะ

    เย็นละมั้ง

    เย็นละมั้ง? เย็นเนี่ยนะเธอลืมสิ่งที่ไอ้หมอนั่นพูดไปแล้วรึไงควีน!

    อยู่ๆ เดวิสก็ลุกขึ้น ใบหน้าของเขาแดงเรื่อจากอาการโกรธที่สุมอยู่ในอก แน่นอน...ฉันรู้ดีว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดถึงอะไร ถ้าคิดว่าฉันจะลืมคำพูดของนายทหารคนนั้นไปแล้วละก็ คิดใหม่ซะ แต่ฉันแค่ไม่อยากให้มันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องแตกคอกัน ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่มีวันทิ้งสตีฟ ต่อให้เขาจะป่วยหนักแค่ไหนก็ตาม ฉันยืนนิ่ง เดวิสสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวด้วยท่าทางควันออกหู 

    "ถ้าพวกนั้นเจอเธออีกละก็"น้ำเสียงแข็งกระด้างนั่นฟังดูสั่นคลอน"มันฆ่าเธอแน่"

    "รู้แล้ว"

    "ทั้งที่รู้ก็ยังจะออกไปอีกเหรอ!? ให้ตายสิควีน! ฉันคิดว่าเธอจะฉลาดกว่านี้ซะอีก!"

    "ฟังนะ! ฉันไม่ยอมนั่งให้เขาตายในนี้หรอก! ถ้าไม่อยากจะช่วยก็หุบปากไปซะ!"

    "ควีน!"

    เราทั้งสองคนทำท่าจะมีเรื่องกันอีก โดยเฉพาะกับเดวิสที่เขาทนกับอาการกดดันแบบนี้ไม่ค่อยได้เสียเท่าไหร่ ก่อนที่ฉันจะโดนหมอนั่นตะคอกใส่อีกรอบ เสียงบานพับประตูก็ดังขึ้นเบื้องหลัง พร้อมๆ กันกับที่ร่างอ่อนปวกเปียกเริ่มก้าวออกมา สตีฟหอบหายใจหนัก แม้จะใช้เรี่ยวแรงไปเพียงเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกราวกับว่าเหนื่อยมาเป็นชาติ ฉันรีบตัดบทสนทนาของตัวเอง แล้วรีบเดินไปประคองอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนที่เขาจะล้มลง 

    น้ำเสียงแหบแห้งพยายามกระซิบบางอย่าง ฉันค่อยๆ เอนร่างของชายหนุ่มลงบนพื้นขณะย่อตัวนั่ง เดวิสก็คงไม่อยากให้เรื่องบานปลายเช่นเดียวกัน เพราะงั้นเขาถึงเอาแต่ปิดปากเงียบ ดวงตาหลุบมองพื้นแต่ก็ยังแสดงอาการขุ่นเคืองเอาไว้

    "พอ...ได้แล้ว..."ฉันได้ยินเสียงสตีฟเอ่ย"...ทั้งสองคน.."

    "คุณควรจะพัก"

    "ถ้าอย่างนั้น--ผมก็ไม่ต่าง...ไปจากพวกตัวถ่วง...ที่เอาแต่ผลาญ--เสบียง"

    "เธอพูดถูกนะพวก"นักศึกษาแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นเช็ดจมูก เสียงหายใจฟึดฟัดดังในความเงียบ"นายน่าจะนอนพัก"

    "ไม่--ฉันจะไปกับ...เธอ"

    "อะไรนะ"

    ฉันขมวดคิ้ว ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสนแทบจะในทันทีทันใดขณะมองสายตาเลื่อนลอยคู่นั้น สตีฟไม่เอ่ย เขายังคงยืนยันคำพูดของตัวเองด้วยการพยักหน้าครั้งหนึ่ง เพียงเท่านั้นสถานการณ์ความบาดหมางภายในห้องก็จบลง ฉันหันหน้าไปมองเดวิส เขาพยายามส่งสายตาเป็นห่วงก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน 'อย่านะ' ฉันอ่านปากของเขา หลังจากนั้นจึงก้มลงไปมองชายที่อยู่ในอ้อมแขนอีกครั้ง

