ตอนที่ 41 : Chapter 40 :: คุณและคุณเท่านั้น
:: คุณและคุณเท่านั้น ::
ความเงียบสงบของเมืองเล็ก ๆ ต่างจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่อย่างสิ้นเชิง ย่านถนนคึกคักยามค่ำคืนถูกแทนที่ด้วยความสงบในยามเช้า พระอาทิตย์ดูเกียจคร้านเกินกว่าจะโผล่ตัวให้พ้นเมฆ ไอหมอกจาง ๆ ลอยเอื่อยอยู่เต็มไปหมด ปกคลุมเมืองที่เงียบสงบตรงตามชื่อเมืองสามหมอกที่ใครหลายคนเรียกขาน
ร้านรถเข็นไม่กี่ร้านแฝงตัวอยู่ตามซอกซอยและมุมตึก จุดเล็ก ๆ ไม่กี่จุดมีชาวบ้านเดินกันขวักไขว่เริ่มต้นชีวิตยามรุ่งอรุณ โจ๊กให้หม้อใบเขื่องส่งควันลอยฟุ้งตัดกับอากาศเย็นยะเยือกสำหรับคนกรุงอย่างพวกเขา เสียงชาวบ้านทักทายกันด้วยภาษาไม่คุ้นหูดังมาจากที่ไกล ๆ คล้ายเป็นมนต์เสน่ห์ของเมืองที่สะกดผู้มาเยือนให้ลุ่มหลง
ผ้าห่มนวมผืนหนาไม่ได้ให้ความอบอุ่นมากเท่าร่างกายของอีกคนที่อยู่แนบชิด คงเป็นเพราะอาภรณ์ได้หลุดหายไปนานแล้ว จึงทำให้อิสริยะกระชับร่างนุ่มไว้แนบกายมิให้ห่าง เตียงขนาดเล็กที่ปกติใช้นอนเพียงคนเดียว บัดนี้มีถึงสองร่างนอนกอดเกยกันอยู่ หนำซ้ำยังมีที่เหลือพอให้อากาศมานอนเล่นได้อีกหลายอัตรา
ธนทัตลืมตาตื่น แม้ร่างกายจะอ่อนล้าจากความคิดถึงที่โหมกระหน่ำ แต่การลืมตามาพบใบหน้าคมคายอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว ก็ทำให้ความอ่อนแรงหายไปเป็นปลิดทิ้ง ภาพตรงหน้ายืนยันว่าเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้เป็นเพียงฝัน มันจะเป็นฝันไปได้อย่างไรในเมื่อเขามาที่นี่ในขณะที่เขารู้สึกตัวและรู้ตัวตลอดเวลา จนกระทั่งความรักที่อัดอั้นอยู่ภายในเรียกร้องให้เขาทำอะไรบางอย่าง เพียงเท่านั้นร่างกายก็ลอยคว้างอย่างไร้จุดหมาย ล่องลอยไปสูงก่อนจะถูกกระชากลงมาสู่พื้นโลกและพุ่งทะยานกลับขึ้นไปใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
KangSom :D
ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนเราจะมีความสุขได้ขนาดนี้ ผมโง่ทิ้งพี่ฮั่นมาได้ยังไง ผมโง่ทิ้งคนดี ๆ อย่างเขามา เพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสแย่งไปจากผมได้ยังไง ผมเห็นแก่ตัวใช่ไหมครับที่คิดแบบนี้ แต่ผมคิดอย่างนี้จริง ๆ ถ้าเกิดพี่ฮั่นไม่มาตามหาผม ถ้าหากพี่เขาตัดใจได้ ถ้าพี่ฮั่นให้โอกาสใครก็ไม่รู้มาอยู่ข้างกายแทนผม แล้วผมจะทำยังไง...
ผมคงไม่ทำยังไง เพราะผมคงทำอะไรไม่ถูก ผมคงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี คงได้แต่ยืนมองพลางนึกสมน้ำหน้าตัวเอง...
“ชอบคิดในใจนะเรา” เสียงห้าวดังขึ้นเล่นเอาผมสะดุ้ง ชอบว่าผมคิดในใจ ตัวเองก็ชอบแกล้งหลับเหมือนกันนั่นแหละ
“พี่ก็ชอบแกล้งหลับอยู่เรื่อย ตื่นนานแล้วเหรอ” พี่ฮั่นดึงผมเข้าไปกอดแน่น อะไรบางอย่างสะกิดผมเบา ๆ ที่ต้นขา...ห๊ะ! (แม่หมู//อะไรสะกิดเหรอ? อยากรู้ มุดผ้าห่มเข้าไปดูได้ป่ะ?) ถ้าแม่หมูเข้ามาผมถีบจริง ๆ ด้วย อย่ายุ่งกับพี่ฮั่นของผม (แม่หมู//ไม่ยุ่งกะพี่ฮั่น แม่หมูยุ่งกะน้องแกงก็ได้นะลูก) กับผมก็ไม่ต้องยุ่ง ออกไปเลยแม่หมู ผมบอกให้ออกไปไง!! ทำไมชอบให้ไล่จริงนะ!
“ก็ตื่นนะ” พี่ฮั่นทำท่าคิดก่อนจะพูดต่อ “ตื่นได้ที่เลยล่ะ แกงว่าไหม?”
มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มเลื่อนลงต่ำดึงผมให้รู้สึกถึงการตื่นของพี่ฮั่นมากขึ้น สายตามองผมอย่างมีความหมาย และผมก็ดันรู้ความหมายดีเสียด้วย แต่เวลานี้มัน... มันเช้าแล้วนะพี่ฮั่น แถมเมื่อคืนก็... ยังไม่พอหรือไงไอ้หมีหื่น!! โอ๊ย!! ผมอยากว่าพี่ฮั่นออกไปอย่างที่คิด แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมกลับไม่กล้า...ไม่กล้าห้ามและไม่มีแรงต่อต้าน
“พี่ฮั่น” ผมไม่รู้ว่าการเรียกพี่ฮั่นออกไปแบบนั้นจะทำให้พี่ฮั่นหยุดหรือทำให้ลุก... (แม่หมู//ลุกอยู่แล้ว ก็เห็น ๆ อยู่) แม่หมู!! ลุกอะไร อย่ามาหื่นแถวนี้ แค่ไอ้พี่หมีคนเดียวผมก็รับมือไม่ไหวแล้วครับ (แม่หมู//เอ้า! ก็แกงบอกว่า ลุก แล้วจะให้แม่หมูคิดเป็นอื่นไปได้ไง) ผมหมายถึงทำให้พี่ฮั่นลุกไปแต่งตัวต่างหากเล่า (แม่หมู//สาบานว่าแกคิดอย่างนั้นจริง ๆ ? ฉันว่าไม่) ผมเข้าใจอาการเพลียแม่หมูของพี่ฮั่นก็วันนี้แหละครับ ออกไปเถอะครับผมขอร้อง (แม่หมู//ไปก็ได้ย่ะ ไม่อยากขัดความสุขของน้องแกงหรอก บาย...)
