ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #17 : [ANNA] Zero Point (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 87
      8
      21 เม.ย. 62

    1/1/2019

    Zero Point (1)

    [ R O G U E ]

     

    งั้นก็ให้พวกโร้กไปจัดการกันเอาเองสิ

    คำพูดนั้นยังคงดังอยู่ในหัว มันคอยย้ำเตือนความคิดของแอนนาอยู่เสมอไม่ว่าจะทำอะไร แม้ว่าตอนนี้หญิงสาวจะยังคงอยู่ในค่ายของกองกำลังแอตลาสต์ แต่อีกไม่นานก็คงได้เวลาไปจากที่นี่สักที

    บาร์ทเลทท์ทราบข่าวเรื่อง การลาออกอย่างเป็นทางการของอดีตเจ้าหน้าที่โร้กผู้แฝงตัวอยู่ในคราบร้อยเอกเฟเธอร์แล้ว แน่นอนว่าทางนั้นรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กๆ แต่โร้กเคารพการตัดสินใจของนายทหารหนุ่ม บาร์ทเลทท์รู้ดีเรื่องอดีตและความบาดหมางที่เฟเธอร์มีต่อคนของรัฐบาล อาจจะเพราะเหตุนั้นเขาถึงเลือกที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป แอนนานั่งรออยู่ด้านหน้าสนามยิงปืน ซึ่งยังมีผู้คนในเครื่องแบบเดินผ่านไปมาอยู่ตลอด

    ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

    เสียงถอนหายใจดังขึ้น ใบหน้าสะสวยซุกลงบนหัวเข่าด้วยท่าทางเหนื่อยล้าแบบสุดๆ ดวงตาสีอำพันทองฉายแววความสับสนออกมาอย่างชัดเจน แอนนายังคงคิดเรื่องซ้ำซากแม้จะรู้ว่ามันไม่ดี แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่มีอะไรทำแล้วนอกจากจะนั่งอยู่เฉยๆ เงี่ยหูฟังเสียงฝึกซ้อมของทหารอย่างเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่มาที่นี่ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือว่าเวลามันเดินช้าลงจริงๆ เธอกอดเข่าแน่น ปากพึมพำบ่นไปเรื่อย

    ทันใดนั้นเองร่างสูงของบุคคลปริศนาก็เดินเข้ามาหาเธอ แอนนายังคงนั่งกอดเข่าอยู่และไม่รับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย จนกระทั่งได้เงยหน้าขึ้นไปมอง

    “รอนานล่ะสิ”น่าแปลกเหลือเกินที่บุคคลตรงหน้ากลับเป็นวูล์ฟฟ์”มาเหอะ”

    “แอรอนล่ะ?”

    “เขารออยู่ในรถ”

    เจ้าหน้าที่โร้กผู้นั้นเดินนำไปตรงประตูทางออก แอนนาหันกลับไปมองภาพของค่ายทหารเบื้องหลังเป็นครั้งสุดท้าย มีแววเล็กๆ ว่าเธอคงจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก หลังจากเดินตามร่างกำยำนั่นไปได้สักครู่ ในที่สุดพวกเขาก็พากันออกมาด้านนอก ลมหนาวพัดปลิวมาปะทะใบหน้า มือเรียวยกขึ้นรวบเส้นผมสีเฮเซลเอาไว้ก่อนที่มันจะถูกพัดจนกระเจิง

    รถเก๋งคันสีดำวาวจอดรออยู่ก่อนแล้ว และคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เบาะคนขับก็ไม่ใช่ใครนอกจากจะเป็นบาร์ทเลทท์ สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความครุ่นคิด แอนนาตัดสินใจกับตนเอง เธอจะลองถามดูว่าควรทำยังไงต่อไป ในเมื่อตอนนี้ภารกิจของโร้กก็ถูกหนึ่งในเจ้าหน้าที่ทอดทิ้งไปแล้ว ในฐานะที่บาร์ทเลทท์คือผู้นำ ถ้าเขามีความคิดอื่น เธอก็อยากจะฟังอยู่เหมือนกัน

