ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ CINDERELLA STORY [LuhanxBaekhyun]

    ลำดับตอนที่ #15 : CHAPTER 11

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.96K
      2
      30 มิ.ย. 56

    CHAPTER 11
    by cloud48








    FacebookLay

     

    “แม้ผลตอบแทนเป็นแค่,เศษส่วนแห่งความรัก”

     

     
     

                “เป็นไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?

     

                ลู่หานอุ้มคนหน้าหวานขึ้นรถ เขาพาอี้ชิงมาเปลี่ยนชุด มาส่งที่บ้าน เช็ดผมให้แถมยังคอยดูแล สำรวจแขนขาว่าแบคฮยอนทำร้ายร่างกายตรงไหนบ้างไหม

                คนรักผมทองของอี้ชิงมีสีหน้าที่เป็นกังวล คิ้วขมวดกันแน่นแถมยังลูบหัวของอี้ชิงเบาๆคล้ายต้องการจะปลอบใจ การกระทำทั้งหมดนั้นทำให้อี้ชิงยิ้มบางออกมา ลู่หานยังคงนั่งอยู่บนเตียง จัดแจงห่มผ้าห่มอี้ชิงอย่างหนาด้วยความกลัวว่าคนที่นอนอยู่จะหนาว

     

                “อี้ดีแล้วละครับ ไม่เป็นไรแล้ว”    

                “อื้มม ไม่เป็นไรก็ดีแล้วนะ พี่ฝากยาไว้ให้กับคุณป้าแม่บ้านแล้วนะครับ”

     

                น้ำเสียงที่อ่อนโยน ท่าทีที่เอ็นดู อี้ชิงดีใจที่ตนเองได้มีโอกาสเข้ามายืนอยู่ในจุดที่ลู่หานมองเห็น เขาดีใจที่รับความใจดีนั้น แม้เศษเสี้ยวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้หัวใจอี้ชิงชุ่มฉ่ำ

                รอยลักยิ้มปรากฏออกมาอย่างหวานที่สุดให้กับคนรักตนเอง

                หากแต่ประโยคที่เอ่ยออกมาหลังจากนั้น ทำให้ใบหน้าขาวเนียนหุบยิ้มในทันใด

     

                “งั้น....พี่กลับบ้านก่อนนะครับ คืนนี้อี้ชิงอย่าลืมฝันดีนะ”

     

                คนตัวโตกว่าจุมพิตไปที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาคล้ายจะบอกว่าฝันดี

                แต่เขาบอกว่าจะกลับบ้าน...

     

                บ้านหรอ...?

     

                อี้ชิงไม่ชอบคำนี้ บ้านมีอะไรดี? ที่บ้านมีอะไรพิเศษนอกจากห้องกรอบสี่เหลี่ยมที่ว่างเปล่า?

                อาจเพราะคำว่าบ้านสำหรับอิ้ชิงเป็นเพียงสถานที่ที่ใช้ทานข้าวและนอนหลับเพียงเท่านั้น อาจเพราะคุณพ่อคุณแม่อี้ชิงทำงานอยู่ต่างประเทศ พวกท่านปล่อยให้ลูกชายนอนคนเดียวมานานจนเกินไป

                อี้ชิงไม่เข้าใจพี่ชาย...

     

                หรือที่บ้านมีใครอยู่หรอ

                แบคฮยอนคนนั้นใช่ไหม แล้วคนๆนั้นสำคัญกว่าแฟนขนาดนั้นเลยหรอ

     

                มือเรียวจับแขนของลู่หานเอาไว้แน่นจนเกือบจะบีบ

     

                “อยู่ อยู่ที่นี่กับอี้ไม่ได้หรอ”

                “พี่ชายช่วยนอนข้างๆอี้ อยู่เป็นเพื่อนอี้ แค่ซักวันไม่ได้หรอครับ?

     

     

     

                “.................”

     

                คำถามที่ต้องใช้ความกล้าหาญมากมายเพื่อกล่าวออกมา หากแต่ไม่มีคำตอบจากพี่ลู่หาน.. สิ่งที่อี้ชิงเห็น มีเพียงดวงตาคมที่หลบการสบตาออกไป

     

                หากจิตใจของพี่ชายมั่นคงในความรักที่มีต่ออี้ชิงแล้ว เขาจะต้องการกลับบ้านทำไม หากอี้ชิงคิดว่าตนเองได้รับหัวใจของพี่ลู่หานแล้ว พี่เขายังอยากจะกลับบ้านทำไม

                อี้ชิงถามคำถามกับตัวเองอยู่อย่างนั้นหากแต่ตัวเขาเองก็ไม่มีคำตอบเหมือนกัน ทำขนาดนี้แล้ว ใจของพี่ชายก็ยังเลือกที่จะลังเล ลู่หานก็ยังคงเป็นแบบเดิม ผู้ชายคนนั้น ยังคงเลือกจะวิ่งนำออกไป

     

                จางอี้ชิงจะต้องวิ่งไล่ตามเสี่ยวลู่หานคนนั้นไปถึงเมื่อไหร่กัน

                แม้จะได้รับความใจดี...หากแต่ลึกๆในใจเจ็บเหลือเกิน

     

                เคยบ้างไหม เราทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ยืนอยู่ในจุดที่เราเชื่อว่าเราได้ยืนเคียงข้างคนที่เรารักแล้ว แต่ทำไมกัน รอยยิ้ม ณ จุดๆนั้น มันกลับไม่ใช่รอยยิ้มที่เราเคยมีให้กับคนนั้น เมื่อครั้งเราเป็นฝ่ายที่คอยดูแล คอยให้ความอบอุ่นเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว..

     

                รักที่ไม่หวังผลตอบแทน ความรักที่ไม่คาดหวัง มันอาจจะเป็นความสุขมากกว่าหรือเปล่า?

     

                ที่เคยมีคนเคยกล่าวว่า ความรักเป็นเฉกเช่นดอกกุหลาบ มันก็คงจะจริงละมั้ง

     

                เพราะอี้ชิงเลือกกำดอกกุหลาบสีสวยที่เต็มไปด้วยหนามนั่นแน่นเหลือเกิน

                เขารู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้เลือดไหลซึมออกจากมือมากมายแล้ว

                หรือเขาเองก็รู้ดีว่ามันเจ็บ แต่เขาก็เลือกที่จะทำ ทำไปทั้งๆที่รู้ว่ามันจะเป็นแผล

     

                จาง อี้ชิง ยังคงไม่มั่นใจซักนิดว่าเขาควรจะเลือกเช็ดทำความสะอาดแผลนั้นดี หรือ ยังคงทำร้ายตัวเองด้วยการกำกุหลาบหนามคมต่อไป

                แต่ไม่ว่าใคร...ต่างก็อยากจะมีความสุขไม่ใช่หรอ..

