ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #15 : [ANNA] Bottoms-Up

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 89
      9
      18 เม.ย. 62

    1/1/2019

    Bottoms-Up

    [ C I V I E S ]

     

    ฉันยกมือขึ้นโอบตัวเองเอาไว้ แม้จะช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยถุงมือหนาที่สวมอยู่ก็พอจะป้องกันความหนาวเหน็บเอาไว้ได้บ้าง ก่อนที่จะหันไปสบตากับสถานที่เบื้องหน้าในขณะนั้น สายตาก็แอบเหลือบมองกลับไปยังรอยล้อรถที่ลากยาวมาหยุดอยู่ข้างๆ ตัว รถคันนั้นเพิ่งจะขับออกไปเมื่อไม่นานมานี้...พวกเขาขับพาฉันมาทิ้งเอาไว้ที่นี่

    แอรอน บาร์ทเลทท์หรือที่คนอื่นเรียกว่าเจ้าหน้าที่บาร์ทเลทท์ได้ทำการ 'ขอร้อง' อะไรบางอย่าง ฉันหมายถึง..ขอร้องแบบมีปืนจ่อที่หัวแถมยังเอากล้องถ่ายรูปเป็นตัวประกันละนะ จากที่ได้ฟังมา พวกเอสเอซีกำลังหาทางแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้อยู่ พวกเขาเชื่อว่ามีบางคนที่ยังคิดค้นยารักษาของโรคเอาไว้ แต่เจ้าหน้าที่ที่เคยดูแลเรื่องนั้นกลับขาดการติดต่อไปซะดื้อๆ

    ...ตอนนั้นเองฉันก็ถามออกไป

    แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ

    ชายหนุ่มยืนนิ่ง ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกับท่าทางขำขันของเจ้าหน้าที่อีกคนในห้องมืด (ซึ่งฉันมารู้ทีหลังว่าไอ้หน้าโหดนั่นชื่อ 'วูล์ฟฟ์' หน้าโหดสมชื่อเลยแฮะ) พวกนั้นดูเหมือนว่าจะตลกกับท่าทางสับสนของฉันเป็นอย่างมากเลยล่ะ แต่สุดท้ายบาร์ทเลทท์ก็เฉลยคำตอบนั่นอยู่ดี

    เพราะคุณไปยุ่งอะไรไม่เข้าเรื่องนั่นทำให้ฉันคิ้วขมวดกว่าเก่าและอีกอย่าง เจ้าหน้าที่ของแซคหายไปคนหนึ่ง ผมต้องการ...ใครสักคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้

    ไม่เอาหรอกย่ะ

    งั้นก็สวยสิน้องอย่าหวังว่าจะได้กล้องคืนเลย

    พูดจบเขาก็โยนกล้องถ่ายรูปตัวโปรดไปให้กับเจ้าหน้าที่วูล์ฟฟ์ หมอนั่นหยิบกล้องไปตั้งท่าก่อนจะกดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง เสียงแชะดังสั้นๆ ในความเงียบ เขาเก็บภาพใบหน้าสุดเหวอของฉันเอาไว้ในเมมโมรีการ์ดพร้อมกับเสียงหัวเราะแหบแห้ง นี่มันบ้าชัดๆ ในตอนนั้นฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่พวกนี้เด็ดขาด แต่ให้เดาสิ...ฉันมีทางเลือกซะที่ไหนล่ะ

    ยังไงสิ่งที่อยู่ในกล้องนั้นก็สำคัญอย่างเป็นที่สุด แถมถ้าเกิดคำพูดของบาร์ทเลทท์เป็นความจริงเรื่องที่ฉันเข้าไปยุ่งอะไรเกินตัว หลังออกไปจากชิคาโกได้มีหวังฉันได้โดนอุ้มพอดีน่ะสิ

    โอเคต้องทำไงบ้าง

    ยอมแล้วเหรอ

    ฉันพยักหน้าใช่

    เห็นมั้ยบาร์ท บอกแล้วว่าแม่นี่เชื่องยังกะแมว ไม่เห็นต้องโหดเลย

    ก่อนว่าคนอื่นหัดดูสารรูปตัวเองหน่อยก็ดีนะ เจ้าหน้าที่วูล์ฟฟ์

    ให้ตายสิ จะบอกมั้ยเนี่ย!