    “ขึ้นรถได้แล้ว”วูล์ฟฟ์เร่ง คงจะเป็นเพราะว่าเธอปล่อยให้เขาเปิดประตูรถรอนานไปละมั้ง”ยืนอยู่แบบนี้เดี๋ยวก็แข็งตายกันพอดี”

    “รู้แล้วน่า”

    แอนนาถอนหายใจ เธอทิ้งท้ายอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเอือมระอา ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งเบาะด้านหลังแล้วปิดปากเงียบ หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอก ระหว่างที่ปล่อยให้วูล์ฟฟ์หน้าโหดเข้าไปนั่งที่ประจำของเขา เธอทิ้งท้ายภาพความทรงจำด้วยการชายตามองประตูลูกกรงเหล็กนั่นอีกครั้ง นายทหารทั้งสองคนมองกลับมา ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะยังคงสงสัยในการมีอยู่ของเรา ถ้าอ้างจากที่บาร์ทเลทท์เคยพูดเอาไว้...แอตลาสต์ก็คงไม่ค่อยถูกกับหน่วยแซคเสียเท่าไหร่เป็นแน่

    เสียงเครื่องยนต์ดังคลอในความเงียบ ก่อนที่รถเก๋งคันสีดำสนิทจะแล่นออกไปจากทางเข้าฐานทัพ มีใครคนหนึ่งยังคงจับจ้องมองพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่พวกนั้นอยู่ห่างๆ

    เฟเธอร์ยกมือขึ้นกอดอก นัยน์ตาสีฟ้าเข้มฉายแววครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ตัวดีว่าทำอะไรได้บ้าง และเขารู้ตัวว่าตนเองควรจะทำอะไรต่อจากนี้ นายทหารหนุ่มคลายมือออกจากกัน ร่างสูงค่อยๆ ถอดหมวกทหารบนศีรษะของตนเองออกมาถือเอาไว้ ขนนกเรเวนสีดำสนิทพลิ้วไสวไปตามลมราวกับมีชีวิต ดูเหมือนว่ามันกำลังเรียกร้องอะไรบางอย่าง...พวกเขากำลังเรียกร้องอะไรบางอย่าง

    ทันใดนั้นมุมปากภายใต้หน้ากากบาลัคคลาวาก็เผยอขึ้น เสียงหัวเราะของเฟเธอร์ดังก้องไปในสายลมแม้มันจะเบาบางราวเสียงกระซิบ นิ้วที่ถูกเปิดเผยออกมาจากถุงมือหนาลูบไล้เครื่องประดับบนหมวก ในตอนนั้นเองที่ความเย็นยะเยือกหายไปจากแววตาของเขา ชายหนุ่มดูท่าทางอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด สัมผัสนุ่มนวลจากขนนกสีถ่านทำให้เขามีสมาธิมากขึ้น...และได้หวนกลับไปคิดถึงอดีตเก่าๆ อีกครั้งหนึ่ง

    “พวกนายสนใจเรื่องยารักษานั่นหรือเปล่า”

    น้ำเสียงโทนทุ้มเอ่ยถาม แม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีบุคคลคู่สนทนายืนอยู่เคียงข้าง แต่คนพวกนั้นยังคงสถิตอยู่กับเขา อยู่ในความทรงจำนี้ตลอดเวลา...และจะอยู่ตลอดไป

    แววตาของเฟเธอร์ฉายประกายบางอย่างชวนให้ฉงน



    "เอาไงต่อ"

    ดูเหมือนว่าวูล์ฟฟ์จะรู้ใจเธอดี เขาถามคำถามนั้นออกไปหลังจากพ้นหน้าประตูค่ายแอตลาสต์มาไม่กี่ร้อยเมตร แอนนานั่งรอคำตอบอยู่ด้านหลังเงียบๆ เธอคงทำอะไรไปได้ไม่มากกว่าการเฝ้ารอ ตอนนั้นเองเสียงถอนหายใจดังของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น บาร์ทเลทท์เอาแต่จับจ้องออกไปด้านนอกกระจก สายตาทอดมองทัศนียภาพของเมืองที่ตายไปแล้ว ซากศพที่ถูกทิ้งเกลื่อนประหนึ่งขยะ รถราจอดนิ่งสนิทจมกองหิมะรายเรียงตลอดเส้นทาง

