ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { sehun x luhan } .ผู้จัดการของผม

    ลำดับตอนที่ #6 : [ SEHUN x LUHAN ] CHAPTER FIVE

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.41K
      48
      2 ต.ค. 56

    [ SEHUN x LUHAN ] CHAPTER FIVE

     

     

     



     

     

                หลังจากเสร็จงานถ่ายสกู๊ป ที่ผมมีใบหน้าที่เปล่งประกายแบบออร่าสุดๆจนตากล้องถึงกับต้องเอ่ยปากชม(สาเหตุคงเป็นเพราะผู้จัดการคนใหม่) พี่แจซอกก็ใส่เกียร์หมาบึ่งรถตู้คู่ใจมาส่งผมและก็ลู่หานทันเวลาก่อนที่อาจารย์คิมยูฮันจะปิดประตูรั้ว

                เป็นการมาเรียนพร้อมลู่หานครั้งแรก . . และเป็นวันที่แฟนคลับสาวที่ปกติจะมาเฝ้าถอดใจกลับไปหมดแล้ว วันนี้เลยเป็นอะไรที่โล่งสุดๆทั้งหน้าประตูโรงเรียนและก็ใจของผมเอง

                ผมกับลู่หานหายใจหอบแฮกขณะขึ้นบันไดไปยังห้องเรียนที่น่าจะเริ่มเรียนกันแล้ว ตอนที่มาถึงหน้าห้องลู่หานยื่นกระดาษทิชชูมาให้ผมด้วย เห้ยยยย . . นี่จะทำให้ฟินไปถึงไหนครับลู่หาน! ตั้งแต่เช้ามืดยันเวลาสายแบบนี้!

                “ผู้จัดการต้องเอาใจใส่ ฉันทำถูกใช่มั้ย” เขาถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ สวรรค์ชั้นฟ้าของผมพังครืนลงมาแทบจะในทันที นึกว่าเขาเป็นห่วงเป็นใย ที่ไหนได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ . .

                . . ซึ่งผมฉลาดพอที่จะฉวยโอกาส “เปล่า ผู้จัดการไม่ใช่แค่ยื่นให้ ต้องซับให้เลย”

                “หา” เขาร้องด้วยเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อ

                “ซับเร็วเข้า นี่ถ้ามีรูปฉันเหงื่อเกาะพราวก่อนเข้าห้อง ฉันโดนแฟนคลับแซะไปยันลูกฉันบวชแน่ๆ” ตีไข่ใส่กะละมังเข้าไปด้วยความเมามัน ผมพูดด้วยสีหน้าเรียบและแน่นอนว่าดูจริงจังสุดๆ ซึ่งนั่นอาจทำให้ลู่หานเชื่อผมได้

                และเขาก็เชื่อจริงๆ “ก็ได้” ทิชชูอันนั้นเขาเอามาซับให้ผมเบาๆ “นายก้มหน้าลงมาหน่อยสิ จะสูงไปไหนวะ”

                ผมเม้มปากอย่างยิ้มๆ ก่อนที่จะก้มหน้าให้เขาซับใบหน้าให้ ผมมองหน้าเขาในระยะใกล้ด้วยสายตาที่คุณเองก็น่าจะรู้ว่าผมมองยังไง . . มันต้องลึกซึ้งกว่ามองคนอื่นแน่นอน

                ลู่หานเลื่อนสายตามาสบกับตาของผม เขาหลบตา และเขาก็โยนทิชชูใส่หน้าผมซะงั้น

                “สายแล้ว” เขาบอก และเขาก็เดินนำหน้าเข้าห้องเรียนไปเลย

                ผมยิ้มให้กับตัวเอง ล้วงกระเป๋ากางเกง และก็เดินเข้าไปในห้องเรียน ที่มักจะเงียบและพร้อมใจกันหันมามองทุกครั้งเวลาผมเข้าห้องเรียน วันนี้ก็เช่นกัน . .

                แต่วันนี้ผมมีความสุขมากจริงๆ . .

                วิชานี้เป็นวิชาชีววิทยาที่ผมค่อนข้างที่จะไม่สนใจ . . ผมเลยนั่งนิ่งๆเอาคางฟุบโต๊ะ และก็เล่นโทรศัพท์ ลู่หานหันมา ตอนแรกเขาทำหน้าเบ้ใส่ และหลังจากที่เขาหันมาอีกครั้ง ผมก็ถูกยึดโทรศัพท์ซะงั้น!

                “ได้ไง!” ผมบ่น

                ลู่หานไม่ตอบ เขาก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนต่อไป โดยมีผมนั่งเซ็งและซึมกะทืออยู่ข้างหลัง

                จนกระทั่งถึงตอนเปลี่ยนคาบ วันนี้ห้องผมมีเรียนพลศึกษาที่สนามด้วย(ที่ผ่านมาเรียนทฤษฎี) ผมเครียดทันทีที่เริ่มเห็นเพื่อนร่วมห้องหยิบชุดออกมาเตรียมที่จะไปเปลี่ยนเป็นชุดพละ บางคนก็ไปเอาออกมาจากห้องล็อคเกอร์ ผมก็มีเหมือนกันนะครับล็อคเกอร์น่ะ แต่ใส่ของเอาไว้ไม่ได้จริงๆเพราะจะโดนขโมยของตลอด และทุกครั้งที่เปิดออกมา ผมจะพบกับจดหมายรักจากแฟนคลับและก็ของขวัญวางอยู่จนล้นตู้

                “โดนบ่นแน่” วิชานี้สอนโดยอาจารย์คิมยูฮัน . . .

                “เอ้านี่” ลู่หานยื่นถุงชุดมาให้

                “เห้ย” ผมตกใจมาก “อะไรอ่ะ”

                “ชุดพละของนาย”

                “นายเอามาจากไหน”

                “ห้องแต่งตัวนาย”

                “นายหยิบมาเผื่อเหรอ”

                “อื้อ ก็ฉันรู้ว่านายไม่มีเวลา” ลู่หานพูดเสร็จก็เดินหนีไป ทิ้งให้ผมนั่งประทับใจอยู่ข้างหลัง แต่ประทับใจได้ไม่นานนัก เพราะผมก็ต้องรีบเปลี่ยนชุดเหมือนกัน

