คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : [OneShot] In your eyes
In your Eyes
By:
Crazy_Dragon [ท่านรอง ณ กากกามใจบาปเกิร์ล อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดมหาชน]
สำหรับ 7 ปีนั้น ใครหลายคนอาจจะมองว่ามันนานเกินพอแล้ว
แต่สำหรับพวกเขาและอีกหลายๆคน..เวลาแค่นี้ยังถือว่าไม่พอ
อยากจะอยู่แบบนี้ต่อไปอีกซัก 10 ปี หรือ 20 ปี อยู่ให้นานยิ่งกว่าที่รุ่นพี่ในวงการคนไหนเคยทำได้
และสำหรับชเวมินโฮแล้ว
เวลาที่อยู่กับคนที่เขารักแค่นี้ยังไม่พอด้วยซ้ำ
ตลอดเวลาที่อนยูลีดเดอร์ของชายนี่จะอยู่ในสายตาของเขาเสมอมา
ไม่ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน เขาจะคอยมองอยู่ตลอดเพราะความรู้สึกที่มีมันมากกว่าคำว่าเพื่อนร่วมวง
พี่อนยูเป็นทั้งลีดเดอร์ที่น่าเคารพ เป็นพี่ชายที่แสนดี
และเป็นคนที่เขารักจนหมดหัวใจ..
“ผมรักพี่นะ
พี่เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจสิ
พี่รู้มาตลอดแหละมินโฮ”
วินาทีที่สารภาพถึงความรู้สึกที่มากเกินกว่าพี่น้องนั้น
หัวใจเต้นแรงและเร็วจนไอดอลนักกีฬาอย่างเขายังกลัวที่มันจะหยุดเต้นเพราะความตื่นเต้นและความกลัว
เสียงนุ่มหูนั้นตอบกลับอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มที่ใจดีเหมือนเคย ดวงตาที่เขาหลงใหลนั้นเปล่งประกายและร่างกายนุ่มนิ่มของลีดเดอร์ก็เข้ามาอยู่อ้อมกอดของเขา
“ขอบคุณนะมินโฮ
ขอบคุณที่รู้สึกเหมือนกัน”
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อีจินกิจะอยู่ในสายตาของชเวมินโฮเสมอ ไม่ว่าจะตอนที่มีความสุขที่สุดหรือจมอยู่ในความเศร้าเขาก็จะยืนหยัดอยู่ข้างๆลีดเดอร์ที่พยายามเพื่อพวกเขามาตลอด
“ผ่าตัด?”
พอได้ยินจากปากคนที่รัก
ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนกับโลกจะหยุดหมุน
ความกลัวความกังวลถาโถมเข้ามาจนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่พอมองไปยังใบหน้าหวานที่แสดงว่าไม่รู้สึกอะไร
มือใหญ่ก็เอื้อมไปแตะกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบา
ดวงตาเรียวเล็กนั้นมองขึ้นมาพร้อมกับการฝืนจนน้ำสีใสเอ่อคลอเต็มไปหมด
เขาสังเกตเห็นมาสักพักแล้วว่าลีดเดอร์จะมีอาการแปลกๆเวลาร้องเพลงในบางครั้ง
ชอบเอามือจับที่คอบ้าง หรือไม่พูดออกมาเลยก็มี ต่อให้ใครไปถามก็ไม่ยอมบอกจนในที่สุดเมื่อไม่กี่วันก่อนถึงได้ยอมพูดออกมาว่าเส้นเสียงอักเสบ
“แล้ว?”
ในขณะที่จะถามออกไปว่าเส้นทางอนาคตจะทำอย่างไรก็ต้องกลืนคำถามนั้นลงไป
เมื่อพี่อนยูที่เข้มแข็งก้มหน้าลงพร้อมไหล่ที่สั่นเทา
จากหัวหน้าวงที่มากด้วยความรับผิดชอบกลายเป็นอีจินกิที่เจ็บเป็น ร้องไห้เป็น
มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้าและสุดท้ายคนตรงหน้าเขาก็สั่นหัวเป็นการบอกไม่รู้
“พี่ไปปรึกษาทางบริษัทแล้ว
แต่..”