    เจ้าหน้าที่หนุ่มยังคงใช้ความคิด เขานึกถึงใบหน้าของเฟเธอร์ แน่นอน บาร์ทเลทท์รู้เหตุผลส่วนตัวของอีกฝ่ายดีมากกว่าใครอื่น เพราะอย่างนั้นเขาถึงเลือกที่จะไม่พูดมันออกมา การที่เอาแต่เงียบทำให้สมาชิกโร้กผู้ใจร้อนอย่างวูล์ฟฟ์ และคนที่รอฟังคำตอบอยู่อย่างแอนนาถึงกับพากันเซ็งไปด้วย เพราะตอนนี้พวกเขากำลังมืดแปดด้าน คอร์เทซติดอยู่ในเขตต้องห้ามของซีโรโซน หล่อนยังคงรอความช่วยเหลืออยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้คือการนั่งเฉยๆ

    "ถ้าปล่อยไว้แบบนี้มีหวัง--"วูล์ฟฟ์ลากเสียง สายตายังคงจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้า"ภารกิจเราล่มแน่"

    "ช่วยทำอะไรสักอย่างสิ"แอนนาเสริม

    "ผมรู้น่า"

    บาร์ทเลทท์เอ่ยตัดบทอย่างรำคาญ ที่จริงแล้วเขาก็มีแผนอยู่ในใจ แต่ด้วยสภาพของจำนวนคนที่โร้กมีตอนนี้...มันไม่เวิร์คแน่ ฉะนั้นถ้าตามเทคนิคแล้วก็ควรจะตัดแผนนั่นทิ้งไปได้เลย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อแล้ว ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ จะดีเหรอถ้าหากเจ้าหน้าที่โร้กอย่างพวกเขาจะปล่อยมันไปตามน้ำง่ายๆ 

    หลังนั่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดบาร์ทเลทท์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาคนขับรถและผู้โดยสารด้านหลังถึงกับต้องขมวดคิ้วไปตามๆ กัน วูล์ฟฟ์ส่งเสียงหึในลำคอ เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีอะไรอยากจะพูด

    "ว่ามาเหอะ แม่นักข่าวนั่นรอฟังอยู่นะ"

    "อ..อะไร ฉันไม่ได้--"

    มันก็ถูกนั่นแหละ

    แอนนาตัดสินใจห้ามตนเองได้ทัน ก่อนที่เธอจะโวยวายอะไรออกมาให้มันมากความไปกว่านี้ หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งติดเบาะอีกครั้ง นัยน์ตาคู่งามเหลือบมองออกไปด้านนอกอย่างครุ่นคิด ในใจยังคงรอให้ชายหนุ่มเฉลยข้อสงสัยอยู่ บาร์ทเลทท์ยกมือขึ้นมากอดอก แววตาของเขาเผยประกายความเคร่งเครียดมากกว่าเดิม เขาเหลือบมองผู้โดยสารด้านหลังผ่านกระจกรถ ใบหน้าของนักข่าวสาวหันหนีสายตาไป แต่เธอรู้ว่ากำลังถูกมองอยู่

    "อันที่จริง.."หญิงสาวชะงักเล็กน้อย ความสนใจแสดงออกมา"ผมก็มีแผนอยู่นะ"

    "ว่ามาเลย"วูล์ฟฟ์รอคำตอบ

    "ในเมื่อเขาตัดสินใจลาออกไปแล้ว ก็ดูเหมือนว่าที่เหลือ--เราคงต้องจัดการเอง"

    จัดการเอง...?

