ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF SHINee Yaoi&Yuri] HOOn Only!

    ลำดับตอนที่ #49 : {คุณภูตไฟเดอะซีรี่ส์} Fire Faerie and Snow Faerie

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 122
      1
      28 พ.ค. 58

    :) Shalunla




    Fire Faerie and Snow Faerie

    By: Crazy_Dragon

                แฟนฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจ จากเรื่อง Frozen และ Rise of the guardian นะเจ้าคะ ขออภัยแฟนการ์ตูนทั้งสองเรื่องด้วยถ้าทำให้ไม่พอใจ

                หลายปีผ่านพ้นไปจากเด็กชายวัยแปดขวบเติบโตมาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดปี เส้นผมที่นับวันจะอ่อนจางลงตามที่มินโฮเคยบอกเมื่อหลายปีก่อนว่าเป็นเพราะเขาเป็นภูตหิมะ อีจินกิขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะเผยอยิ้มกว้าง เด็กหนุ่มร่างเพรียววิ่งหายเข้าห้องน้ำแล้วรีบลงมายังชั้นล่างและก็เหมือนเดิมในวันแรกของฤดูหนาวทุกปี

                ภูตไฟหน้าตาคมคายที่นั่งคุยหัวเราะกลับพ่อแม่เขา และเมื่อรู้สึกได้ว่าเขาลงมาแล้วก็จะลุกขึ้นยืนและหันกลับมาหา อ้าแขนทั้งสองข้างออกกว้างเหมือนตลอดหลายปีที่ผ่านมา

                “พี่มินโฮ!”ร่างเพรียววิ่งถลาเข้ามาซุกในอ้อมกอดอบอุ่นแล้วหัวเราะออกมาเมื่อพี่ชายกลับมาอีกครั้ง ฝ่ามือหยาบแข็งแรงขยับขึ้นลูบเส้นผมนุ่มสวยเบามือ

                “ข้ากลับมาแล้ว”ภูตไฟที่หน้าตาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่สิบปีก่อนยิ้มออกมาก่อนจะกดปากลงหน้าผากใสเหมือนทุกที แต่เพราะอายุที่โตขึ้นทำให้การกระทำแบบที่เคยทำมาตลอดคล้ายจะเป็นการกระทำของคนรักกันมากกว่า

                แต่พ่อกับแม่ของจินกิก็ไม่ใส่ใจอะไรมากนักอยู่แล้ว

                “คิดถึง”คำพูดพร้อมกับแววตาอ้อนเล็กน้อยทำให้ร่างสูงยิ้มกว้าง มือหนายังคงลูบเส้นผมนุ่มที่ตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนไปเสียแล้ว แต่ก็ยังดูนุ่มสวยเหมือนเดิมและเขาเองก็คิดว่าสีผมนี้ก็เหมาะกับเจ้าตัวเล็กนี่ดี ในขณะที่ผมของเขาค่อนข้างออกไปทางสีแดงแต่ก็ไม่ได้เข้มอะไรมากนัก

                “ข้าก็คิดถึงเจ้าตัวเล็ก ไปกินข้าวเช้าไป วันนี้ข้าจะสอนเจ้าบิน”ไอ้ตัวเล็กของเขาก็ยังเหมือนเดิมด้วยการรีบเดินไปกินข้าวเช้า ความจริงพลังของจินกิตอนนี้เขายอมรับว่าจินกิสามารถควบคุมได้ดีมากพอแล้ว แต่การจะได้เป็นภูตเต็มตัวนั้นคือต้องอายุครบสิบแปดปี และการสอนบินจะเริ่มในอายุสิบแปดปีเท่านั้น

                และหลังจากนั้นเขาคงไม่มีธุระอะไรต้องกลับมาเมืองนี้อีก แต่พอคิดก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้

                “พี่มินโฮ”

                “ว่าไง”

                “จะเหม่อไปไหน ข้าวมันไม่มาถึงปากพี่เองหรอกนะ รีบกินได้แล้ว”

                ปากแบบนี้มันน่าตีมั้ยล่ะเนี่ย? ไม่รู้ไปฝึกมาจากไหนกัน

                เด็กหนุ่มร่างเพรียวหน้าง้ำหน้างอเดินกอดอกออกไปตามทางเมือง และมีชาวบ้านที่ทักทายเป็นระยะทำให้ร่างสูงที่เดินตามมาทีหลังอดมีความสุขไม่ได้ ที่ไอ้ตัวเล็กของเขาดูจะเป็นที่ยอมรับได้มากขึ้นกว่าก่อนมาก

                “มินโฮ กลับมาแล้วหรอจ๊ะ”มินโฮพยักหน้ารับให้กับคุณป้าขายผลไม้ที่ทักทายออกมา และเพราะเขามาที่นี่ทุกปีทำให้ใครหลายคนจำได้และเข้ามาพูดคุยกับเขาด้วยความสนิทสนม

                ในขณะที่อีจินกิส่งเสียงฮึขึ้นจมูกแล้วเดินก้าวให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ปกติมินโฮมักจะอุ้มเขาแล้วพาออกนอกเมืองแต่ก็มีบ้างที่จะเดินออกไปเพื่อพูดคุยกับคนอื่น และโชคดีที่เขาโตมากพอจะควบคุมตนเองหิมะถึงไม่ตกลงมาเหมือนแต่ก่อน

                “เจ้าพูดแบบนั้นมันน่าตีมั้ยล่ะ โดนข้าดีดหน้าผากไปแค่นี้ไม่ต้องมาโกรธเลย”

                “ไม่ใช่เรื่องนั้นซักหน่อย”

                “เรื่องไหนล่ะ”อีจินกิไม่ตอบอะไรนอกจากเดินต่อไปเรื่อยๆ จะให้เขาพูดออกไปว่าหวงพี่ชายที่มีสาวน้อยมาทักทายถึงหน้าบ้านปล่อยให้เขารอ จนในที่สุดต้องเดินออกมาด้วยความโมโหแบบนี้

                “!”แขนเรียวโอบรอบลำคอชายร่างสูงโดยทันทีเมื่อจู่ๆถูกช้อนขึ้นอุ้มเหมือนทุกทีแล้วพาบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า มือขาวฟาดลงไหล่กว้างอย่างแรงเมื่อตั้งสติได้ พอแหงนหน้าไปก็พบกับดวงตาคมโตที่มองกลับลงมาด้วยความใจดีเหมือนเคย

                “โกรธอะไร”

                “เปล่า..”