ถ้าผมมีอาการขัดขืนบ้างก็คงดี แต่นี่... เมื่อคืนผมก็เป็นฝ่ายมาหาพี่ฮั่นถึงที่ เพราะกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปจะทำให้พี่ฮั่นเสียใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่ กลัวพี่ฮั่นจะจากผมไปจริง ๆ และยอมทำทุกอย่างให้พี่ฮั่นยกโทษให้ แล้วผมจะมีสิทธิ์ปฏิเสธอะไรก็ตามที่พี่ฮั่นต้องการเหรอครับ?
“เหนื่อยหรือเปล่า? ไหวไหม? ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะแกง ถึงพี่จะอยากรักแกงมากแค่ไหน แต่พี่จะไม่บังคับนายหรอกนะที่รัก พี่รอได้ ถึงพี่จะไม่อยากรอ...” น้ำเสียงเริ่มสั่นพร่าตามอารมณ์ที่เริ่มระอุ ความเย็นของอากาศถูกแทนที่ด้วยความร้อนรุ่มของร่ายกายอีกครั้ง ผมยังมีแรงพอจะปฏิเสธหรือเปล่า? ผมเองก็ไม่แน่ใจ
“ผมเหนื่อย...”
“แต่...” พี่ฮั่นพูดพร้อมเลิกคิ้วมองผม... หรือถ้าจะเรียกให้ถูก พี่ฮั่นกำลังจ้องริมฝีปากของผมที่กำลังสั่นน้อย ๆ ผมกัดปากตัวเองแน่นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก น่าแปลกที่ผมยังเป็นแบบนี้ทุกครั้งไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเดินทางมาไกลแค่ไหนแล้วก็ตาม
“กัดปากตัวเองทำไม...หืม?” คนเป็นพี่ถามแต่กลับไม่รอคอยคำตอบ เรียวปากอุ่นร้อนเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากที่ผมกัดถูกตวัดไล้ด้วยปลายลิ้น ก่อนจะค่อย ๆ รุกรานเข้ามา เรียกร้องสัมผัสที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า...
ก๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงรัวประตูจากข้างนอกทำให้สติกลับมาหาผมอีกครั้ง ผมรีบดันพี่ฮั่นออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี พี่ฮั่นซุกหน้ากับหมอนก่อนจะส่งเสียงคำรามอย่างขัดใจดังลั่น ผมมองคนเป็นพี่ด้วยความงง พี่ฮั่นยังไม่หยุดแค่นั้นแต่กลับทุบกำปั้นลงกับหมอนรัว ๆ อาการหนักจริงแฮะ
“อย่าให้ต้องพังประตูเข้าไปนะโว้ยไอ้พี่ฮั่น ไอ้แกงด้วย เคาะจนมือจะหักแล้วอย่าบอกนะว่าไม่ได้ยิน ข้างห้องออกมาด่าผมสองรอบแล้วเนี่ย” เสียงพี่โดม? ผมขำออกมาดังพรืด แต่ดูเหมือนจะมีแต่ผมคนเดียวที่ขำ เพราะพี่ฮั่น...อย่าที่บอกครับ แกอาการหนัก...
“ไอ้โดม!! มึง!! ไอ้ตัวขัดความสุข!! ไอ้ตัวขัดจังหวะ!! ไอ้ไม่รู้จักเวล่ำเวลา!! ทำไมมึงต้องมาตอนนี้!!” พี่ฮั่นระบายอารมณ์กับหมอนใบใหญ่ราวกับหมอนใบนั้นจะส่งกระแสความเจ็บปวดไปถึงพี่โดมที่อยู่ข้างนอกได้
“พี่โดม มี่บอกแล้วใช่ไหมให้มาสาย ๆ หน่อย ทำไมไม่เชื่อมี่” ไม่ได้มาคนเดียวซะด้วย แค่ได้ยินเสียงผมก็เห็นภาพแล้วครับ ว่ายัยมี่คงกำลังต่อว่าพี่โดมอยู่หน้าประตูเป็นการใหญ่
“สายกว่านี้ไอ้แกงมันเดินไม่ได้พอดี... อะไรล่ะมี่ ตัวเล็กอย่าตีพี่ ก็พี่พูดความจริงนี่นา”
“มัน...ใช่...เรื่อง...ต้อง...เอา...มา...พูด...ไหม” ผมได้ยินเสียงมีมี่พูดทีละพยางค์สลับกับเสียงโอ๊ยที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ของพี่โดม กว่ามี่จะพูดจบประโยคพี่โดมคงน่วมกินอร่อยพอดี (แม่หมู//ลูกหมูไม่ใช่กระท้อนจะได้ต้องทุบก่อนกิน แหม...) ผมหมายถึงหมูทุบต่างหากแม่หมู เอ้อ! นี่ก็ไม่รู้เรื่อง
“มึงไปสวีทกับตัวเล็กของมึงไกล ๆ กูหน่อยไม่ได้หรือไง ทำไมต้องมาขัดความสุขกูด้วย” ผมแอบขำพี่ฮั่นที่ยังคงโอดโอยกับหมอน สงสัยผมคงหัวเราะดังไปหน่อย คนที่เอาแต่เอาหน้าซุกหมอนจึงตวัดสายตามาทางผม เสียงพูดเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “หัวเราะพี่อยู่ได้ ไม่สงสารพี่บ้างหรือไงแกง ค้างนะ...มันค้าง... พี่จะไม่ทน”
“ทนหน่อยนะพี่ฮั่น ผมไม่หนีพี่ไปไหนอีกแล้ว ผมสัญญา เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะนะครับ ผมจะอยู่กับพี่จนเราเบื่อหน้ากันไปข้างนึงเลย”
“พี่ไม่มีวันเบื่อแกง” พี่ฮั่นปฏิเสธทันควัน ผมยิ้มรับกับคำพูดแสนจริงใจที่ได้มา ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละครับ เพราะผมไม่ยอมให้พี่ฮั่นเบื่อผมหรอก และผมเองก็ไม่มีทางจะเบื่อพี่ฮั่นได้
“ครับ...ผมรู้แล้ว” พอพูดจบผมก็ก้มลงไปหอมแก้มพี่ฮั่นเร็ว ๆ หนึ่งที ก่อนจะรีบตีหน้าซื่อไม่รู้ไม่ชี้ราวเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
พี่ฮั่นเบิกตากว้างพร้อมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองอย่างเลื่อนลอย เวลาหมีเขินก็ดูตลกดีนะครับ ผมอดหัวเราะกับท่าทางน่ารัก ๆ แบบนั้นไม่ได้ แต่ก็อดเขินไม่ได้เช่นเดียวกันที่ตัดสินใจทำลงไป จะว่าผมไม่เคยหอมแก้มพี่ฮั่นก็ไม่ถูกนักนะครับ มันก็มีเคยบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพราะแรงบังคับกลาย ๆ จากคนเป็นพี่ แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมตัดสินใจทำด้วยตัวเอง พี่ฮั่นพึมพำอะไรบางอย่างที่ผมพอจับใจความได้ว่า...