     

                “ถ้าพี่ลู่หานอยากจะกลับบ้าน ก็กลับเถอะครับ“

                “วันนี้อี้เพลียแล้วละ อยากพักซักหน่อย แค่พี่ชายดูแลอี้ อี้ก็มีความสุขมากแล้วครับ”

     

                น้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ฝืนยิ้มบางแล้วหันหลัง ก่อนจะแกล้งหลับตาลง

     

                ไปเถอะ อยากให้ไป เพราะอิ้ชิงรู้สึกตอนนี้เองเสียใจจนทนไม่ไหว

     

                อี้ชิงยังคงรู้สึกลึกๆว่าเขาเป็นคนที่น่าสมเพช ไม่มีใครน่ารังเกียจเท่าตัวเขาแล้วละ

     

                จะมีใครเข้าใจบ้าง เขาต้องใช้พลังมากมายเพื่อทำร้ายแบคฮยอน

                เขาต้องเสี่ยงตัวเองมากมายเพื่อให้พี่ลู่หานเห็นใจ

     

                แค่เศษเสี้ยวของความรักจากลู่หานเขากลับเลือกอยากจะแย่งชิงมัน

                ไม่อยากจะเป็นผู้แพ้ในเกมนี้ซักนิด หากแต่เขาจะทนอยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กัน ยิ่งได้รับเศษส่วนความรักนั้น อี้ชิงก็รู้สึกว่ามันไม่เห็นจะมีความสุขตรงไหนเลย ยิ่งเห็นสีหน้าที่ฝืนทนของอีกฝ่ายก็ยิ่งทุกข์ใจ

                อี้ชิงตัวร้ายน้ำตาไหลแล้วกอดหมอนแน่น น้ำสีใสที่รินไหลออกมา กลั่นออกมาจากความรู้สึกผิดและเจ็บลึกไปยังขั้วใจ

     

     

                พี่ชาย อี้เป็นคนเห็นแก่ตัวใช่ไหม.....เห็นแก่ตัวแม้แต่กับคนที่อี้คิดว่ารักมากที่สุด

                พี่ลู่หานครับ อี้ชิงควรจะทำยังไงดี...

     

                กุหลาบสีแดงอันนี้มันทิ่มแทงหัวใจอี้ชิงจนพรุนไปหมดแล้ว

     

     

     

     

     






     

     Ildiko | via TumblrRelationship

     

    “ไม่ผิดสัญญา”

     





     

                แสงอ่อนๆจากแสงไฟสีนวลวาบเข้ามาเพียงเล็กน้อย เสียงปิดประตูอย่างแผ่วเบาบ่งบอกว่าคนตัดสินใจรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวอย่างห้องนอนนั้นไม่ต้องการให้คนที่หลับไปแล้วรู้ตัวซักนิด

                แบคฮยอนหลับอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าขาวซีด แม้ในตอนนี้ฟ้าจะมืดและฝนจะซาลงแล้ว หากแต่เสียงหยดน้ำที่กระทบหลังคายังคงดังต่อเนื่องอยู่อย่างนั้น ลู่หานนั่งลงยองมองภาพแบคฮยอนหลับ ก่อนจะตกใจเมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบาของน้องชายเอ่ยออกมาคล้ายกับคนไม่มีแรง

     

                “นะ หนาว”

     

                ลู่หานรีบเดินเข้าไปหาคนที่นอนอยู่บนเตียงในทันที มือหนาอังไปหน้าผากคนตัวเล็กอย่างเบามืออย่างรวดเร็ว หากแค่สัมผัสก็ต้องตกใจสะดุดเอามือออก อุณหภูมิความร้อนบนหน้าผากของแบคฮยอนร้อนมากจนลู่หานใจหาย เพียงแค่นี้ก็เป็นคำตอบได้ดี

     

                แบคฮยอนไม่สบาย..

     

                “ปะ ปวดหัว”

                “ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ มาหาพี่มา”

                ลู่หานไม่ลังเลที่จะนั่งลงบนเตียงแล้วโอบกอดน้องเอาไว้จนแน่น คืนนี้เขาจะนอนกอดแบคฮยอนเอาไว้

                สิ่งที่พี่ชายหวังมีเพียงจะให้น้องชายถ่ายทอดอุณหณภูมิที่ร้อนดังไฟมายังร่างกายของเขาบ้าง แบคฮยอนเหมือนคนเพ้อ มีสติบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เหงื่อผุดเต็มไปหน้าซีดขาว

                สิ่งที่แบคฮยอนมองเห็นเป็นเพียงลางเลือน น้องชายลืมตาปรือขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่าเขากำลังถูกใครอีกคนโอบรัดไว้ กลิ่นหอมนั้นเป็นกลิ่นจางๆที่คุ้นเคย กลิ่นหอมที่ไม่เคยลบเลือนจากใจ น้ำตาไหลหยดลงมาจากหางตาของคนตัวเล็กเพียงหยดเดียวก่อนจะเอ่ยประโยคเสียงอ่อนแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราในทันใด

     

                “คงไม่ใช่พี่ชายหรอกนะ ผมคงฝันไป”

                “แต่ถ้าผมไม่ได้ฝัน ก็คงจะดี..”

     

                คำพูดบางเบา หากแต่มันคือความหวังของแบคฮยอนจริงๆ

                เสี่ยวลู่หาน พี่ชายต่างสายเลือดเป็นคนที่พิเศษคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ทำให้แบคฮยอนอยากลืมตาขึ้นมามองเห็น และก็เป็นคนเดียวกันที่ทำให้หลับตาได้เพราะรู้ดีว่าจะปลอดภัย แบคฮยอนรู้ดีว่าถ้ามีลู่หานอยู่เขาก็คงจะไม่เป็นอันตรายแล้ว

                แม้กระทั่งในตอนนี้ ต่อให้ป่วย แบคฮยอนก็อยากลืมตามองหน้า หากแต่เขาเองก็รู้สึกสบายใจจนหลับลงไปอย่างง่ายดาย

     

                “พี่นี่แย่ ไม่เคยดูแลนายได้เลยนะ พี่ทิ้งให้แบคฮยอนต้องตากฝนคนเดียว สมควรแล้วครับที่พี่โดนเกลียด”

                “ไม่ต้องรักพี่เลยนะครับแบคฮยอน พี่ผิดเอง”

                “เพราะพี่เป็นคนใจร้ายแบบนี้ พี่จะกล้าดูแลแบคฮยอนได้ยังไงกัน”

     

                ขอโทษ คำที่ลู่หานไม่เคยพูดออกมา เขาไม่แม้จะกล้าคิดถึงโอกาสที่จะพูดต่อหน้าแบคฮยอน

                ถึงน้องจะหลับตาลง เขายังไม่กล้าพูดคำนั้นออกมาเลย

                พี่ชายโอบกอดน้องชายเอาไว้อย่างนั้น เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิเริ่มเย็นลง เสียงหายใจที่คงที่แล้วคน ผมทองก็ค่อยๆละตัวเองออกจากการให้ไออุ่นแบคฮยอน เขาจุมพิตแผ่วเบาไปยังหน้าผากน้องชาย มองใบหน้านั้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหัวใจ

                พี่เลี้ยงใจร้ายลุกออกจากเตียงไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้น้องอย่างบรรจง

                แผลของแบคฮยอนที่ได้รับจากข้อเท้า ลู่หานตั้งใจใช้สำลีชุบแอลกฮอล์แล้วเช็ดมันมันอย่างดี เขาใช้เวลาช่วงนั้นสำรวจร่างกายของแบคฮยอนทุกสัดส่วน มีรอยบีบที่แขน มีรอยแผลจากเศษแก้วที่กระเด็น
    พี่ชายเลิกคิ้วสงสัยก่อนจะหลับตาลงเพื่อบังคับสติทบทวนความคิดของตนเอง ลู่หานพยายามแปะพลาสเตอร์อย่างบรรจงที่ข้อเท้าของแบคฮยอน จากนั้นพี่ชายจึงใช้แผ่นความเย็นมาวางไว้บนหน้าผากของน้องชาย

     

                เจ็บมากหรือเปล่า พี่ทำแผลให้นายแล้วนะ

                หนาวมากไหม พี่จะคอยให้ไออุ่นนายเองนะ

     

                นายร้องไห้เพราะพี่หลายครั้งแล้วใช่ไหม...

                อย่าเจ็บปวดอีกเลยนะ

                พี่สัญญาว่า พี่จะเป็นคนรับความเจ็บทั้งหมดนั้นให้นายเอง

               

     

     

     

     

     

     

              “แบคฮยอน แบคฮยอนรอพี่ที่นี่ได้ใช่ไหมครับ?