    สตีฟพยายามจับมือของฉันเอาไว้ สัมผัสของเขาเย็นยะเยือกราวกับหิมะ ลมหายใจรวยรินเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงพยายามดันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้น ฉันช่วยพยุงเขา จนในที่สุดอีกฝ่ายก็สามารถทำตามใจตัวเองได้สำเร็จ ร่างสูงสันทัดค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายเอาไว้ ปืนพกประจำกายที่ฉันเห็นสตีฟชอบเอามาทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ ตั้งอยู่บนชั้นวาง เขาหยิบมันมา...มือทั้งสองข้างสั่นเทาเสียจนน่ากลัว 

    จนกระทั่งปืนกระบอกนั้นถูกเก็บเข้าไปในซองข้างเข็มขัด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเลื่อนลอยแฝงไปด้วยปณิธานความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ฉันพยายามบอกกับสตีฟ...ไปพักเถอะ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำคือการเอ่ยคำปฏิเสธทางสายตา

    "เราจะไปหา..เสบียงเพิ่ม"เห็นได้ชัดว่าเขาฝืนทำเสียงแข็ง ทั้งที่ร่างกายเองก็ไม่ได้พร้อมเลยสักนิด"ฉันกับควีน"

    "บ้าเหรอ นายป่วยอยู่นะสตีฟ! ใครจะพา--"

    "แค่นี้ไม่ตายหรอกน่า...เดฟ"

    ไม่มีใครเถียงคำพูดนั้นออก แม้แต่เดวิสก็ทำได้เพียงเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับอย่างเคร่งเครียด ริมฝีปากพึมพำอะไรบางอย่างที่ฉันไม่ได้ยิน แต่เดาว่าหมอนั่นคงจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่เกี่ยวกับสิ่งที่สตีฟพูด 

    ...แต่นั่นก็ขัดขวางสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ได้

     

    รองเท้าผ้าใบจมลงใต้หิมะแทบจะในทันที่ก้าวไปบนถนน ฉันยกมือขึ้นป้องแสงอาทิตย์ยามเงยหน้ามองท้องฟ้า เสียงลมพัดดังหวิวเมื่อมันปะทะเข้ากับตึกสูง ตอนนี้หิมะไม่ตกลงมาแล้ว แต่อีกไม่นานเมืองก็คงจะจมอยู่ภายใต้เกล็ดสีขาวของมันอีกครั้ง สตีฟค่อยๆ พยุงร่างของเขาขณะก้าวเดิน อาการป่วยยังแสดงออกมาบ้างจากการไอ ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปาก แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังสังเกตเห็นของเหลวสีดำสนิทซึ่งถูกสำรอกออกมา

    พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะต้องรีบออกไปหาเสบียงเพิ่ม อาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แล้วค่อยกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ความจริงแล้วฉันอยากจะหาให้พอไปเลยด้วยซ้ำ แต่อีกใจก็เป็นห่วงอาการของสตีฟ แถมยังไม่ค่อยไว้ใจเดวิสด้วยว่าเขาจะทนอยู่คนเดียวในห้องนั้นได้นานแค่ไหน แม้ว่าตัวเองจะป่วย สตีฟก็ยังคงอาสานำทางไปยังจุดหมายของเรา ฉันมีหน้าที่ช่วยดูแลเขาจากด้านหลัง ถ้าอีกฝ่ายล้มลงเมื่อไหร่ ก็ต้องเข้าไปประคอง

    "จำเอาไว้นะ"ชายหนุ่มกำชับ"...ยาสำคัญที่สุด"

    "เข้าใจแล้ว"

    "แล้วก็ระวังตัวด้วย ข้างนอกนี้ไม่ได้มีแค่เรา"

    สตีฟกวาดสายตามองทัศนียภาพรอบตัว ความระมัดระวังแฝงอยู่ในทุกฝีก้าวที่เราเดิน ฉันพยายามอยู่ติดๆ ด้านหลังของชายหนุ่มไว้เพื่อคุ้มกันอีกฝ่าย ในระหว่างนั้นก็หันมองไปรอบตัวไม่ต่างกัน พวกเราเดินออกมาจากที่พักได้ไกลอยู่พอสมควรแล้ว เมื่อเจอร้านค้าหรือร้านขายยาก็เข้าไปตรวจสอบ ค้นหาสิ่งที่อาจจะเป็นประโยชน์กับการเอาชีวิตรอด ส่วนใหญ่ก็ได้อะไรไม่มากนักโดยเฉพาะยา ฉันหันไปมองสตีฟ เขายังคงวุ่นอยู่กับการคุ้ยลังกระดาษ แน่นอนอีกฝ่ายยังไม่รับรู้ถึงสายตาความเป็นห่วงของฉัน