พี่จะไม่ทน
ไอ้พี่บ้า แล้วใครใช้ให้พี่ทนกันเล่า... (แม่หมู//ห๊ะ!!)
“เฮ้ย ไอ้คนข้างในอ่ะอย่าเงียบดิ! มาชวนไปกินข้าวครับ จะไปไหม หรือจะกินกันเองต่อ... โอ๊ย ถ้าตัวเล็กตีพี่อีกที พี่จะ... โอ๊ยยยย เออ ไม่จะก็ได้ ทำเลยแล้วกัน อ๊ากกกกก ไม่ทำจ้ะ ไม่ทำแล้ว มีมี่...อย่าทำร้ายร่างกายพี่ ไอ้พี่ฮั่น ไอ้แกง จะออกมาก็รีบออก ณโดมจะน่วมไปทั้งตัวแล้ว”
ผมส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าพี่ฮั่นจะเอายังไง มุมปากของคนเป็นพี่ยังขยับขึ้นลงพึมพำว่าตัวเองไม่ทนต่อ ผมว่า...ให้สองคนนั้นไปหาข้าวกินกันสองต่อสองอีกซักมื้อดีกว่า ไม่งั้นพี่โดมได้เป็นหมูถูกทุบจนน่วมอยู่หน้าห้องแน่ ส่วนหมีเพ้อที่นอนอยู่ข้าง ๆ ผมว่า...ผมรับมือได้อยู่แล้วแหละ
“ไปก่อนเลยครับ ผมกับพี่ฮั่นมีธุระสำคัญต้องจัดการต่อ” ก่อนจะลดเสียงลงจนเป็นเสียงกระซิบพอให้พี่ฮั่นได้ยิน “รู้สึกคนแถวนี้จะไม่ทนแล้ว”
Hunz :”)
ตลอดเวลาที่ผมอยู่คนเดียว ผมเฝ้าถามตัวเองตลอดว่าผมจะอยู่ได้ไหม ผมถามตัวเองด้วยซ้ำว่าผมจะสามารถหาใครมาแทนที่น้องได้หรือเปล่า คำตอบที่ผมหาให้ตัวเองได้คือ...
ไม่มีใครจะแทนที่ใครได้ ไม่มีใครทำให้ผมเป็นคนที่สมบูรณ์แบบได้นอกจากแกงส้ม ไม่มีใครทำให้ชีวิตที่เคยมีแค่หน้าที่กลายเป็นชีวิตที่มีสีสันได้นอกจากแกงส้ม ไม่มีใครทำให้หัวใจที่ไม่เคยคิดจะรักกลายเป็นสีชมพูได้นอกจากแกงส้ม คงมีแต่แกงส้ม...และแกงส้มคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมมีความสุขได้ขนาดนี้
จะอ้วกไหมครับ? ใครอยากอ้วกก็อ้วกไปเลย แต่ผมยืนยันว่าความรู้สึกนี้ของผมเป็นความรู้สึกจริง ๆ ที่จับต้องได้ การจากลาทำให้ผมรู้คุณค่าของการมีใครอีกคนอยู่ข้างกาย การไม่เข้าใจกันทำให้รู้ว่าความรักนั้นมีค่า พร้อมจะทำความเข้าใจ พร้อมจะให้อภัย และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน
ถ้าชีวิตของผมกับแกงส้มไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนี้ ไม่ได้ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาด้วยกันแบบนี้ ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ ว่าเราจะรักกันได้แบบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่า
ผมแอบนึกขอบคุณมีมี่ ที่พาแกงส้มหนีมาอยู่ในที่บรรยากาศดี๊ดี อากาศหนาวของเมืองเหนือเหมาะมากสำหรับเป็นข้ออ้างให้คนกรุงอย่างผมใช้ขอความอบอุ่นจากคนรัก วันนี้เป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวเลยบางตากว่าปกติ ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่วันก่อนแน่นขนัดไปด้วยคนจำนวนมหาศาล เวลานี้มีเพียงชาวต่างชาติไม่กี่คน อดีตบอดีการ์ดบัดนี้ผันตัวมาเป็นเชฟเต็มตัวแล้ว แกงส้มวุ่นวายอยู่ในครัวทั้ง ๆ คนอื่นดูผ่อนคลายเพราะปริมาณงานที่ไม่มากจนน่าปวดหัว เสียงบ่นเบา ๆ ดังขึ้นเป็นระยะจนผมเริ่มหวั่นว่าแกงจะทำครัวของที่นี่พังเสียให้ได้
คนจะเข้าไปกอด จะเข้าไปอ้อน เลยได้แต่ยืนกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่หน้าครัว เข้าดีหรือไม่เข้าดีวะฮั่น ดูน้องแกงจะตั้งอกตั้งใจกับเค้กเอามาก ๆ เลยซะด้วยสิ
“พี่ฮั่น...” ในที่สุดเชฟแกงส้มก็สังเกตเห็นผม...ซะที ยืนจนเมื่อยแล้วนะแกง กว่าจะหันมามองพี่ได้ “ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นฮะ เข้ามาสิพี่ มาชิมเค้กดู ผมลองทำตามสูตรในหนังสือที่พี่โดมซื้อมาให้ ไม่รู้จะอร่อยจริงหรือเปล่า ผมยังไม่กล้าชิมเองเลย กลัวหน้าตาดีแต่กินไม่ได้”
ผมมองเนื้อเค้กเนียนที่วางเรียงเป็นชั้น แทรกด้วยครีมสีขาวดูนุ่มละมุนลิ้น ตัดกับสตรอเบอร์รีสีแดงสดลูกโต ๆ ที่ผมจำรสชาติของมันได้ หวานแต่อมเปรี้ยว เนื้อนุ่มแต่มีความกรอบอยู่น้อย ๆ กระเพาะผมก็ส่งเสียงครวญครางออกมาทันที
“มันคือ...” มันคืออะไรผมเรียกไม่ถูก รู้แค่น่ากินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก.ไก่ยี่สิบแปดตัวไม่เชื่อนับเลย