“ผมจะอยู่ข้างๆพี่
ทั้งก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด พี่ต้องอดทนไว้นะครับ”
และอีจินกิก็เข้ามาสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้งพร้อมเสียงร้องไห้ที่ไม่ว่าใครที่ได้ยินคงทนไม่ได้
สมาชิกที่เหลือต่างแสดงความกังวลออกมาและได้แต่หวังว่าการผ่าตัดจะออกมาด้วยดี
ถึงจะยิ้มแย้มและพยายามเล่นมุกตลกๆที่มันไม่ขำสักนิดใส่กระดาษ
แต่ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าอนยูนั้นกำลังฝืนตัวเองอีกแล้ว
พอช่วงเวลาที่คนอื่นออกไปหรือไม่สนใจ
ดวงตาเรียวคู่นั้นจะแสดงออกถึงความท้อแท้ความอ่อนล้าให้เห็น และแน่นอนว่าเขาเห็นทุกอย่าง..รู้ว่ารู้สึกอะไรคิดอะไร
เพียงแต่เขาไม่สามารถที่จะพูดคำใดๆออกไปได้
บางทีก็ต้องให้เวลา..ให้พี่จินกิของเขาได้คิดทบทวนกับตัวเอง
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็จะอยู่ข้างๆเสมอเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
ช่วงเวลาที่ยากลำบากผ่านพ้นไปท่ามกลางความกดดันของจินกิเอง
ทุกๆวันจะต้องฝึกพูด ฝึกออกเสียง เพื่อให้พร้อมสำหรับการทำอาชีพที่รักที่สุด
หลายต่อหลายครั้งที่เขาจะเห็นพี่จินกิตาแดงช้ำเหมือนเพิ่งร้องไห้มาเวลากลับถึงหอพัก
และทุกๆครั้งที่เจ้าตัวจะหัวเราะและบอกว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
และทุกๆครั้งอีจินกิก็จะมาอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอ
ถึงจะไม่มีน้ำตา ไม่มีคำพูดปลอบโยน แค่สัมผัสที่ถ่ายทอดให้กันและกันก็มากเกินพอ
มากพอที่จะรับรู้ซึ่งกันและกันว่าคิดอะไรอยู่
“ทุกๆคนยังอยู่ข้างๆพี่
พี่เข้าใจใช่มั้ยครับ”
“พี่รู้มินโฮ
พี่จะพยายาม”
วันเวลาหมุนผ่านมาเรื่อยๆพร้อมกับอาการที่ดีขึ้นจนเกือบเหมือนเดิมแทบทุกอย่าง
แต่จินกิกลับยังกังวลเรื่องเสียงของตนอยู่ดี มีการขึ้นคอนเสิร์ต
เตรียมอัลบั้มจนหลายๆคนมองข้ามเรื่องที่หัวหน้าวงวิตกกังวล
แต่สำหรับเขาแล้วเขาไม่เคยละเลยที่จะจับจ้องไปยังคนที่เขารัก
“ผมว่าเสียงพี่ก็เหมือนเดิมแล้วนะ”
“งั้นหรอ”
“เมื่อคืนผมฟังแล้วก็ว่าเหมือนเดิมนี่ครับ”
แกล้งพูดให้จินกิเขินจนหน้าแดง มือนุ่มที่แรงไม่น้อยนั้นฟาดลงไหล่เขาดังเผียะ
จินกิมองดุก่อนจะเผยอยิ้มออกมา ร่างเพรียวบางเอนลงมาซบลงไหล่กว้างและหลับตาลง
“ขอบคุณนะที่อยู่ด้วยกันเสมอ”
“อีกสิบปียี่สิบปีผมก็จะอยู่กับพี่
หนีผมไม่พ้นหรอกครับ”
“ใครหนีล่ะ
ในเมื่อพี่ก็มองมินโฮอยู่ พี่จะหนีไปไหนได้กัน”
และบทสนทนานั้นก็ปิดท้ายด้วยเสียงโห่แซวจากสามคนที่เหลือ
โดยคนโดนแซวอย่างจินกิก็ได้แต่โวยวายแก้เขินไป
ส่วนเขาเองก็เอาแต่หัวเราะอยู่แบบนั้น
ช่วงเวลา
7
ปีสำหรับเขาแล้ว..มันช่างแสนสั้นและยังมีเวลาอีกยาวนานที่จะก้าวเดินไปด้วยกันทั้งห้าคน
และเขาจะเป็นคนกุมมือของลีดเดอร์เอาไว้ไม่ปล่อยไปไหนเด็ดขาด
พวกเขาต่างเข้าใจกันและกัน
อย่างในคอนเสิร์ตที่ผ่านมาที่จู่ๆหัวหน้าวงที่พวกเขาภูมิใจเกิดร้องโฮออกมากลางเวที
เจ้าตัวพยายามจะหยุดแต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนความเครียดความเหนื่อยที่สะสมมามันมากเกินกว่าจะเก็บต่อได้อีก
เขาจำได้เลยว่าคีย์เป็นคนหันมาเรียกเขาด้วยท่าทางร้อนรน
เพราะปกติพี่จินกิของพวกเราจะไม่ร้องไห้ง่ายๆแบบนี้ ร่างสูงรีบก้าวเข้าไปหาและรั้งลีดเดอร์ตัวนุ่มเข้าสู่อ้อมกอดเหมือนทุกที
และเมื่อรั้งเข้ามาแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายทิ้งตัวลงมาหาเขา
ใบหน้าน่ารักเกยกับไหล่และยังร้องไห้ออกมา
โดยที่เขาเองก็ได้แต่ประครองเอาไว้แบบนั้น
“พี่อนยูเขาลำบากมาก”
เสียงของจงฮยอนทำให้ร่างเพรียวยกมือขึ้นปิดปากเพื่อพยายามควบคุมตัวเองให้อยู่
แทมินก้าวเข้ามาลูบหัวปลอบพี่ใหญ่พร้อมรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง
และสุดท้ายอีจินกิที่อยู่ในบทบาทของอนยูก็พยายามหัวเราะและฝืนตัวออกจากการกอด
มือขาวยังคงป้ายน้ำตาออกจากหน้าแม้ว่าเจ้าตัวจะยิ้มออกมาอยู่ก็ตาม
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..ชเวมินโฮจะอยู่เคียงข้างและเฝ้ามองอีจินกิอยู่เสมอ
“ไม่ต้องกังวลนะ”เสียงของจงฮยอนก่อนที่งานฉลองครบเจ็ดปีดังขึ้นทำให้มินโฮกับอนยูที่ตกลงจะร้องเพลง
In
your eyes ด้วยกันหันมามอง
ร่างหนาที่ปรับสายกีต้าร์เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มรู้ทันมาให้
“จะสวีทกันก็ตามใจไปเลย
ถือซะว่าเซอร์วิสแฟนด้วย พรีเวดดิ้งด้วย ดีมั้ย?”