    ถ้าสังเกตจากอาการ ส่วนใหญ่เขามักจะไข้หนักช่วงกลางคืน ถ้าให้ดีก็ควรไปหายาลดไข้เผื่อเอาไว้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปดูหลังเคาน์เตอร์ ข้าวของทั้งหมดถูกรื้อกระจุยกระจายไม่ต่างไปจากขยะ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีกล่องยาวางอยู่ด้านในตู้แก้ว ฉันเปิดฝาตู้อย่างระมัดระวัง สายตาอ่านฉลากที่แปะอยู่บนกล่องกระดาษด้วยความละเอียดถี่ถ้วน จนในที่สุดก็เจอสิ่งที่ต้องการ ฉันหยิบยาลดไข้ทั้งหมดที่เหลือลงมาจากตู้ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า นั่นเป็นจังหวะเดียวกันที่ได้ยินเสียงเรียกของสตีฟ

    "เฮ้"ฉันหันไป"มาดูนี่สิ"

    ไม่รู้ว่าเขาเจออะไร ชายหนุ่มหยุดความสนใจของตัวเองที่มีต่อกล่องยาไปเสียแล้ว ตอนนี้สตีฟกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น..ที่เปื้อนอะไรบางอย่าง ฉันก้าวขาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เหยียบโดนเศษแก้ว เมื่อไปถึงจุดที่เขานั่งอยู่ ฉันก็ถึงกับตาค้าง

    ศพ...ของบุุคคลนิรนามสวมหน้ากาก ฉันดูไม่ออกว่าคนพวกนี้เป็นใครแต่ก็พอจะรับรู้ได้จากหน้ากากที่สวมอยู่ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นโจรที่ไล่ขโมยของจากร้านค้า ฉันตัดสินใจนั่งลงข้างๆ สตีฟ เขากำลังตรวจสอบสภาพบาดแผลบนร่างไร้วิญญาณพวกนั้น ทั้งหมดตายด้วยสาเหตุเดียวกันจากการถูกยิง แน่ล่ะ ใต้รองเท้ายังมีปลอกกระสุนตกเกลื่อนอยู่เลย เหมือนกับว่าคนพวกนี้จะถูกต้อนจนไร้ทางหนี ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะปิดฉากลงอย่างที่เห็น

    "สารเลวคาร์เทล--คงจะจ๊ะเอ๋กับคู่อริ"

    "คุณรู้เหรอว่าเป็นพวกนั้น"

    "รู้สิ พวกมัน...แค่ก--สวมไอ้โม่งกันทุกคนตอนออกปล้น...แค่กๆ"สตีฟยกมือขึ้นปิดปาก ฉันมองด้วยความเป็นห่วง"เฮ้อ...ให้ตายสิ ถ้าต้องตายผมขอตายแบบนี้...ดีกว่า"

    "สตีฟ--"

    "รู้แล้วน่า ขอโทษ"

    ฉันไม่สนใจคำขอโทษนั่นขณะจ้องมองไปยังดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเองสตีฟก็เปลี่ยนเรื่องคุย เขาหันไปสนใจปืนของอดีตกลุ่มโจรแทน มีอยู่สามกระบอก...ทั้งปืนพกและปืนยาว ฉันไม่รู้ว่าควรจะเรียกของพวกนี้ว่าอะไร นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เจอกับทหารพวกนั้น ฉันก็แอบสัญญากับตัวเองอยู่ว่าจะไม่แตะต้องของอันตรายนี่อีก แต่สิ่งที่สตีฟทำกลับตรงกันข้ามกับความคิดในหัวอย่างสิ้นเชิง 

    ปืนพกกระบอกเล็กถูกหยิบออกมาจากมือของผู้ตาย สตีฟตรวจสอบกระสุนที่บรรจุอยู่ในนั้นครู่หนึ่ง ตอนแรกฉันคิดว่าเขาคงจะเป็นฝ่ายเก็บมันเอาไว้เอง แต่ที่ไหนได้...ดันยื่นให้ฉันเฉย

    "ใช้เป็นซะที่ไหนล่ะ"ฉันสบถอย่างเหนื่อยหน่าย

    "ปืนพก ใช้ง่ายกว่าปืนไรเฟิลนะ"