                ผมกับลู่หานออกมาจากห้องเปลี่ยนชุดพร้อมกัน ท่ามกลางความมึนงงของเพื่อนร่วมห้องทุกคน ทำไมวะ ดารามันจะมีเพื่อน(ที่อยากให้เป็นแฟน)บ้างไม่ได้หรือไง ทำไมต้องมองขนาดนั้นด้วย อ้อ ที่ลู่หานออกมาพร้อมผม เพราะเขาต้องเฝ้าหน้าห้องเปลี่ยนชุด กลัวมีคนแอบถ่ายผมน่ะ อันนี้ผมไม่ได้บอกเขานะครับ เขาเป็นคนพูดเอง ให้ตายสิ เรียนรู้งานได้เร็วโคตรรรรร . . หรือลู่หานเกิดมาเพื่อที่จะมาเป็นผู้จัดการ(ในใจ)ผม

                “ลู่หาน โอเซฮุน อย่าชักช้า” อาจารย์คิมยูฮันเรียกพร้อมๆกับแผ่นชาร์ตเช็ครายชื่อ ผมกับลู่หานต่อแถวข้างหลังสุดเพราะมาช้าที่สุด “อ้อ โอเซฮุน แมกกาซีนเล่มใหม่นายหล่อดีนะ”

                “โหวววว อาจารย์อ่าน S OFFICIAL ด้วยเหรอ” นักเรียนหญิงร้องแซว

                “เมียฉันอ่าน”

                ตรงจนนักเรียนเงิบ . .

                “เออใช่เธอได้อ่านบทสัมภาษณ์เขาป่ะ อยากรู้จังใครคือรักครั้งแรกของเซฮุนT____T

              “เธอก็ไปถามเขาเองสิยะ!

              “จะบ้าเหรอ ดูหน้าเขาสิน่ากลัวจะตาย แต่ก็ . . ล้อหล่อ”

              “เซฮุนบอกว่าเป็นหน้าตาสวยจิ้มลิ้ม ผิวขาว ตาโต ขนตายาว สูงร้อยเจ็บสิบกว่าๆ ชะนีที่ไหนกันทำไมเพอร์เฟ็ค!

              “พอแล้ว เขาได้ยินนะยะ!

              “รักครั้งแรกก็แค่ครั้งแรก ฉันจะขอเป็นคนสุดท้าย!

              ให้ตายเถอะครับคุณเพื่อนร่วมห้องบวกแฟนคลับ นี่ผมยืนอยู่ใกล้คุณแค่สองเมตรเองนะ T_T ผมได้ยินทุกคำที่พวกเธอพูด แต่ทำเป็นมองข้างหน้าราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรเลย ผมไม่ได้บอกกับทีมงานเอสออฟฟิเชี่ยลซักหน่อยว่าเป็นผู้หญิงน่ะ ถึงแม้ว่าจะฟังดูคล้ายๆผู้หญิงก็เถอะ

                ก็คนตรงหน้าของผมนี่ไง . . รักครั้งแรกของผมเอง

                เขาสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ ผิวขาวสวย ใบหน้าจิ้มลิ้มเอามากๆ ทั้งดวงตากลมโตขนตาเป็นแพยาว ริมฝีปากเล็ก จมูกรั้นนั่น ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนผสมที่ลงตัว

                สวย . . ตอนเด็กสวยยังไงตอนโตก็ยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก ผมบอกพวกคุณแล้วใช่มั้ยว่าคนนี้อ่ะ . . โดน คนนี้อ่ะ . . ใช่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ฝังใจมาจนถึงหกปีได้หรอก

                “เอาล่ะๆๆ เงียบๆกันหน่อย” อาจารย์คิมยูฮันห้ามปรามนักเรียนหญิงที่เริ่มพูดคุยกันเสียงดังขึ้น “จะเรียนกันมั้ยเนี่ย”

                “เรียนค่ะ/ครับ”

                “ดี” อาจารย์คิมยูฮันเริ่มเดินระหว่างแถวของนักเรียน “พวกเธอเรียนทฤษฎีกันไปแล้วใช่มั้ย”

                ทุกคนพร้อมใจประสานเสียงกันตอบ

                “หวังว่าจะจำกันได้ แต่ทฤษฎียังไงก็ไม่สู้ปฏิบัติจริง วันนี้เราจะมาปฏิบัติกัน ใครป่วย ใครไม่สบาย นักเรียนหญิงมีปัญหารอบเดือน

                การเรียนพละในคาบนี้คือการฝึกท่าออกกำลังกายประจำวัน สบายปรื๋อมากขอบอก พี่แจซอกบังคับให้ผมเล่นฟิตเนสบ้างแต่ไม่ถึงกับต้องเพาะเลี้ยงกล้าม แค่เล่นให้ร่างกายแข็งแรงและดูดีเท่านั้น ลู่หานก็ดูเหมือนจะแข็งแร็งดีเหมือนกัน เขาดูไม่มีปัญหาในการออกกำลังกายเลย

                ที่สำคัญ . . เขายืนอยู่ข้างผมไม่ห่างด้วยล่ะ ถึงแม้ว่าพวกเพื่อนใหม่ของเขาจะพยายามมาเรียกเขากลับเข้าไปอยู่ในกลุ่มก็ตาม

                ผมทำหน้าก็ไม่รู้สินะใส่พวกมัน ให้มันรู้ซะบ้างว่าของใครเป็นของใคร . . (ถึงแม้ว่าลู่หานจะทำไปเพราะเป็นผู้จัดการของผมก็เถอะ)

                “น่าเบื่อใช่มั้ยล่ะ . .” อาจารย์คิมยูฮันพูด “เราคงได้วอร์มอัพกันแล้ว ทีนี้ . . เรามาแข่งอะไรกันเพื่อความสนุกสนานดีกว่า”

                “โห่ยยยยยยยยยยย แข่งไรอ่ะอาจารย์ เหนื่อย! หิวข้าว!

                “ยุนมีจา วิ่งรอบสนามหกรอบ!

                “อะไรนะคะ”

                “เพิ่มเป็นแปดรอบ!

                มีจาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แต่เธอก็ออกวิ่งไปตามคำสั่งของอาจารย์ หลังจากที่มีจาโดนทำโทษ ผมกับเพื่อนร่วมห้องก็พากันเงียบกริบอย่างกับเป่าสาก

                “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่วิ่งระยะสั้น . . ไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าใครวิ่งเร็วที่สุดในห้อง” ทุกคนแอบบ่นในใจว่าไม่เห็นจะอยากรู้เลย . . หรือผมคิดผิดกันนะ ลู่หานที่ยืนข้างๆทำตาโตกระตือรือร้นที่จะแข่งเอามากๆ ให้ตายสิ ช่างไม่เข้ากับหน้าตาจิ้มลิ้มๆเลย

                “รอบละเจ็ดคนเป็นไง ผู้หญิงก่อนเลย ชนะที่หนึ่งที่สองมาดวลกับที่หนึ่งที่สองของอีกรอบนะ”

                ผู้หญิงห้องนี้มีสิบกว่าคน ผู้ชายก็เหมือนกัน . .