    แค่ทำให้มันจบๆ ไปก็พอ...ในตอนนั้นฉันคิดเพียงแค่นี้ เพราะตัวเองมีทางเลือกไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แถมยังต้องเอากล้องตัวสำคัญกลับคืนมาด้วย บาร์ทเลทท์อธิบายสิ่งที่ต้องทำให้ฟังในตอนนั้น

    เขาบอกว่า

    เจ้าหน้าที่ที่หายไปดำเนินงานไปจนเกือบจะถึงขั้นสุดท้ายแล้ว เขาส่งที่อยู่ของแพทย์ที่คิดค้นเรื่องยารักษาให้กับเราก่อนที่จะขาดการติดต่อไป ตามหลักแล้ว...จะมีเจ้าหน้าที่แซคอีกคนรับหน้าที่ช่วงต่อแทน

    สิ่งที่คุณต้องทำคือไปหาหมอนั่น เขาเป็นโร้กอีกคนที่แฝงตัวอยู่ในกองกำลังแอตลาสต์ แน่นอน เขาสวมเครื่องแบบของพวกนั้นและหมายความว่าคุณต้องระวังตัวแบบสุดๆ เอาที่อยู่นี่ไป เมื่อเจอตัวเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เอาให้เขาซะ ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอนั่นเอง

    เพราะแบบนี้ โร้กทั้งสองนายจึงขับรถพาฉันมาส่งถึงหน้าฐานทัพใหญ่ของกองกำลังทหารผู้ถูกลืม โดยระหว่างทางที่เข้ามาด้านในพื้นที่ของกองทัพ ทหารในเครื่องแบบหลายสิบนายต่างจับจ้องท่าทีของเราอย่างระมัดระวังตัว ขนาดนั่งอยู่บนรถ ฉันยังกลัวปืนที่คนพวกนั้นถือเอาไว้ในมือเลย แต่บาร์ทเลทท์กล่อมฉันเอาไว้ว่าถ้าไม่หาเรื่องอะไรกับพวกนั้น แอตลาสต์ก็จะไม่มายุ่งอะไรกับคุณ

    ฝีเท้าค่อยๆ รู้สึกถึงไอเย็นจากหิมะทีละน้อย ฉันคงยืนอยู่หน้าประตูลูกกรงนี่นานไปแล้วล่ะ ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่เดินเข้าไปเลยหลังจากที่รถขับมาส่ง เดาว่าทหารติดอาวุธสองนายที่ยืนเฝ้าประตูอยู่คงจะเป็นคำตอบที่ดีเลยล่ะ สองคนนั่นจ้องมองมาที่ฉันราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อ ใบหน้าถูกปกปิดเอาไว้ด้วยหน้ากากสีขาวเทา ปืนไรเฟิลจู่โจมในมือประคองเอาไว้แน่นเตรียมพร้อมใช้งานทุกเมื่อ

    แอตลาสต์นี่มีวิธีต้อนรับแขกที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เลยนะ ฉันสูดหายใจเข้าปอด พยายามรวมสติเอาไว้อยู่กับตัวก่อนจะสาวเท้าไปเบื้องหน้า แต่เพียงแค่เดินไปเพียงก้าวหนึ่ง ร่างสูงสวมเครื่องแบบลายพรางสีเทาทั้งสองคนนั้นก็ชี้ปืนมาทางฉันทันที แน่นอนว่าก็ต้องมีสะดุ้งกันบ้าง ฉันรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองไม่มีอาวุธ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยสักนิด

    แจ้งจุดประสงค์มาซะ

    อ...เอ่ออยู่ๆ ปากก็แข็งอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันกระพริบตาสองสามครั้งขณะคิดหาจุดประสงค์ของตัวเอง”..ฉันมาตามหา...คนที่ชื่อ...เอ่อ...

    ให้ตายสิหมอนั่นชื่ออะไรนะ?!

    ทันใดนั้นเองคำพูดของบาร์ทเลทท์ก็ผุดขึ้นมาในหัว

    เฟเธอร์

    ใช่ฉันมาหาร้อยเอกเฟเธอร์!