    "ไม่รู้สิ ไม่อยากรู้ด้วย"

    ฉันทำเป็นไม่สนใจคำพูดของสตีฟด้วยการเหลือบมองไปทางอื่น ในตอนนั้นเองที่ภาพของนายทหารคนเดิมก็ผุดขึ้นในหัว ขนนกดำสนิทซึ่งประดับอยู่บนหมวกพลิ้วไสวตามลมหิมะ เสียงหัวเราะของทหารพวกนั้นตอนเห็นท่าจับปืนแบบผิดๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง ให้ตาย...มาถึงตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกอายไม่หายเลยแฮะ อาจจะเพราะแบบนั้นก็ได้มั้งถึงได้มองปืนที่สตีฟยื่นมาให้แบบกลัวๆ

    "ควีน--"สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังมากขึ้น"ถ้าผมไม่อยู่..."

    "หยุด"

    "ฟังหน่อยเถอะ"

    แม้จะไม่อยากได้ยินเรื่องชวนสิ้นหวังตอนนี้ แต่สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่เงียบ

    "คุณต้องดูแลตัวเอง..เดวิสด้วย"สตีฟกล่าว"...ถ้า..ใช้ปืนไม่เป็น คุณจะ...ไม่มีวันรอด"

    ฉันใช้ไม่เป็น คำพูดนั้นดังขึ้นเฉพาะแค่ในหัวก็จริง แต่สายตากลับกล่าวมันออกมาอย่างชัดเจน ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ดึงมือของฉันไป ปืนพกกระบอกนั้นถูกวางลงบนฝ่ามืออย่างเบาบาง ฉันมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสับสนอย่างถึงที่สุด 

    "เบเร็ตตา เอ็ม 92 ใช้ลูกกระสุนขนาด 9 มม. บรรจุ 15 นัด หาง่ายที่สุดในช่วงนี้"เขาอธิบายให้ฟัง"แถมยังใช้ง่ายด้วย ตอนผมหัดใช้ปืนครั้งแรก...ก็ใช้กระบอกนี้แหละ...”

    ในฐานะคนไม่เล่นปืนและไม่เคยศึกษาเรื่องอาวุธสงครามมาก่อน ยังไงซะร้อยทั้งร้อยฉันก็ต้องงงกับข้อมูลพวกนั้นอยู่ดี ฉันส่ายหน้าเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองไม่เข้าใจ ชายหนุ่มกระพริบตา ก่อนจะหยิบปืนของตัวเองออกมาถือให้ฉันดู ท่าจับปืนของเขามั่นคงแม้ร่างกายจะแลดูหมดสภาพเพียงนั้นก็ตาม

    "ทำตามผม"

    "..โอเค..ก็ได้"

    มันยากเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่เคยลองมาก่อน ฉันใช้ความพยายามอย่างมากที่สุดในการจับปืนพกอย่างถูกต้อง คุณจับปืนผิด ดูเหมือนว่าเสียงของนายทหารคนนั้นจะกระตุ้นต่อมหงุดหงิดอยู่เล็กๆ แต่ที่เขาพูดมันก็ถูก ที่พวกเขาหัวเราะฉัน..มันก็ถูก มันน่าอับอายแค่ไหนก็คงจะได้เห็นกันแล้ว แต่ครั้งนี้ฉันเชื่อว่าต่อให้มือจะวางอยู่ในตำแหน่งที่ผิดพลาดแค่ไหน สตีฟก็จะไม่มีวันหัวเราะฉันอย่างแน่นอน

    "ไม่ต้องเกร็ง"เขาแนะนำ ระหว่างใช้มือจัดท่าทางจับปืนให้ฉันอย่างใจเย็น"แค่จับให้มั่นคง มือทั้งสองข้างต้องคอยประคองปืนเอาไว้ อย่าให้มืออ่อนปวกเปียก...รีคอยล์ปืนมันสูง"

    "รีคอยล์?"