                เนื่องจากผู้หญิงต้องวิ่งก่อน พวกผมก็เลยพากันไปนั่งรอที่อัฒจรรย์ บางคนก็ไปดื่มน้ำ บางคนก็ไปชิ้งฉ่อง ส่วนผมนั่งอยู่บนอัฒจรรย์เงียบๆ ลู่หานหายไปไหนก็ไม่รู้ . . โผล่มาอีกทีเขาก็มาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กแล้ว

                ผมตกใจ . . “อีกแล้วเหรอ” จะดูแลดีเกินไปแล้ว T_T

                “แต่ฉันไม่ซับให้นะคราวนี้” ลู่หานพูดเสียงแข็ง ผมพยักหน้าหงึกๆทำเป็นเข้าใจ

                “งั้นฉันซับหน้าให้นายเอง” ผมเอาผ้าขนหนูผืนเล็กซับหน้าให้ลู่หานที่ร้องเหวอ และก็กระเด้งตัวให้ออกห่างจากผม

                “ไอ้ . . บ้า ทำบ้าอะไร”

                “จะเป็นไรไป นายเหงื่อเยอะกว่าฉันอีก”

                ลู่หานมองไปรอบๆราวกับหวาดกลัวสายตาผู้คน . . ผมมองอย่างงงๆว่าทำไมลู่หานต้องสนใจสายตาของคนอื่นด้วย “เอามานี่ ฉันจัดการเอง” เขาแย่งผ้าไปจากมือผมและก็เช็ดหน้าตัวเอง

                “ลู่หาน นายต้องวิ่งรอบถัดไปน่ะ” เพื่อนร่วมห้องกลุ่มใหม่ของลู่หานเรียกลู่หาน ลู่หานพยักหน้ารับ ทิ้งผ้าขนหนูลงบนหัวผมก่อนจะวิ่งไปยังสนาม

                แม้แต่กลิ่นเหงื่อยังหอมเลย . . (เซฮุนแกโรคจิตป่ะ?)

                “ดารา” มีคนพูดขึ้นมา . . ผมหันไปหาเจ้าของเสียงเป็นพวกเพื่อนกลุ่มใหม่ของลู่หานที่ผมจำชื่อไม่ได้ แต่เรียกแบบนี้เป็นอะไรที่คนอย่างผมไม่ชอบเอาเสียเลย มันเหมือนประชดประชันและยียวนกวนประสาทมาก “นายไปทำอะไร ทำไมจู่ๆลู่หานเขาถึงตัวติดกับนาย” มันถามอย่างสงสัยแต่ดูจากสีหน้าแล้ว . . มันค่อนข้างที่จะไม่สบอารมณ์

                แว้บแรกในความคิด สิ่งแรกที่อยากรู้  . . ไอ้บ้านี่มันชื่ออะไรวะ

                “ก็ไม่ได้ทำอะไร” ผมพูด . . แต่ที่จริงคือแด๊กตะกั่วเข้าไปในท้องก็แค่นั้นเอง

                มันเดินเข้ามานั่งข้างๆผม . . ดูก็รู้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่ในห้องจะยอมมันกันทั้งนั้น เพราะพอมันเดินมาหาผม พวกผู้ชายที่ไม่ได้วิ่งแม่งก็แตกกระจายกันออกไปราวกับหวาดกลัวไอ้หมอนั่นเอามากๆ

                ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน ก็แค่ตัวสูงและก็รูปร่างหนาหน่อยก็แค่นั้นเอง

                “อย่ามากวนTEEN

                มันพูดหยาบใส่ผม ท่าทางเรื่องนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ

                “ฉันมองเขาอยู่ และนายเข้าใจใช่มั้ย . . ว่าลู่หานต้องเป็นของฉัน” สายตาของมันจับจ้องไปที่ลู่หานที่กำลังวิ่ง . . ลู่หานไม่ได้ที่หนึ่ง ดีแล้วที่ไม่ได้ เพราะถ้าได้คือมันไม่เหมาะกับภาพลักษณ์เขาน่ะ

                ผมยิ้ม . . มองไปที่ลู่หานเหมือนกัน “ไม่เข้าใจ” ผมตอบมันทันที

                “ว่าไงนะ”

                “รอบต่อไป เชิญเร็วเข้า! อยากกินข้าวกันรึเปล่า!” อาจารย์ตะโกนเรียกขัดคอ ทำให้ผมกับไอ้นั่นต้องลุกขึ้นยืนและก็เดินไปที่สนาม

                “ถ้าฉันชนะ นายต้องเลิกยุ่งกับเขา” ไอ้นั่นมันพูดและมันก็เดินชนไหล่ผ่านหน้าผมไปเลย

                กวนTEENมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก . . ถ้าลู่หานไม่เดินมาหา ผมคงลากคอมันกลับมาและก็ตั๊นหน้าแมร่งให้ล้มลงไปกองแล้ว

                “ไอ้บ้านั่นมันชื่ออะไร” ผมขบกรามแน่น ก่อนถามลู่หาน

                ลู่หานที่เพิ่งวิ่งเสร็จคว้าผ้าขนหนูไปจากมือผมและก็มอง “อ๋อ . . มินจุน ทำไมเหรอ”

                “อย่าได้ . .เข้าใกล้มันอีกนะ”

                “ฮะ?”

                “นายต้องสนใจแต่ฉันใช่มั้ย”

                “อะไรของนายเซฮุน”

                “ต้องทำอย่างที่นายเคยพูด”

                “เออๆ รู้แล้ว ฉันจำได้น่า” ลู่หานดูรำคาญผมมาก “ฉันตัวติดกับนายมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไอ้บ้า ฉันทำงานคุ้มเงินน่า”

                “หึ” ผมเลื่อนหน้าเข้าไปกระซิบถึงหูลู่หาน “งั้นนายก็ต้องตัวติดกับฉันให้ตลอดนะ”

                พูดจบผมก็เดินไปยังสนามเพื่อแข่งวิ่งกับมินจุนทันที ไม่รู้ว่าข้างหลังผมลู่หานจะมีสีหน้ายังไง แต่ที่รู้ก็คือผมต้องเอาชนะไอ้มินจุนคนนี้ให้ได้ . .