    ใครส่งคุณมาทหารอีกคนถาม

    ฉันก้มหน้าเล็กน้อย มือค่อยๆ ขยับอย่างระมัดระวังและช้าพอที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายโวยวาย ป้ายชื่อขนาดเล็กที่ทำจากแก้วถูกหยิบออกมาจากด้านในเสื้อคลุม ฉันชูสิ่งขอในมือให้ทหารสองนายนั้นดู หวังว่าสัญลักษณ์พิเศษของหน่วยงานลับแซคนี่จะช่วยให้ผ่านประตูไปได้นะ

    หนึ่งในนั้นเดินเข้ามาใกล้ เขาหยิบป้ายชื่อไปตรวจสอบอย่างละเอียดยิบ ฉันพยายามข่มความรู้สึกสั่นคลอนเอาไว้ในใจขณะยืนรอให้อีกฝ่ายเสร็จธุระ ดูเหมือนว่าจะได้ผล พวกเขายอมลดปืนลงก่อนจะส่งป้ายชื่อนั่นกลับคืนมาให้ฉัน แถมยิ่งไปกว่านั้นคือยังเปิดประตูไว้ให้ด้วยล่ะ ฉันกระซิบคำขอบคุณให้กับทหารสองคนนั้นเบาๆ ในขณะที่ทั้งสองเดินไปประจำตำแหน่งของตัวเองอีกครั้ง คราวนี้คงได้เวลาเดินเข้าไปด้านในฐานทัพของแอตลาสต์แล้วล่ะ

    นึกภาพไม่ออกเลย..มันจะเหมือนกับค่ายทหารที่เคยไปมั้ยนะ?

    หรือมันจะพิเศษกว่า?

    แต่ดูเหมือนว่าภาพที่จิตนาการเอาไว้จะแตกต่างจากความจริงอย่างสิ้นเชิง สภาพภายในฐานทัพของกองกำลังแอตลาสต์ดูไม่เหมือนกับค่ายทหารสังกัดอื่น พวกเขาตั้งเต็นท์ลายพรางเอาไว้ทั่วสำหรับจัดตั้งเป็นห้องปฏิบัติการลับ กระสอบทรายตั้งสูงโอบทั่วทั้งค่ายเอาไว้ประหนึ่งกำแพง ทหารแต่ละนายทำกิจวัตรประจำวันในช่วงเช้าอย่างแข็งขัน ฉันเดินหันมองไปรอบตัว รู้สึกแปลกๆ ชอบกล...อาจจะเป็นเพราะว่าที่นี่กว้างใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ละมั้ง

    เฮ้หลีกหน่อย!

    เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหลัง แน่นอนฉันแทบเบี่ยงตัวหลีกกองทหารที่วิ่งมาไม่ทันแหน่ะ ที่นี่ดูเหมือนกับลานฝึกไปในตัวด้วย มีอุปกรณ์มากมายที่ฉันไม่เคยเห็นรวมถึงสนานซ้อมยิงปืน แอตลาสต์บางคนกำลังขัดเกลาฝีมือด้วยการเล็งเป้า ฉันเดินไปยืนอยู่ใกล้ๆ จุดนั้นสักครู่หนึ่ง ชายหญิงในเครื่องแบบหยุดอยู่ตรงเป้าซ้อม เมื่อได้ยินสัญญาณเสียงจากผู้ฝึก พวกเขาก็ชักปืนออกมาเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว กระสุนพุ่งตรงเข้าเป้าทุกนัดอย่างแม่นยำ

    นอกจากสนามฝึกแล้ว ฉันก้าวเท้าเลยออกมาเล็กน้อยจากกลุ่มทหารที่ยืนตรวจสอบสภาพอาวุธอยู่ เบื้องหน้าคือสิ้นสุดทางเดินจากประตูทางเข้า อาคารทำการขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน มีขบวนรถจอดอยู่นับได้เกือบสิบคัน แถมที่ยิ่งไปกว่านั้นคือรถทุกคันถูกติดตั้งปืนกลไว้ด้วย จากอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่เห็นมาตลอดทาง ฉันมั่นใจในระดับหนึ่งเลยว่าแอตลาสต์สามารถจัดตั้งเป็นกองกำลังก่อรัฐประหารได้เลยถ้าพวกเขาต้องการ 

    ยังไงซะ...ที่พวกเขาก็ถูกทิ้งเอาไว้ในเมืองก็เพราะการตัดสินใจของรัฐบาลนั่นล่ะ

    ก่อนที่จะเสียเวลาไปกับการเดินชมฐานทัพมากกว่านี้ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง นั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ทหารแอตลาสต์คนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ชายร่างสูงคนนั้นหอบเอกสารมาด้วย ท่าทางจะต้องเอาไปส่งให้กับคนแถวนี้ละมั้ง? แม้จะดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังรีบ แต่ก็ยังมีจังหวะสั้นๆ พอให้ฉันได้เรียกเขาได้อยู่

    "ข..ขอโทษนะคะ"

    ร่างสูงหันมา ใบหน้าเข้มขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย"ครับ?"