              สัมผัสที่ไออุ่นของมือหนายกชึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเด็กชายวัยสิบชวบที่ร้องไห้งอแง เขาบรรจงเช็ดน้ำตาของน้องชายอย่างเบามือพร้อมกับพยายามมอบรอยยิ้มที่อ่อนโยน

     

              “ฮือ เสี่ยวลู่จะไปไหน ไหนบอกว่าจะไม่ทิ้งแบคฮยอนไง”

     

              “พี่ไปแปปเดียวเองนะ พี่สัญญาว่าจะไม่ทิ้งแบคฮยอนอีกแล้ว เดี๋ยวพี่ก็กลับมาแล้วนะครับ  พี่รักแบคฮยอนคนเดียวนี่นา แบคฮยอนจะรอพี่ตรงนี้ จะไม่ดื้อ ไม่ซนใช่ไหม”

     

              “แบคฮยอนต้องไม่ร้องไห้นะ พี่ไปแค่แปปเดียวเองครับ”

              “พี่สัญญานะ ว่าพี่จะรักแบคฮยอนตลอดไป แบคฮยอนเชื่อใจพี่ใช่ไหม”

     

              แบคฮยอนเชื่อใจพี่ใช่ไหม

              แบคฮยอนเชื่อใจพี่ใช่ไหม

                แบคฮยอน    เชื่อ   ใจ  พี่    ใช่   ไหม ...

     

     

                น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นก้องอยู่ในหัวของน้องชายอยู่อย่างนั้น แบคฮยอนได้ยินเสียงของพี่ชายเอ่ยประโยคนั้น สิ่งที่ได้ยินนั้นยังค้างอยู่ในใจ ก่อนที่เขาจะหลุดจากความฝันเพื่อพบกับความเป็นจริง

     

                สิบปีมาแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เคยลืมประโยคนั้นเลย..เวลามีความหมายบ้างหรือเปล่า..








     



    Untitledbelieve in your dreams<3




     






                แสงอาทิตย์ยามเช้าเดินทางมาแล้ว แบคฮยอนลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆทับที่สมอง เขายังคงรู้สึกปวดหัวอยู่ คนตัวเล็กเอามือมากุมไว้ที่ศีรษะหน้าเหยเกแล้วพยายามดันตัวลุกขึ้นนั่ง

                ลู่หานเดินเข้าในห้องพอดีเพื่อมาวางชามข้าวต้มให้น้องตรงโต๊ะข้างเตียง คนผมทองนั่งลงบนเตียงมองหน้าน้องชายนิ่ง ส่วนแบคฮยอนที่พอเห็นหน้าลู่หานปุ๊ปก็หลบสายตาในทันที น้องชายไม่แสดงออกทางสีหน้าใดใดแถมยังไม่มองหน้าเลยด้วยซ้ำ คนสองคนนั่งเงียบเป็นเวลานานจนสุดท้ายพี่ชายเป็นคนเริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อน

     

                “ว่าไง ฉันรอฟังคำแก้ตัวของนายอยู่?

                “ไม่มีหรอกครับ ผมตั้งใจทำร้ายอี้ชิงเขาเอง”

               

                ไม่มองหน้าคือไม่มองหน้าจริงๆ แบคฮยอนมองออกไปข้างหน้าเหมือนเขาคุยอยู่กับลมฟ้าอากาศ

     

                “ไม่ว่าชีวิตใครก็สำคัญทั้งนั้นนะ ฉันขอเหตุผลที่นายทำเรื่องแย่ๆแบบนี้ด้วย?

               

                น้องชายมีสีหน้าที่เหนื่อยอ่อน เขาแล้วก้มหน้าลงจนคางแทบชิดอก

                เหตุผลหรอ...คุณลู่หานเขากำลังขอเหตุผลที่เราทำเรื่องแย่ๆอยู่นะ

     

                แต่พูดอะไรไปเค้าจะเชื่อหรือเปล่า บอกอะไรไปจะมีความหวังหวังบ้างไหม

                ผ้าขี้ริ้ว... บางทีผ้าขี้ริ้วที่ไม่มีค่าอะไรมากมายคือสิ่งที่แบคฮยอนรู้สึกตามคำพูดนั้นของอี้ชิงจริงๆ

     

                “คุณลู่หานก็รู้คำตอบดีนี่ครับ คนเป็นผ้าขี้ริ้วย่อมมีจิตใจที่สกปรก เหตุผลที่คุณลู่หานไม่ชอบขี้หน้าผม รังเกียจผมก็เพราะผมเป็นคนนิสัยไม่ดีเหมือนกันไม่ใช่หรอครับ ไม่เห็นจะยากตรงไหน”

     

                พูดออกมาก็น้ำตาคลอเบ้า แบคฮยอนจงใจมองไปในดวงตาคมของพี่ชาย สิ่งที่สะท้อนออกจากดวงตาเรียวเล็กปรากฏแต่เพียงความเจ็บปวดที่แบคอยอนได้รับ

                ลู่หานหลบสายตาของไป ใจของเขากระตุกอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อน้องมองมาแบบนี้

     

                ใครบอกน้องว่าน้องเป็นผ้าขี้ริ้ว

                ใครสอนแบคฮยอนใช้คำแบบนี้กัน ใครกันที่สอนให้นายคิดแบบนี้

                ลึกๆของลู่หานเขาเป็นคนขี้ขลาด พี่ชายทำได้แต่เพียงคิดในใจ คำพูดที่เขาเอ่ยออกไป จึงเป็นแค่ประโยคที่ต้องการว่ากล่าวตักเตือน

     

                “แล้วใครใช้ให้นายไปตากฝนแบบนั้น จะให้ฉันผิดหวังไปถึงไหน”

                ”ผมอยากป่วย อยากอู้งานมั้งครับ...”

     

                ถึงคนนอนอยู่บนเตียงจะรู้สึกเหนื่อยและเพลีย แต่แบคฮยอนก็เลือกที่จะเอ่ยคำพูดออกมาอย่างประชดชัน

                คนตัวเล็กปาดน้ำตาลวกๆแล้วแย่งช้อนที่ลู่หานถือเอาไว้ในทันที

     

                “ผมทานเองได้ ไม่เป็นไรหรอกครับ”

     

                มือเล็กที่สั่นพยายามตักข้าวต้มเข้าปาก แม้แต่จับช้อนที่ต้มข้าวต้มยังจับไม่แน่น

                แบคฮยอนไม่ใช่คนเข้มแข็ง หากแต่เวลาอยู่ต่อหน้าลู่หาน ไม่รู้ทำไม น้องชายจะพยายามทำเหมือนว่าตัวเองแข็งแรง เหมือนอยากทำให้เห็นว่าไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้จะอยากให้มาเอาอกเอาใจ เขาเพียงแค่ไม่อยากให้พี่ชายต้องมาดูแลแล้วก็พูดจาว่าเขาแรงๆอีกแล้ว

                ลู่หานขมวดคิ้วในทันที มือหนาแย่งช้อนคืนมาอย่างรวดเร็ว เขาส่งสายตาดุให้แบคฮยอนก่อนจะก้มลงมองดูที่ขาน้องชายเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง

     

                “ไหน....ให้ฉันดูแผลก่อนซิ”

     

                น้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างน่าประหลาด ลู่หานพยายามเอื้อมมือไปจับที่ข้อเท้าเพื่อสำรวจดู หากแต่แบคฮยอนก็รีบขยับเท้าหนีทันทีที่มือหนาเอื้อมไปจับ

     

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้เจ็บมาก”

                ลู่หานเลิกคิ้ว ก่อนจะลองบีบลงไปที่ข้อเท้า แค่ออกแรงมากกว่าเดิมนิดหน่อย คนเป็นน้องก็ร้องออกมาเสียงดัง

     

                “โอ้ย...”