                ผลปรากฏว่าผมชนะไอ้มินจุนชนิดที่ว่าฉิวเฉียดแบบสุดๆ มินจุนมองมาที่ผมอย่างโกรธแค้นขณะที่ตัวเองกำลังเหนื่อยหอบ ผมหอบนิดหน่อยส่งตาขวางไปให้มันอย่างผู้กุมชัยชนะ ลู่หานเดินเข้ามาหาผม ทำหน้างงๆเอ๋อๆด้วยขณะที่ส่งผ้าขนหนูมาให้(ผืนใหม่เอี่ยมครับ)

                “ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย”

                ผมไม่ตอบอะไร แต่เดินจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเป็นที่สุด




                ที่ฉันต้องจริงจัง ก็เพราะฉันทำเพื่อนายยังไงล่ะ . .

     

     

     







     

     

    พักกลางวัน . .

                เป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดเทอมเลยมั้งที่ผมมากินข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียน และทันทีที่ผมปรากฏตัว ความเงียบก็แผ่ปกคลุมไปทั่วอาคารโรงอาหารแห่งนี้เลย และหลังจากนั้นเสียงซุบซิบเสียงกรี๊ดกร๊าดก็ดังไปทุกสารทิศ

              “เขาใส่ชุดพละด้วยอ่ะ กรี๊ดๆๆๆๆ”

              “เพื่อนเขาก็หล่อนะ ดูสิ . . เด็กใหม่จากปักกิ่งใช่มั้ย”

              “ฉันอยากไปขอลายเซ็นของเขาจังTT

                ผมถอนหายใจและก็นั่งลงที่โต๊ะ ลู่หานยืนมองผมนิ่งๆ

                “อะไร” ผมโพล่งขึ้น

                “นายไม่ไปต่อแถวรับถาดอาหารเหรอ” ลู่หานถาม ผมมองไปยังคนที่ต่อแถวรอรับถาดอาหาร โรงเรียนผมเขากินข้าวกันแบบนี้เหรอ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปเอามาให้”

                ผมคว้ามือลู่หานไว้ทันที . . “ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปด้วย”

                หนึ่งคือผมไม่อยากให้เป็นภาระของลู่หาน และสองก็คือเริ่มมีผู้หญิงกรูเข้ามาหาผม ตอนที่ผมจะไปต่อแถวนั้น ความวุ่นวายก็เริ่มบังเกิด

                ลำบากลู่หานที่จะต้องคอยกันคนให้ผม . . น่าสงสาร

                “ขอทางด้วยนะครับ เซฮุนหิวข้าว”

                เขาทำหน้าที่เหมือนพี่แจซอกไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีใครเข้าหาผมได้ ทุกคนโดนกีดกันหมด และลู่หานก็โดนแขนคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ไม่รู้ว่าเขาจะโดนข่วนเหมือนที่ผมโดนในครั้งแรกหรือเปล่า ผมเริ่มเป็นห่วงเขานิดๆแล้วนะเนี่ย

                “ลู่หาน” มีคนมายืนขวางทางผมกับลู่หานเอาไว้ . . ไอ้มินจุน . . มันเหงื่อซ่กเหมือนคนเพิ่งเล่นกีฬาเสร็จและกำลังยืนกับพรรคพวกอีกประมาณสามถึงสี่คน แฟนๆของผมพร้อมใจกันตีตัวออกห่างและเริ่มทำตัวเป็นเกาหลีมุงแทบจะในทันที บางคนที่พร้อมถ่ายรูปอยู่แล้วก็เตรียมแชะภาพเต็มที่ เขาคงหวังอยากจะเห็นผมมีเรื่องมั้ง . .

                ซึ่งไม่แน่ว่ามันอาจจะมีเรื่องขึ้นมาในอีกไม่ช้านี้ก็เป็นได้ . .

                “มินจุน” ลู่หานรำพึง

                “ทำไมจู่ๆนายถึงต้องไปยุ่งอะไรกับไอ้ดาราบ้าบอนี่ด้วย” ท่าทางของมินจุนเอาเรื่องมาก . . เมื่อกี้ก็แพ้ไปแล้วไง ยังจะมายุ่งอะไรอีกวะ . .

                “ฉัน

                “นายโดนมันข่มขู่รึเปล่า ทำไมไม่บอกพวกเราล่ะ” มินจุนเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เกาหลีมุงเริ่มกระซิบกันไปทั่วเดาไปต่างๆนานาว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ผมกลืนน้ำลาย . . ไม่ตอบโต้อะไรทั้งนั้น

                “เปล่า

                “ลู่หาน . .” ไอ้มินจุนมันกำลังจะเข้ามาจับมือลู่หาน ผมเห็นดังนั้นจึงรีบเอาตัวเข้ามาขวางไว้ทันที

                “ทำไม . . แพ้แล้วไม่ใช่รึไง” ผมพูดเสียงเบา ให้มินจุนได้ยินคนเดียว . .

                “ไอ้ . .” มือของมินจุนกำลังจะง้างหมัด . . ลู่หานเลยผลักผมออกไปและก็เข้าไปหามินจุน

                “ไปกินข้าวกันเหอะ กินข้าวว่ะ” ลู่หานดึงแขนมินจุนให้เดินไปข้างหน้า

                มินจุนดูงุนงงแต่ก็ตามลู่หานไปแต่โดยดี . . ทิ้งให้ผมยืนเอ๋อคนเดียวท่ามกลางผู้คนที่คิดไปต่างๆนานา แต่สิ่งนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ผมให้ความสนอกสนใจ สิ่งที่ผมสนใจเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือแผ่นหลังของลู่หานที่เดินเคียงข้างไปกับไอ้มินจุนนั่น . . ทำไมวะ ทำไมต้องทิ้งให้ผมอยู่ท่ามกลางคนมากมายอย่างนี้ และทำไมต้องไปกับไอ้บ้านั่นด้วย . . ทำไมวะ

                ผมเดินหนีออกจากโรงอาหารทันทีอย่างอารมณ์เสีย เดินผ่านหมู่แฟนคลับที่พากันมายืนออรอถ่ายรูปรอขอลายเซ็นผมอย่างไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ตอนนี้ผมกำลังหงุดหงิดมาก และอยากไปที่ไหนไกลๆสักที่ เพื่อที่ผมจะได้ลบภาพบ้าๆนั่นออกไปจากสมองซะ . .

                ผมกำลังเป็นอะไร นี่ผมหวงเขาเหรอ หรือผมกำลังรู้สึกแย่ที่ต้องเป็นคนที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางผุ้คนที่ผมไม่รู้จัก . . ผมกำลังรู้สึกอย่างนั้นใช่มั้ย . . แต่ทำไมตอนที่พี่แจซอกปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว ผมกลับไม่ได้รู้สึกผิดหวังและหงุดหงิดขนาดนี้ล่ะ

                แค่นึกถึงภาพที่ลู่หานเดินคู่ไปกับไอ้มินจุน ผมก็แทบอยากจะกระชากร่างทั้งคู่นั้นให้แยกออกมาจากกันซะ!