                “ตัวเล็กขี้งอนเอ๊ย ถ้าเจ้าโมโหข้าเรื่องผู้หญิงคนนั้นล่ะก็อย่าโมโหเลย ข้าไม่ได้คิดอะไรหรอก”ใบหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีแล้วหันหนีเมินไปทางอื่น มินโฮหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะออกไปนอกเมืองอีกครั้ง

                ต่างคนต่างรู้สึก หากแต่มันอาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกก็เท่านั้น

                ขายาวแตะลงพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะจนนุ่ม ปล่อยให้ว่าที่ภูตหิมะลงจากอ้อมแขนก่อนจะสลายปีกเพลิงออก

                “เอาล่ะ เรื่องปีกเป็นเรื่องที่ยากและสำคัญที่สุด และเพราะเจ้าไม่มีโอกาสฝึกฝนบ่อยๆแบบคนอื่นจึงต้องพยายามให้มากเข้าใจรึเปล่า”ใบหน้าหวานพยักหงึกหงักเป็นการเข้าใจ เขารู้ตัวดีว่าการเรียนรู้ของเขามันนานและใช้เวลามากกว่าคนอื่น เพราะในขณะที่ภูตคนอื่นใช้เวลาให้คนสอนไม่ห้าหกปีและฝึกเอง ตัวเขากลับต้องรอให้มินโฮมาสอนทุกฤดูหนาวเป็นเวลาจะสิบปี

                แต่ถึงเอาคนอื่นมาสอนเขาก็ไม่อยากเรียนด้วยหรอก ซึ่งแน่นอนว่ามีภูตหิมะที่ว่างแล้วเสนอช่วยมินโฮหลายคนเช่นกัน และมินโฮก็ปฏิเสธความช่วยเหลือเหล่านั้นเสียหมด

                อาจจะดูเห็นแก่ตัวแต่เขาก็อยากสอนไอ้ตัวเล็กของเขาเพียงคนเดียว และในเมื่อจินกิไม่มีท่าทางรีบร้อนเขาก็ปล่อยเลยตามเลย

                “ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะทำได้ทันทีหรอกนะ แต่ข้าอยากลองให้เจ้านึกถึงปีกนก”คิ้วได้รูปขมวดเล็กน้อยเมื่อนึกถึงนกน้อยที่เคยเห็นแต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

                “ไม่เป็นไร ความจริงถ้ามีตัวอย่างปีกภูตหิมะคงจะดีกว่านี้ แต่ก็ช่างเถอะ ข้าเล่าเรื่องปีกให้เจ้าฟังก่อนละกัน”ทั้งสองคนทิ้งตัวลงนั่งกับหิมะที่ตกลงมาเมื่อคืนก่อน แล้วมินโฮก็เริ่มอธิบายให้ฟัง

                “ปีกน่ะ ความจริงแล้วภูตแบบพวกเรามีอยู่ในตัว มันเป็นการผสมผสานกันระหว่างร่างกายและธาตุพลังในตัวเอง มันสลายไปได้ มันจับต้องได้ และมันก็ถูกทำลายได้ ซึ่งถ้าปีกเราถูกทำลายเราต้องรอถึงสิบแปดปีปีกถึงจะมีใหม่อีกครั้ง และการโดนทำลายปีกข้าได้ยินว่าเจ็บปวดน่าดู”พูดไปมองใบหน้าหวานที่มองตาแป๋วตั้งใจฟังเต็มที

                ปีกนกที่มีเปลวไฟกางออกมาอีกครั้งและแน่นอนว่าอีจินกิไม่ได้รู้สึกร้อนเลยสักนิด มือนุ่มขยับขึ้นแตะปีกนั้นแผ่วเบาก็พบว่ามันคือขนนกที่อ่อนนุ่มดีๆนี่เอง

                “กับคนที่เราไม่ต้องการให้จับปีกนี้ก็จะทำให้เขาจับไม่ได้ อย่างเช่นภูตไฟแบบข้า คนที่ข้าไม่ชอบก็จะจับปีกนี้ไม่ได้เพราะไฟจะลวกมือ และมันก็เป็นโล่เป็นอาวุธได้ด้วย แต่ไว้เจ้าเอาปีกออกมาให้ได้ก่อน”

                “ข้ากลัวข้าทำไม่ได้”

                “มีข้าอยู่จะไปกลัวอะไรกัน”มือหนาแตะลงแผ่นหลังจินกิและไล่นิ้วไปตรงแถวสะบักที่เป็นตำแหน่งของปีก โดยไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าคนโดนสัมผัสหน้าแดงก่ำไปถึงใบหูเรียบร้อย

                “ถ้าเจ้าทำไม่ได้จริงๆก็คงต้องผ่า..ข้าไม่อยากใช้วิธีนั้นหรอกนะ”

                “ผ่า!?”เสียงหวานร้องสูงหันมองใบหน้าภูตไฟด้วยท่าทางตกใจ ร่างสูงมองสีหน้าน่ารักนั่นก็หัวเราะแล้วพยักหน้าเล็กน้อย แต่ริมฝีปากร้อนก็แตะลงหน้าผากใสอีกครั้งเป็นการปลอบโยน

                “ข้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถพอที่จะสร้างปีกนะ ไม่ถึงกับต้องผ่าหรอก”

                อีจินกิไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดีเลยในตอนนี้...

                ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงและความมืดกล้ำกรายมากขึ้นทุกขณะ ปีกนกที่มีสีฟ้าอ่อนหากแต่ดูแวววาวเล็กน้อยราวกลับเกล็ดหิมะเกาะอยู่ตามปีกสะท้อนแสงสีส้ม ปีกค่อยๆกางสยายออกทีละน้อยจนกระทั่งคลี่ออกจนสุด ส่วนปลายมีน้ำแข็งที่ดูแหลมคมอยู่ตรงปลายยิ่งทำให้ดูงดงาม

                “พี่..พี่มินโฮ ข้าไม่ต้องผ่าแล้ว!!”ตั้งแต่เช้ายันเย็นเหมือนคำว่าผ่าจะเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้ร่างเพรียวจริงจังตั้งใจกว่าครั้งไหน ร่างสูงอ้าแขนรับเอาเจ้าตัวยุ่งที่เข้ามากอดแน่นด้วยความดีใจ รอยยิ้มตรงมุมปากที่จินกิไม่เห็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

                ขืนบอกไปตามตรงว่าไม่ต้องผ่าก็อาจจะโดนโกรธเอาได้ เพราะสุดท้ายทำไม่ได้จริงๆเขาคงติดต่อภูตหิมะมาให้ช่วยสร้างปีกให้เอง

                “อ๊ะ หายไปแล้ว”ดีใจได้ไม่นานปีกแสนสวยก็สลายตัวลงไปจนใบหน้าหวานขมวดยุ่ง ดวงตาเรียวเล็กช้อนมองพี่ชายภูตไฟเป็นการถามและต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้

                “แรกๆก็แบบนี้แหละ มันยังไม่คงที่น่ะ ไว้อีกซักพักเจ้าก็จะทำได้เอง แล้วจะฝึกบินกัน”อีจินกิพยักหน้ารับก่อนจะดึงรั้งแขนยาวของร่างสูงให้ไปทางประตูเมือง แต่แล้วขาเรียวกลับหยุดลงก่อนที่จินกิจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน

                “มีอะไรหรอตัวเล็ก”

                “ไม่มีอะไรหรอก ปกติข้าจะรู้สึกได้นะว่าหิมะจะตกตอนไหน จะมีพายุหิมะรึเปล่า แต่คราวนี้มัน..รู้สึกไม่ดีเลย”มินโฮเองก็เริ่มขมวดคิ้วเช่นกันก่อนมองขึ้นตามไปด้วย จนในที่สุดแขนยาวก็โอบรั้งไหล่ลาดอีกฝ่ายเข้ามาก่อนจะพาเดินเข้าไปในเมือง

                “คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเร็วๆนี้หรอก”

                อาหารเย็นก็ยังคงเป็นขนมปังที่เก็บไว้และผลไม้แห้ง แต่มันก็อร่อยได้ทั้งที่มินโฮเองก็กินมาบ่อยแล้ว บ้านหลังนี้ยังคงอบอุ่นและน่ากลับมาตลอดเวลาที่ผ่านมา

                “ตัวเล็กทำไมกินน้อยแบบนี้ล่ะ กินเข้าไปอีกสิ”ไม่พูดเปล่าโดยมือหนาก็เอาแผ่นขนมปังไปใส่จานอีกฝ่ายให้ แต่กลับโดนจินกิพองแก้มใส่กลับมาเสียอย่างนั้น

                “คนกินจุมีแต่พี่มินโฮคนเดียวแหละ ข้าอิ่มแล้ว”

                “บินไม่ได้ไม่รู้ด้วย”คำขู่ทำให้ร่างเพรียวยอมคว้าขนมปังขึ้นมายอมกินต่อ แต่ก็มองค้อนใส่ร่างสูงที่ยักคิ้วกลับมาให้อย่างอารมณ์ดี

                “ถ้าไม่มีแรงจะบินขึ้นได้ยังไงล่ะ ตัวบางๆแบบนี้เดี๋ยวก็ปลิวไปกับลมพอดี”ยิ่งพูดก็ยิ่งได้สายตาไม่พอใจจนร่างสูงรู้สึกอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมา ขาเรียวของภูตหิมะขยับเตะหน้าแข้งภูตไฟหนุ่มด้วยแรงไม่น้อยเลย มินโฮมองดุแต่ก็ได้รับการยักคิ้วแบบเดียวกับที่เขาทำไปให้อีกฝ่ายกลับมา

                ไอ้ตัวแสบนี่แสบเหมือนเดิม..

                “จินกิ อย่าไปแกล้งพี่มินโฮสิ”

                “ข้าเปล่านะ”เสียงนุ่มเถียงพร้อมกับการเอาขนมปังเข้าใส่ปาก ร่างเพรียวผุดลุกขึ้นจากโต๊ะเมื่อขนมปังคำสุดท้ายเข้าปากไปก่อนจะเอาจานไปเก็บ

                “เดี๋ยวข้าขึ้นไปอาบน้ำให้ละกันนะ”คนที่กำลังก้าวเท้าขึ้นบันไดบ้านชะงักตัวทันทีก่อนจะหันกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ตอนเด็กที่ติดพี่ชายจนอ้อนให้อาบน้ำให้กลายเป็นหัวข้อล้อเลียนไปเสียแล้ว มือขาวยกขึ้นชี้หน้าพี่ชายภูตไฟพร้อมกับก้อนหิมะเล็กๆที่พุ่งตรงไปยังหน้าผากอย่างแม่นยำ หากแต่คนที่เตรียมตัวไว้แล้วแค่ดีดนิ้วทีเดียวหิมะนั้นก็ระเหยหายไปไม่เหลือแม้แต่น้ำซักหยด

                “พี่มินโฮ!

                “รุนแรงจังเลยเดี๋ยวนี้ ลูกสาวร้านขายผลไม้เมื่อเช้ายังเรียบร้อยกว่านี้เลยนะเนี่ย”

                “อยากได้คนเรียบร้อยก็ไปหาสิ ไปไหนก็ไปเลยนะ!”คนโดนไล่หัวเราะออกมาเมื่อร่างเพรียวของภูตหิมะก้าวพรวดๆขึ้นบันไดและปิดประตูห้องเสียงดัง คนเป็นพ่อแม่ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะมองไปยังภูตไฟที่กำลังช่วยเก็บจานบนโต๊ะไปให้หมด

                “ทำไมพวกเจ้ามองข้าแบบนี้ล่ะ จินกิน่ารักจะตาย เจ้าก็เห็นอยู่”

                “ระวังจินกิจะเกลียดเจ้าเข้าซักวัน แกล้งเขาบ่อยแบบนั้น”มินโฮหัวเราะกับคำเตือนของพ่อจินกิ เขามั่นใจว่าจินกิไม่มีทางเกลียดเขาเพราะการแกล้งเล่นแบบนี้แน่นอน พอช่วยเก็บของเสร็จก็ขอตัวเดินขึ้นไปง้อเจ้าเด็กหิมะของเขาที่หายไปอาบน้ำเสียแล้ว