    "ฉันมาตามหาร้อยเอกเฟเธอร์น่ะค่ะ พอจะทราบมั้ยว่า--"

    "ผู้กองแกน่าจะอยู่ที่บาร์นั่นแหละ ผมขอตัวก่อนนะ"

    นายทหารหนุ่มทำท่าจะสาวเท้าเดินออกไปอีกครั้ง แต่เดี๋ยวสิ...ฉันยังไม่รู้เลยว่าบาร์นั่นอยู่ไหน

    "ล...แล้วบาร์อยู่ไหนล่ะ"

    "ให้ตาย--ทางนั้น"

    เป็นน้ำใจมากที่อีกฝ่ายยังพอมีเวลาชี้นิ้วไปยังทิศทางของสถานที่ดังกล่าวได้ ฉันพยักหน้าแทนคำขอบคุณ แต่ไม่ทันไรเขาก็วิ่งออกไปซะแล้วจนมองแทบไม่ทัน ท่าทางจะรีบจริงๆ สินะ? แต่คงไม่แปลกหรอก ทหารเขาก็ทำงานกันแบบนี้ล่ะ

    หลังจากเดินตามเส้นทางที่นายทหารคนนั้นบอกมา ในที่สุดฉันก็มาถึงจุดหมายของตัวเองได้สักที ฉันยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าสถานบันเทิงขนาดเล็ก ป้ายไฟนีออนติดๆ ดับๆ ซึ่งถูกแขวนเอาไว้อยู่เหนือศีรษะแสดงชื่อของบาร์นี้เอาไว้...แบร์รีส์ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในค่ายทหารแบบนี้จะมีบาร์อยู่ด้วยแฮะ ฉันถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นปัดเกล็ดหิมะบนไหล่ ในใจยังคงหวังอยู่ว่าจะพบเจอกับบุคคลที่บาร์ทเลทท์กำลังตามหาอยู่จริงๆ

    และแล้วประตูไม้ก็ถูกเปิดออก เสียงกระดิ่งวันคริสต์มาสที่แขวนอยู่เหนือประตูส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงผู้มาเยือนคนใหม่ได้เป็นอย่างดี ผิดคาด...ฉันคิดว่าในบาร์จะครึกครื้นเหมือนที่อื่นเสียอีก แต่ที่ไหนได้ ถ้าจะให้เทียบกับข้างนอกบรรยากาศในนี้ดูเหมือนกับป่าช้าเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดที่มีใครคนหนึ่งใจดีเปิดเพลงยุค 90 ทิ้งเอาไว้ด้วย แสงไฟสีส้มสลัวพอทำให้มองเห็นสภาพภายในบาร์อันแสนสงบ มีที่นั่งวางอยู่ทั่วเป็นจุดๆ ด้านหน้าเป็นเคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่ มีชั้นที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มหลากชนิดตั้งอยู่ด้านหลังนั้น

    ฉันขยี้ตา พยายามปรับทัศนวิสัยให้เข้ากับแสงอบอุ่นรอบตัว ทันใดนั้นเองก็เหลือบไปเห็นร่างปริศนาที่นั่งนิ่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ถ้าลองเพ่งดูใกล้ๆ แล้ว...เครื่องแบบลายพรางที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ทำให้รับรู้ได้เลยว่าเป็นทหารแน่ แถมในบาร์นี่ก็ไม่มีใครนอกจากบุคคลนั้นด้วย หรือว่า...ฉันสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วผ่อนลมออกมา ทำไมถึงต้องตื่นเต้นแบบนี้ด้วยนะ

