ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF SHINee Yaoi] .....X Onew and ETC.

    ลำดับตอนที่ #12 : First Kiss [HYUNEW]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 260
      2
      4 ม.ค. 58

     

     

    First Kiss

    By: Crazy_Dragon

    หากโชคชะตาถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ต่อให้พยายามเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ก็คงไม่มีทางทำได้

                “เฮ้ย!”เสียงตวาดเรียกทำให้ใครต่อหลายคนหยุดชะงักและหันมองด้วยความสนใจ หากแต่เป้าหมายที่แท้จริงของคนเรียกยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่เร่งรีบมากนัก

                “อีจินกิ!”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอีกครั้งและคราวนี้เจ้าของชื่อก็ยอมหยุดลง ร่างเพรียวหมุนกายหันกลับมาและส่งรอยยิ้มที่แสนจะไม่จริงใจไปให้

                “มีอะไรรึเปล่าคิมจงฮยอน”

                “ทำไมแกถึงต้องมาแกล้งดึงตัวฮยอนอาของฉันไว้ด้วย!

                “แกล้ง? แกล้งหรอ? ฉันคิดว่าสมองแกอาจจะกระทบกระเทือนเพราะตกจากหลังมังกรของแกที่เผลอหลับกลางอากาศก็ได้นะ”คนฟังฉุนกึกกับสีหน้าที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยแบบไม่จริงใจ ร่างหนาสาวเท้าไปใกล้จนกระทั่งหยุดยืนหน้าคนตัวบางโดยเว้นระยะห่างพอสมควร เพื่อไม่ให้ส่วนสูงของตัวเองมาเป็นจุดเสียเปรียบ

                “มังกรของฉันก็กินยานอนหลับของแกเข้าไป คิดว่าไม่รู้รึไง”

                “อ้าว รู้แล้วหรอ แย่จังเลยเนอะ พอดีฮยอนอามาปรึกษาเรื่องเรียนนิดหน่อยน่ะ นี่ก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าฉันทำให้ฮยอนอาไปเที่ยวกับนายไม่ทันตามเวลาที่นัดกัน”

                “ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้เลยนะจินกิ แกต้องขอโทษฉันเดี๋ยวนี้”

                “ขอโทษอะไรล่ะจงฮยอน? นี่ฉันต้องไปประชุมงานสถาปนานะเนี่ย ไปล่ะนะ”และอีจินกิหัวหน้าหอสฟิงซ์ก็เดินจากไปโดยไม่ลืมหันกลับมายักคิ้วใส่ ปล่อยให้หนุ่มร่างหนาใบหน้าหล่อเหลาหัวหน้าหอกริฟฟินโมโหฮึดฮัดทำอะไรไม่ได้อยู่ตรงที่เดิม

                “ไอ้ตาตี่!!

                เหล่านักเรียนที่เดินไปเดินมาค่อนข้างเคยชินเสียแล้วกับการทะเลาะของหัวหน้าหอทั้งสองฝ่ายที่มีเรื่องปะคารมกันได้ทุกวัน ว่ากันว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกันและไม่ถูกกันตั้งแต่เด็กแล้วด้วย

                ความเกลียดชังมันคงเริ่มมาตั้งแต่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายตัดสินใจออกไปนั่งเล่นชมธรรมชาติริมขอบป่า เด็กชายจงฮยอนกับเด็กชายจินกิวัยสามขวบก็ถูกพาออกมาด้วยและต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอย่างไม่ยอมแพ้ และหลังจากนั้นโดยไม่มีใครคาดคิดเพราะเด็กทั้งสองต่างใช้มือคว้าแอปเปิ้ลมาคนละลูก เอามาปาใส่กันจนหัวปูดหัวบวมกันไปตามๆกัน

                หลังจากนั้นพอไปเรียนโรงเรียนสำหรับเด็กก็เริ่มแข่งกันเรียนแข่งกันเอาชนะมันทุกเรื่อง ทะเลาะโวยวายกันได้ตลอดจนคุณครูต้องเหนื่อยใจ เรื่องทะเลาะก็มีตั้งแต่ใช้ของเหมือนกัน ไปจนถึงมองหน้าแล้วหาเรื่อง แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยเด็กทั้งสองคนไม่ลงมือต่อยตีกัน