     

     

                “ฉันเบื่อและรำคาญคนงี่เง่า”

                “งั้นไม่ต้องทนอยู่หรอกครับ...ผมเป็นคนงี่เง่าแบบนี้แหละ”

     

                เสียงถอนหายใจดังขึ้น ลู่หานพยายามข่มอารมณ์ตัวเอง ไม่รู้ว่าเขาหงุดหงิดที่น้องเถียงเขาหรือเสียใจที่น้องไม่พูดดีกับเขาแล้วกันแน่

                คนผมทองตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าแล้วยัดเข้าปากแบคฮยอนแบบไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะดื้อแค่ไหน ในตอนแรกแบคฮยอนปิดปากไม่ยอมจนมือหนาต้องบังคับจับใบหน้าเรียวเล็กให้อ้าปากซักที

                แบคฮยอนป่วยอยู่แล้ว แรงเขามีไม่มาก เขาจึงปฏิเสธไม่ได้ ทำได้แต่เพียงกินข้าวต้มที่ลู่หานป้อนให้จนหมดชามหากแต่เขาไม่มองหน้าพี่ชายซักนิดเลย

     

     

     

     

     

                ว่ากันว่า ขั้นตอนที่ยากที่สุดของการรักษาคนป่วย คือการทานยา ตอนนี้ลู่หานกับแบคฮยอนกำลังอยู่จุดนั้น ลู่หานพยายามใจเย็นเมื่อเห็นว่าน้องอาการไม่ได้ดีขึ้นมาก เขารินน้ำเปล่าลงในแก้วใสก่อนจะยื่นเม็ดทรงกลมสีขาวและแคปซูลสีแดงให้

     

                “กินยาหน่อยนะ”

                “...........”

     

     

                ไม่มีเสียงตอบรับจากน้องชาย แบคฮยอนมองหันหน้าหนีไปทางอื่น ถึงคำพูดเมื่อกี้จะเป็นน้ำเสียงที่ดูต้องการเอาใจน้ำเสียงที่ดูใส่ใจมันทำให้แบคฮยอนใจแทบหล่นลงไปกับเตียง

                หากแต่อะไรหลายๆอย่าง รวมถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ยังทำให้คนตัวเล็กตั้งทิฏฐิกับพี่ชายอยู่

     

                “ช่วยกินหน่อยได้ไหม...”

                “ผมไม่อยากกิน ผมอยากป่วยให้ตายไปเลย คุณลู่หานจะได้ดีใจซักทีไง”     

     

                คำพูดกรีดแทงหัวใจของคนทั้งคู่ ยิ่งป่วย ทำไมยิ่งดื้อแบบนี้นะ

                ลู่หานหลับตาลงแล้วค่อยๆพูดอีกครั้ง

     

                “นายก็คิดว่าฉันเป็นอี้ฟานซักวันนึงและกันนะ”

     

                “ไม่มีใครแทนใครได้ โดยเฉพาะพี่อี้ฟาน..ไม่มีใครแทนพี่เค้าได้”

                “อืม ฉันก็พอจะรู้อยู่”

     

                สีหน้าลู่หานกลับกลายเป็นเศร้าลง หากแต่เขาเองก็พยายามฝืนยิ้ม ฝืนพูด

                น้องป่วยขนาดนี้แถมยังดื้อมาก ตัวเขาเองก็เป็นห่วงเหลือเกิน เขาห่วงน้องมากเกินไป

     

                “แต่เดี๋ยวเจ้าชายของนายก็จะมาแล้วไง.....ทนอยู่กับฉันไปอีกหน่อยนะ”

     

                คิ้วบางขมวดกันแน่นราวก่อนจะก้มลงถอนหายใจ คนตัวเล็กหยิบยาจากมือหนาของพี่ชายแล้วค่อยๆหย่อนลงไปในลำคอระหง แบคฮยอนรีบดื่มน้ำจากหลอดตามเข้าไปในทันที คนตัวเล็กเช็ดน้ำที่มุมปากของตัวเอง ก่อนจะลดตัวลงนอนหันหลังให้กับพี่ชาย

     

                “ครับคุณลู่หาน ผมทานยาให้แล้ว ออกไปเถอะครับ ผมรอพี่อี้ฟานได้ พี่เค้าโทรมาบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะมา อีกซักพักเดี๋ยวเขาก็คงมาแล้วละ เขาไม่ผิดสัญญาใครง่ายๆหรอกครับ“

     

                แบคฮยอนแค่นยิ้ม เขาเหยียดหยันคำพูดออกมาพอๆกับที่หัวใจโศกเศร้า น้ำตาคลอที่หน่วยอีกครั้ง หากเพียงแต่ลู่หานไม่เห็นมัน ใบหน้าเรียวเล็กซีดขาวที่เจ็บปวดมันยังคงเป็นอยู่อย่างนั้นไม่เคยจางหายไป

     

                “สัญญาว่าจะรักตลอดไป สัญญาว่าจะรักคนเดียว สัญญาว่าจะสอนว่ายน้ำ สัญญาว่าจะไม่ทิ้ง...ผมเชื่อว่าถ้าสัญญากัน พี่อี้ฟานเค้าจะไม่ผิดสัญญาพวกนั้นหรอกครับ”

     

                นั่นสินะ สัญญาที่ลู่หานไม่เคยทำได้ซักข้อ เขาเป็นคนหล่อหลอมแบคฮยอนด้วยตัวเอง

     

                พี่เลี้ยงใจร้ายเป็นคนก่อสร้างกำแพงหน้าทีละชั้นให้กับหัวใจแบคฮยอน น้องชายโดนความใจร้ายของพี่ชายกัดกร่อนทุกวัน ทีละนิด ทีละนิด วันหนึ่งมันคงจะต้องหมดไป

                แบคฮยอนกลับกลายเป็นคนไม่เชื่อมั่นในการทำดีของลู่หานขึ้น เขาลังเลและตั้งคำถามกับทุกการกระทำที่ลู่หานแสดงออก

     

                น้องชายคิดว่าที่พี่ชายมาทำดีด้วย เดี๋ยวก็แกล้งบอกกับเขาว่าไม่คิดอะไร เหมือนที่เคยทำ..

                แกล้งทำดี แล้วก็บอกว่าไม่เคยรัก อย่างที่เคยเป็นมา..

     

                แบคฮยอนไม่มั่นใจซักนิดเลยว่าพี่ลู่หานจะล้อเล่นกับหัวใจของเขาอีกหรือเปล่า

     

                “อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะครับ และผมก็ไม่ได้ต้องการขอความเห็นใจจากคุณลู่หานด้วย”

     

                “ถ้าคุณลู่หานบอกว่า พี่อี้ฟานกำลังจะมาแล้ว คุณลู่หานจะช่วยออกไปได้ไหมครับ ผมอยากนอนแล้ว ผมไม่หนีไปไหนหรอกครับ ขาผมเจ็บขนาดนี้”

     

     

                “จะไปได้หรือยังครับ.....ผมรอคุณลู่หานเดินออกไปอยู่นะครับ”

     

                แบคฮยอนจงใจเน้นประโยคเพื่อให้ลู่หานออกไปซักที เขาสับสนในหัวใจจนเหนื่อยไปหมด หัวใจที่เขามอบให้กับพี่ชายมันยังคงเต้นดังอยู่อย่างนั้นคล้ายจะหมดแรงเต็มที่ 

              ส่วนตัวพี่ชายเอง พอได้ฟังประโยคนั้นก็เจ็บไม่แพ้กัน ลู่หานลุกยืนขึ้น ตั้งใจจะออกไปตามที่น้องชายคาดหวัง หากแต่เสียงดังที่ประตูสีขาวดังขึ้นซะก่อน

     

                ก๊อกๆ

     

                ใบหน้าหล่อเหลาที่เจาะหูอย่างเท่ห์อย่าบอกใครโผล่เข้ามา น้ำเสียงทุ้มที่อ่อนโยนเอ่ยขึ้น

     

                “ได้ข่าวว่ามีเจ้าหญิงนอนป่วยที่บ้านหรอ..”