“ไอ้บ้าจงฮยอน!”
ถึงความหมายของเพลงมันจะเศร้า
แต่ด้านที่บอกถึงเขาสองคนมันก็มีเช่นกัน
เสียงเชียร์
ทะเลสีเพิร์ลอควา ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้ามันทำให้ดวงตาพร่าเลือนด้วยความดีใจ
ไม่เคยคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่ทุกคนมาร่วมงานครบรอบวันก่อตั้งของวง
จะมีผู้คนที่รักและพร้อมสนับสนุนพวกเขามากขนาดนี้
และถ้าไม่มีชายนี่
ชเวมินโฮคงไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่เขารักมากที่สุดคนหนึ่งในชีวิตแบบนี้
เสียงกีต้าร์ที่นุ่มนวลดังมาพร้อมกับเสียงกรี๊ดของแฟนคลับ
เสียงนุ่มหวานของลีดเดอร์ดังไปทั่วสถานที่จัดงานก่อนจะตามด้วยเสียงของเขา..
ดวงตาเรียวสวยมองมายังเขาด้วยความรู้สึกอัดแน่นที่อยู่ภายใน ทั้งขอบคุณ ดีใจ
และความรักที่มอบให้
และเขาเองก็จ้องกลับไปและพยายามถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดไปให้ทั้งหมด
สองมือแตะกันโดยไม่ต้องมีการเตรียมหรือนัดกันล่วงหน้า
สัมผัสนุ่มจากฝ่ามือขาวเหมือนจะรั้งความสนใจจากเสียงกรี๊ดที่ถูกใจกับการเซอร์วิสแบบนี้
ฝ่ามือที่ประกบกันนั้นเลื่อนขึ้นสูงก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นประสานกันไว้แน่น
ใครหลายคนอาจจะมองว่ามันคือการแสดง แต่สำหรับคนสองคนที่กุมมือกันอยู่นั้น..มันคือความรู้สึกที่ถ่ายทอดให้ต่างฝ่ายต่างรับรู้
รัก..และจะอยู่ด้วยกันถึงแม้ว่าวันที่ทุกคนต้องแยกย้ายกันจะมาถึง
พวกเขาจะสนใจกันและกันอยู่เสมอ จะเฝ้ามองแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ก็ตาม
รู้เพียงแค่สองคนก็มากเพียงพอแล้ว
สุดท้ายทั้งคู่ก็เข้ากอดกันและกันโดยที่ไมค์ของมินโฮถูกปิดลง
เสียงทุ้มกระซิบที่ยากจะได้ยิน แต่จินกิก็สามารถฟังมันได้ทัน
“ผมรักพี่นะ”
“รักมินโฮเหมือนกัน”
ขอแค่อยู่ด้วยกันต่อไป
เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วจริงๆ
THE END
แอร้ ฟิคสั้นนม๊ากมากจบลงอีกแล้ว
แปลกไปหน่อยแต่ก็คิดแบบนี้จริงๆนะคะ.. #มโนแรงมาก
เรียกว่าเป็นมุมมองของแม่ยกโฮอนคนหนึ่งของเราก็ได้
ที่เรามองว่าสองคนนี้เขาใส่ใจกันและกันมากแค่ไหน และแพราะมันคือฟิคทันเหตุการณ์มันเลยมีแค่นี้แหละเออ
ถ้ามากกว่านี้ไรท์คงดองไปอีกเดือนและจะไม่ทัเหตุการณ์แล้ว...
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ!
ปล. ขอขอบคุณชายนี่ ที่ทำให้เราเป็นไรท์เตอร์ที่อยู่ยงคงกระพันมายาวนาน
เขียนมาเก้าปีแล้วและจะเขียนต่อไป ขอบคุณที่ทำให้รู้จักสิ่งใหม่ๆ
ได้มีประสบการณ์ที่ดีและแอบไม่ดี ฮา ดีใจมากที่ครบเจ็ดปีแล้ว
ตอนแรกไม่ชอบเลยขอสารภาพ แต่ตอนนี้รักมากเลย.. ขอบคุณจริงๆ
ขอบคุณที่ยังอยู่กันถึงห้าคนแม้จะผ่านมาเจ็ดปีแล้วก็ตาม
ความคิดเห็น