    สีหน้าของเธอสับสนกว่าเดิม แอนนาไม่อาจบังคับให้ตนเองละสายตาจากอีกฝ่ายได้อีกต่อไป เธอตัดสินใจเหลือบมองไปหาเขา ดวงตาสีฟ้าใสยังคงจับจ้องกลับมา เห็นได้ชัดว่าบาร์ทเลทท์คิดแผนการอะไรบางอย่างเอาไว้ในใจ ถ้าเฟเธอร์ไม่ยอมช่วยงานในครั้งนี้...ก็ดูเหมือนว่า--ตอนนั้นเองเธอก็หยุดชะงัก ก่อนจะจ้องมองกลับไปยังใบหน้าของเจ้าหน้าที่หนุ่ม บาร์ทเลทท์มีแผนอย่างที่เธอคิดเอาไว้จริง 

    แต่กลับไม่น่าเชื่อเลยว่า...

    "เรามีอาวุธเหลืออยู่เท่าไหร่"เขาเอ่ยถามคนขับรถ

    "ก็มากอยู่ล่ะ แต่แค่สองคนเนี่ยนะ"

    "ใครบอกสองคน"

    น้ำเสียงใสที่ตอบกลับไม่ใช่เสียงของบาร์ทเลทท์ สองเจ้าหน้าที่โร้กชะงักนิ่ง แต่ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นจะทรงพลังเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล จนทำให้วูล์ฟฟ์ถึงกับเหยียบเบรกรถโดยกะทันหัน เอี๊ยด--! เสียงล้อเสียดสีกับพื้นถนนดังก้องกังวาน รถเก๋งสีดำหยุดชะงักอยู่ท่ามกลางเมืองที่ไร้ผู้คน สายลมหนาวพัดพาไอเย็นจากหิมะมาเกาะกับกระจกรถ แน่นอนว่าการเบรกกะทันหันแบบนั้นคงทำให้คนในรถหน้าคว่ำไปบ้าง โดยเฉพาะแอนนา ถ้าเธอยึดเบาะที่บาร์ทเลทท์นั่งเอาไว้ไม่ทันละก็...ป่านนี้หน้ากระแทกไปแล้วแน่ๆ

    หญิงสาวพยายามเงยหน้าขึ้นมา แต่ในตอนนั้นก็ไปประสบกับสีหน้าชวนขำของสองเจ้าหน้าที่ในทันที โดยเฉพาะกับใบหน้าของวูล์ฟฟ์ หมอนั่นแลดูจะไม่เชื่อคำพูดของเธอเมื่อกี้นี้ แต่สำหรับบาร์ทเลทท์...มีความหวังแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น แอนนาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอจ้องสองเจ้าหน้าที่กลับด้วยสีหน้างงๆ

    "เป็นอะไรล่ะ"

    "คุณนั่นแหละเป็นอะไร"วูล์ฟฟ์ถามกลับ ใบหน้าโหดเหี้ยมตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความฉงน"เอาจริงดิ?"

    "ก็จริงน่ะสิ!"

    "นักข่าวใช้ปืนเป็นด้วยรึไง"

    "ให้ตายเถอะ ฉันแค่--อยากช่วย"แอนนาสูดลมหายใจ"ฟังนะ ถ้าหมอคนนั้นคิดยารักษาได้จริงๆ เธอก็คือทางรอดเดียวของเรา"

    "ไม่ได้ เฮ้! บาร์ท! เอากล้องคืนให้ยัยนี่ไปเถอะ!"

    ถ้าฟังจากน้ำเสียง ก็คงเห็นๆ กันอยู่แล้วว่าวูล์ฟฟ์ไม่อยากให้เธอมาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเสียเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าเธอคือนักข่าว ซึ่งนักข่าวก็เป็นพวกปากสว่างดีๆ นี่เอง เขาคงไม่ไว้ใจ กลัวว่าเธออาจจะเอาเรื่องที่อยู่ในซีโรพอยท์ไปประกาศให้โลกภายนอกรู้ แต่แอนนาไม่ใช่นักข่าวแบบนั้น อย่างที่บอก...เธอเป็นนักข่าวอิสระ และนักข่าวอิสระอย่างเธอจะไม่มีวันเอาเรื่องชวนคอขาดบาดตายแบบนี้ไปทำชื่อเสียงให้ตัวเองแน่