                หนาวขนาดนี้ยังจะอาบน้ำอีก..ภูตหิมะนี่เคยหนาวบ้างมั้ย

                “พี่มินโฮ อาบน้ำเดี๋ยวนี้นะ”เสียงนุ่มๆนั้นเข้มดังจนคนฟังแอบเบ้ปาก ร่างสูงไม่สนใจด้วยการกลิ้งตัวลงนอนบนเตียงแสดงให้เห็นชัดเจนว่ายังไงก็จะไม่อาบแน่ๆ จินกิกอดอกมองพี่ชายที่นึกจะดื้อก็ดื้อน่าหมั่นไส้ เขานึกว่าอีกฝ่ายอาบน้ำเร็วที่ไหนได้แค่ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมาทิ้งตัวลงนอนอยู่นี่

                “หนาวจะตายอยู่แล้วตัวเล็ก”

                “พี่มินโฮก็ทำให้น้ำอุ่นสิ ถ้าไม่อาบก็ไปนอนที่อื่นเลยนะ”

                “เจ้านี่ดุจริงเลย”สุดท้ายร่างสูงก็ยอมสละที่นอนลุกไปอาบน้ำตามที่ภูตหิมะบอก โดยมือใหญ่แตะลงผิวน้ำเย็นเฉียบแผ่วเบาและทำให้น้ำนั้นอุ่นขึ้นจนเห็นเป็นไอน้ำจางๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาทำให้พ่อกับแม่ของจินกิไปแล้วด้วย แต่ตัวเขาที่รู้สึกว่ายังไงน้ำมันก็เย็นเกินไปอยู่ดีได้แต่ถอนหายใจและรีบอาบน้ำให้เสร็จๆไป

                “พี่นอนได้ยัง”กลับเข้ามาถามคนตัวบางที่จ้องมองมาอย่างจับผิด สุดท้ายอีจิกิก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตและขยับตัวให้พื้นที่ในเตียงมีมากขึ้น แบ่งให้ภูตไฟตัวสูงได้นอนด้วยกันเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

                มีเพียงแค่ความรู้สึก ที่เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย

                ภายในห้องนอนนั้นมืดสนิท จินกิมองไปยังพี่ชายขี้หนาวที่ยึดผ้าห่มไปหมดเหมือนเดิม และเพราะเขาชอบอากาศหนาวจึงไม่มีปัญหาอะไร ถึงจะมองเห็นไม่ชัดนักแต่ก็รู้ว่ามินโฮยังนอนไม่หลับ

                “พี่มินโฮนอนไม่หลับหรอ”คนที่หันหลังให้ขยับตัวก่อนจะพลิกกลับมาเผชิญหน้ากับเขา จินกิรู้ว่าเพราะคนตรงหน้าเขาไม่ชอบอากาศหนาว เลยมักจะมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับจากอากาศที่เย็นเกินไป แต่เจ้าตัวก็ยังคงยอมให้เขานอนสบายๆด้วยการไม่จุดเตาผิงให้ห้องนี้อุ่นขึ้น

                “เจ้าก็นอนไม่หลับนี่ตัวเล็ก”

                “จุดเตาผิงมั้ย”มือใหญ่เอื้อมมาแตะตรงหน้าผากแผ่วเบาและลงมาข้างแก้ม แขนยาวรั้งเอาคนตัวบางกว่าเข้ามากอดเอาไว้จนใบหน้าหวานขึ้นสีแดงเรื่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาจะประหม่ากับการจับเนื้อต้องตัวกัน รู้อีกทีก็คงเป็นตอนที่จินกิยอมรับกับตัวเอง

                ว่าเขารักภูตไฟนี้มากเกินกว่าพี่ชายแล้ว

                “แค่นี้ก็พอแล้ว”ดวงตาคมโตมองลงมายังใบหน้าหวานที่เลือนรางท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมในห้องนี้ ในช่วงเวลาที่เงียบงันเหมือนมีมนต์ประหลาดที่ทำให้จินกิรู้สึกว่าเหมือนเวลานั้นเดินช้าลง ใบหน้าหล่อเหลาของพี่ชายภูตไฟเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาเล็กปรือลงทีละน้อยจนกระทั่งริมฝีปากร้อนนั้นสัมผัสลงกลีบปากนุ่มแผ่วเบา สัมผัสอ่อนโยนนั้นดูยาวนานหากแต่ความจริงกลับแสนสั้น

                “ราตรีสวัสดิ์ ตัวเล็ก”

                และมีเพียงจังหวะการเต้นของหัวใจของทั้งคู่ ที่เต้นถี่เสียจนต่างฝ่ายต่างรู้สึกได้

                “ราตรีสวัสดิ์ พี่มินโฮ”

    Fire Faerie and Snow Faerie

                พ่อกับแม่ของภูตหิมะมองไปยังหน้าบ้านที่มีภูตสองตนที่นั่งคุยและหัวเราะกัน ถึงปกติจะว่าดูแปลกอยู่แล้วกับการกระทำที่เอ็นดูเกินปกติของมินโฮ แต่คราวนี้ลูกชายของพวกตนกลับแปลกกว่าที่ดูไม่อ้อนแบบเด็กๆเหมือนเมื่อก่อน พอมินโฮจูบหน้าผากใสนั้นเจ้าตัวก็โวยวายทั้งที่เมื่อก่อนยังปล่อยให้ทำตามสบาย อาจจะมีเขินบ้างแต่ก็ไม่ได้แสดงชัดเจนขนาดนี้

                พวกเขาล่ะสงสัยนักว่ากลับมาแค่วันเดียวก็เปลี่ยนลูกชายตัวแสบได้ นี่ผ่านมาเป็นเดือนแล้วที่ทั้งคู่ต่างแสดงออกถึงความรู้สึกที่ดูก็รู้ว่ามันมากกว่าพี่น้องกันแน่ๆ

                “แบบนี้เราก็ไม่ได้อุ้มหลานน่ะสิ”คนเป็นพ่อเปรยขึ้นโดยที่คุณแม่ของจินกิหัวเราะออกมาเล้กน้อยแล้วพูดขึ้น “คิดไว้นานแล้วล่ะว่าไม่ได้เลี้ยงหลาน เจ้าน่ะควรคิดได้ตั้งนานแล้วนะ”

                “นั่นน่ะสินะ..”