    เสียงฝีเท้าของฉันดังก้องคลอไปกับเสียงเพลง แสงสลัวโดยรอบสว่างพอที่จะทำให้มองเห็นปืนประจำกายของเขา มันถูกวางพิงเอาไว้ด้านล่างเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มคนนั้นยังไม่ปริปากอะไรขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้ เขารู้ว่ามีคนเข้ามาในบาร์ แต่ก็ถึงยังทำนิ่งราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่ในบาร์นี้เลยอะไรทำนองนั้น ฉันตัดสินใจรวบรวมความกล้าของตัวเอง...ก่อนจะย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เขา สายตาจ้องมองไปยังบุคคลที่ตัวเองพบอย่างเงียบงัน

    นัยน์ตาสีฟ้าสะท้อนกับแสงไฟในบาร์เหล้าฉายแววบางอย่าง มือทั้งสองวางนิ่งพร้อมกับถือแก้วใสบรรจุเครื่องดื่มเอาไว้ นายทหารหนุ่มแสดงไว้ซึ่งสีหน้าเรียบเฉยขณะเหลือบมองมาทางฉัน ผมสีน้ำตาลตัดสั้นอย่างเป็นระเบียบตามวิถีของนักรบ ใบหน้านั่นปรากฏให้เห็นหนวดเคราอยู่บ้างพอให้ดูเข้มแข็ง ริมฝีปากปิดสนิท ฉันมองเห็นรอยถลอกบางๆ ที่อาจจะได้มาจากการรบอยู่บนแก้มของเขา

    บนเคาน์เตอร์บาร์ที่ทำจากไม้บัดนี้ถูกใช้เป็นที่วางหมวกทหาร ด้วยเครื่องประดับขนนกสีดำที่ติดอยู่อาจจะทำให้มันแลดูพิเศษกว่าหมวกใบอื่น แต่เดี๋ยวนะ...ฉันขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย

    ขนนกงั้นเหรอ

    "คุณคือ..."ฉันลากเสียง"...ร้อยเอกเฟเธอร์ใช่มั้ย"

    ชายหนุ่มเงียบเล็กน้อย ท่าทางของเขาแลดูเปลี่ยนไปอยู่บ้างแต่สีหน้าก็ยังเรียบเหมือนเดิม ชายนิรนามไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น เขาเอื้อมไปหยิบขวดเบียร์ออกมาก่อนจะรินใส่แก้วตัวเอง แล้วนั่งจิบอย่างสบายใจเฉิบ ฉันคิดว่าเขาคงไม่สนใจคำถามเลยละมั้ง แต่นิสัยนักข่าวก็พอทำให้ทนกับพฤติกรรมแบบนี้ได้อยู่บ้าง ฉันเคยผ่านงานสัมภาษณ์คนมาหลายครั้งแล้ว ไม่แปลกที่ผู้ถูกสัมภาษณ์จะไม่ใส่คำถามในตอนแรก ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจนั่งนิ่งๆ รอให้เขาดื่มจนเสร็จ...คงจะดีกว่า

    เวลาผ่านไปไม่นานนัก เบียร์ที่เคยมีอยู่ปริ่มแก้วก็ถูกดื่มเข้าไปจนเกือบหมด

    "มีธุระ"น้ำเสียงนั่นฟังดูแหบพล่า นัยน์ตาเข้มคู่เดิมจ้องมองกลับ"...กับผมเหรอ"

    "คุณเป็นโร้กที่แฝงตัวอยู่ในแอตลาสต์สินะ"

    อีกฝ่ายไม่ตอบ

    "คือว่า--เจ้าหน้าที่บาร์ทเลทท์ให้ฉันส่งที่อยู่นี่ให้กับคุณ"

    ในที่สุดก็เข้าประเด็นสักที ฉันคิด ขณะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อก่อนจะหยิบป้ายชื่อที่มีลักษณะเป็นแก้วใสยื่นให้อีกฝ่าย แม้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้กองหนุ่มหยุดชะงักแก้วเบียร์ในมือ แต่สุดท้ายเขาก็รับสิ่งของนั่นไป เฟเธอร์รู้งานดี เขาเลื่อนแก้วเบียร์มาตรงหน้าก่อนจะทิ้งป้ายชื่อลงไป ทันทีที่มันสัมผัสกับของเหลวเย็นยะเยือก ข้อมูลซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ในแท็กก็แสดงออกมาอยู่ตรงหน้า นี่มันเทคโนโลยีอะไรกันนะ? ฉันตั้งข้อสงสัย สายตาจ้องมองไปยังข้อมูลที่ลอยเป็นภาพโฮโลแกรมดังกล่าวนั้น 