“สตรอเบอร์รี่ชอร์ทเค้กฮะ เมื่อเช้ามีมี่ได้สตรอเบอร์รี่สด ๆ มาผมก็เลยจัดเลย พี่โดมกินไปสามชิ้น แต่ไม่ยอมพูดซักคำว่าอร่อยหรือเปล่า ผมเลยหมดความมั่นใจ” ห๊ะ! สามชิ้น! คงไม่อร่อยมั้งครับ ผมไม่แปลกใจเลยที่ไอ้โดมอ้วนเหมือนคนแถวนี้ (แม่หมู//ขยันแซะฉันจริง ๆ นะแก)
ผมมองเนื้อเค้กสีสวย ไม่รู้เป็นเพราะความบังเอิญหรือตั้งใจ สตวอเบอร์รี่ชิ้นโตที่อยู่ตรงหน้าดูแล้วคล้าย ๆ รูปหัวใจ ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าเค้กชิ้นนี้ทำขึ้นด้วยความรักที่แกงมีต่อผม... อ้วกอีกรอบเถอะ! ทำไมผมถึงได้กลายเป็นคนเลี๊ยนเลี่ยนได้ขนาดนี้ครับ หรือเป็นเพราะ... คนมีความรักมักจะดูเด็กลงไปนิดนึง...นิดนึง... (แม่หมู//เด็กกับเลี่ยนมันไม่ได้ใกล้เคียงกันเลยฮั่น เปลี่ยนเป็น คนมีความรักมักทำตัวเลี่ยนมากขึ้นนิดนึง...นิดนึง... ดีกว่าป่ะ?)
“ชิมสิฮะ ผมเก็บชิ้นนี้ไว้ให้พี่เลยนะ สตวอเบอร์รี่เป็นรูปหัวใจมีอยู่ชิ้นเดียวเลยน๊า” อุ๊ตะ! อุต่ะ! อุ๊ต๊ะ! อย่าบอกว่าแกงเก็บชิ้นที่เป็นหัวใจไว้ให้ผม โอ๊ย แฟนใครหนอกน่ารักแถมยังโรแมนติกอีกต่างหาก
“แล้วพี่จะกล้ากินเหรอ? แกงเล่นเก็บหัวใจไว้ให้พี่แบบนี้” ผมพูดพร้อมเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มกันด้วยความเขิน คาดหวังจะได้ยินประโยคหวาน ๆ ประมาณว่า หัวใจของแกงเป็นของพี่คนเดียวครับ หรือ ใจของผมเป็นของพี่ ผมให้พี่คนเดียวเท่านั้น อะไรแบบนี้ แต่...
“ถ้าพี่ไม่กิน ผมเอาไปให้พี่โดมกินก็ได้”
อ้าว! เฮ้ย! ไหงตัดบทงี้วะ! ไม่โรแมนติกเลยแกงส้ม พี่ขอถอนคำพูด เช้อ...มันน่าน้อยใจ
“แกงส้ม! ไม่โรแมนติกเลย ไม่เอา! พี่ไม่ให้แกงเอาหัวใจไปให้ใครนอกจากพี่ เข้าใจไหม พี่หวง...หึงด้วย แล้วจะโหดให้ดูถ้าแกงทำอย่างนั้น” รู้สึกเหมือนวิญญาณหมีเด็กเข้าสิงยังไงก็ไม่รู้ ตลกตัวเองเหมือนกันแฮะ ผมกลายเป็นคนงอแงอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ที่รู้แน่ ๆ ผมเป็นอย่างนี้เฉพาะกับแกงส้มคนเดียว
“พี่... ผมว่าพี่ชิมเหอะ” แล้วนี่ก็เปลี่ยนเสียงมาซะดุเชียว พี่กลัวนะ “ชิมครับ อย่างอแง”
ผมจ้วงเค้กคำใหญ่เข้าปากตามแรงบังคับบวกกับความอยากของกระเพาะ ทันทีที่เนื้อเค้กเนียนและครีมนุ่มสัมผัสกับลิ้น... อืม... รสหวานอ่อนติดปลายลิ้น บวกกับรสหวานอมเปรี้ยวของสตรอเบอร์รี่สด ๆ เค้กนุ่มเบาจนเกือบละลายในปาก การผสมผสานอย่างลงตัวของรสชาติและรสสัมผัสทำให้ผมตักคำต่อไปเข้าปากอย่างรวดเร็ว ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้โดมถึงกินไปสามชิ้นรวดโดยไม่บอกอะไรแกงส้มซักคำ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“เฮ้ย! ชิมแล้วบอกด้วยดิ คนทำนอยด์นะ มีแต่คนเอาแต่กิน ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่ยอมบอกอะไรผมซักอย่าง” ผมนึกขำกับความนอยด์ประหลาด ๆ ของเชฟคนใหม่ ดูหน้าคนกินก็รู้แล้วไหมว่ามันอร่อยแค่ไหน
“ลองเองไหมล่ะ จะได้รู้” ผมตักเค้กขึ้นมาคำโต... โตพอที่จะทำให้เนื้อครีมเลอะปากและจมูกของแกงส้มได้ นั่นแหละครับแผนของผม กินเลอะจะได้เช็ด พอดีผมเป็นคนชอบทำความสะอาดแกงส้ม
ดวงตากลมมองผมเหมือนรู้ทัน แต่...ผมเร็วกว่าครับบอกเลย ผมยื่นช้อนไปจ่อริมฝีปาก บังคับให้กินและบังคับให้เลอะ แกงส้มอ้าปากรับเค้กก้อนใหญ่เข้าไปเต็มคำก่อนจะเคี้ยวตุ้ย ๆ จนแก้มป่องออกทั้งสองข้าง บอกได้คำเดียวว่า...น่ารัก...น่าหอมเป็นที่สุด ว่าแล้วก็หอมเลยดีกว่า ผมจะเสียเวลาคิดทำไมนะ
ฟอดดดดดด
“อี้อั้นอ๋มอินเอ้กอยู่อ๊ะ” ฟังรู้เรื่องไหมครับ? ผมฟังรู้นะ พี่ฮั่นผมกินเค้กอยู่นะ แต่ผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ ร้ายจริง ๆ ไอ้ฮั่นเอ๊ย
“ใครใช้ให้พูดตอนมีของกินอยู่เต็มปาก อย่างนี้ต้องโดนลงโทษ” ด้วยการหอม... แน่นอนครับ ผมไม่บอก แต่ทำเลย
ฟอดดดดดด
“อี้อั้นนนน” อย่าพยายามแกงส้ม พี่ตักให้คำใหญ่เวอร์ ยังไงนายก็เคี้ยวไม่หมดเร็ว ๆ นี้หรอก นอกจากนายจะกลืนลงคอไปเลย ซึ่งนายทำไม่ได้ สตรอเบอร์รี่มันชิ้นใหญ่กลื่นไปได้ติดคอพอดี
“แน่ะ! พูดไม่ฟัง ต้องทำโทษอีก”
ฟอดดดดดด
“พี่ฮั่น...”