                โตขึ้นมาอีกนิดใช้เวทมนต์เป็นก็มีเหตุการณ์พื้นเปียก เก้าอี้ไฟลุก กระถางต้นไม้หล่น สารพัดที่เวทมนต์เล็กๆน้อยๆจะทำได้ จนในที่สุดเวลาผ่านมาเรื่อยจนเด็กชายทั้งสองคนโตมาอายุสิบสามปีก็ถูกส่งเข้าเรียนโรงเรียนประจำที่ฝึกสอนให้นักเรียนขัดเกลาวิชาต่างๆจนสำเร็จในชีวิต

                ในคราวแรกพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็สบายที่รู้ว่าคนถนัดในตำราและเวทมนต์อย่างอีจินกิถูกส่งไปหอสฟิงซ์หอแห่งปัญญา และคิมจงฮยอนเองก็ถูกคัดไปอยู่หอกริฟฟินตามประสาพวกเน้นใช้กำลังและการปกครอง แต่ทั้งสองก็ไม่วายที่จะทะเลาะกันแข่งกันข้ามหอ เป็นผู้ดูแลกฎตอนปีสี่ เป็นตัวแทนลงแข่งระหว่างหอตอนปีห้า (ทั้งสองคนโดนปรับแพ้ทั้งคู่เพราะต่างฝ่ายต่างพยายามลอบทำร้ายด้วยเวทมนต์อยู่ข้างสนาม) ขึ้นปีหกก็เป็นรองประธานนักเรียน และพอมาถึงปีเจ็ดปีสุดท้ายก็เป็นประธานนักเรียนหรือหัวหน้าหอ

                เรียกง่ายๆก็คือไม่ว่าใครก็บอกได้ว่าสองคนนี้เป็นศัตรูที่รู้ไส้รู้พุงกันกันดี พยายามขัดกันไปมาเพื่อความสะใจ ไม่รู้ชาติก่อนไปทะเลาะอะไรกันก่อนตายชาตินี้ถึงได้ตีกันตั้งแต่เด็กยันโตจะเรียนจบ

                แต่ยังดีหน่อยที่สามัคคีกันบ้างในเวลาที่งานใหญ่ๆ อย่างตอนนี้งานสถาปนาโรงเรียนกำลังจะจัดขึ้นและจินกิเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดตกแต่งและคิดรูปแบบงาน จงฮยอนก็ไปเป็นหัวหน้าฝ่ายดูแลสถานที่ป้องกันคุ้มครองผู้นำแต่ละประเทศที่เคยมาเรียนที่นี่ เพราะที่นี่เป็นโรงเรียนมีชื่อเสียงมีแต่คนสำคัญๆที่เรียนจบไปโดยเฉพาะเหล่าเจ้าหญิงเจ้าชาย

                เอาเป็นว่า..อีจินกิกับคิมจงฮยอนไม่มีทางจะคุยกันดีๆเด็ดขาด ต่อให้โลกถล่มฟ้าทลายก็ไม่มีทางเด็ดขาด แต่ตอนนี้ชะตากรรมของทั้งคู่เริ่มเคลื่อนเข้ามาในจุดที่จะเริ่มต้นทุกอย่างไปในทางที่ไม่มีใครคาดคิด

    First Kiss

                ร่างเพรียวขยับตัวบิดขี้เกียจก่อนจะล้มตัวลงนอนกลิ้งไปบนเตียงในห้องพักอีกรอบ เพราะเป็นหัวหน้าหอจึงมีอภิสิทธิ์พิเศษได้ยึดห้องไว้คนเดียว มือนุ่มควานไปบนเตียงก่อนจะเจอกับสมุดตารางงานที่วางทิ้งไว้เมื่อคืน

                ประชุมใหญ่งานสถาปนา ถ้าประชุมใหญ่ก็หมายความว่าเขาเองก็ต้องไปเจอกับไอ้เตี้ยจงฮยอนเพราะต้องนัดแนะงานให้ประสานกัน พอนึกถึงท่าทางกวนประสาทเหมือนหมาเกเรก็ถอนหายใจออกมาแล้วฝืนความง่วงอาบน้ำให้ตาสว่างซักที