                ในขณะที่หน้าบ้านนั้นร่างเพรียวที่กำลังเอามือฟาดลงไหล่กว้างนั้นหยุดชะงักลง ดวงตาเล็กมองไปยังบนทิ้งฟ้าและมองไกลออกไปยังทิศทางนอกเมือง

                “มีอะไรจินกิ”

                “พายุหิมะ..”ใบหน้าหวานหันกลับมายังร่างสูงด้วยท่าทางวิตกกังวล มือนุ่มแตะลงต้นแขนอีกฝ่ายแล้วรีบพูดต่อ “เราต้องไปเตือนชาวบ้าน ไปกันเถอะพี่มินโฮ”

                “พายุมันหนักมากเลยหรอจินกิ”

                “มากพอจะทำให้เมืองนี้หายไป”เสียงหวานนั้นตอบกลับอย่างลังเล และคำตอบนั้นก็ทำให้ร่างสูงต้องรีบลุกขึ้นทันที เมืองนี้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากก็จริงแต่กว่าจะเตือนทุกคนให้ครบคงไม่ทัน ปีกไฟน่าเกรงขามกางออกก่อนที่ร่างสูงจะขึ้นสู่ด้านบนทันที

                “ข้าจะไปเตือนด้านเหนือกับตะวันออก เจ้าไปด้านใต้กับตะวันตก”ร่างเพรียวพยักหน้ารับก่อนที่จะวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อบอกให้พ่อกับแม่ของตนทราบก่อน ปีกสีฟ้าสง่างามกางออกจากแผ่นหลังบางขณะที่วิ่งออกมา ร่างเพรียวที่ฝึกบินจนพอได้แล้วทะยานขึ้นสู่ผืนอากาศแล้วไปตามทิศทางที่มินโฮสั่งเอาไว้

                ความแตกตื่นและตกใจเกิดขึ้นทั่วทั้งเมืองโดยที่ทุกคนต่างพยายามกักตุนอาหารและเสริมความแข็งแรงให้กับบ้านของตน ภูตหิมะคอยมองไปยังทิศใต้เป็นระยะซึ่งเป็นทางที่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายนั่น ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าพายุหิมะกำลังใกล้เข้ามา

                “เราอพยพคนไม่ทันแน่ๆ”ร่างสูงที่กลับมาพูดขึ้นทำให้ใบหน้าหวานพยักหน้ารับ ดวงตาเรียวมองลงไปยังเบื้องล่างที่กำลังวุ่นวาย เมืองที่เขารักและมองว่ามันสวยงามที่สุดนั้นอาจจะหายไป ต่อให้ป้องกันได้ก็จริงแต่ความเสียหายคงมีมาก รวมถึงคนบาดเจ็บก็ต้องมีมากอยู่แล้วด้วย

                “ข้าเคยทำให้พายุหิมะหยุดได้ ถ้าข้าลองอีก..”

                “ไม่ได้!”เสียงทุ้มนั้นปฏิเสธเสียงดังโดยที่ร่างเพรียวเองก็ตกใจไม่น้อย มินโฮถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปยังใบหน้าของจินกิอย่างจริงจัง

                “อย่าเอาตัวเองมาเสี่ยงจินกิ เราต้องยอมรับว่าอะไรที่เราทำได้และทำไม่ได้ พายุหิมะในครั้งแรกที่ที่ข้าเจอเจ้า มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนี้ไม่ใช่รึไง”

                “ข้าทำได้!”เสียงนุ่มนั้นแข็งกร้าวอย่างที่มินโฮไม่เคยเห็น ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะรวมถึงหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาบ้างแล้ว สายลมเริ่มรุนแรงขึ้นทีละน้อยเป็นสัญญาณเตือน

                “เชื่อฟังข้าหน่อยเถอะจินกิ”สายตาและน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความห่วงใยทำให้ใบหน้าที่เชิดรั้นนั้นลงความดื้อดึงลง มือเล็กจับมือใหญ่ไว้แน่นแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

                “ให้ข้าได้ลอง ถ้าไม่ไหวข้าจะกลับมา อย่างน้อยดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”เสียงนุ่มนั้นอ้อนวอนจนคนฟังใจอ่อน จินกิก็เหมือนกับเขาเพียงแต่ว่าคราวนี้เขามองว่ามันอันตรายเกินไป และเจ้าตัวเพิ่งจะฝึกบินได้ไม่นานนักอาจจะต้านแรงลมเหล่านี้ไม่ไหว

                “ได้ ข้าจะไปกับเจ้า และเมื่อข้าเห็นว่ามันเลวร้ายเกินไปข้าจะพาเจ้ากลับมา ตกลงมั้ยตัวเล็ก”ภูตหิมะพยักหน้ารับทันทีก่อนจะยิ้มออกมาในขณะที่ร่างสูงได้แต่ฝืนยิ้มเท่านั้น ถึงเขาจะไม่สามารถรับรู้ถึงพายุหิมะได้แต่สายลมที่เริ่มแรงนั้นก็บอกได้อย่างดี

                “ไปกันเถอะ”ร่างสูงพึมพำออกมาแล้วจับมือนุ่มไว้แน่น พยายามฝ่าแรงลมไปยังทิศใต้ของเมืองที่มองออกไปแล้วเห็นแต่ความมืดมิดของท้องฟ้า เสียงคำรามและแสงสว่างวาบเป็นระยะดูเข้าใกล้มากขึ้นทุกที ในเดิมทีมินโฮเองจะออกไปตามภูตหิมะแต่คิดว่าคงไม่ทัน และเขาจะปล่อยให้จินกิรับมือกับเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ด้วย

                พระจันทร์ที่ควรฉายชัดท่ามกลางความมืดมิดนั้นหายไปเสียแล้ว เปลวไฟหมุนวนรอบร่างสูงเหมือนเกราะป้องกันตนเอง ดวงตาคมโตมองไปยังคนข้างตัวที่ดูจริงจังแต่ก็ดูกลัวไม่น้อย เขาไม่สามารถสร้างกำแพงไฟแบบนี้ให้จินกิได้เพราะจะเป็นการลดทอนพลังของเจ้าตัวลงไป

                ร่างสูงหลับตาลงก่อนจะตั้งสมาธิ เปลวไฟจำนวนสี่สายพุ่งออกมาตามเขตเมืองทั้งสี่ทิศทางและทำหน้าที่คล้ายบาเรียป้องกันไม่ให้หิมะนั้นตกลงใส่เมือง โดยที่มันจะไม่ทำร้ายชาวเมืองรวมถึงสิ่งต่างๆ แต่การจะทำแบบนี้ได้ต้องใช้พลังที่เยอะพอสมควร และเขาเองก็ไปเขียนสัญลักษณ์ทั้งสี่ด้านไว้แล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับจินกิด้วยว่าจะทำให้พายุนี่ลดลงได้ถึงไหน เพราะบาเรียของเขาเองก็ไม่อาจทนได้นานมากนัก