ฟอดดดดดด
“คราวนี้ผมกินหมดปากแล้วนะ พี่หอมผมทำไม” กินเร็วไปนะ พี่ยังหอมไม่สะใจเลย ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมก็หาเรื่องหอมน้องได้อีกเรื่อย ๆ แหละครับ ระดับอิสริยะแล้ว
“อยากหอม”
“พี่อ๊า! นี่มันในห้องครัวนะ” ผมดูเหมือนคนมีความหลังกับห้องครัวเหรอครับ? (แม่หมู//ถูกกกกกก) ไม่มีซะหน่อย เรื่องอื่นหรือเปล่า? ผมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องนี้แน่ ๆ อ่ะ
“เอาตรง ๆ นะแกง จะห้องไหนพี่ก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้นแหละ ดูสิ กินเลอะด้วย พี่เช็ดให้นะ” ผมบอกแล้วว่าผมวางแผนมาดี (แม่หมู//เรื่องอย่างนี้เก่งเชียวนะคะพี่ฮั่น) ผมก็ดูตัวอย่างจากแม่หมูมาแหละครับ ไอ้อาการหื่น ๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมเป็นในฟิคเรื่องนี้ ผมศึกษามาจากแม่หมูตุ้ยทั้งนั้น (แม่หมู//พี่ฮั่นคะ ช่วยรักษาภาพลักษณ์กุลสตรีของแม่หมูหน่อยเถอะ)
แกงรีบยกมือขึ้นเช็ดคราบครีมอย่างลวก ๆ ก่อนจะถอยกรูดไปจนชิดผนังด้านหนึ่งของครัว ผมกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ ท่าทางผมเหมือนไอ้หื่นขนาดนั้นเลยเหรอ?
“เช็ดออกหมดแล้ว อย่าเข้ามานะพี่ฮั่น นี่มันในครัวนะ พี่โดมกับมีมี่ก็อยู่ข้างนอกด้วย” จะเหตุผลหรือข้ออ้างผมก็ไม่สนทั้งนั้นแหละครับ ไอ้คู่นั้นมันไม่สนใจหรอกว่าผมจะทำอะไรแกงส้มที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง มันนั่งจู๋จี๋รำลึกความหลังกันอยู่ข้างนอกโน่น
“ไม่เห็นเป็นไรเลยแกง คนรักกันจะจู๋จี๋กันมันผิดตรงไหนล่ะจ๊ะที่รัก นะ ๆ ๆ ขอจุ๊บให้รางวัลเชฟคนเก่งของพี่หน่อยไม่ได้เหรอ ถ้าผันตัวมาเป็นเชฟตั้งแต่แรก ป่านนี้เปิดร้านใหญ่โตไปแล้ว ไม่ต้องไปถือปืนวิ่งหนีผู้ร้ายเอาตัวเองไปบังกระสุนให้ใครแบบที่เคยทำมา”
“ไม่ใช่หน้าที่เอาตัวไปบังกระสุนให้คนอื่นหรอกเหรอครับ ที่ทำให้เรามาเจอกัน ถ้าผมเป็นเชฟตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้ผมกับพี่อาจเป็นแค่คนไม่รู้จักกันก็ได้นะ” น้องตอบยิ้ม ๆ ท่าทีต่อต้านเริ่มลดลง ผมรีบเดินเข้าไปใกล้ ดึงน้องมากอดเอาไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“ขอโทษ...พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น พี่หมายถึง พี่ไม่อยากให้แกงไปเสี่ยงอันตรายเพื่อใครอีก พี่เป็นห่วง...”