                ปังๆๆๆ!

                ผมกำลังทุบประตูรถตู้ที่จอดนิ่งอยู่ข้างโรงเรียน ให้นึกภาพอย่างรู้นิสัยคนที่อยู่ด้วยกันมานาน พี่แจซอกคงกำลังจะสะดุ้งตื่นจากการนอนกลางวันเป็นแน่แท้

                “เซฮุน! . . มาทำอะไรที่นี่!” พี่แจซอกเปิดประตูรถให้ ผมรีบขึ้นไปนั่งและก็ปิดประตู

                “มีอะไรกินบ้าง” ผมถามอย่างหงุดหงิด

                “นายเป็นอะไรของนาย”

                “มีอะไรกินบ้าง” น้ำเสียงโทนเดิมไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเพิ่ม

                “อ๋อ ก็ . .” พี่แจซอกเหลือบมองไปที่ถุงมันฝรั่งทอดที่อยู่ข้างหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงผมหยิบมันขึ้นมาแกะกินก่อนเลย พี่แจซอกไม่ถามอะไรต่อ เพราะเขารู้ว่าต้องรอให้ผมมีอะไรลงท้องก่อน ผมถึงจะพูดต่อได้

                “เซ็ง” ผมพูดทั้งๆที่เคี้ยวตุ้ยๆ “ลู่หานไปกับไอ้บ้ามินจุน . . เขาทิ้งผมได้ยังไง ผมเป็นดาราของเขานะ!

                “หา . .

                “พี่แจซอกคิดดูสิ ตลอดทั้งวันเขาอยู่กับผมตลอด และทำไมตอนนี้เขาถึงทิ้งผมไปหาเพื่อนเขาเฉยเลย”

                “เอ้า ไอ้นี่ ก็เขามีเพื่อน เขาก็ต้องไปกับเพื่อนบ้าง ไม่เหมือนนายที่ . .” ผมหันขวับไปทันที ตอนที่พี่แจซอกกำลังจะบอกผมว่าผมไม่มีเพื่อน “โธ่เซฮุน นายก็ต้องเข้าใจนะว่าลู่หานจะอยู่กับนายดูแลนายตลอดที่โรงเรียนมันเป็นไปไม่ได้ เพราะที่โรงเรียนเขาก็ต้องเรียนและก็ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”

                ผมนั่งฟังอยู่สักพัก และก็ค่อยพูดขึ้นมา . . “ก็ถ้าเพื่อนมันคิดแค่เพื่อนจริงๆ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก”

                “หมายความว่าไง”

                “มันแทบจะกินหัวผมเข้าไปอยู่แล้วพี่แจซอก” ผมโวยวาย “ผมไม่อยากปล่อยให้ลู่หานไปอยู่กับกลุ่มไอ้บ้านั่นเลย . . มันไม่น่าไว้ใจ”

                “อะไร เขาอาจเป็นเพื่อนกันปกติก็ได้ นายน่าจะปล่อยให้ลู่หานของนายได้ใช้ชีวิตปกติบ้าง”

                “ผม . .

                “กินและก็กลับเข้าไปเรียนได้แล้ว . . วันนี้ตอนเย็นนายมีงานนะ”

                “งานอะไร”

                “เอ่อ คือว่า . .” พี่แจซอกทำหน้าเหมือนไม่ค่อยกล้าที่จะพูดออกมาเท่าไหร่ ผมทำหน้าไม่เข้าใจ และสักพักหนึ่งผมก็สามารถจับอะไรบางอย่างได้ บางอย่างที่ผิดปกติ  และบางอย่างที่ผมคิดว่ามันจะต้องใช่แน่ๆ

                ผมหันขวับไปมองเสื้อผ้าที่ห้อยอยู่หลังรถ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันหมายความว่าอะไร

                “พี่แจซอก!

                “เซฮุนน่า นายจะไม่ไปเจอแม่นายหน่อยเหรอ”

                “ผมไม่ไป ผมไม่ไป ผมไม่ไป!

                “เขาส่งชุดนี้มาให้นายโดยเฉพาะเลยนะ”

                “เขาก็แค่จะอาศัยช่วงที่ผมดังทำเงินให้คอลเล็คชั่นเสื้อผ้าของเขาน่ะสิ ไม่มีทาง!” ผมร้องใส่อย่างเหลืออด ทำไมรับงานไม่ปรึกษากันแบบนี้นะ และยิ่งเป็นงานที่ . . แม่ของผมขอมาแบบนี้ ผมยิ่งไม่อยากจะไปเลย ท่านเป็นดีไซน์เนอร์ และท่านมักจะไม่เห็นหัวผมเวลาที่ผมไร้ประโยชน์ ตอนเด็กๆเหตุผลที่ผมเข้ามาเป็นดาราก็เพราะแม่ แต่แม่ก็ไม่ได้สนใจผมมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อผมดัง แม่ก็เริ่มจ้างผมให้ไปถ่ายแบบให้ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เรื่อยๆ ซึ่งแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน . . ตอนที่ผมไม่ดัง ไม่เห็นจะสนใจหรือเห็นหัวกันบ้างเลย

                ทำไมต้องมีเรื่องให้ผมโมโหซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยนะ!

                “แต่เขาจ่ายตังค์มาแล้วนะ T^T” พี่แจซอกกดตัวเลขในบัญชีของผมให้ผมดู ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมหาศาลอยู่ ผมหันหน้าหนีไม่สนใจ “ไปเถอะเซฮุน ไปเถอะนะ”

                ให้ตายสิ . . ทำถึงขนาดนี้แล้วและผมจะปฏิเสธได้ยังไง มัดมือชกชัดๆ

                “ก็ได้ . . แต่มีข้อแม้ . .

                “ข้อแม้อะไรเหรอ”

                “ต้องไปตอนนี้” ผมเปลี่ยนท่านั่งเป็นนั่งสบายเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงาน

                “เดี๋ยว แล้วผู้จัดการอีกคนล่ะ”

                ผมทำหน้าบึ้ง . . เซ็งอย่างหาที่สุดไม่ได้

              “ไม่รู้! ผมงอนเขาอยู่!