    มันคือแผนผังส่วนในสุดของตัวเมืองชิคาโก ถ้าจำไม่ผิด ส่วนในสุดของที่นี่ถูกปิดตายเอาไว้เนื่องจากการระบาดอย่างหนักของเชื้อโรค และมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าต้นตอของมหันตภัยทั้งหมดนี่จะมาจากที่นั่นด้วยเช่นกัน เฟเธอร์อ่านข้อมูลที่ได้รับอย่างละเอียดก่อนจะล้วงมือลงไปหยิบป้ายชื่อในแก้วเบียร์ จากนั้นจึงคืนกลับมาให้ฉันตามเดิม

    "ฝากกลับไปบอกแอรอนว่า...ผมลาออกแล้ว"

    เพียงแค่นั้นความสับสนก็ผุดขึ้น"อะไรนะ"

    "ก็ไม่เห็นต้องอธิบายให้มากความ ผมเป็นแอตลาสต์"

    "ไม่ใช่สักหน่อย คุณแค่แฝงตัวมา--"

    "ตอนนี้ไม่ใช่"เฟเธอร์ถอนหายใจ"ผมลาออกจากหน่วยเอสเอซีอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ"

    "อะไรกัน!"

    ฉันแทบเอามือทุบโต๊ะ ในหัวสับสนกับคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายซะจนไม่รู้จะทำยังไงต่อ ไอ้ที่พูดว่าลาออกแล้วนั่นมันหมายความว่าไงกัน เขาจะไม่ทำงานต่อแล้วเหรอ หรือว่าเขาจะลืมไปแล้วว่าตัวเองแค่แฝงตัวมาอยู่ในกองกำลังนี้ คำถามมากมายปั่นหัวจนแทบมึนตึบ แต่แทนที่จะช่วยคลายข้อสงสัย ตรงกันข้ามเฟเธอร์กลับเอาแต่สนใจเบียร์ในแก้วมากกว่าด้วยซ้ำ เขายกมันขึ้นมาดื่มจนหยดสุดท้าย แล้วรินลงไปเพิ่มอีก นัยน์ตาเข้มยังคงมองมาขณะนั้น

    ในที่สุดเขาก็วางแก้วลง คงจะสมเพชที่ฉันอยู่ในสถานะมึนงงขั้นสูงสุดล่ะมั้ง

    "คุณน่าจะเห็นนะ"เฟเธอร์เม้มริมฝีปาก"คนตายหมดเมืองแล้ว ตอนนี้ชิคาโกกลายเป็นดินแดนที่ถูกพวกรัฐบาลหลงลืม พวกมันไม่ใส่ใจเรื่องยารักษานั่นหรอก แล้วอีกอย่าง...แพทย์หญิงเอริกา คอร์เทซที่บาร์ทเลทท์กำลังตามหาอยู่ เธอตายไปแล้ว"

    "ตายไปแล้วเหรอ? คุณรู้ได้ไงว่าเธอตายไปแล้ว"

    "เชื่อสิ"เขาดื่มเบียร์เข้าไปอีก"ไอ้แผนผังที่คุณให้ผมดูเมื่อกี้นี้น่ะ แอตลาสต์เรียกเขตนั้นว่าซีโร่พอยท์ เป็นพื้นที่ต้องห้ามของผู้รอดชีวิตที่นี่ ประเด็นก็คือคอร์เทซขังตัวเองเอาไว้ในนั้น ถ้าไม่ตายก็เหนือมนุษย์แล้วล่ะ"

    "แล้วคุณจะปล่อยเธอเอาไว้งั้นเหรอ!"