“ไม่เอาน่า อย่าทำเสียงอย่างนี้สิพี่ฮั่น ผมไม่ได้น้อยใจอะไรซะหน่อย ไหงกลายเป็นผมต้องเป็นคนมาปลอบพี่ล่ะ เมื่อกี้พี่ยังจะทำมิดีมิร้ายผมในห้องครัวอยู่เลย พี่ต้องเป็นคนมาปลอบผมสิถึงจะถูก ไอ้หมีอารมณ์แปรปรวนเอ๊ย”
“เออ จริงสินะ” ผมยอมรับออกมาเบา ๆ กอดรัดความสุขที่มีตัวตนอยู่ตรงหน้าไว้แนบกาย “แล้ว...ตกลงแกงจะทำอะไรต่อ แกงจะคิดถึงอาชีพบอดีการ์ดของแกงอีกไหม”
“ก็...ดูแลพี่ไงพี่ฮั่น”
“แต่พี่ไม่ต้องการบอดีการ์ดแล้วนะ” ผมไม่ต้องการบอดีการ์ดอีกแล้ว ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน ผมไม่ต้องการให้ใครอื่นเข้ามาในชีวิตผมเหมือนที่แกงส้มเคยทำ ไม่ต้องการใครอีกแล้วจริง ๆ
“ก็ดูแลพี่ในฐานะอื่นไง” ประโยคคำตอบเบากว่าประโยคแรกหลายเท่าแต่ผมกลับได้ยินชัด ผมอมยิ้มกับความหมายที่ผมเข้าใจ ฐานะอื่น...ฐานะคนรัก คิดแบบนี้แล้วหัวใจมันพองโตดีจริง ๆ “แล้วก็... อาจทำขนมด้วยมั้งครับ แต่ผมว่าผมไม่มีเวลาทำเป็นอาชีพหรอก เพราะดูเหมือนผมจะต้องรับตำแหน่งเลขาต่อจากพี่โดม”
“เออ...จริงสินะ” ไอ้โดมคงไม่กลับไปถ้าตัวเล็กของมันไม่กลับด้วย ครอบครัวของมีมี่อยู่ทางนี้ กิจการที่ทำอยู่ก็มีให้ดูแล สงสัยผมต้องรับเลขาใหม่ที่ไม่ใช่คนอื่นคนใกล้เข้ามาทำงานเสียแล้วครับ รับรองว่าเลขาคนนี้จะต้องทำงานกับผมตลอดเวลา ตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมง (แม่หมู//สงสารแกงบ้าง ตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่ ไม่ไหวนะ...) แม่หมูคิดอะไรครับ! แหม! ถ้าแม่หมูจะหื่นถึงบทสุดท้ายขนาดนี้นะ
KangSom :D
เวลาพักผ่อนของพี่ฮั่นใกล้หมดลงเต็มแก่ ความจริงท่านประธานใหญ่จะไม่อยู่สักเดือนสองเดือนก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรหรอกครับ แต่งานในบริษัทมันจะไม่เดินเอาน่ะสิถ้าขาดหัวเรือใหญ่บัญชาการ ไหนจะคุณมี๊สุดที่รักของพี่ฮั่นที่กำลังจะกลับมาเยี่ยมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอีก วันเดินทางกลับกรุงเทพของผมกับคนเป็นพี่จึงถูกกำหนดเอาไว้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตั๋วเครื่องบินที่ก่อนหน้าเป็นชื่อพี่โดมถูกเปลี่ยนเป็นชื่อผม เพราะคนที่เอาแต่อ้างว่าขายังไม่หายอยากอยู่พักกายพักใจที่นี่ต่อ
“จะให้บอกกี่ครั้งว่ายังไม่กลับ ขายังไม่หาย เดินยังไม่ถนัด พี่จะใช้งานผมแล้วหรือไงพี่ฮั่น” พี่โดมโวยขึ้นบนโต๊ะอาหารเย็นที่พวกผมลากออกมากินกันในสวนหลังบ้าน น้ำในหม้อเดือดปุด ๆ ผิดกับอากาศที่เย็นจนเสื้อตัวหนาตั้งสองชั้นยังเอาไม่อยู่ หมูและผักถูกตักไว้จนพูนชามชนิดที่ผมไม่เข้าใจว่าพี่โดมจะรีบกั๊กไว้ทำไม ในเมื่อวัตถุดิบมากมายที่มีมี่เอามาทำสุกี้กินกันในวันนี้ดูเหมือนจะเลี้ยงคนทั้งเมืองปายได้อยู่แล้ว
“อยากอยู่อ้อนสาวต่อก็บอกมาเถอะไอ้อ้วน ไม่ต้องเอาเรื่องขามาเป็นข้ออ้าง พี่เห็นแกเดินปร๋อทั่วปายตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วละ” ถ้าพี่ฮั่นไม่พูด ผมคงไม่รู้ว่าเวลาผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว ช่วงเวลาของความสุขมันผ่านไปเร็วอย่างนี้เสมอเหรอครับ? ผมอยากยื้อเวลานี้ออกไปจริง ๆ แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าไม่มีใครยื้อหรือซื้อเวลาที่ผ่านไปแล้วกลับคืนมาได้ เมื่อวันที่ผมตัดสินใจพลาดไป ทำให้ผมรู้ว่าผมต้องทำทุก ๆ วันของผมให้เป็นวันที่ดีที่สุด ทั้งสำหรับผม และสำหรับหัวใจของผม
“ดูไอ้พี่ฮั่นมันพูดสิตัวเล็ก พูดเหมือนรู้เลยเนอะว่าวัน ๆ เราทำอะไร” พี่โดมหันไปอ้อนสาวข้างกายโดยไม่ได้สนใจสายตาอีกสองคู่ที่มองอยู่สักนิด แถมไม่สนอีกต่างหากว่าคนที่พูดด้วยจะมีท่าทียังไง เพื่อนผมดูเอือมมากกว่าอาย มีมี่ส่ายหน้าเร็ว ๆ ก่อนจะคีบหมูชิ้นใหญ่ที่เพิ่งขึ้นมาจากหม้อร้อน ๆ ยัดใส่ปากพี่โดม
“อ๊ากกกกก ร้อนนะมี่” พี่โดมโวยเสียงลั่น แต่พี่ฮั่นกลับหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ แถมยังออกปากชมคนที่นั่งตรงข้ามว่าแบบนี้แหละที่จะจัดการพี่โดมอยู่หมัด ผมว่ามีมี่จัดการพี่โดมได้มาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้วล่ะครับ ไม่อยากนั้นเลขาที่เถียงเจ้านายได้ไม่เว้นแต่ละวันคงไม่เชื่อฟังแม้กระทั่งสายตาของโดเรมี่ของเขาขนาดนี้
“กินซะนายอ้วน จะได้ไม่ต้องพูดมาก”
“นายอ้วนอีกละ ขัดใจทีไรพี่โดมกลายเป็นนายอ้วนตลอด เออ ใช่ซี่ ยัยแปดหลอด”
“พี่โดม มี่ไม่ใช่ยัยแปดหลอดนะ เมื่อไหร่จะเลิกเรียกแบบนี้ซะที แล้วนี่ยังมาเรียกต่อหน้าคุณฮั่นกับ KS อีก ไอ้พี่โดมเรม่อนอ้วน! ไม่กินแล้วใช่ไหมสุกี้ ได้...เดี๋ยวมี่จะยกไปเก็บเดี๋ยวนี้แหละ” มีมี่ลุกพรวดขึ้นพร้อมตั้งท่าจะยกหม้อสุกี้หนีอย่างที่พูด ผมกับพี่ฮั่นรีบตะครุบหม้อตรงหน้าไว้แทบจะพร้อมกัน
“เฮ้ย! ตัวเล็กอย่าพาลดิ กินอยู่ ห้ามเก็บนะ นั่งลงเลย ไม่เรียกยัยแปดหลอดแล้วก็ได้ นั่งลงนะตัวเล็กนะ” พี่โดมดึงแขนเพื่อนผมอยู่สองสามทีมีมี่ก็ยอมนั่ง หม้อสุกี้ปลอดภัยจากการถูกอพยพผมกับพี่ฮั่นก็กินต่อได้อย่างสบายใจ แต่ดูเหมือนอีกคู่จะยังไม่มีอารมณ์สนใจของกินในตอนนี้ เพราะพี่โดมกับมีมี่ยังเถียงอะไรกันไม่จบไม่สิ้น ผมนั่งขำกับภาวะมุ้งมิ้งปนจิกกัดที่ไม่เหมือนใคร คู่นี้สมน้ำสมเนื้อแบบที่พี่ฮั่นว่าจริง ๆ ด้วยครับ
“ตื่นเต้นไหม จะได้เจอมี๊แล้ว” พี่ฮั่นถามขึ้นหลังจากอาหารมือใหญ่ผ่านไป ผ้าผืนใหญ่ถูกตวัดคลุมกายเอาไว้พร้อม ๆ กับวงแขนที่ดึงผมเข้าไปให้เพื่อให้ไออุ่น
“นิดนึงครับ แล้วพี่ฮั่นจะแนะนำผมให้มี๊รู้จักในฐานะอะไรฮะ” ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงพูดได้ไม่ยากว่าผมเป็นบอดีการ์ดของคุณอิสริยะ ประธานกรรมการบริษัท Bear Hug จำกัด แต่ตอนนี้...