                ใช้เวลาไม่นานนักกับการอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดเครื่องแบบถูกระเบียบ ขาเรียวพาตนเองไปยังหอกลางหรือก็คือห้องประชุมในโรงเรียน แต่เพราะอยู่กึ่งกลางระหว่างหอสฟิงซ์กับหอกริฟฟินเลยกลายเป็นเรียกหอกลางไปเพื่อความสะดวก เดินมาอย่างไม่เร่งรีบก็พบกับคนที่เบื่อหน้าที่สุดตั้งแต่เด็กจนโตกำลังเดินมาเช่นกัน

                ดวงตาทั้งสองฝ่ายสบประสานและค้างนิ่ง คิมจงฮยอนแสยะยิ้มและเริ่มออกวิ่งให้ไปถึงหอกลางก่อนและจะได้เข้าห้องประชุมก่อนหัวหน้าหอสฟิงซ์ คนแพ้เรื่องกำลังกายขมวดคิ้วทันทีและคทาสวยก็ปรากฏขึ้นในมือ หนุ่มร่างหนาที่กำลังจะไปถึงชะงักลงเมื่อจู่ๆก็มีกำแพงไฟมาขวางทาง

                “บ๊ายบาย ไอ้เตี้ย~

                “ขี้โกงนี่หว่าไอ้ตาตีบ!

                กว่าจะมาถึงห้องประชุมก็มีการขัดแข้งขัดขาจนในที่สุดก็เข้ามาถึงพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปคนละหัวโต๊ะด้วยสภาพหัวฟูยุ่งเหยิง จ้องเขม่นก็อีกเล็กน้อยและเป็นจินกิที่บอกเริ่มการประชุมได้

                เหล่าคณะกรรมการนักเรียนทั้งสองหออยากจะขอบคุณฟ้าดิน ที่ทำให้สองคนนี้เลิกทะเลาะกันได้ทุกครั้งที่มีการประชุมจริงจัง

                “สรุปคือ งานสถาปนาของเราตอนกลางวันจะเป็นการเปิดร้านขายของนิดหน่อย และเปิดโอกาสให้เด็กๆได้เข้ามาดูในโรงเรียน ส่วนสำคัญอย่างตอนกลางคืนเราจะมีแนวความคิดคือ งานเต้นรำสวมหน้ากาก เพราะคราวนี้เราต้องมาจัดที่ลานหอกลาง”

                “แกจะใช้คนไปดูแลแต่ละสถานที่เท่าไหร่”

                “กลางวันสิบคนกลางคืนสิบคน เพราะยังไงเราก็มีอาจารย์และผู้ดูแลโรงเรียนอยู่แล้ว มีใครสงสัยในส่วนออกแบบมั้ย”ดวงตาเล็กกวาดมองไปรอบและเมื่อไม่มีเสียงใครตอบกลับมาเขาจึงนั่งลงและรอฝ่ายจงฮยอนเป็นคนพูดบ้าง

                “งานนี้ตามที่หัวหน้าหอสฟิงซ์บอก จำนวนคนยี่สิบคนฉันคิดว่าน้อยไป เพิ่มอีกห้าคนเป็นกลางวันสิบคนกลางคืนสิบห้าดีกว่า เผื่อเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมาจะได้มีการแก้ไขได้ทัน ส่วนคุ้มครองคนใหญ่คนโตนี่เป็นรายชื่อที่คัดมาแล้ว”กระดาษถูกส่งรอบโต๊ะให้แต่ละคนได้เปิดดู อีจินกิประหลาดใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายไม่ได้ลงชื่อตัวเองแต่ก็นึกได้ว่าปีสุดท้ายแล้ว ใครๆก็อยากจะเล่นจะดื่มให้สนุกสนานมากกว่าไปติดตามใคร

                “จงฮยอน”เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นทำให้ร่างหนาที่ยืนอยู่หันมามองและรอฟัง คนเข้าประชุมรู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลกที่ทั้งสองคนต่างพากันพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่พอออกจากห้องนี้ไปก็คงจะเป็นเหมือนเดิม