    "ผมไม่สนใจเรื่องการฟื้นฟูเมืองที่ตายไปแล้วหรอกนะ"น้ำเสียงนั่นเอ่ยอย่างมั่นคง"แอตลาสต์ก็ด้วย"

    "ได้โปรดล่ะ--ถ้าคอร์เทซคิดค้นยารักษาได้แล้วจริงๆ เธอคือทางออกของเรา--"

    เพียงเท่านั้นนายทหารหนุ่มก็หยุดคำพูด เขากระแทกแก้วเบียร์กับโต๊ะเคาน์เตอร์ด้วยความโมโหอย่างหยุดไม่ได้ การทำแบบนั้นได้ผลเป็นอย่างมาก ฉันเงียบไป รู้สึกกลัวและหวาดระแวงบุคคลที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยเหลือเกิน โดยเฉพาะกับแววตาที่ดูเข้มแข็งเสียจนน่ากลัวของอีกฝ่าย พวกเราเงียบกันไปอยู่นาน มีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุตัวเก่าเท่านั้นที่ยังคงดังคลออยู่ เฟเธอร์ละสายตาจากฉันแล้วหันไปสนใจกับแก้วเบียร์แทน เขากระแอมเบาๆ ราวกับต้องการให้บรรยากาศกลับมาเงียบสงบตามเดิม

    "งั้นก็ให้พวกโร้กไปจัดการกันเอาเองสิ"

    ฉันยังคงเงียบ รู้สึกสิ้นคำพูดอย่างบอกไม่ถูก มือยังคงกำป้ายแก้วขนาดเล็กเอาไว้แน่นขณะใช้ความคิดในหัว ตอนนี้ฉันกำลังพยายามมองหาทางออกอื่น ยังไงสถานการณ์มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เฟเธอร์ลาออกจากหน่วยแซคอย่างเป็นทางการ แถมยังโยนงานที่เหลือกลับคืนมาให้พวกโร้กที่เหลือจัดการกันเองอีก ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมบาร์ทเลทท์ถึงไม่เข้าไปช่วยหมอคนนั้นเองตั้งแต่แรก แต่ถ้าเขายืนยันว่าเฟเธอร์จะทำงานนี้ต่อ...ฉันเองก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

    เพลงเก่าตามฉบับยุคปี 90 คอยสร้างบรรยากาศไม่ให้เงียบราวป่าช้า ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ผู้กองหนุ่มก็ยังคงเอาแต่ดื่มเบียร์ในแก้วเหมือนทองไม่รู้ร้อน นิ้วชี้เคาะตามจังหวะเสียงเพลงอย่างสบายใจเฉิบ ปล่อยให้ฉันนั่งใช้ความคิดอยู่เพียงฝ่ายเดียว

    สุดท้ายมาที่นี่ก็ไม่ได้อะไรเลย

    ไม่นานนักนายทหารหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามขณะที่เขากำลังสวมหน้ากากผ้าให้ตัวเอง ก่อนจะสวมหมวกที่ประดับด้วยขนนกสีดำลงบนศีรษะเป็นขั้นสุดท้าย เฟเธอร์เอื้อมลงไปหยิบอาวุธปืนขึ้นมาถือ ท่าทางเขาคงจะหมดเวลาพักสำหรับวันนี้แล้ว ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป แต่ในเมื่อมันกลายเป็นสถานการณ์แบบนี้ ก็คงต้องกลับไปรายงานให้โร้กทราบเรื่องการตัดสินใจของเขา

    "ทำไม..."ฉันยังคงสงสัย"ทำไมคุณถึงไม่ทำงานนี้ต่อล่ะ"

    "ผมเกลียดหน่วยเอสเอซี และแน่นอนผมเกลียดรัฐบาล คนพวกนั้นทิ้งทหารเอาไว้ที่นี่เพียงเพราะว่าไม่มีเวลาพากลับออกไป ทิ้งให้ผม...กับคนของผมตายห่ากลางดงโรคระบาด ในขณะที่พวกเรากำลังดิ้นรนอยู่ตอนนี้ บางทีพวกมันอาจจะกำลังคิดแผนเอาระเบิดมาลงอยู่ก็ได้"

    ตลอดเวลาที่พูดเหตุผลนั่น น้ำเสียงของชายหนุ่มแสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นภายใต้โทนเสียงอันเรียบสนิท ฉันก้มหน้าลงอีกครั้งหนึ่ง มองกลับลงไปยังป้ายชื่อในมือที่ยังคงมีกลิ่นเบียร์ลอยคละคลุ้ง ในตอนนั้นเองที่เฟเธอร์วางมือลงบนหัวไหล่ของฉันเบาๆ และทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาสวมเครื่องแบบเต็มตัวแล้ว ใบหน้าถูกปิดบังอย่างมิดชิดด้วยหน้ากากไอ้โม่ง หมวกประดับขนนกสวมอยู่บนศีรษะ นัยน์ตาสีฟ้าที่กำลังจ้องเขม็งอยู่ทำให้รู้สึกถึงความสิ้นหวัง

    "ขอถามชื่อหน่อยได้มั้ย"เขาเอียงคอเล็กน้อย"...คุณผู้หญิง?"