“ก็บอกไปตามความจริงไงไม่เห็นจะยาก” บอกไปตามความจริง แล้วถ้ามี๊เป็นลมล้มตึงไปต่อหน้าต่อตาผมจะทำยังไงล่ะครับ ราวกับพี่ฮั่นอ่านออกว่าผมรู้สึกอย่างไร เสียงห้าวจึงรีบพูดต่อ “พี่บอกมี๊ไปแล้วว่าพี่รักแกง ขอให้มี๊เข้าใจ และยอมรับในความรักของเรา แกงอย่าลืมสิ มี๊เป็นคนก่อตั้งบริษัทหาคู่นะ มี๊อยากให้ทุกคนได้เจอความรักดี ๆ ไม่ว่ารักนั้นจะเป็นความรักในรูปแบบไหน แค่รักก็พอแล้ว... มี๊พี่อยากเจอแกงมากนะ ถามพี่ใหญ่เลยว่าน้องแกงชอบอะไรไม่ชอบอะไร จะได้หาของมารับขวัญลูกชายคนใหม่ได้ถูก อีกไม่นานพี่ได้กลายเป็นลูกชายหัวเน่าแน่ ๆ ”
ผมยิ้มออกมาได้เมื่อได้ยินคำยืนยันจากพี่ฮั่น จริงสิ...ผมลืมไปได้ยังไงว่ามี๊เข้าใจความรักมากแค่ไหน
“ว่าแต่แกงเถอะ ที่บ้านแกงจะว่ายังไงถ้าเกิดพี่เข้าไปแนะนำตัวว่า คุณพ่อครับ...คุณแม่ครับ...ผมรักแกงส้มครับ”
“ก็...คงเป็นลมก่อน แล้วค่อยลุกขึ้นมาคุยกับพี่มั้งฮะ” ผมพูดติดตลกแต่พี่ฮั่นกลับยู่หน้า “ผมไม่รู้หรอกนะว่าพ่อกับแม่จะว่ายังไง แต่...ผมว่าท่านต้องเข้าใจเรา พ่อบอกผมเสมอว่าพ่อไม่ต้องการอะไรนอกจากให้ผมเป็นคนดีและมีความสุข ผมว่าผมก็เป็นคนดีอยู่นะ แล้วการมีพี่อยู่ในชีวิตก็เป็นความสุขของผม ท่านคงฟังเหตุผลของเรา”
ผมไม่รู้จริง ๆ ครับว่าครอบครัวผมจะว่ายังไง แต่คงไม่เสียหายอะไรถ้าผมจะคิดในแง่ดีไว้ก่อน
“นี่เรามีเรื่องจะต้องสู้ไปด้วยกันอีกเรื่องนึงแล้วใช่ไหม”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละพี่ แต่คราวนี้เราจะสู้ไปด้วยกัน ไม่มีใครหนีใครไปไหนอีกแล้ว ผมสัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
สำหรับผม...นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น ไม่ใช่บทสรุปของเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น แต่เป็นการเริ่มบรรเลงเรื่องใหม่ ๆ ที่กำลังจะเข้ามาในชีวิต ผมนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ดลใจให้ผมมาเป็นบอดีการ์ด ขอบคุณโชคชะตาที่พาให้ผมได้มาดูแลพี่ฮั่น ขอบคุณหน้าที่ ที่พาความใกล้ชิดมาให้ ทำให้ผมได้รู้จักและรู้ใจผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่มีค่ามากมายเกินกว่าเส้นกรอบของสังคมจะมีความหมาย แม้ตอนแรกสิ่งที่ผมทำจะเป็นเพียงหน้าที่ แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ล้วนเกิดจากความรู้สึกในหัวใจทั้งสิ้น
จากนี้ไปจะไม่ใช้ผมที่ต้องดูแลพี่ฮั่นตามหน้าที่ แต่จะเป็นเราสองคนดูและกันและกันจากหัวใจ และเราจะไม่ทิ้งกันไปตราบเท่าที่ลมหายใจของเรายังมี
เหตุการณ์ต่อจากนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสี่ยงอันตราย อาจไม่มีปืนผาหน้าไม้มาเกี่ยวข้อง อาจไม่ต้องเสียเลือดหรือเจ็บตัว แต่จะต้องใช้ความรักและความเข้าใจประคับประคองชีวิตที่เราตั้งใจจะใช้ร่วมกันไปให้ตลอดรอดฝั่ง
สำหรับผม สำหรับตอนนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ แค่มีคนที่ผมรักและรักผมอยู่เคียงข้างกัน พร้อมจะเรียนรู้และเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยกัน แค่นี้ก็เพียงพอ
The beginning of never ending story
… Bear Bodyguard …
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แม่หมู // ห๊ะ!! จบแล้วเหรอ??? ตอบเลยว่า จบแล้วค๊าาาาาา ปรบมืออย่างอลังการงานสร้างงงงงง (แต่เดี๋ยวค่ะ ยังมีตอนพิเศษอยู่ อย่าเพิ่งรีบหนีไปไหน)