                “การตกแต่งเตรียมงานต้องใช้คนเยอะ ขอคนจากหอนายที่มีความสามารถด้านการตกแต่งซักสิบคนได้มั้ย”

                “ได้ พรุ่งนี้จะเอารายชื่อมาให้”

                การประชุมมีต่ออีกพักใหญ่เพื่อลงรายละเอียดงานจนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกสองสามชั่วโมง คนเข้าประชุมขยับตัวบิดให้คลายความเมื่อยล้าก่อนจะพูดคุยกันสนุกสนาน มีเพียงหัวหน้าหอทั้งสองคนที่ทำแค่มองหน้ากันและเป็นจินกิที่เดินออกไปก่อน

                “เฮ้ย ไอ้ตีบ!

                “อะไรอีกเตี้ย”

                “วันงานฉันจะชวนฮยอนอานะเว้ย อย่ามาขัดอีกล่ะ”ร่างเพรียวที่ชะงักขาตรงประตูกระตุกยิ้มแล้วพูดขึ้น

                “แกจะไปชวนใครก็เรื่องของแกเถอะ แต่บอกแบบนี้ก็ชักอยากจะไปชวนฮยอนอาดู”คนฟังคิ้วกระตุกแต่ยังไม่ทันจะได้โต้เถียงเสียงนุ่มหูที่เขาหมั่นไส้ก็ดังออกมาอีก

                “แต่ก็นะ เดี๋ยวไอ้เตี้ยขี้แยแถวนี้มันจะฟูมฟายเมาหัวทิ่มซะก่อน บาย”

                “แกว่าใครขี้แย เดี๋ยวเถอะ! เขาเรียกคนอ่อนไหวง่ายเว้ย”

                คนที่เหลือในห้องประชุมได้แต่ภาวนาว่าวันงานสองคนนี้จะสงบศึกกันได้..

    1 สัปดาห์ต่อมา

                ร่างเพรียวในชุดออกงานสีดำสนิทพิจารณาเงาสะท้อนในกระจกเพื่อดูความเรียบร้อย ดวงตาเรียวเล็กหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นคู่ปรับแต่เด็กเดินเข้าห้องน้ำมาเช่นกัน คิมจงฮยอนในสภาพเมามายเดินเป๋ตรงมาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

                “ถอยเดี๋ยวนี้คิมจงฮยอน”

                “ถอย? ถอยไปไหน ฉันเพิ่งเข้ามา แกสิต้องถอย”ยามปกติก็น่าโมโหมากพอแล้ว แต่พอเมาด้วยอีจินกิก็อยากจะยันไปซักทีด้วยความหมั่นไส้ ร่างเพรียวเตรียมขยับหลบแต่จู่ๆร่างหนาก็เข้ามาระยะประชิดจนจินกิตกใจเผลอเอนตัวหนี

                จงฮยอนเท้าแขนทั้งสองข้างกับหินอ่อนกั้นคร่อมหัวหน้าหอสฟิงซ์ไว้โดยที่ดวงตาก็กวาดมองใบหน้านวลอย่างพิจารณา ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เขารู้สึกว่าคืนนี้อีจินกิดูมีสเน่ห์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                “นี่ ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”

                “เพิ่งรู้ว่าปากแกมันน่าจูบ”

                “เป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย! ไอ้เตี้ยนี่ อย่ายื่นหน้ามานะ!”เสียงนุ่มเริ่มโวยวายและตัดสินใจใช้มือผลักร่างหนาออก หัวใจเต้นระรัวกับคำพูดคนเมาแล้วรีบเดินออกไปแต่ก็ถูกร่างหนาคว้าแขนดึงกลับเข้ามา ร่างเพรียวที่เสียหลักกลายเป็นอยู่ในอ้อมแขนคิมจงฮยอน ยังไม่ทันแม้แต่จะพูดอะไรจู่ๆริมฝีปากร้อนผ่าวก็ทาบทับลงริมฝีปากอิ่มพอดิบพอดี..