                “เจ้าชาย..

     

                แบคฮยอนหันหลังกลับมาเพื่อมองหน้าอี้ฟานในทันที คนตัวสูงรีบเดินเข้าไปนั่งบนเตียงก่อนจะกอดแบคฮยอนอย่างแน่นที่สุด

     

                “แบคฮยอนของพี่ไม่สบายหรอครับ ไหนขอพี่ดูสิ ตัวร้อนมากมั้ย”

     

                ว่าแล้วก็เอาหน้าผากแนบไปในทันที ดวงตาของคนทั้งคู่สบประสานกัน

     

                “อืมม ก็ไม่ร้อนมากแล้ว แต่ยังไงต้องดูแลตัวเองดีดีนะ”

     

                แบคฮยอนกอดเจ้าชายแน่นก่อนจะใช้ใบหน้าซบลงกับไหล่หนาเพื่อต้องการไออุ่น

                “เจ้าชาย ใช้หน้าผากวัด มันจะวัดไข้ได้จริงหรอครับเนี่ย ผมมีปรอทนะ”

                “ไม่เป็นไรครับ เจ้าชายสามารถรู้ได้ว่าแบคฮยอนป่วยหรือเปล่า เพราะเจ้าชายจำความอุ่นของแบคฮยอนได้ ”

               

                “หืม ขนาดนั้นเลยหรอ?

                “จริงๆนะ ก็พี่กอดแบคฮยอนทุกวันนี่นา พี่จะมาเยี่ยมแบคฮยอนทุกวันจนหายเลย โอเคมั้ย”

               

                อี้ฟานจับเบาๆไปที่แก้มใส ก่อนจะลูบผมสีน้ำตาลอย่างเบามือแล้วเอื้อนเอ่ย

     

                “อย่าป่วยบ่อยนะ พี่เป็นห่วงมากเลย”

                “เจ้าชายขอโทษนะที่มาหาช้า เจ้าชายบินไปที่เซี้ยงไฮ้เพราะไปดูวัสดุแต่งบ้านพอดี เมื่อคืนเจ้าชายอยากแทบอยากจะบินกลับมาหาเลย รู้ตัวบ้างไหมว่าเจ้าหญิงทำให้เจ้าชายเป็นห่วงแค่ไหน”

     

     

                “อื้มมม ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ถ้าเจ้าชายมาเยี่ยม เจ้าชายก็ต้องซื้อขนมมาให้ผมทานทุกวันนะ”

                “ฮ่าๆ ไม่เอา เดี๋ยวหายช้า แบคฮยอนต้องทานโจ๊ก ข้าวต้ม อาหารอะไรที่ย่อยง่ายๆสิ”

     

                แบคฮยอนยู่ปากลง แม้ริมฝีปากจะยังคงซีดเซียวแต่คนตัวเล็กก็ยิ้มออกมา มือเล็กเกาะแขนหนาของอี้ฟานไว้ก่อนจะเอาหน้าตัวเองถูกับไหล่คนตัวสูงแล้วเอ่ยเสียงเล็ก

     

                “นี่ M&M ก็ย่อยง่ายนะเจ้าชาย ละลายในปากไม่ละลายในมือด้วย

               

                อี้ฟานหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะใช้มือหนาบีบจมูกเล็กๆของแบคฮยอน

                “เจ้าชายว่าเจ้าหญิงขี้อ้อนเกินไป..”

     

                ทั้งสองคนคุยกันราวกับว่าไม่มีลู่หานอยู่ในนั้น

     

                อันที่จริง เขาก็ไม่ควรยืนอยู่ที่ตรงนั้นนั่นแหล่ะ

                ลู่หานมองภาพแบคฮยอนจับมือคุยกันกับเจ้าชาย ก่อนจะยิ้มลงกับพื้น

                ตอนเขาอยู่กับอี้ชิง แบคฮยอนรู้สึกแบบนี้บ้างไหม แบคฮยอนจะรู้สึกเจ็บแบบนี้มากไหมนะเวลาที่เห็นเขารักคนอื่น

     

                ขาทั้งสองข้างของลู่หานค่อยๆถอยออกมาแล้วเปิดประตูออกไป

                เคลื่อนไหวร่างกายให้เบาที่สุด เพื่อให้สองคนนั้นจะได้ไม่ต้องสังเกตว่าเขากำลังจะออกไปแล้ว

     

                หลังของลู่หานพิงอยู่กับประตูห้องนอนน้องชาย เขาเงยหน้าใช้ความคิดทบทวน

                พี่เลี้ยงใจร้ายแทนเจ้าชายไม่ได้หรอก..พี่ชายคนนี้รู้และเข้าใจดี...

     









     

     

     Pay it forward, great movie. | TumblrPay It forward Car Magnet From Natural Life

     ''PAY IT FORWARD'' 

     

     

                “ไงมึง ขอบุหรี่ตัวดิ”

                “น้องหลับไปแล้ว?

               

                อู๋อี้ฟานเดินมาคุยกับพี่เลี้ยงใจร้ายที่สนามหญ้าหลังบ้าน วิวของสระว่ายน้ำยังเห็นได้ชัดอยู่ ลู่หานยังคงนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับแบคฮยอน เขาไม่ได้โง่จนคาดเดาไม่ได้ว่า หรืออันที่จริง เป็นอี้ชิงมากกว่าที่แกล้งทำร้ายแบคฮยอนให้เจ็บตัว มือหนาของคนส่วนสูงน้อยกว่าโยนกล่องบุหรี่ให้เจ้าชาย ก่อนจะโยนไฟแช็คตามไปติดๆ

                เจ้าชายจุดไฟวาบก่อนควันสีขาวลอยขึ้นไปในอากาศในทันที

     

                “เออ เล่นกับกูแปปเดียวก็หลับ คงเพลียอยู่”

     

     

                “กูขอบใจมึง ที่อยู่เป็นเพื่อนแบคฮยอน”

                “กูก็ต้องอยู่ ดูมึงทำเขาแต่ละอย่าง บางที...มึงก็ทำให้กูมีทางเลือกไม่มากหวะไอ้ลู่”

     

     

                “มึงพูดเหมือนกูมีทางเลือกมาก?

                “ก็อาจจะมี หรืออาจไม่มี กูไม่ใช่คนต้องมาตัดสิน”

     

                คนสองคนเงียบไปอีกครั้ง เจ้าชายใช้ความคิด ลู่หานก็ใช้ความคิดเช่นกัน เจ้าชายคาบบุหรี่อีกตัวก่อนจะใช้มือบังจุดไฟแล้วเอื้อนเอ่ย

     

                “เออ กูให้นกหวีดแบคฮยอนแล้วนะ”

                “นกหวีดอะไรวะ”

                “นกหวีดที่มึงเคยให้ซิ่วหมินไปอะ”

     

                “คนที่กูจะ PAY IT FORWARD ให้คือแบคฮยอน กูเคยคิดจะให้นกหวีดเค้านานแล้ว แต่กูเพิ่งตัดสินใจได้เมื่อไม่กี่วันก่อน น้องชายของมึงคือคนที่กูเลือก กูจะดูแลเค้าให้ดี...”