     

     

     

     

     

     

              ห้องเสื้อ คังมิร่า

                ผมทำหน้าเหม็นเบื่อทันทีตอนที่ก้าวเข้าไปข้างใน ห้องเสื้อของแม่ใหญ่โตอลังการมากก็จริง แต่มันไม่น่าพิสมัยเลยสำหรับผม ผมอคติน่ะ

                “กรี๊ด คุณโอเซฮุน”

              “ลูกชายคุณมิร่า กรี๊ดดดด”

              “ตัวจริงเสียงจริง”

              ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ในชุดพละที่เหม็นเหงื่อแบบสุดๆ แต่ก็ยังมีพนักงานของแม่กรี๊ดผมอยู่ . .

                “คุณโอเซฮุน มาเร็วเกินไปรึเปล่าคะ” คนนี้เป็นผู้ช่วยเบอร์หนึ่งของแม่ ผมจำชื่อเธอไม่ได้ แต่จำหน้าได้ เธอมองดูนาฬิกาข้อมือ “นี่ยังไม่ใช่เวลาเลิกเรียนเลยนี่คะ”

                “ผมแค่อยากรีบมาทำงานและก็รีบเสร็จน่ะ” ผมพูดอย่างเย็นชา

                “เกรงว่าอาจรีบตามที่คุณเซฮุนต้องการไม่ได้นะคะ ตอนนี้เซ็ทฉากก็ยังไม่เสร็จ และช่างไฟบางคนก็ยังไม่มา”

                ได้ยินดังนั้นแล้วผมถึงกับกลอกตา . . “งั้นผมรอ”

                “เชิญไปรอที่ห้องคุณมิร่าได้เลยค่ะ”

                “อะไร ที่นี่ไม่มีห้องรับรองแขกเลยรึไง” ผมไม่ไปห้องทำงานของแม่เด็ดขาด

                “ระดับลูกชายของบอส ไปรอที่ห้องทำงานเลยดีกว่าค่ะ” ผู้ชายแม่ค่อนข้างเป็นผู้หญิงที่เคร่งครัดต่อกฏระเบียบเหมือนกัน ผมเคยโดนเธอดุบ่อยๆตอนที่ผมเป็นเด็ก . .

                “แม่ไม่อยู่ใช่มั้ย” น้ำเสียงผมอ่อนลง . . นี่ผมกำลังอยากเจอแม่หรือไม่อยากเจอแม่กันแน่

                “บอสออกไปซื้อของน่ะค่ะ”

                ชิ . . งานของตัวเองแท้ๆยังจะหนีไปช็อปปิ้งอีก ผมคิดอย่างเซ็งๆ พาตัวเองขึ้นไปยังห้องทำงานของแม่ที่อยู่ชั้นสอง และเกือบจะกินเนื้อที่ของชั้นสองทั้งหมด ห้องทำงานแม่เป็นห้องทำงานสไตล์โมเดิร์นสีขาวสลับชมพู            ตรงห้องทำงานของแม่มีรูปนางแบบนายแบบในคอลเลคชั่นเสื้อผ้าของแม่เต็มไปหมด แต่ไม่ยักกะมีรูปผมหรือรูปผลงานของผมเลยแม้แต่รูปเดียว มันน่าน้อยใจมั้ยล่ะ . .

                “ฉันขอรออยู่ข้างล่างนะ” พี่แจซอกขอตัว

                “รู้นะว่าจะไปจีบพนักงานแม่”

                “เออน่ะ เรื่องของฉัน”

                ช่างเป็นผู้จัดการที่ดีเหลือเกิน . . จะว่าไป ผมก็เริ่มคิดถึงผู้จัดการของผมอีกคนซะแล้วนะเนี่ย . .

                ป่านนี้อาจจะดีใจอยู่ก็ได้ที่เห็นผมโดดเรียน เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาทำหน้าที่ผู้จัดการคอยดูแลผม ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาทำน่ะทำตามหน้าที่ทั้งนั้น เขาไม่ได้ทำตามความรู้สึกของเขาหรอก เฮ้อ . . ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเซ็ง นึกดีใจที่พาตัวเองออกมานอกโรงเรียนซะได้ แต่ทำไมต้องมาเป็นที่นี่ด้วยก็ไม่รู้

                ที่ที่มีแม่มดสิงสถิตอยู่ . .

                “โอเซฮุน เอาเท้าลงจากโต๊ะแม่” ยังไม่ทันขาดคำ . . แม่มดที่ว่าก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เสียงส้นสูงกระทบพื้นไม้ปาร์เกต์ดังกึกๆๆ ผมสะดุ้งเอาเท้าลงทันที

                แม่ที่ผมเห็นล่าสุดคือห้าเดือนที่แล้ว . . ตอนนั้นแม่ยังผมยาวอยู่เลย ตอนนี้ผมสั้นเปรี้ยวแถมยังแต่งตัวได้ท้าลมหนาวสุดๆเว้าส่วนนั้นส่วนนี้ . .

                “อายุปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว ทำไมถึงกล้าแต่งตัวแบบนี้” บอกตามตรง . . ผมก็หวงแม่ผมนะ

                “อย่ามาหยาบคายกับแม่นะ” แม่ว่าผมทันที “ลุกขึ้นมาจากโต๊ะแม่ แม่กำลังเตรียมงานอยู่” แม่ดึงผมให้ออกจากโต๊ะทำงานของเธอ และก็นั่งลงแทนที่ทันที

                “งานที่จ้างผมมาน่ะเหรอ”

                “ก็ใช่น่ะสิ”

                “ถ้าผมไม่ทำล่ะ . .” ผมท้าทาย

                “แม่ก็จะฟ้องลูก . . โทษฐานที่ลูกไม่ทำตามสัญญาว่าจ้าง” แม่พูดได้อย่างเป็นเรื่องปกติและเย็นชามาก ผมกำหมัดแน่น นี่ลูกของแม่แท้ๆนะ กอดสักนิดก็ไม่มี แถมเจอหน้ากันยังพูดถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นอย่างแรก เป็นแม่ประสาอะไร . .

                “งั้นก็รีบๆทำซะ ผมอยากออกไปจากที่นี่เต็มแก่” พูดเสร็จผมก็เดินหนีออกจากห้องไปเลย . . น้ำเสียงของผมสั่นนิดๆและมือไม้ของผมก็สั่น ผมโกรธ แต่ผมเสียใจมากกว่า แม่ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย เย็นชายังไงก็เย็นชาอย่างนั้น เห็นผมเป็นแค่ก้อนเลือดก้อนหนึ่งหรือยังไง ทำไมไม่สนใจผมบ้าง . .

                ทำไมวันนี้มีแต่คนทำให้ผมผิดหวังนักฮะ . .