                “เธออยากดูเรื่องเนื้อคู่มั้ยล่ะ”อีจินกิในชั้นปีห้าชะงักขาก่อนจะมองไปยังยายแก่ๆที่พูดขึ้น ใบหน้าหวานมองซ้ายมองขวาจนสุดท้ายชี้มือมาที่ตนเอง

              “ผมหรอ??”

              “ใช่แล้ว มานั่งนี่สิ”คนปฏิเสธใครไม่เป็นมานั่งลงตรงหน้าหญืงชราที่ดูมีมนต์ขลังแต่ก็ไม่ได้น่ากลัว คนไม่เคยดูดวงมองไปรอบๆเต็นท์ผ้าใบด้วยความสนใจ เบื้องหน้ามีลูกแก้วอยู่บนโต๊ะ สำรับไพ่ และกระดูกหน้าตาประหลาด

              และแน่นอนว่าเขาไม่เชื่อเรื่องดวง

              “เรื่องบางเรื่องมันกำหนดเองได้ก็จริง แต่อะไรที่กำหนดมาแล้วก็เปลี่ยนมันไม่ได้หรอก”

              “ผม..คุณยายรู้หรอครับว่าผมไม่เชื่อ”

              “หึๆ เอามือวางลงบนลูกแก้วซิ”ร่างเพรียวที่ยังงงๆอยู่เอามือวางลงบนลูกแก้วตามคำบอก และฝ่ามือหญิงชราที่อบอุ่นและอ่อนโยนก็ทาบทับลงมาแผ่วเบา ริมฝีปากขยับพึมพำเป็นภาษาบางอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินและลูกแก้วก็เริ่มเรืองแสงขึ้น

              “อืม..ดวงดีใช้ได้เลย แต่ค่อนข้างมีปัญหาสุขภาพบ่อยโดยเฉพาะเรื่องกระดูกนะ ปวดตามตัวบ่อยสิเราน่ะ”

              “โห คุณยายเก่งจัง!

              “เงินทองมีเยอะซะด้วย เสี่ยงโชคก็ไม่ค่อยได้เท่าไหร่อย่าไปเสี่ยงนักเลย ฉลาด อา..เนื้อคู่ของเธอ”จินกิกระพริบตาปริบเมื่อแม่หมอนิ่งเงียบไปนาน และจู่ๆริมฝีปากของหญิงชราก็หยักโค้งขึ้นมา

              “รู้จักกันนานแล้วนี่หืม แต่มองข้ามไปซะได้นะ แย่จริงๆ อยู่ด้วยกันมีแต่ดีกับดีแน่นอนเลยนะ”

              “เนื้อคู่ผมสวยมั้ย?”คนไม่เชื่อเรื่องดวงถามด้วยความคาดหวังที่เต็มเปี่ยม แม่หมอหัวเราะอย่างนึกเอ็นดูและพูดต่อ

              “หน้าตาดีนะ เอาการเอางานแต่ใจร้อนไปหน่อย เอาเป็นว่าจะใบ้ให้ ถ้าจูบแรกเธอเป็นใครก็นั่นแหละเนื้อคู่เธอ”คนฟังตาโตกับสิ่งที่ได้ยินมา กึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อจนกระทั่งมือหญิงชราปล่อยออกมา

              “ค่าดูเท่าไหร่ครับยาย”

              “โอ๊ย ไม่ต้องหรอกๆ อย่าลืมนะพ่อหนุ่มว่าบางสิ่งบางอย่างมันถูกกำหนดมาแล้ว เธอเปลี่ยนมันไม่ได้หรอก”

              หลังจากนั้นจินกิก็เดินออกมาด้วยความรู้สึกที่ยังสับสนว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี พอหันกลับไปอีกทีก็พบแต่ความว่างเปล่าไม่มีเต๊นท์ผ้าใบอยู่ตรงนั้นเลย

                ความทรงจำเมื่อสองปีก่อนผุดขึ้นมาทันทีและคนโดนช่วงชิงจูบแรกไปโดยไม่ตั้งตัวเบิกตากว้าง ริมฝีปากอิ่มเผยอค้างด้วยความตกใจรวมถึงใบหน้าที่แดงกล่ำขึ้นมาเสียดื้อๆ

                จูบแรกของเขาเป็นของคิมจงฮยอน ดั้งนั้นจงฮยอนก็จะเป็นเนื้อคู่ของเขา..