     

                “แล้วที่กูบอกว่าจะไม่คืนน้องให้มึง กูก็คิดแบบนั้นจริง นั่นคือเหตุผลที่กูจะรีบออกแบบบ้านให้เสร็จๆ”

                “กูไม่รู้เหี้ยไรทั้งนั้นนะไอ้ลู่ แต่กูคิดว่ากูตอบแทนมึงเท่าที่เพื่อนทำได้แล้ว”

     

                เจ้าชายเย็นชา เหตุผลที่ได้รับฉายานี้ อาจจะเป็นเพราะใบหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกใดใดซักนิด

                ไม่ใช่จิตใจที่เย็นชาของเขาหรอก เรารู้กันดี อู๋อี้ฟานเป็นคนอบอุ่นมาก บางเวลาเขาเป็นคนดีเกินไปด้วยซ้ำ ...เพียงแต่บางครั้ง บางสถานการณ์ เจ้าชายก็หน้านิ่ง นิ่งจนไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่

                ไม่มีใครอาจคาดเดาสิ่งที่อยู่ในใจได้ แม้แต่เพื่อนรักหลายสิบปี อย่าง เสี่ยวลู่หาน

     

     

                PAY IT FORWARD คือภาพยนตร์ที่แสนจะกินใจเมื่อครั้งเกินกว่าสิบปีก่อนที่เพื่อนรักสามคนไปดูด้วยกัน ภาพยนตร์เสนอเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่ตัดสินใจช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่คำนึงถึงผลตอบรับและผลตอบแทนใดใด เขาเพียงแค่ช่วยเหลือผู้คนและบอกกับคนเหล่านั้นว่าจงไปช่วยเหลือคนอื่นต่อไป จงส่งความดีงามนี้ต่อไป..

     

                หลังจากได้ดูหนังจบ แรงบันดาลใจนั้นก็เกิดขึ้นกับเด็กชายคนหนึ่งเช่นกัน ใบหน้าขาวที่มีหน้าตาน่ารัก แก้มป่อง ดวงตาตี่เล็กหากแต่เป็นประกาย ซิ่วหมินเคยฉายประกายแสงแห่งความหวังให้จิตใจคนทั้งคู่

                แม้สิ่งที่ลู่หานและอี้ฟานได้รับจะเป็นเพียงนกหวีด หากแต่แค่นกหวีดสีแดงอันเล็กแสนธรรมดานั้น มันคือจุดเปลี่ยนของอะไรหลายอย่างในเวลาต่อมา

               

     



     

     

     

     

    chanhun | via Tumblrsehun | Tumblr

     " ฉันมีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเธอบ้างไหม? "

     

     

     

               

                วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก การได้พบเจอกับเพื่อนจึงเป็นวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นรวมไปถึงที่มหาวิทยาลัยKมีธรรมเนียมที่แปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่งด้วย ทุกคนเรียกวันนี้ว่า “วัน white day

                วันเปิดเทอมวันแรก เป็นวันที่บ่งบอกได้ดีถึงความคิดถึงของเพื่อนที่ต่างแยกย้ายกันไป ความคิดคิดถึงต่อคนที่ชอบ หรือแม้แต่ความคิดถึงที่มีต่ออาจารย์ (คาดว่าอันหลังคงมีน้อย) ธรรมเนียมจึงเกิดมาอย่างช่วยไม่ได้

                การได้รับขนมหรือให้ขนมกับเพื่อนหรือคนที่เราแอบชอบเพื่อเป็นการต้อนรับการเปิดเทอมใหม่จึงกลายเป็นวันที่น่าสนุกของที่นี่ ขนมที่ให้จะต้องแปะโพสอิสเอาไว้อย่างดี ส่วนใหญ่นักศึกษามักจะเขียนคำสั้นๆง่ายๆ เช่น “เทอมสองสู้ๆนะ” หรือ

    ”เทอมสองตั้งใจเรียนนะ”  เอาไว้เพื่อให้กำลังใจกับคนที่เราหวังดี

     

                เสียงฮาครืนจากรุ่นพี่นักฟุตบอลที่นัดนั่งกันอยู่ใต้ตึกคณะเป็นจุดสนใจได้มาก โดยเฉพาะรุ่นน้องเดือนคณะอย่างปาร์คชานยอล วันนี้เขาก็ได้รับขนมมากมายเช่นเคย

                แม้แต่ก่อนเขาเคยดุแฟนคลับจนพวกเธอกลัวและหายไป แต่ซักพักผู้หญิงกลุ่มนั้นก็กลับมาคุกเข่าเอ่ยคำขอโทษทั้งน้ำตากับทั้งชานยอลและเซฮุน คราวนี้พวกเธอรู้สึกผิดจริงๆ อาจเป็นเพราะมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มเกือบจะโดนกลุ่มของมยองซูข่มขืนเช่นกัน การแต่งกายที่ล่อแหลมย่อมทำให้คนคิดไม่ดีกระทำสิ่งเลวร้ายได้เสมอ

                โชคดีที่ตอนนั้นเซฮุนและกลุ่มรุ่นน้องเชียร์หลีดเดอร์ผ่านมาพอดี แม้รุ่นพี่เซฮุนจะดูปากร้าย มองดูเป็นคนใจร้ายยังไง สุดท้ายแล้วเขาก็ใจอ่อนตัดสินใจสั่งให้รุ่นน้องไปช่วยกลุ่มแฟนคลับชานยอลอยู่ดี

                พวกกลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นเริ่มมองเห็นบางอย่างในตัวรุ่นพี่หน้าเหวี่ยง หลังจากนั้นกลุ่มแฟนคลับของชานยอลก็ผันตัวมาเป็นแฟนคลับของเซฮุนด้วย พวกเธอเรียกเซฮุนว่า ”คุณหัวหน้า” และพวกเธอก็คอยช่วยเหลือเซฮุนจากนั้นเป็นต้นมา

               

     

                ปาร์คชานยอลหัวเราะคุยกับรุ่นพี่นักบอลในคณะด้วยรอยยิ้มที่มีสเน่ห์ที่ยังคงอยู่ แน่นอนสิ่งที่พวกเขาคุยกันคงไม่พ้นเรื่องของชานยอลกับรุ่นพี่ที่ตนเองประกาศกร้าวว่าจะจีบ

     

                “โหย มึงจีบเค้าตั้งนาน ยังไม่ได้เป็นแฟนอีก อ่อนด๋อยหวะไอ่ปาร์ค”

                “เออ ถ้าไม่ติดมึงจีบเซฮุน กูจะจีบเองละ แม้งน่ารักตลอดกาล พอๆกับแบคฮยอน คยองซูเลยสาส”

                “ว่าแต่นี่มึงไม่คิดว่าเซฮุนอาจจะรำคาญมึงจริงๆอ่อวะ”

     

                คำพูดของรุ่นพี่ทำให้รอยยิ้มของชานยอลลดลงนิดนึง คิ้วของคนหล่อขมวดขึ้นจนเห็นได้ชัด เขาแอบใช้ความคิดทบทวนกับตัวเอง มันก็อาจจะจริงที่รุ่นพี่เขาบอกนะ เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาพี่เซฮุนก็ไม่ได้คุยกับเค้าดีเลย ยังคงเป็นกูมึงบ้าง

                แม้ปิดเทอมที่ผ่านมาพวกเขาสองคนก็โทรคุยกันตลอดและก็เป็นชานยอลคนเดียวที่โทรไปเกาะแกะแล้วก็ชอบแวะไปหาเซฮุนที่บ้านพร้อมข้ออ้างหลากหลายกันไป