    "แรงถีบปืนน่ะ ถ้าจับไม่ดีปืนก็ถีบใส่หน้า...ก็แค่นั้นแหละ"สตีฟหัวเราะ

    "ไม่มีวันซะหรอก"

    "จ้า แม่คนเก่ง..โอเค--คราวนี้ลองยิงหน่อย"สตีฟเอ่ย"ดึงสไลด์ปืน"

    "อะไรนะ"

    "สไลด์ปืน ไอ้ที่อยู่ข้างบนน่ะ ดึงไปข้างหลังแบบนี้"

    ไม่ยักรู้แฮะว่าจะใช้ปืนสักครั้งมันต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วย สตีฟแสดงตัวอย่างให้ฉันดูอีกครั้ง เขาดึงชิ้นส่วนด้านบนของปืนพกในมือให้มันถอยไปด้านหลัง ฉันทำตาม คราวนี้เขาส่งสายตาบอกให้เล็งไปบนป้ายโปสเตอร์บนกำแพงตรงหน้า

    "ตั้งใจ--มีสมาธิ จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองต้องการจะยิง...แล้วเหนี่ยวไก"

    ฉันเล็งปืนปลายข้างหน้า สายตาจับจ้องไปยังศูนย์เล็งขนาดเล็กผ่านความมืดโดยรอบ มือทั้งสองประคองเอาไว้อย่างมั่นคง ทันใดนั้นเองนิ้วชี้ก็เลื่อนเข้าไปในโกร่งไกอย่างช้าๆ ไม่ทันที่จะให้ใครส่งสัญญาณ ฉันก็เหนี่ยวไกปืนโดยอัตโนมัติทันที ปัง! กระสุนขนาดเล็กแล่นฉิวด้วยความเร็วจนตามองไม่เห็น มันเจาะลงบนกำแพงอิฐจนเกิดเป็นรูโหว่ เสียงกัมปนาทยังคงดังกึกก้องในหู ฉันหอบหายใจอย่างตื่นเต้น หลังจากนั้นก็ก้มลงมองอาวุธอันตรายในมือของตัวเอง

    ...แค่นี้เหรอ? ที่กลัวมาตลอดก็แค่นี้เหรอ? ฉันตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา หัวใจยังคงเต้นระรัวไม่หยุดเนื่องจากความตื่นเต้น มือรู้สึกว่าจะสั่นกว่าเก่าเลยด้วยซ้ำ สตีฟคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม เขาปรบมือให้เบาๆ ก่อนจะส่งเสียงไอออกมาอย่างหนัก เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายแทบจะในทันที ดูเหมือนว่าเราคงต้องรีบกลับไปแล้วล่ะ ขืนอยู่นานกว่านี้ฉันต้องได้แบกสตีฟกลับบ้านแน่

    "จ...จำให้ดี..."น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยอย่างเบาบางราวเสียงกระซิบ"เล็งไปยังสิ่งที่คุณ...ต้องการฆ่าเท่านั้น ประหยัดกระสุนเอาไว้..."

    "โอเคๆ หุบปากได้แล้วน่า--"

    ก่อนที่จะมีใครเป็นลมสลบไปเสียก่อน ฉันตัดสินใจเก็บปืนพกใส่กระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วพยุงร่างของสตีฟให้ลุกขึ้น ชายหนุ่มยังคงพึมพำอะไรบางอย่างตามประสาคนไม่สบาย ฉันต้องอาศัยเรี่ยวแรงทั้งหมดในการพาร่างอันหนักอึ้งนี่ออกไปด้านนอก ถ้าก้มลงไปมองนาฬิกา...อีกสองชั่วโมงก็เย็นแล้ว เราต้องรีบกลับบ้าน ความคิดนั่นผลักดันฉัน มือโอบร่างใหญ่ของอีกฝ่ายเอาไว้ให้มั่นคงก่อนจะสาวเท้าเดิน

    ฉันพยายามใช้เท้าข้างหนึ่งดันประตูร้านขายยาออกไป ลมหนาวพัดมาปะทะใบหน้าอีกครั้ง เกล็ดหิมะติดอยู่ใต้พื้นรองเท้าสนีกเกอร์ที่สวมใส่อยู่ ฉันถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อได้รู้ว่าจะต้องแบกสตีฟกลับบ้านจริงๆ กลับไปคงต้องจัดการกับเดวิสสักหน่อยข้อหาที่ปอดแหก งานนี้หมอนั่นคงจะโดนชุดใหญ่เลยมั้ง ฉันหัวเราะเบาๆ เมื่อได้หวนนึกถึงใบหน้าชวนเหวอของนักศึกษาแพทย์คนนั้น