                ให้ตายก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด!!!

                ร่างหนาถูกผลักลลงไปกองกับพื้นดังโครมทำเอาแทบสร่างเมา ดวงตาโตมองไปยังหัวหน้าหอสฟิงซ์ที่หน้าแดงจัดและเอามือถูตรงปากอยู่แบบนั้น

                “อะไรของแกเนี่ย”

                “ไอ้บ้าจงฮยอน ไอ้เลว ไอ้เตี้ย ไอ้..อย่าให้ฉันเจอหน้าแกอีกนะ!!”คนโดนด่ายังคงตามไม่ทันและพยายามลุกขึ้นมายืนอีกครั้งแม้ว่าจะรู้สึกว่าโลกมันหมุนอยู่ไม่น้อยก็ตาม

                “เป็นอะไรของแก โอย เจ็บว่ะ”

                “อะไร? อะไรงั้นหรอ??”เสียงที่เคยนุ่มนั้นทวนจนสูงปรี๊ดและจงฮยอนเองก็เริ่มจะมีสติและพอนึกอะไรออกมาได้ลางๆ

                สัมผัสอบอุ่นตรงริมฝีปากยังไม่จางหาย..กลิ่นหอมๆจากตัวร่างเพรียวก็ด้วย

                “ฉัน...จูบนาย? ใช่มั้ย”พูดพลางคิดไปด้วยและพอพูดจบก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันที ความทรงจำตอนอยู่ปีห้าก็ฉายชัดขึ้นมา

                ดวงตาโตที่แพรวพราวน่ามองนั้นหยุดค้างตรงเต็นท์ผ้าใบด้วยความสนใจ พอเห็นหญิงชราที่ส่งรอยยิ้มใจดีมาให้ก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปทักทายตามประสาคนอัธยาศัยดี

              “ขายอะไรครับคุณยาย”

              “ขายอนาคตน่ะสิ สนใจดูดวงมั้ยพ่อหนุ่ม”

              “ไหนๆผมก็เดินเข้ามาแล้วนี่นา คุณยายดูให้ผมหน่อยละกัน”หญิงชราหัวเราะกับท่าทางขี้เล่นของเด็กหนุ่มตรงหน้า ดวงตามองสำรวจไปยังใบหน้าหล่อเหลาแล้วกระตุกยิ้มขึ้น

              “เอามือวางบนลูกแก้วเลยพ่อหนุ่ม สองมือนะ”พอมือหนาทั้งสองข้างวางลงไปมือทีอบอุ่นของหญิงชราก็วางทับลงมาพร้อมกับพูดด้วยภาษาอะไรบางอย่างทีน่าจะเป็นการร่ายคาถา

              “พ่อหนุ่มนี่นะ จะบอกว่าดวงดีมั้ยก็ไม่เสียทีเดียว พออายุที่ลงท้ายด้วยเลขเจ็ดจะต้องเจอเคราะห์หนักๆทุกที แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงชีวิตหรอกนะ”จงฮยอนตาโตแทบจะทันทีเพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เขาเพิ่งจะปรุงยาผิดพลาดซะจนตนเองโดนน้ำยากระเด็นใส่ตามตัว และเพราะมันเป็นยาพิษที่ไม่สมบูรณ์จึงไม่ทำให้ตายแค่แสบๆคันๆไปกว่าครึ่งตัวก็เท่านั้น

              และประสบการณ์ตอนเจ็ดขวบก็คือเกือบจมน้ำตาย..แบบนี้ไม่เชื่อก็คงไม่ได้ซะแล้ว

              “แต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกนะ อนาคตจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินทองและลูกน้องที่ดี อื้ม..สุขภาพก็ไม่มีอะไรมากมาย แต่จะมีปัญหาเพราะความใจร้อนวู่วามของพ่อหนุ่มเองแหละนะ”แม่หมอพูดจบก่อนจะมองไปยังดวงตาที่ฉายแววสุกใสของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าแล้วเริ่มขยับรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาอีกครั้ง

              “เนื้อคู่ของเธอก็คงเป็นคนที่มาดูดวงกับฉันเมื่อวานนี้นี่เอง น่ารัก เจ้าระเบียบและจริงจัง นิสัยดีนะ แต่ติดจะโลเลไปหน่อย และขี้สงสารจะเอาภัยมาสู่ตัวเองได้ และที่สำคัญ...”