                บางครั้ง ใบหน้าที่เขาได้รับจากเซฮุน ก็เป็นเพียงใบหน้าเรียบเฉย หน้าบูดบึ้งไม่สนใจ แถมโอ เซฮุนยังชอบดุปาร์ค ชานยอลเสมอตอนที่เขาไปหาดึกๆ อย่างไรก็ตามเซฮุนก็ไม่เคยเอ่ยปากไล่เขาซักครั้ง

     

                “กูไม่ได้ไรนะ แต่เซฮุนน่ะเอาใจยากจะตาย กูว่าถ้าเป็นกูจีบมัน กูคงเบื่อ งี่เง่าชะมัด ทำตัวอย่างกับผู้หญิง นิสัยเอาแต่ใจแบบนี้ กูตอบตรงนะ ไม่เห็นจะมีผู้ชายคนไหนชอบเลยหวะ ฮ่าฮา”

     

     

                “ฮ่าๆ จริงๆผมก็ไม่ชอบอะไรงี่เง่าแบบนั้นหรอกครับพี่”

     

                ชานยอลตอบขำขำเพื่อเอาใจรุ่นพี่

                แปลกแต่จริง จะบอกว่าไม่มีผู้ชายคนไหนชอบ แต่เขากลับชอบมันที่สุด

                อาจเพราะเขารู้ตัวว่าตอนนี้ความรู้สึกของตัวเขา คือชอบพี่เซฮุนมาก ชอบจนอยากพัฒนาความสัมพันธ์ให้มากขึ้นไปขึ้นไปอีกขั้น แม้ในตอนนี้ความสัมพันธ์นั้นมันไม่ชัดเจนจนชานยอลหนักใจ

                สิ่งที่พูดออกไป เจตนาของชานยอลจึงไม่ได้ตั้งใจซักนิดเลย

                อย่างไรก็ตาม การพยายามพูดตลกเพื่อเอาใจรุ่นพี่นักบอลนั้น ชานยอลก็ช่างเอาใจรุ่นพี่ได้ถูกเวลาจริงๆ

     

                กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขาโปร่งของเซฮุนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวชะงักเล็กน้อยเมื่อผ่านมาได้ยินบทสนทนาดังกล่าวพอดี เซฮุนตัดสินใจเดินผ่านหลังชานยอลไปอย่างไม่สนใจ คนตัวสูงตาโตตกใจเมื่อหันหลังมาเห็นใบหน้าของรุ่นพี่ตัวขาวก่อนจะรีบวิ่งตามไปในทันที

     

                “พี่เซฮุน...จะไปไหนอะ?

     

                เมื่อกี้จะได้ยินอะไรหรือเปล่านะ

                แล้วจะคิดมากหรือเปล่า

     

                “อ๋อ ไปเรียนน่ะ”

                เซฮุนเองก็พยายามปรับน้ำเสียงเช่นกัน ชานยอลพยักหน้า มือหนาจับมือเรียวไว้แล้วยิ้มกว้าง

                เขากลัวว่ารุ่นพี่จะได้ยินแล้วเสียใจกับคำพูดตัวเอง ประโยคข้ออ้างพยายามทำให้อารมณ์ดีจึงเกิดขึ้น

     

                “กินข้าวมายัง เดี๋ยวผมพาไปกินข้าวหมูแดงมั้ย วันนี้จะสั่งไข่พิเศษให้ด้วย แต่เค้าจะแย่งตัวกินนะ ถึงตัวจะชอบมากก็เถอะ”

     

                “ไม่เป็นไรหรอก ฉันกินมาแล้ว”

     

                เซฮุนหลบสายตาออกไปย่างรวดเร็ว ใบหน้าสวยไม่ยิ้มเหมือนเดิม แถมยังพยายามจะหันหลังไปอีก ชานยอลรีบจับข้อมือเอาไว้แน่นก่อนจะเอ่ย

     

                “เดี๋ยวดิ....”

     

                พอรุ่นพี่ตัวขาวหันหลังกลับมา ชานยอลก็กลับกลายเป็นว่าไม่รู้จะพูดอะไรดี

                ยิ่งได้รับสายตาผิดหวังจากรุ่นพี่แล้วหัวใจก็ยิ่งกลัว ใจของชานยอลแทบหล่นลงไปพื้น

     

                “แล้ว...เซฮุนมีเรียนที่ไหน เดี๋ยวผมไปส่ง”

     

     

                “ไม่จำเป็นหรอก ฉันมีขา เดินไปได้ ตารางเรียนเทอมสองก็เคยส่งให้ดูตั้งแต่ปิดเทอมแล้วนี่“

                “ถ้าไม่ใส่ใจจริงๆ เบื่อจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องทำเป็นมาห่วงหรอกนะ ฉันไม่ได้ต้องการคนมาดูแลขนาดนั้น”

     

     

     

                เซฮุนรีบดันมือตัวเองออก เขาวิ่งหนีออกไป ทิ้งให้ชานยอลก้มลงมองมือหนาของตัวเอง แล้วทำได้เพียงมองตามหลังของร่างเพรียวเพียงแค่นั้น....

     

     



     

     

     
     

     

     

                “แบคฮยอน เซฮุน ฉันคิดถึงพวกนายที่ซู้ดดดดดดด”

     

                คยองซูเดินเข้ามาในห้อง วางกระเป๋าแล้วกอดเพื่อนรักสองคนในทันทีที่เห็นหน้า ปิดเทอมที่ผ่านมาคยองซูได้คุยกับแบคฮยอนแค่เล็กน้อยเท่านั้น นั่นเป็นเพราะเขาต้องช่วยงานที่ร้านกาแฟจนไม่มีเวลาว่างเท่าไหร่ แถมแบคฮยอนเองก็ไปทำงานที่บริษัท

                ส่วนเซฮุนก็ฝึกซ้อมเชียร์หลีดเดอร์ให้รุ่นน้องที่จะต้องแสดงในวันกีฬามหาวิทยาลัยที่ใกล้จะถึงแล้ว เซฮุนซ้อมให้น้องจะเป็นปี เพียงเพื่อให้การแสดงได้รับคำชมมากที่สุด

     

                ใบหน้าของเซฮุนยังคงฉายความกังวลถึงสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อเช้า หากแต่เขาก็ยังเป็นห่วงเพื่อนรักมากกว่า

     

                “ว่าแต่แบคฮยอนป่วยหายดีแล้วใช่ไหม พี่อี้ฟานบอกว่านายไม่สบาย”
                “อื้ม หายดีแล้วละ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เซฮุนละเป็นไงบ้าง สรุปว่าให้คุกกี้ชานยอลหรือยัง”

     

                “คุกกี้วัน white day ใช่ปะ ไอ้เด็กนั้นต้องดีใจชัวร์ เชื่อฉัน”

                คยองซูฟังแล้วเสริมตอบ

     

                “ยังไม่ได้ให้เลย”

                ใบหน้าของเซฮุนสลดลง จนทำให้แบคฮยอนสบตากับคยองซูแล้วมองไปที่เพื่อนรักอย่างสงสัย

                เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ

     

                แบคฮยอนตบไหล่ของเพื่อนรักก่อนจะเอ่ยอย่างให้กำลังใจ

                “เซฮุน เอาไปให้ชานยอลเค้าเถอะ ตั้งใจแล้วนี่นา”

     

                “แบคฮยอนอ่า....”