    จนกระทั่งบางอย่างทำให้ต้องหยุดเดิน

    อะไรน่ะ

    ร่างของสตีฟแทบจะร่วงลงไปนอนกองบนพื้น อาจจะเป็นเพราะอยู่ดีๆ มือของฉันก็เกิดไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด สายตาของฉันจับจ้องไปยัง 'กลุ่มคน' ที่น่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี ปลอกแขนสะท้อนแสงที่พวกมันสวมใส่ หน้ากากกันแก๊สชวนน่าขนหัวลุก กับปืนไฟที่วันนี้พวกมันไม่ได้สะพายมาแค่คนเดียว แต่เป็นสอง...ฉันหันมองไปรอบตัว ความระมัดระวังพุ่งทะลุถึงขีดสุด 

    หกคน...ไม่ไหวแน่

    ฉันควรทำยังไงดี สตีฟเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่รอดเท่าไหร่ แต่เขาคงรู้ว่าตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในวงล้อมอันตราย ชายหนุ่มพยายามฝืนบังคับร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงให้ลุกขึ้้นยืน ในทันทีที่มองเห็นกลุ่มคนดังกล่าว เขาก็หยิบปืนพกออกมาในทันที ฉันทำตามบ้าง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้มากเท่าไหร่

    พวกมันเดินล้อมเราทั้งสองเอาไว้ประหนึ่งสุนัขล่าเหยื่อ หนึ่งในนั้นเอียงคอไปมาจนเสียงดังกร๊อบแกร๊บ...ความกลัวสะท้านไปทั่วร่าง อยู่ๆ ฉันก็ก้าวขาไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้วิ่งหนีตอนนี้เลย แม้แต่จะตั้งท่ายิงปืนก็ยังไม่น่าไหว ในขณะเดียวกันนั้นสตีฟก็เล็งปืนไปทางพวกผู้เก็บกวาดเบื้องหน้าของเขา แต่ไม่ทันไรร่างสูงก็ล้มลงไปนอนจมกองหิมะ คราวนี้ดูเหมือนว่าจะลุกขึ้นยืนยากกว่าเดิมเสียด้วย 

    "สตีฟ!"

    แม้รอบตัวจะมีอันตรายล้อมอยู่ ถึงกระนั้นฉันก็ยังตัดสินใจเข้าไปฉุดร่างของอีกฝ่ายขึ้น เจ้าพวกนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้กว่าปกติ วงกลมถูกบีบให้แคบกว่าเดิมอย่างน่าใจหาย ฉันมือสั่น ปืนพกขนาดเล็กเล็งไปทั่วทิศด้วยความกระวนกระวายอย่างหยุดไม่ได้ แววตาปิศาจของคนพวกนั้นจับจ้องเรา ความกระหายเลือดเคลือบแฝงอยู่พร้อมกับปลายกระบอกปืนไฟที่ค่อยๆ เล็งมา 

    ทันใดนั้นเองใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในวงล้อม เป็นสมาชิกอีกคน ชายคนนั้นส่งสัญญาณให้ผู้เก็บกวาดที่เหลือลดอาวุธก่อน มือของฉันสั่นสะท้านกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ ย่อตัวลงนั่ง ใบหน้าถูกปกปิดอย่างมิดชิด มีเพียงดวงตาสีเทาคู่ใสเท่านั้นที่ยังจ้องเขม็งมา แล้วมือของเขาก็วางลงบนปืนพกที่ฉันถืออยู่ ราวกับว่าเขาไม่กลัวเลยว่าฉันคิดจะเหนี่ยวไกเมื่อไหร่ สตีฟพยายามลุกขึ้นยืน เขาอยากจะปกป้องฉันใจแทบขาด แต่สุดท้ายก็ล้มลงไปนอนอยู่ที่เดิม

    "ไม่ต้องกลัว"ผู้เก็บกวาดคนนั้นเอ่ย น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังสะท้อนไปในห้วงความคิด"เราไม่ทำร้ายคุณ"

    "ป...ไปซะ! ไม่อย่างนั้น--"

    "เพื่อนของคุณน่ะ เขาไม่สบาย...ผมพูดถูกใช่มั้ย"

    ฉันไม่ตอบ แววตายังคงล่อกแล่กพร้อมกับมืออันสั่นเทา และแล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น มันฟังดูน่าขนลุก...ความกลัวเข้ากัดกินจิตใจอีกครั้งหนึ่งอย่างหยุดไม่ได้

    "ส่งตัวเขามา แล้วเราจะไว้ชีวิตคุณ"ชายคนนั้นเอ่ยต่อ"เขาจำเป็นต้องได้รับการชำระล้าง"