                มือนุ่มทั้งสองข้างยื่นไปข้างหน้าโดยที่ร่างสูงเห็นได้ว่ามันกำลังสั่น ถึงจะมองไม่เห็นสิ่งใดที่บ่งบอกแต่ว่าก็สัมผัสได้เป็นคลื่นพลังงานแทน ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นและพยายามควบคุมธรรมชาติให้เบาบางลง สายลมรุนแรงทำให้การประครองตัวเป็นไปได้ยากลำบากและเปลวไฟที่ปกคลุมทั้งเมืองนั้นสั่นไหว ร่างสูงก้มลงมองเมืองด้านล่างที่ถูกปกป้องไว้โดยกำแพงไฟภาวนาว่ามันจะอยู่ได้นานพอ

                หิมะที่ตกลงมาหมุนวนไปตามแรงลมและถามโถมจนภูตไฟเองยังต้องพยายามรั้งตัวเองไว้ไม้ให้เสียหลัก ดวงตาคมโตมองไปยังใบหน้าขาวที่ซีดลงกว่าเดิมและมีเม็ดเหงื่อไหลออกมา ร่างเพรียวพยายามทรงตัวแต่ก็เห็นได้ว่าการควบคุมยังไม่ดีมากนัก ปีกสวยต้านแรงลมเอาไว้และพยายามทำให้เจ้าของร่างยืนได้ดั่งเดิม นัยน์ตาสีดำเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าทีละน้อยเหมือนกับเขาที่มันเป็นสีส้มเพลิง โดยสีตาจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกภูตอย่างเขาใช้พลังจนถึงขีดสุด

                “จินกิ!”พายุหิมะที่เข้ามานั้นไม่มีท่าทีว่าจะเบาลงเลยแม้แต่น้อย มีเสียงลมและเสียงคำรามให้ได้ยิน โดยหิมะที่ตกลงใส่เมืองนั้นระเหยไปทันทีเมื่อโดนกำแพงไฟของร่างสูง เดิมทีเขาจะใช้วิธีนี้ตั้งรับแต่จากที่จินกิบอกก็ทำให้เห็นว่ามันต้องใช้ระยะเวลาที่นานและแข็งแกร่ง เขากลัวว่าเขาจะไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้ทนได้ขนาดนั้น

                “กลับเถอะ!”เสียงทุ้มตะโกนฝ่าเสียงลมแต่คนตัวบางกลับไม่สนใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นและยังคงพยายามที่จะต้านธรรมชาติเอาไว้จนถึงที่สุด ต่างคนต่างห่างกันออกไปด้วยสายลมที่รุนแรง และหิมะที่ตกหนักทำให้ร่างสูงมองรอบตัวได้ลำบากมากขึ้น แต่ยังเห็นปีกสีฟ้าที่อยู่ไม่ไกลมากนัก มินโฮพยายามฝ่าลมเข้าไปดึงภูตหิมะให้กลับมาแต่ก็ไม่ถึงซักทีจนน่าโมโห

                ดวงตาเรียวเล็กนั้นเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดก่อนที่สายลมรุนแรงเริ่มย้อนกลับ หิมะที่เคยถาโถมเริ่มหันกลับไปยังทิศทางที่มาแทน จากเดิมที่มาทิศทางเดียวเริ่มหมุนวนทีละน้อยและหมุนแรงขึ้นหากแต่หยุดลงอยู่แค่นั้นไม่ขยับเข้ามา เป็นเวลาเนิ่นนานนับชั่วโมงที่กว่าจะควบคุมอยู่ ใบหน้าหวานซีดเผือดและยังคงพยายามต้านเอาไว้ไม่ให้พายุที่หมุนเป็นวงนั้นเข้ามาใกล้เมืองมากกว่านี้

                “จินกิ พอแล้ว!”ร่างสูงพุ่งตัวเข้าไปแต่ก็ถูกบาเรียน้ำแข็งกันเอาไว้ และเพราะพลังที่เอาไปใช้ปกป้องเมืองจนเกือบหมดและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ร่างสูงได้แต่สบถออกมาเมื่อไม่สามารถฝ่าบาเรียน้ำแข็งของจินกิเข้าไปหาได้ พายุเริ่มถอยกลับไปพร้อมแสงจันทร์ที่ส่องสว่างดังเดิม ขนาดพายุค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆในขณะที่ร่างสูงพยายามทำลายน้ำแข็งที่ขวางตัวจินกิเอาไว้ออกไป

                ท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับสู่ภาวะปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน น้ำแข็งเริ่มแตกร้าวจนที่สุดร่างสูงก็ทำลายเกราะป้องกันนั้นลงไปได้ ภูตหิมะที่หน้าขาวราวกับหิมะเสียเองนั้นหันมามองเขาด้วยรอยยิ้ม ปีกสวยนั้นหายไปพร้อมกับร่างเพรียวที่ร่วงหล่นสู่เบื้องล่าง ดวงตาคมโตเบิกกว้างและพยายามคว้ามือนุ่มให้ได้ แต่กลับดูห่างไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง

                มือใหญ่คว้ามือซีดขาวและเย็นเยียบนั้นไว้ได้ก่อนจะรั้งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ปีกพระเพลิงขยายใหญ่ขึ้นและโอบรอบตัวปกป้องเอาไว้ทั้งสองคน ร่างสูงหลับตาแน่นเมื่อรู้สึกว่าร่างกายกระทบลงหิมะที่หนาและเย็นจัด ถือว่ายังโชคดีที่หิมะหนาพอจะรับแรงกระแทก มินโฮรีบลุกขึ้นแล้วมองภูตหิมะที่ไม่ได้สติ พยายามเขย่าตัวเรียกแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ

                “จินกิ! ตัวเล็ก ตัวเล็ก”เรียกซ้ำๆหวังให้ลืมตาแต่ก็ยังคงไม่การตอบรับ ลมหายใจนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึกใดๆ ดำแพงไฟที่ปกป้องเมืองสลายลงและร่างสูงช้อนร่างเพรียวขึ้นอุ้ม ใบหน้าคมแหงนมองดวงจันทร์แล้วตะโกนอีกครั้ง