ขออภัยก่อนเลยที่ยังไม่สามารถแจ้งราคาฟิคและการโอนเงินได้ สัญญาจะแจ้งภายในวันอาทิตย์นี้นะคะ สัญญาจริงๆพร้อมตอนพิเศษน่ารักๆ เอาเป็นว่าเราค่อยร่ำลากันในบทหน้าก็แล้วกันเนอะ
สำหรับท่านที่ทวงถามมาเรื่องของตอนที่แล้วว่าจะจบให้มโนต่อกันเองจริงๆหรือ? แม่หมูขออนุญาตมโนต่อให้ในรวมเล่มนะคะ สำหรับท่านที่สั่งจอง ขอบอกไว้เลยว่าแซ่บ ตอนพิเศ๊ษพิเศษก็แซ่บค่ะ (ไม่ค่อยอวยตัวเองเลย) ขึ้นชื่อว่าแม่หมูหื่น เอ๊ย แม่หมูตุ้ย (คิดว่า)ไม่ทำให้รีดผิดหวังอยู่แล้ว
วันอาทิตย์ก่อน The Voice มา มาบอกลากันสำหรับ Bear Bodyguard นะคะ
ปล.แม่หมูเคยบอกไปว่าหลังเรื่องนี้แล้วคงไม่ได้แต่งฟิคฮั่นแกงที่เป็นเรื่องยาวต่อ แต่จะแต่ง SF บ้างเป็นระยะ เพราะมีโปรเจ็คนิยายอีกเรื่องที่จะแต่งต่อให้จบ คู่รองจากเรื่องนี้จะได้เป็นพระเอกนางเอกเต็มตัวซะที โปรโมทเบาๆนะคะ แม่หมูเข้าใจว่าหลายท่านอ่านฟิค Y แล้วกลับไปอ่านชายหญิงไม่ได้ ไม่เป็นไรค่ะ แม่หมูเข้าใจ แต่สำหรับท่านใดอยากอ่านนิยายน่ารักอบอุ่น แม่หมูหยิบคาแร๊กเตอร์ของพี่โดม(เติมแต่งหลายอย่าง ไม่ใช่โดมจาร์ที่เรารู้จักกันซะทีเดียว) และ น้องมีมี่(ปนเจ๊เจนจากเรื่อง Bear Family) เข้าไปหน่อย ไปเปิดนิยายอีกเรื่อง "ดวงตะวันกลางสายฝน" ฝากติดตามด้วยนะคะ
ไม่อยากปิดตายว่าจะไม่แต่งฟิคฮั่นแกงอีก เพราะความจริงพล็อตมีในหัวแล้ว แต่ไม่แน่ใจจะมีเวลาหรือไม่ ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะคะ
>w<
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอ๊ะหรือว่าเครียดกว่าเก่า 5555555555 เมื่อถตอนเศร้า ชีวิตก็ดราม่าสุด เก๊าร้องไห้อีกแล้ว
เมื่อถึงตอนสุข เก๊าบอกเลยว่าเค้าเขินแทนตัวละครอ้าาา แล้วยิ่งฉากบนเตียง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง -..-
แม่หมู มันน่ารักเฟ่อร์อ่ะ มีกินเค้ก แกงไม่น่ารีบเช็ดเลย อยากรู้วิธีพี่ฮั่น 555555555
รอ รวมเล่มนะฮ้าฟฟ
ปล.ไม่อยากลาแม่หมู.
จบแล้วหรอ แม่หมู เก๊าอยากอ่านต่อ เก๊าชอบเรื่องนี้มากกกก
ขอบคุณนะคะ สำหรับตัวอักษรทุกตัวที่แม่หมูพิมพ์ลงมาให้พวกเราอ่าน
ขอบคุณมากๆ รักแม่หมู จุ๊บๆ :D
จบจริงเหรอค่ะ แล้วก็ได้ไม่ได้อ่านฟิคฺฮั่นแกงจากแม่หมูอีกแล้วเหรอค่ะ เสียดายเหมือนกันเนอะ
ขอบคุณนะคะที่เขียนฟิคฮั่นแกงให้ได้อ่านกัน รอติดตามต่อนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หนูจะอดใจรอในเล่มนะคะ
เวลามโนภาพตามนี่อบอุ่นมากเลย
เห็นรอยยิ้มของพี่ฮั่นน้องแกง
โมเมนต์เก่าๆ ก็วนกลับมาให้เรานึกถึง
ให้เรามีรอยยิ้มได้เนอะ
เดินทางมานานเหมือนกัน
ฟิคเรื่องนี้มีหลายฟีลมาก
ความเชื่อมั่นของคนสองคนทำให้เราอมยิ้มไปกับตัวหนังสือ
ปล.ยังรอตอนพิเศษต่อไปนะคะ
ขอตอนพิเศษอีกหลายๆตอนได้มั้ยอ่ะ
เจอกันตอนหน้านะแม่หมู
เลื่อนลงมาจะเม้นท์ ตกใจกะ กรี๊ดน้องกวาง 555
เปรี้ยวปากอยากแซ่บกับตอนที่ว่าในเล่ม มโนเองไม่ไหว ห๊ะ !!
พูออะไรออกไปเนี่ย อิอิอิ
จบได้ Happy มาก รีดก็มีความสุขกับทั้งสองคู่เลยจ้า
น้องโดมแอบขโมยซีนหลายตอนเลย น่ารักอ่ะ
ยังอยากให้แม่หมูแต่งฟิคพี่ฮั่นน้องแกงอีกอ่ะ ถ้าพอมีเวลาจัดมาอีกนะจ๊ะ
จะรอตอนพิเศษนะจ๊ะ รักแม่หมูจ้า ^^
ทำฮั่นแกงอีกสักเรื่องเถอะค่ะ
ยอมรับว่าอ่านฟิควายแล้วกลับไปอ่าน ช-ญ ไม่ได้จริงๆ
กระทั่ววายคู่อื่นก็อ่านแล้วไม่อินค่ะ
รักแม่หมูนะ
รักฟิคเรื่องนี้
ถึงแม้ว่าจะเริ่มอ่านฟิคได้ไม่กี่เดือน
แต่เรื่องนี้เป็นหนึ่งในใจเลยนะคะ
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
กรี๊ดก่อน...เดี๋ยวมาอ่านนะ !!!!! 555+