    "ไม่!"ฉันปฏิเสธทันควัน

    จะให้ส่งตัวสตีฟ...เพื่อแลกกับชีวิตของฉันเนี่ยนะ? ต่อให้ตอนนี้จะไร้ทางสู้แค่ไหนก็จะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ฉันส่ายหน้าปฏิเสธอีกฝ่าย พยายามทำใจดีสู้เสือแม้สถานการณ์จะค่อยๆ ย่ำแย่ลงก็ตาม แต่อีกฝ่ายคงรู้ดี เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่พูดอะไรเลย 

    "..ควีน..."ฉันได้ยินเสียงจากด้านหลัง"ไม่..เป็นไรหรอก..."

    "พวกนั้นจะฆ่าคุณ!"

    "มันไม่..สำคัญ...แล้ว ยังไงซะ...ผมก็ตาย--อยู่ดี--"

    ฉันพยายามไม่หวนนึกถึงเรื่องนั้น ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเราก็ต้องกลับไป...ทั้งสองคน! น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มทั้งสองโดยมิอาจต้านทาน ฉันทิ้งปืนในมือลงก่อนจะหันไปหาสตีฟ พยายามโอบร่างไร้เรี่ยวแรงของชายหนุ่มเอาไว้ เสียงสะอื้นดังกึกก้องไปในสายลม มือยังคงกอดสตีฟเอาไว้แน่น ดูเหมือนว่าเขาเองก็พยายามจะกอดฉันเอาไว้เหมือนกัน จนกระทั่งใครคนหนึ่งก็เข้ามากระชากร่างของสตีฟไป

    พวกผู้เก็บกวาดสองคนยึดฉันเอาไว้แน่น ต่อให้พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิตแค่ไหนก็ไม่มีวันสู้เรี่ยวแรงของชายฉกรรจ์สองคนได้ ฉันกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและสิ้นหวังอย่างสุดคำบรรยาย น้ำตาหยดลงบนเกล็ดหิมะเบื้องล่างจนมันละลายไปทีละน้อย มือทั้งสองกำหมัดแน่นทั้งที่ก็ยังสั่นเทา ความหวาดกลัวเข้ามากลืนกินความกล้าทั้งหมด ในท้ายที่สุดแล้วฉันก็ไม่อาจหนีออกไปจากที่นี่ได้ และชะตากรรมของสตีฟก็มาถึงจุดจบ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉัน! เป็นความผิดของฉันทั้งหมด! อยากจะโทษที่ตัวเองอ่อนแอเกินกว่าจะช่วยชีวิตใครเอาไว้ได้ ฉันไม่น่า...รอดมาได้จนถึงตอนนี้...

    "ควีน"

    เสียงคุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง ฉันเงยหน้าขึ้น คราบน้ำตายังคงเปรอะไปทั่วขณะมองไปยังสตีฟ เขาถูกผู้เก็บกวาดทั้งสามคนคุมตัวเอาไว้ เขานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเซียวราวกับศพคนตายค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้ม แววตาเลื่อนลอยมองฉันกลับในขณะที่ริมฝีปากค่อยๆ เอ่ยคำพูดหนึ่งขึ้นมา ฉันไม่ได้ยินเสียงของเขา ไม่เลยสักนิด สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การอ่านคำที่อีกฝ่ายพูด 

    แล้วทันใดนั้นเอง...

    "ไม่นะ! สตีฟ!!!"

    เปลวไฟถูกพ่นออกมาจากปลายกระบอกปืน มันชโลมลงบนร่างของชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น สตีฟยังคงมีลมหายใจขณะที่ทั้งร่างจมปลักอยู่ในกองเพลิง ความร้อนระอุทำให้หิมะที่กองอยู่บริเวณนั้นละลายหายไป เขากรีดร้อง เสียงบาดทะลุไปในห้วงความคิดอย่างทรมาน สตีฟดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อพยายามเอาตัวเองให้รอด แต่ยิ่งดิ้นไฟก็ยิ่งลุกลามไปทั่ว ตอนนี้เขาไร้ซึ่งทางหนีอีกต่อไป 