                “ผมโดนไล่มา ผมอยากนอนพัก”

                ผมบอกกับผู้ช่วยแม่ ซึ่งเธอพยักหน้าเข้าใจ และก็พาผมไปยังห้องรับรอง (ซึ่งทำไมไม่พาไปตั้งแต่แรกวะ)

                ผมนอนหลับตา . . จนเผลอหลับเข้าไปในที่สุด . . รู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่มีคนเข้ามาในห้อง

                “พี่แจซอกเหรอ เขาเริ่มทำงานกันยังอ่ะ” ผมถามเสียงงัวเงียและค่อนข้างเพลีย

                “โดดเรียนทำไม” ไม่ใช่เสียงพี่แจซอก ผมสะดุ้งสุดตัวและก็ลุกขึ้นนั่ง ตรงหน้าของผมคือลู่หานที่อยู่ในชุดนักเรียน สะพายเป้มาสองใบซึ่งก็คือของเขาและก็ของผม . . “ทำไมถึงทำอะไรตามใจตัวเอง”

                ผมยังคงโกรธ(ที่จริงคืองอน)เขาอยู่ ผมเลยปั้นสีหน้าเย็นชาใส่ . . “ฉันแค่ขี้เกียจเรียน”

                “โกหก”

                “แล้วจะทำไม นายไม่ต้องมาสนใจอะไรฉันขนาดนั้นก็ได้”

                “แต่ว่า

                “ไอ้มินจุนมันคงเป็นเพื่อนที่ดีมากล่ะสิ” ผมอดประชดประชันไม่ได้ . . ลู่หานทำสีหน้ามีน้ำโหใส่ผม เขาฟาดเป้ลงบนเก้าอี้ และก็พูดเสียงดังฟังชัด

                “ไปแต่งหน้าได้แล้ว ตอนนี้ทุกคนพร้อมแล้ว”

                “ไม่ไป” ผมยียวน

                “โอเซฮุน”

                “ก็ฉันไม่อยากไปนี่”

                “นี่นาย . .” ลู่หานร้องด่าผม “เป็นเด็กสามขวบเหรอ นายอายุสิบเจ็ดแล้วนะ ทำไมต้องทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้”

                “ก็ฉันไม่มีคนเอาใจไง ฉันเลยต้องเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้น่ะ!

                “เป็นอะไรของนาย . .

                “ช่างฉันเถอะ” ไม่เข้าใจคนงอนหรือไงเล่า . . ง้อสิ . . มีคนงอนก็ต้องมีคนง้อสิ . .

                “นายจะไม่ไปใช่มั้ย” ลู่หานถามอย่างพยายามมีความอดทน . . แน่นอนว่าเขาคงไม่ง้อผมหรอก “ฉันต้องเรียกพี่แจซอกมั้ย”

                กับพี่แจซอกผมยิ่งเอาแต่ใจมากกว่านี้อีก . .

                “ถ้างั้น . . ฉันจะเรียกเจ้าของแบรนด์”

                อันนี้สิ . . โจมตีได้ตรงเป้าแบบสุดๆ

                โว้ย . . “ก็ได้” ยอมแพ้ก็ได้วะ “แต่มีข้อแม้ . .

                “ข้อแม้อะไร นี่งานนาย และก็เงินของนายนะ” ลู่หานแทบจะหมดความอดทนกับผม

                “นายต้อง . .” ผมลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปใกล้ลู่หานราวกับต้องการแกล้ง . .

                “อะไร!” ลู่หานดูตกใจมาก . .

                “นี่นายไม่รู้ตัวเลยเหรอว่านายเพิ่งทำผิด” ผมยังคงต้อนลู่หานให้จนมุมเรื่อยๆ . . จนหลังของลู่หานชิดผนังห้องอีกฝั่ง

                “ฉันทำผิดอะไรวะ” ลู่หานพยายามยกมือขึ้นมาดันผมให้ถอยออกห่าง แต่ขอโทษ แรงแค่นี้ทำอะไรโอเซฮุนไม่ได้ . .            

                “นายทิ้งฉัน”

                “

                “นายปล่อยให้ฉันมองแผ่นหลังของนาย”

                “

                “นายทำผิดเงื่อนไข”

                “เงื่อนไขอะไร” คราวนี้ลู่หานใจกล้ามากขึ้น หันมาสบตากับผมอย่างอยากรู้คำตอบ “ฉันก็อยู่กับนาย คอยช่วยเหลือดูแลนายสารพัด . . ฉันทำผิดตรงไหน นี่ถ้านายไม่โดดเรียนตอนบ่ายฉันคงจะ

                “เงื่อนไขที่ว่า” ผมพูดสวนลู่หาน “นายจะต้องสนใจฉันคนเดียว”

                ลู่หานนิ่งไปในทันที . . เขาดูเหมือนจะพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

                “นายทำผิดจริงๆใช่มั้ยล่ะ”

                “ฉันไม่ผิดนะ”

                “นายไปกับไอ้มินจุน”

                “ก็มันเป็นเพื่อน”

                “เพื่อนที่คิดมากกว่าเพื่อนงั้นเหรอ!

                “โอเซฮุน นายเป็นดาราของฉัน หรือนายเป็นเจ้าของของฉันกันแน่ ฉันว่าอย่างหลังไม่น่าจะใช่นะ” ลู่หานเงยหน้าขึ้นมาต่อปากต่อคำกับผม ในแบบที่ผมอึ้ง และเถียงกลับไปไม่ได้ “ฉันเป็นนักเรียน ฉันก็ต้องมีเพื่อน นายเป็นดารา นายอาจไม่เข้าใจ”

                “นายชอบไอ้มินจุนมันงั้นเหรอ” . . ใช่มั้ย . . ลู่หานชอบไอ้บ้านั่นใช่มั้ย . . เขาถึงมาพูดกับผมแบบนี้

                “อะไรนะ นายเสียสติไปแล้วเหรอ”

                . . . ผมกำลังแข็งทื่อไปทั้งตัว สิ่งเดียวที่มีความรู้สึกก็คือหัวใจที่หล่นไปอยู่ตาตุ่ม และกำลังโดนลู่หานเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี

                “คุณเซฮุน เราพร้อมแล้วค่ะ” ผู้ช่วยของแม่เข้ามาตามผม . .

                ผมมองหน้าลู่หานอีกครั้ง . . ลู่หานยังคงโกรธผมไม่หาย . . และก็คงจะเหม็นขี้หน้าผมเอามากๆ เขาถึงทำหน้าแบบนั้นใส่ผม . .