    แถมที่ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเธออยากจะเอาเรื่องพวกนี้ไปออกข่าวจริง มีหวังได้กลายเป็นข่าวโคมลอยเรื่องโดนรัฐบาลอุ้มเหมือนนักเขียนดังๆ คนนึงแน่นอน หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง แอนนาพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่วูล์ฟฟ์ไว้ใจ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำก็มีแต่จะผลักเจตนาดีของเธอไปห่างๆ ทว่าบาร์ทเลทท์--ในตอนนั้นที่เพื่อนโร้กกำลังโวยวาย ชายหนุ่มก็ตัดสินใจยกมือขึ้นห้ามปราม แน่นอน วูล์ฟฟ์ถึงกับคิ้วขมวด เจ้าหน้าที่คนนั้นเริ่มหัวเราะเบาๆ ให้กับความคิดบ้าบิ่นของเพื่อนตนเอง

    "ไม่เอาน่า นายคงจะไม่--"

    "ใช่ แอนนาจะไปกับเรา"

    ให้มันได้อย่างนี่สิ! หญิงสาวอุทานในใจ แต่สีหน้ากลับแสดงออกอย่างชัดเจนด้วยรอยยิ้ม วูล์ฟฟ์หันมาถลึงตาใส่เธอเล็กน้อย ทำให้แอนนาถึงกับต้องหน้าหดไปอีกรอบ

    "ทำไมวะ"

    "ก็บอกเองไม่ใช่รึไง เราต้องการกำลังคน"บาร์ทเลทท์อธิบายเหตุผล"งานนี้เราต้องพึ่งเธอ"

    "แต่ยัยนี่เป็นนักข่าว! รู้มั้ยว่าชีฟจะพูดอะไรบ้างถ้าเราเอานักข่าวไปในซีโรพอยท์น่ะ!"

    "ก็ช่างหัวชีฟเขาสิ ใช่มั้ยครับคุณแอนนา"

    เจ้าหน้าที่บาร์ทเลทท์หันกลับมาหาเธอ เจ้าของชื่อเผยรอยยิ้มแหยๆ ก่อนจะพยักหน้าครั้งหนึ่ง เมื่อรู้ว่าเหตุผลของตนเองกำลังพ่ายแพ้ นั่นถึงกับทำให้วูล์ฟฟ์ต้องถอนหายใจฟึดฟัด ชายหนุ่มหน้าโหดสบถอะไรบางอย่างในลำคอ แต่ก็รู้ดีว่าต่อให้อธิบายยังไงบาร์ทเลทท์ก็คงไม่ฟังเขาอยู่ดี ดังนั้นสิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงแค่ก้มหน้ายอมรับแผนอีกฝ่ายไปซะ

    รถเก๋งขับแล่นไปตามถนนอีกครั้งหลังจากจอดนิ่งอยู่สิบนาทีเต็ม วูล์ฟฟ์พาบาร์ทเลทท์...และเจ้าหน้าที่โร้กคนใหม่กลับไปยังฐานทัพลับ ที่บัดนี้มีสมาชิกเหลือแค่พวกเขาสองคน ถ้ายังไม่นับน้องใหม่อย่างนักข่าวสาวที่ติดมาด้วย แอนนาเปิดประตูรถก่อนจะก้าวขาลงไป นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นสภาพภายนอกของฐานทัพเจ้าหน้าที่โร้ก เป็นแค่บ้านเก่าๆ ที่ถูกทิ้งร้าง แถมด้านในก็ถูกโละเฟอร์นิเจอร์ออกจนหมดเกลี้ยง เหลือไว้เพียงบริเวณว่างๆ เท่านั้น

    หญิงสาวก้าวเดินไปตามทางเดินแคบ มือลูบไล้ไปกับผิวกำแพงที่ทั้งหยาบและลอก เศษฝุ่นติดถุงมือที่เธอสวมอยู่เล็กน้อย วูล์ฟฟ์เดินเบียดไปก่อนจะเอ่ยเบาๆ 'ขวางทาง' แต่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก แอนนารู้ดีว่าเขากำลังหัวเสียกับการตัดสินใจของแอรอน และเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดใจกับหมอนั่นด้วย ไม่ช้าก็เร็ววูล์ฟฟ์ก็จะเข้าใจความหวังดีของเธอด้วยตัวเขาเอง