              “ที่สำคัญ?”

              “ใครคือจูบแรกของพ่อหนุ่มก็คนนั้นแหละนะ พ่อหนุ่มน่ะลดนิสัยเจ้าชู้ได้ด้วยจะดีมาก เพราะเนื้อคู่น่ะอยู่ไม่ได้ไกลจากตัวเธอหรอกนะ”

              “คุณยายรู้หรอครับว่าผมยังไม่เคยจูบ?”

              “หึๆ จะเก็บไว้ให้กับคนที่เธอคิดว่ารักจริงๆแน่นอนไม่ใช่หรือไง หวงตัวแบบนี้ก็ดีแล้วจะได้ไม่มีปัญหาไปทำใครท้องเอา”

              “โถ่ คุณยายก็”

              และหลังจากนั้นก็กลายเป็นการคุยเรื่อยเปื่อยสัพเพเหระตามประสาคนมนุษย์สัมพันธ์ดีกับหญิงชราที่ถูกชะตากับเด็กหนุ่มนี่

                “ชิบหาย”

                “ประโยคนั้นฉันควรจะพูด คิมจงฮยอน!”จงฮยอนมองไปยังใบหน้าหวานๆที่เหมือนจะหงุดหงิดมากกว่าเขานัก มือขาวนั้นเสยผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดก่อนจะตวัดสายตาดุจ้องมองมาจนเขาชักจะกลัวอยู่หน่อยๆ

                ปกติก็ตีกันทุกวันแต่ไม่เคยจะโกรธกันขนาดนี้น่ะนะ

                “ฟังนะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม นายไม่มีสิทธิ์เอาเรื่องนี้ไปพูดทั้งนั้น เราจะรู้กันแค่สองคนเท่านั้น”

                “คิดว่าฉันอยากจูบนายมากงั้นสิถึงต้องไปประกาศให้ใครต่อใครได้รู้น่ะ”พอพูดจบก็เรียกสายตาขวางๆจากร่างเพรียวที่ยืนกอดอกแผ่ไอทะมึนออกมา ความจริงจะไม่มีใครกังวลขนาดนี้เลยถ้าไม่ใช่เพราะต่างฝ่ายต่างก็ได้รับคำทำนายนั่น

                “ถ้ามีใครรู้ คนที่ฉันจะตามฆ่าคนแรกคือนาย จงฮยอน”พูดจบก็เดินหายออกไปจากห้องน้ำไม่หันกลับมามองอีก ทิ้งไว้เพียงหัวหน้าหอกริฟฟินที่ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเองแผ่วเบา

                “กะอีแค่จูบ ฉันล่ะอยากจะรู้นักว่ามันจะเป็นเนื้อคู่ฉันได้ไง ไอ้กระต่ายเอ๊ย”ถึงปากจะบ่นแต่ริมฝีปากกลับเผยอยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆกับสีหน้าและท่าทางของคนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่ รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นแปลกไป

                และกงล้อแห่งโชคชะตาที่กำลังหมุนวนทีละน้อยนั้น กำลังนำพาให้คนสองคนที่พบเจอกันมาทั้งชีวิตได้ก้าวผ่านจากคู่กัดมาเป็นคนรักกันเสียที

    THE END

              ช็อตฟิคสั้นๆ..สั้นม๊ากมาก ก็ตอเขียนเหมือนนึกอะไรได้ซักอย่าง แล้วก็เลยเขียนมา มันดูแปลกๆแต่ก็รุ้สึกว่าสมบูรณ์ดีแล้วเนี่ยสิคะ ฮ่าๆ อ่า เอาเป็นว่าขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ!

    ปล. มโนกันต่อนะคะทุกท่าน5555555555

    :
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×