                “พวกท่านช่วยจินกิสิ! ทำได้ไม่ใช่รึไง!!”ดวงตาคมโตนั้นเต็มไปด้วยน้ำตาทั้งๆที่คนอย่างชเวมินโฮเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ให้กับใครเลยแท้ๆ และดูเหมือนว่าบุรุษในดวงจันทร์จะรับรู้ถึงคำขอแสงจันทร์สว่างขึ้นมาชั่วขณะและกลับเป็นดั่งเดิม ร่างสูงมองไปยังเบื้องบนกับคำพูดที่ถ่ายทอดกลับมาให้เขา

                เพราะภูตหิมะนั้นหายากและมีจำนวนน้อยกว่าภูตธาตุอื่นๆ การรักษาจึงซับซ้อนกว่าและยากกว่า สิ่งแรกที่ควรทำหลังจากได้ฟังคือการทำให้ตัวจินกิอุ่นขึ้นมาก่อน เพราะใช้พลังไปจนหมดทำให้ไม่สามารถต้านทานกับความเจ็บป่วยและอากาศหนาว จากนั้นจึงรอเวลาให้ภูตหิมะคนอื่นเดินทางมาถึงเพื่อช่วยกระตุ้นพลังให้กลับมาอีกครั้ง

                ริมฝีปากประทับลงหน้าผากเนียนแผ่วเบาก่อนที่เขาจะรีบเข้าเมืองไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปีกที่กางออกมานั้นไม่ใหญ่โตหรือทรงพลังเหมือนที่เคยเป็น แต่สำหรับมินโฮแล้วในตอนนี้ขอแค่เขาได้พาจินกิเข้าไปยังที่ปลอดภัยได้ก่อนเท่านั้น

    Fire Faerie and Snow Faerie

                เปลือกตาบางกระพริบถี่ก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นทีละน้อย มือนุ่มยกขึ้นแตะลงหน้าผากของตนเพราะรู้สึกปวดหัวจนไม่อยากจะลุกไปไหน ดวงตาเรียวเล็กพยายามมองไปรอบๆก็พบว่าเป็นห้องนอนของตนที่คุ้นเคยดี

                ร่างเพรียวพยายามลุกขึ้นนั่งก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ไอเย็นจากบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ทำให้เห็นหิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด อยากจะถามอะไรหลายอย่างแต่ไม่มีใครอยู่และเขาเองก็ไม่อยากลุกเดินด้วย แต่เท่าที่เห็นคือทุกอย่างปกติดี

                บานประตูเปิดออกช้าๆทำให้จินกิหันกลับไปมองก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นมารดาของตน แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคงเป็นการที่อีกฝ่ายร้องไห้แล้วเข้ามากอดเขาเสียแน่นแบบนี้

                “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไร”เสียงนุ่มถามพลางหัวเราะไปด้วยเมื่อมารดาเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นกับความดีใจ ร้องไห้จนไหล่ของเขาเปียกไปหมด และเหมือนจะทำให้พ่อของจินกิเองได้ยินจึงรีบวิ่งขึ้นมาดู

                “จินกิ..”และภูตหิมะก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนที่รักเขามากที่สุดในชีวิต แขนเรียวยกขึ้นกอดให้ครบสามคนก่อนที่จะเริ่มร้องไห้ออกมาบ้าง ตอนนั้นเขากลัวมากว่าจะไม่เจอใครอีก แต่ภาพความทรงจำสุดท้ายคือสีหน้าที่เจ็บปวดของพี่ชายภูตไฟที่เข้ามาหาเขา

                “พี่มินโฮล่ะครับ”

                “วันนี้พี่เขาก็กลับมาแล้วล่ะ”

                “พี่มินโฮไปไหนหรอครับ ยังไม่หมดฤดูหนาวเลย”พอถามคำถามออกไปก็เห็นถึงความประหลาดใจบนใบหน้าของครอบครัวของตน และเมื่อเพ่งมองดีๆก็พบว่าทั้งสองคนตรงหน้าเขาดูเปลี่ยนแปลงไป ทั้งสีผมและริ้วรอยที่มากขึ้นทั้งๆที่ก่อนเขาไปจัดการพายุหิมะนั่นยังมีไม่มากขนาดนี้

                “จินกิหลับไปตั้งสองปีเลยนะ รู้มั้ย”

                ดวงตาเล็กเบิกกว้างก่อนจะเริ่มต้นมองสภาพแวดล้อมรอบตัวใหม่อีกครั้ง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักนอกจากของใช้นิดหน่อย ร่างเพรียวพยายามลุกขึ้นแม้จะรู้สึกว่าร่างกายมันติดขัดไปหมดก่อนจะรีบมองไปตรงหน้าต่าง หลายสิ่งหลายอย่างดูเหมือนเดิมแต่ก็มีที่เปลี่ยนแปลงไป บ้านของเขาไม่เคยมีแปลงผักกลับมีขึ้นมา เสียงหัวเราะของเด็กตรงข้ามบ้านนั้นดังไปทั่วทั้งที่เมื่อก่อนยังไม่มี..เพราะตอนนั้นแค่ท้องใกล้คลอดเท่านั้น

                “ข้าขอโทษ”

                “ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยเด็กดี สิ่งที่เจ้าทำช่วยพวกเราได้มากเลยนะ ดูสิพวกเขาเอาของมาให้ตลอดเลยนะ”มือนุ่มรับของจากมารดาที่ส่งมาให้ เป็นกลองดนตรีที่มีนกสีฟ้าเกาะบนขอนไม้ดูสง่างาม เมื่อเพ่งมองดีๆก็พบว่าทำมาจากคริสตัลที่ราคาสูงค่ามากเกินกว่าจะรับได้

                “ท่านลุงร้านกล่องดนตรีทำให้ข้า?”