    "ผมหวังว่าคุณคงจะใช้ปืนเป็นนะ"

    บาร์ทเลทท์กล่าวขณะเปิดตู้เก็บของที่อยู่ในห้องครัว ชายหนุ่มคุ้ยหาอะไรอยู่ในนั้นนานพอควร ปล่อยให้แอนนายืนรออยู่ตรงประตูพร้อมกับเจ้าหน้าที่วูล์ฟฟ์ เธอเห็นกล่องอาหารเช้าร่วงลงมาต่อหน้าต่อตา ก่อนที่เขาจะเก็บมันกลับใส่เข้าไปที่เดิมอย่างลวกๆ ระหว่างที่รออีกฝ่ายอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นข้างหลัง ไม่นานกลิ่นควันชวนเหม็นฉุนก็ลอยมาตามลม แอนนายกมือขึ้นปิดจมูกแทบไม่ทัน เธอหันไปพบกับวูล์ฟฟ์พร้อมกับมือที่คีบบุหรี่ของเขา

    "สูบบุหรี่? ในนี้เนี่ยนะ?"

    "ทำไงได้"เสียงของเขาดังอู้อี้ตอนคาบมวนกระดาษชวนเหม็นนั่นเอาไว้"ก็มันหนาว"

    "มีมารยาทบ้างมั้ยเนี่ย"

    "โทษนะ ไม่มี"

    ให้ตายสิ...

    ถ้าจะให้เธอจินตนาการใบหน้าของวูล์ฟฟ์ ก็คงยกตัวอย่างแบบพวกทหารรัสเซียก็ได้มั้ง หมอนี่หน้าโหดอย่างกะหมี แถมไม่ไว้ทรงผมอะไรอีกต่างหาก (อาจจะบอกได้ว่าเขาหัวโล้น แต่ก็ไม่ได้โล้นจนเตียนเสียขนาดนั้น) ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลแถมยังไว้หนวดเครา จากท่าทางกักขฬะแบบนั้นก็คงรู้ดีว่าหมอนี่คงไม่ใส่ใจสังคมเสียเท่าไหร่ ซึ่งเป็นอะไรที่เข้ากับเธอไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยบาร์ทเลทท์ก็คอยขีดเส้นกั้นเอาไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายเข้าหาเธอแบบ 'มากเกินไป' 

    อาวุธปืนทั้งหมดถูกหยิบออกมาจากจุดเก็บซ่อนอันแสนน่าเหลือเชื่อ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าประโยชน์ของตู้เก็บของในครัวจะเอาไว้ซ่อนปืนกับระเบิดได้ด้วย แถมยังมีคนทำให้ดูอีกต่างหาก บาร์ทเลทท์กวักมือเรียกเพื่อนเจ้าหน้าที่ด้านหลัง เขาเดินเบียดไหล่แอนนาจนเธอเซเพื่อเข้าไปเอาอาวุธ ปืนไรเฟิลจู่โจมสัญชาติรัสเซีย AKM กับปืนพก Makarov PMM ชายหน้าโหดรับอาวุธสังหารมาเก็บเอาไว้กับตัว ส่วนของบาร์ทเลทท์ก็ใช้ปืน M4A1 แน่นอนว่าปืนพกของเขาก็ถูกเก็บเอาไว้ในซองแล้ว

    คราวนี้ถึงตาน้องใหม่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่ยื่นปืนให้เธอกลับกลายเป็นวูล์ฟฟ์

    "เอาไป"หญิงสาวรับปืนพกขนาดเล็กนั้นมาด้วยสีหน้างงงวย"อย่าทำลั่นล่ะ"

    "อะไรเนี่ย? ให้แค่นี้เหรอ?"