                “เอาน่า นายไม่ใช่คนล้มเลิกอะไรง่ายๆไม่ใช่หรอ ฉันกำลังเฝ้ามองเซฮุนอยู่นะ ปกติเพื่อนรักของฉันเป็นคนมั่นใจนี่นา”

     

                แบคฮยอนยิ้มกว้างให้พร้อมกับกำมือบอกว่า ไฟต์ติ้ง

     

     

                จริงๆเซฮุนตั้งใจจะเอาไปให้ชานยอลตั้งแต่เช้าแล้ว ..หากแต่เขาดันได้ยินประโยคที่ชานยอลบอกกับรุ่นพี่นักบอลพอดี

                เขาจะกลายเป็นงี่เง่า เอาแต่ใจหรือเปล่า ..ถ้าจะบอกให้ชานยอลทานมัน

                แล้วนิสัยแบบนี้มันทำให้ชานยอลไม่ชอบหรือเปล่า เซฮุนกลายเป็นคนคิดมากในทันที

               

     

     

     

     

     



     

     

                ในที่สุด แววตาแกมบังคับของแบคฮยอนแถมคำก่นด่าของคยองซูก็ทำให้เซฮุนต้องมาที่ตึกของปีหนึ่งอีกครั้ง คนเป็นรุ่นพี่มองไปยังมือถือยังเบอร์โทรล่าสุด เขาตั้งใจจะโทรแต่ก็ตัดสินใจเก็บเอาใส่กระเป๋า

                เซฮุนตั้งใจจะรอชานยอล อย่างน้อยก็ยังอยากคุยกันอยู่

     

                เซฮุนสูดหายใจลึก พยายามเดินเข้าไปหาชานยอลที่ตอนนี้กำลังเก็บรองเท้าสตัชท์อยู่ที่ล็อคเกอร์ด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่ ขาโปร่งชะงักในทันทีเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนกำลังเดินเข้าไป ร่างบางตัดสินใจแอบอยู่ที่ด้านหลังล็อกเกอร์แทนจึงทำให้ชานยอลมองไม่เห็น

                รุ่นน้องชอนจี....หนุ่มหน้าหวาน การกระทำก็หวาน เรียบร้อย เขาเป็นผู้ชายรูปร่างผอมบาง ความสูงน่าจะไล่เลี่ยเท่าแบคฮยอนได้ แถมใบหน้ายังมีบางมุมที่คล้ายแบคฮยอนอย่างประหลาด ชอนจีเป็นเด็กรุ่นน้องที่อยู่รุ่นเดียวกับชานยอล เขาเป็นคนน่ารัก นิสัยดีและอยู่ชมรมเชียร์เช่นกันกำลังชวนชานยอลคุยพร้อมกับใบหน้าที่แดงเล็กน้อย

     

                “ระ เราตั้งใจทำคุกกี้มาให้เธอ นี่เราอบเองเลยนะ นั่งปั้นตั้งแต่เมื่อคืนแหน่ะ”

                ชานยอลผละออกจากการวางรองเท้าเลยเงยหน้าขึ้นมา เขาพยักหน้าแล้วอมยิ้มเหมือนกับต้องการขอบคุณ ความอัธยาศัยดีของชานยอลเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์

     

                “จริงหรอ ดูน่ากินจัง นายท่าทางจะทำอาหารเก่งเหมือนพี่แบคฮยอนเลย”

                “เอ๋..?

                “ไอดอลฉันน่ะ ฉันปลื้มคนทำอาหารเก่งนะ ฮ่าๆ”

               

                ชานยอลเอามือเกาหัวแก้เขินพอพูดถึงพี่แบคฮยอน

                ไอดอลในดวงใจของเขาเจ๋งที่สุด

     

                “แล้วนายชะ ชอบคุกกี้นี้ไหม”

                “เฮ้ย ชอบสิ..”

                “ถ้าคนน่ารักทำ ฉันก็ชอบหมดแหล่ะ ฮ่าๆ”

               

                ชานยอลไม่ใช่คนเจ้าชู้ เขาแค่เป็นคนขี้เล่น เขาแค่เป็นคนร่าเริงและตอบแทนความหวังดีของคนอื่นด้วยรอยยิ้มทุกคน

                แต่ชานยอลจะเข้าใจในจุดนี้บ้างไหม ว่าการกระทำบางอย่าง คำพูดบางคำพูดของเขา มันอาจจะทำให้อีกฝ่ายคิดไปไกลก็ได้

                ไม่เพียงแต่ชอนจีหรอก แต่เป็นพี่เซฮุนด้วย

     

                รุ่นพี่ก้มหน้าลงจนคางชิดอก ความเสียใจอยู่ดีดีก็เข้ามาเกาะกุมหัวก้อนเนื้อด้านซ้าย เซฮุนตั้งใจจะเดินออกไปจากที่แห่งนี้
     

    ไม่รู้ตัวเองว่ามารอเด็กคนนี้ทำไมกันนะ
     

                 ชานยอลยังคงอมยิ้มให้กับชอนจี แต่แล้วก็ต้องตกใจทันทีเมื่อสายตาคมเหลือบไปเห็นหลังของร่างโปร่งที่คุ้นเคยไกลๆ กำลังจะเดินไปทางอื่น ชานยอลจำได้ดีอยู่แล้วว่าๆคนนั้นคือรุ่นพี่ที่เขาจีบ

     

                “พี่เซฮุน “

                “มาหาผมหรอ เดี๋ยวสิครับพี่....”

     

                “ปล่อยฉัน ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ แล้วไม่ต้องมาเดินตามฉันต้อยๆอีกแล้วด้วย”

                “ฉันรำคาญนายทุกวันเลย รู้ตัวบ้างไหม!!!

               

                เซฮุนหันหลังกลับมาใช้แขนทั้งสองข้างผลักอย่างเต็มแรงจนชานยอลล้มลงไป รุ่นพี่เช็ดน้ำตาลวกๆ มองหน้าชานยอลอย่างน้อยใจ ก่อนจะโยนถุงขนมที่ผูกโบว์เอาไว้อย่างน่ารักไปเต็มอกของรุ่นน้องนักฟุตบอล เซฮุนวิ่งหนีอกไปโดยที่น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น


                ใช่แล้ว คุกกี้ของเซฮุนมันเละ เละจนไม่มีชิ้นดี ช็อคโกแลตที่ดูยังไงก็เป็นแค่ของเหลวสีดำไหลย้อยไปหมด เซฮุนเผลอตั้งเวลาผิดด้วย คุกกี้แต่ละชิ้นที่อยู่ในถุงเกรียมไปแล้วครึ่งอัน

                หากแต่เข้าใช้เวลาทั้งคืน นั่งผสมแป้ง นั่งถามแบคฮยอนถึงสูตรการอบ นั่งนวดแป้ง วางช็อคโกแลตชิปลงไป เซฮุนใช้เวลาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดเพียงเพราะคิดถึงใบหน้าดีใจของใครอีกคน



     

                แต่ยังไง เด็กนั่นก็ดูเหมือนดีใจตลอดเวลา มีความสุขอยุ่แล้ว จะมีหรือไม่มีรุ่นพี่อย่างเขา เด็กนั่นก็เฮฮาฮาดี ดูเหมือนมีความสุขดี

                ชานยอลก็เป็นแบบนี้นี่นา เขาไม่ได้ขอให้เซฮุนเปลี่ยนอะไร แล้วเซฮุนจะมีสิทธิ์ขอให้ชานยอลเปลี่ยนอะไรหรือแปล่า



     

                เราอาจจะเคยชอบกินอะไรเหมือนกัน..แต่ไม่รู้ทำไม

                เหมือนเซฮุนกับชานยอล จะก้าวห่างถอยกันไปทีละก้าว ทีละก้าวจนไกลห่างกัน

     

                อาจเป็นเพราะเซฮุนร้องไห้ หากเพียงแต่ทำไม ชานยอลก็ยังคงคิดว่าลมมันพัดเข้าตา

     




               

                [TBC]

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×