                “ใช่จ้ะ ร้านขายเครื่องประดับเขาเลยทำนกมาให้ สวยมากเลยนะ ถึงลูกจะหลับอยู่แต่พอแม่ไขลากล่องดนตรีนี้”พูดพลางรับกล่องดนตรีมาหมุนไขลานและวางลงบนโต๊ะ เสียงใสและทำนองเพลงก็ดังออกมาราวกับนกสีฟ้าตัวนั้นเป็นผู้ขับร้องเอง ริมฝีปากอิ่มเผยอยิ้มออกมาแล้วมองไปยังใบหน้าของบิดามารดาของตน ฝ่ามือที่อบอุ่นแตะลงเส้นผมที่ยาวลงมาถึงแผ่นหลังอย่างเอ็นดู

                “ถึงเจ้าจะหลับเจ้าก็ยิ้มออกมาแบบนี้ ดูสิผมยาวขนาดนี้แล้ว แม่ตัดให้แค่ด้านหน้าเอง ไปส่องกระจกสิแม่จะได้เปลี่ยนทรงให้”จินกิถูกประครองพาไปยังห้องน้ำและเพราะเป็นภูตทำให้ร่างกายเขาปรับตัวได้เร็วและยิ่งอยู่ใกล้หิมะด้วยแล้ว

                บานกระจกสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเขาที่ดูโตขึ้นจนน่าตกใจ แก้มกลมๆที่เคยมีหายไปเสียแล้ว ตัวผอมและผิวซีดจนเหมือนคนใกล้ตาย แต่ดวงตาที่สะท้อนมานั้นกลับสดใสบ่งบอกว่าเจ้าของร่างกายนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว เส้นผมยาวไปถึงกลางหลังนั้นทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองเหมือนผู้หญิงเกินไปหน่อย

                “ข้าสูงขึ้นด้วยล่ะ”

                “มินโฮบ่นว่าเจ้ากลายเป็นกระต่ายยักษ์แล้ว”ร่างเพรียวหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะเริ่มงอแงว่าหิวข้าวให้พ่อกับแม่ของตนไปเตรียมให้กิน และร่างเพรียวก็เริ่มต้นอาบน้ำสระผมเพื่อให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

                ภูตไฟร่างสูงเดินมาถึงหน้าบ้านที่เขากลับมาทุกปีละครั้ง จากเหตุการณ์วันนั้นทำให้อีจินกิหลังไปเป็นเวลาสองปีแล้วตามที่บุรุษในดวงจันทร์บอกว่าต้องใช้เวลาให้จินกิรักษาตนเอง และจินกิได้รับรองการเป็นภูตเต็มตัวโดยไม่ต้องไปรายงานตัวเพราะผลของการกระทำนั้น

                มือใหญ่ทุบบานประตูเบาๆเป็นการบอกว่าเขากลับมาแล้ว ร่างสูงถอนหายใจเมื่อการกลับมาที่ผ่านมามีแต่ความเงียบสงบ ความจริงเขาไม่มีหน้าที่ต้องมาแล้วแต่เพราะเขาว่างงานช่วงฤดูหนาวอยู่แล้วเลยยังกลับมาที่นี่ทุกครั้งตามความเคยชิน แม้ว่าจะทำได้เพียงเฝ้ามองน้องชายตัวแสบที่ไม่ยิมตื่นขึ้นมาซักที

                บานประตูเปิดออกพร้อมกับใบหน้าน่ารักที่โผล่ออกมา ดวงตาคมโตเบิกกว้างเมื่อคนที่นอนอยู่บนเตียงมาตลอดกลับยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มน่ารัก ถึงจะดูซูบผอมและผิวซีดขาวแต่ดวงตาคู่สวยที่จับจ้องมายังเขาทำให้เขารู้ว่าอีจินกิหายดีแล้ว เส้นผมยาวนั้นขยับไหวตามแรงกอดที่ร่างสูงคว้าเอาคนตรงหน้ามาไว้กับตัว

                “ข้าไม่ได้ฝันใช่มั้ย”

                “พี่มินโฮโตจนป่านนี้ยังแยกไม่ออกอีก เฮ้อ”เสียงนุ่มนั้นพูดยียวนแต่เสียงก็สั่นจนแทบไม่เป็นคำ ใบหน้าหวานซุกลงอกกว้างโดยที่ริมฝีปากร้อนแตะลงกลุ่มผมนุ่มสีอ่อนแผ่วเบา

                “ข้ากลับมาแล้วนะ พี่ชาย”

                “กลับมาช้านี่หืม นึกว่าจะได้บอกรักแค่ตอนเจ้านอนซะแล้ว”

                “ตื่นให้บอกแล้วนี่ไง”ร่างสูงหัวเราะออกมาก่อนจะโยกตัวบางๆในอ้อมแขนเล่น เมื่อเงยหน้าไปก็เห็นพ่อแม่ของจินกิที่ส่งยิ้มมาให้ ท่าทางหม่นหมองหายไปแล้วและมีเพียงความสุขที่ฉายชัดบนใบหน้าของทั้งสองคน

                “รักนะ”เสียงทุ้มอ่อนโยนทำให้คนฟังหน้าแดงจัดแต่เจ้าตัวก็หัวเราะออกมา ร่างเพรียวเขย่งตัวขึ้นก่อนจะกดจูบลงแก้มของพี่ชายภูตไฟและรีบผละออก

                “รักมากที่สุดเลย”

                เสียงหัวเราะของภูตไฟกับภูติมะดังขึ้นประสานกันและตามมาด้วยเสียงโวยวาย เมื่อคนเพิ่งตื่นถูกจับอุ้มหมุนไปรอบๆและสุดท้ายก็กลายเป็นเสียงหัวเราะอีกครั้ง ภูตไฟร่างสูงตัดสินใจแล้วว่าถึงจะยังไม่ถึงเวลาให้เลือกสถานที่อยู่ประจำ แต่เขาจะขออยู่ที่นี่ อยู่กับครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้กับเจ้าเด็กหิมะของเขา

                จะอยู่ด้วยกันไม่หายทุกๆฤดูอื่นอีกแล้ว ถึงที่นี่จะหนาวแต่ความอบอุ่นในใจก็ยังคงอยู่เสมอแม้ว่าจะผ่านมานานขนาดไหนก็ตาม

    THE END

                ดองมานานมากๆกับเรื่องนี้ ขอโทษนะคะ ฮืออ แต่ก็น่ารักเนอะ ใช่มั้ย? *ขู่เข็ญทางสายตา* มันแฟนตาซีสุดๆไปเลยตามที่บอกว่าแรงบันดาลใจมาจากไหน ฮ่าๆ หวังว่าจะสนุกกับฟิคนะคะ ขอบคุณค่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×