    วูล์ฟฟ์ยักไหล่พร้อมเบะปาก ประมาณว่า 'ก็ไม่รู้สินะ'

    กวนแล้วมั้ยล่ะ

    ก่อนที่เธอจะอาละวาดใส่ใครบางคน บาร์ทเลทท์ก็ยื่นสิ่งของอีกอย่างคืนมาให้พร้อมกับกระสุนปืน มันคือกล้องถ่ายรูปตัวโปรดที่เคยถูกอีกฝ่ายยึดไปนั่นล่ะ แอนนาขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีอำพันทองมองสลับกล้องตัวนั้นกับใบหน้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเล็กน้อย เขาตบบ่าเธอเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

    "ขอบคุณ"เขาเอ่ย

    ใบหน้านั่นแสดงออกให้เห็นถึงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง แอนนาตัดสินใจพยักหน้ารับ อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคาดหวังกับเธอไว้มากแค่ไหน มือนั้นยังคงไม่ถูกดึงออก แต่ตรงกันข้ามบาร์ทเลทท์กลับวางมันเอาไว้นิ่งๆ บนบ่าของเธอ มือใหญ่เจ้าของสัมผัสเย็นยะเยือกลูบไล้อย่างอ่อนโยน ดวงตาฉายแววความอบอุ่นอย่างเป็นปริศนาในยามที่เขาจ้องมองลงมา แอนนายืนนิ่ง แก้มของหญิงสาวแดงระเรื่อขณะมองใบหน้านั้นกลับ เธอหวนนึกถึงสภาพครั้งแรกที่ได้เจอกับเขา แม้มันจะแย่...แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่คนนี้มีเจตนาดีในมนุษย์ด้วยกันเอง

    แล้วมือของเขาก็เลื่อนลงมา สัมผัสนั่นเปลี่ยนมาอยู่บริเวณมือข้างหนึ่ง เธอตัดสินใจเปิดรับความรู้สึกนั้น ในขณะที่รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่กำลังเต้นอยู่ในทรวงอก ดวงตาสีฟ้าใสของชายหนุ่มสะท้อนใบหน้าของแอนนาในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

    "เฮ้ อย่าเพิ่งสวีทกัน"วูล์ฟฟ์เรียก เขากระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะยกเครื่องมืออะไรบางอย่างขึ้นมา เดาว่าน่าจะเป็นวิทยุสื่อสารแบบพิเศษของหน่วยแซค"สัญญาณจากในซีโรพอยท์ แม่หมอคนนั้นคงอยากกลับบ้านจนใจจะขาดแล้วมั้ง"

    "โอเค งั้น...เราควรไปกันได้แล้ว"

    "ใช่เพื่อน นายควรไปได้แล้ว ควรจะไปได้ตั้งนานแล้วด้วย!"

    ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว บาร์ทเลทท์ก็ปล่อยมือไปเสียก่อน ยอมรับว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอเผลอรู้สึกเสียดายสัมผัสนั่น แต่ตอนนี้พวกเขามีงานที่ต้องไปทำ แอนนาหยิบปืนพกขึ้นมาดู เป็นปืน 9 มม. แบบธรรมดาที่เจอได้ทั่วไป ในกระบอกมีอยู่ 15 นัดกับแม็กกาซีนสำรองอีกหนึ่งที่ชายหนุ่มให้มา หญิงสาวทำการชักสไลด์ปืน กระสุนหนึ่งนัดถูกส่งเข้าไปในรังเพลิงเตรียมสำหรับการยิง แต่ก่อนที่จะได้ลั่นไกตอนนี้ เธอจำเป็นต้องกดเซฟมันเอาไว้เสียก่อน

    นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าวันนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมฆลอยครึ้ม บดบังแสงอาทิตย์จนทำให้เมืองทั้งเมืองจมสู่เงามืด ถ้าคิดว่าชิคาโกที่ตายไปแล้วนี่เป็นสิ่งมืดมนที่สุด--จงเปลี่ยนความคิดใหม่ซะ

    ...เพราะ 'ซีโรโซน' จุดหมายสำคัญของภารกิจนี้

    มันมืดมนเสียยิ่งกว่าเป็นเท่าตัว

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×