    ฉันถอนหายใจเบาๆ"แอนนา"

    "ถ้าอย่างนั้น แอนนา ตั้งใจฟังสิ่งที่ผมพูดให้ดีล่ะ"

    เฟเธอร์ยกมือออกไป เขาชี้นิ้วมาตรงหน้าราวกับต้องการกำชับคำพูดต่อไปแก่ฉัน ความเงียบเข้าปกคลุมแทบจะในทันทีที่สิ้นเสียงเพลง ฉันรับรู้ได้ถึงความกดดันจากแววตาเข้มแข็งของอีกฝ่าย แล้วเขาก็เริ่มพูด

    "อยู่ห่างๆ คนของรัฐบาลเอาไว้ซะ"เขาเตือน"โดยเฉพาะกับพวกโร้ก--แล้วก็บาร์ทเลทท์"

    ทำไมล่ะคำถามนั่นเอ่ยขึ้นในหัว ฉันลองนึกถึงหน้าของคนที่เฟเธอร์เอ่ยถึง แม้แอรอน บาร์ทเลทท์จะดูเหมือนกับคนเลวก็จริง แต่ฉันกลับสัมผัสได้ถึงเจตนาดีที่แฝงอยู่ในแววตาของเขา แอรอนแค่ต้องการช่วยให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านไปเร็วๆ สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่พาแพทย์หญิงคนนั้นออกมาพัฒนาเรื่องยารักษา ทำไมน้ำเสียงของเฟเธอร์ถึงฟังดูไม่ไว้ใจเขานัก ทั้งๆ ที่เคยทำงานด้วยกันแท้ๆ อันที่จริงแล้วคนที่ควรอยู่ห่างเอาไว้ควรจะเป็นนายทหารคนนี้มากกว่าละมั้ง

    ร่างสูงในเครื่องแบบเดินออกห่างจากเคาน์เตอร์บาร์ เสียงพื้นรองเท้าคอมแบทกระทบกับแผ่นไม้กระดานดังก้อง จนกระทั่งเสียงนั้นหยุดอยู่ตรงประตูทางออก ฉันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พยายามทำให้อีกฝ่ายมองเห็นเจตนาที่ตัวเองมี แต่สิ่งที่ตอบกลับมา...กลับเป็นเพียงแววตาที่ไร้ซึ่งความเห็นใจ ราวกับว่าเจ้าของของมันไม่รู้สึกถึงความเห็นอกเห็นใจแก่ใครทั้งสิ้น

    ชายหนุ่มหรี่ตาลง ปืนไรเฟิลจู่โจมถูกยกขึ้นพาดเอาไว้บนไหล่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อประตูนั่นถูกผลักเปิดออกไปข้างนอก ลมหนาวหอบเอาเกล็ดหิมะเข้ามาในบาร์ ฉันหันไปมองเฟเธอร์ มือทั้งสองยกขึ้นโอบแขนของตัวเองอีกครั้ง ร่างสูงยืนปะทะกับสายลมโดยไม่รับรู้ถึงความหนาวเย็นใดๆ ทั้งสิ้น นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นฉายแววอะไรบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ...และจะไม่มีวันเข้าใจ

    "จนกว่าจะดำดิ่งลงสู่จิตใจของคนๆ หนึ่ง"เขาเอ่ย"คุณก็ไม่มีวันรับรู้ได้หรอกว่าเขาเป็นคนดี...หรือคนเลว"

    "แล้วคุณล่ะ คนดีหรือคนเลวกันแน่"

    เสียงลมเป็นคำตอบกลับ ฉันเห็นบริเวณมุมปากที่ถูกหน้ากากปิดเอาไว้ของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย

    "ก็นะ..."

     

    "พอดีผมเป็นพวกผีเข้าผีออกอยู่ด้วยสิ”

     

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×