    ชายหนุ่มค่อยๆ หันกลับมามอง เดาว่าใบหน้าของฉันอาจจะเป็นภาพสุดท้ายที่เขามองเห็น ก่อนที่ลมหายใจในร่างจะขาดห้วงไปตลอดกาล สตีฟทรุดตัวลงไป ร่างที่ไหม้เป็นตอตะโกแน่นิ่งบนถนนซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยหิมะ ไร้การขยับเขยื้อนใดๆ อีกเลย ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศอันแสนน่าสลดใจ และทันใดนั้นเองมันก็ถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะร่า เหล่าผู้เก็บกวาดยืนมองร่างไร้วิญญาณในกองเพลิง ใบหน้าของพวกมันระรื่นราวกับว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

    ฉันกรีดร้องลั่น ทุกความรู้สึกที่มีตอนนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว มันกลายเป็นแรงผลักดันอันสุดจะน่าตกใจ ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอลงมือทำอะไรไปบ้าง รู้แค่ว่าจะต้องไปหาสตีฟ...แม้จะเห็นอยู่เต็มตาแล้วก็ตามว่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว ฉันเอาศอกข้างหนึ่งกระทุ้งเข้าชายโครงของบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลัง ได้ผล มันชะงักไปอยู่ครู่ใหญ่ และนั่นเป็นโอกาสให้ฉันไหวตัวทัน

    "แม่งเอ้ย! อีเวรนี่!"

    ผู้เก็บกวาดพยายามพลิกสถานการณ์ มันหยิบปืนออกมาแทบจะในเวลาเดียวกันก่อนจะเล็งมาทิศทางเดียวกัน สีหน้าของฉันเปลี่ยนไป จากความเศร้าโศก...เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันพุ่งตัวเข้าไปกระแทกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังโดยไร้ซึ่งความกลัว ก่อนที่พวกมันจะไหวตัวทัน เสียงปืนจากในมือของฉันก็ดังขึ้น กระสุนถูกยิงออกไปสองครั้ง แต่ละนัดเจาะทะลุเข้าไปในกบาลของไอ้สองคนนั้นในทันที

    "เฮ้ย! อะไรวะ!!"

    "ฆ่ามัน! ฆ่าอีนั่นสิ!!!"

    เลือดสีแดงชาดสาดกระจายไปทั่ว พวกผู้เก็บกวาดต่างกระวนกระวายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาวุธถูกชักออกมาเพื่อจัดการกับเป้าหมาย เหมือนจะไม่น่าเชื่อ แต่ฉันเร็วกว่า ขณะยกปืนขึ้นเล็งไปยังทิศทางของศัตรู จิตใจของฉันมีสมาธิ สายตาจับจ้องผ่านศูนย์เล็งแล้วนิ้วชี้ก็เหนี่ยวไก เสียงปืนดังลั่น ปัง! ปัง! ปัง! และ ปัง! กระสุนทั้งสี่นัดหยุดชะงักการเคลื่อนไหวของไอ้สารเลวพวกนั้นอย่างทันท่วงที ร่างของพวกมันล้มลงนอนจมกองเลือดบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ ซึ่งบัดนี้ถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงชาด

    ฉันยืนนิ่ง อยู่ๆ มือทั้งคู่ก็สั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น สายตามองปืนพกสลับกับซากศพทั้งหกที่เพิ่งจะถูกจัดการ ฉันตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า พวกมันตายด้วยฝีมือของฉันจริงๆ เหรอ? แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

    ร่างของสตีฟนอนไม่ไหวติ่งบนถนน เปลวเพลิงสีส้มสว่างยังคงลุกไหม้ไปทั่วอย่างไม่อาจหยุดยั้ง เนื้อหนังทั้งหมดถูกกำจัดออกในเวลาอันสั้นด้วยความร้อนระอุ น้ำตาเอ่อล้นเบ้าอีกครั้งหนึ่ง ขาอันไร้เรี่ยวแรงทำให้ฉันทรุดตัวลงบนพื้น อาวุธปืนถูกทิ้งลงประหนึ่งกับเศษขยะ เสียงเดียวที่ยังกึกก้องในความเงียบก็คือเสียงจากกองเพลิง และในตอนนั้นเองคำพูด...ความทรงจำหลายอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ใบหน้าของสตีฟยังคงตามหลอกหลอนฉัน...คอยย้ำเตือนในความผิดพลาดที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้

    ...สิ่งที่เหลืออยู่ มีเพียงแค่คำขอโทษที่อีกฝ่ายไม่อาจได้ยิน

    Z Y C L O N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×