                “ใช่ . .” ผมพูดขึ้นมา . . น้ำเสียงของผมอ่อนลง แต่ทว่าหัวใจของผมยังคงร้อนรุ่ม

                “

                . . ฉันคงเสียสติไปแล้วจริงๆ”

     

     

     

     

     

     

              “คุณเซฮุนครับ ลองขยับนิดนึงนะครับ ลองนั่งดูดีมั้ย” ช่างภาพกำลังพูดกับผมอยู่ ตอนนี้ผมกำลังอยู่นุชุดเสื้อผ้าของแม่ และกำลังจะถ่ายแบบลงในแคตตาล็อค บอกตามตรงว่าวันนี้ผมไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำงานเอาซะเลย ถึงแม้ว่าจะมีผู้จัดการคนใหม่หน้าสวยคอยยืนดูอยู่ไม่ห่างก็เถอะ . .

                มันคงจะดีกว่านี้ . . ถ้าเมื่อกี้เขาไม่พูดแบบนั้นออกมา . .

                “คุณเซฮุนครับ มองกล้องด้วย”

                ช่างภาพเตือนผมเป็นครั้งที่แปด หลังจากที่สายตาของผมมักไปหยุดอยู่ที่ผู้จัดการหน้าสวยของผมเสมอ ซึ่งบางครั้งเขาก็มองกลับมา บางครั้งเขาก็หันไปคุยกับพี่แจซอก และก็ทีมงานคนอื่นๆ

                ทำไมกับเราไม่ยิ้มแบบนั้นมั่งวะ . .

                “คุณเซฮุน เชิดหน้าขึ้นอีกนิดนึงสิครับ”

                ผมเชิดหน้า . .

                “และก็อย่าทำเหมือนผมไปแย่งคนรักของคุณได้มั้ยครับ T^T ตาของคุณขวางเอามากๆเลย”

                แย่งคนรัก . . หึ เปรียบเทียบได้ตรงจังหวะดีจริงๆ

                ผมหันซ้ายหันขวาโพสต์ท่าอย่างมืออาชีพเขาทำกัน แต่มีบางครั้งที่สายตาของผมไปหยุดอยู่ที่ลู่หาน และผมก็มองเขาอยู่อย่างนั้น . .

                ตอนนี้เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ . .

                คุยกับใคร . . คำถามแรกที่พึงบังเกิด . .

                “คุณเซฮุนครับ ทางนี้ . .

                เสียงช่างภาพไม่ได้เข้าหูผมเลย เพราะผมมัวแต่มองผู้จัดการของผมคุยโทรศัพท์งุ้งงิ้งอยู่กับคนอื่น เขาหัวเราะและก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสติหลุดลอยไปไกลอย่างกู่ไม่ค่อยจะกลับ . .

                “คุณเซฮุน . .” ช่างภาพเห็นผมไม่ตอบรับสักที เขาเลยหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ . .

                “เปลี่ยนชุดละกัน . . เอาชุดพระเอกของคอลเล็คชั่นนี้มา” แม่สรุปในที่สุด . .

                ผมถูกดึงให้ไปเปลี่ยนชุด . . ตอนนั้นลู่หานเพิ่งวางโทรศัพท์และก็กำลังจะวิ่งมาส่งน้ำให้ผมดื่ม .  .

                ผมรับขวดน้ำมา . . และก็บอกลู่หาน “ไปช่วยฉันแต่งตัวหน่อย”

                “หา”

                “เร็วๆเข้า” เป็นครั้งแรกที่ผมชอบคำพูดของแม่ แม่เห็นงานของแม่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญกว่าเรื่องยิบย่อยเสมอ และลู่หานก็ไม่มีความกล้าพอที่จะปฏิเสธแม่

                “ก็ได้” เขาตอบรับเสียงอ่อย . .

                ทีมงานพาผมมายังห้องแต่งตัว ในห้องมีชุดสูทสีขาวชุดหนึ่งที่มีขลิบสีเงินประดับ . . มันสวยงามอลังการมากจนไม่ผิดที่แม่จะเรียกมันว่าพระเอกของคอลเล็คชั่น

                ผมยืนนิ่ง จ้องหน้าลู่หาน

                “อะไร” ลู่หานถาม

                “นายไม่ถอดเสื้อให้ฉันเหรอ”

                “นายถอดเองไม่เป็นเหรอ”

                ผมทำหน้าซีเรียส ลู่หานก็เลยถอนหายใจ . . และก็เริ่มถอดเสื้อให้ผม โดยเริ่มจากเสื้อนอกก่อน

                ผมจ้องมองเขาไม่วางตา มองด้วยสายตาที่ผมเองก็พอจะรู้ตัวอยู่ว่าเป็นสายตาแบบไหน ลู่หานดูเก้ๆกังๆนิดๆ แต่เขาก็พยายามที่จะพุ่งสมาธิไปยังเสื้อผ้าของผมมากกว่าแทนที่จะมาสนใจสายตาของผม

                “นายจะมองอะไรนักหนา” ลู่หานหมดความอดทนจึงบ่นออกมา

                “เมื่อกี้นายคุยกับใคร”

                “คุยอะไร”

                “ที่โทรศัพท์”

                “มันเรื่องของฉัน” ลู่หานพูดทันที . .

                ผมเป็นดาราของเขา ไม่ใช่เจ้าของเขา . . ผมก็พอจะรู้ตัวอยู่ . .

              “ฉันก็แค่สงสัย . .  เห็นนายดูมีความสุข” บอกมาเลยว่าเป็นมินจุน . . ผมจะได้เจ็บครั้งเดียวและก็จำมันไปอย่างนั้น . .

                แต่พระเจ้าคงอยากให้ผมสู้ต่อ . .”ลู่ถิงน่ะ” ลู่หานยิ้มออกมาอย่างน่ารัก เขาดูมีความสุขที่ได้พูดถึงน้องสาว “เขาโทรมาให้กำลังใจฉันเรื่องทำงานให้นาย”

                “เขาบอกว่าไงบ้าง” ผมยิ้มออกเหมือนกัน . . ให้ตายเถอะ นึกว่าเป็นไอ้บ้ามินจุน . .(โอเซฮุนเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดไปเองเก่งที่สุดรองจากผู้หญิง)

                “เขาบอกว่านายมันเอาแต่ใจ บ้าอำนาจ เย็นชา หลงตัวเอง”

                “ลู่ถิงพูดอย่างนั้นจริงๆเหรอ” เธอเป็นคลับผมไม่ใช่เหรอ . .

                “จริงสิ” ลู่หานพูด ตอนนี้เขากำลังจะหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในของสูทมาใส่ให้ผมแล้ว . . “เขากลัวว่าฉันจะทำงานไม่ไหว”

                “แล้วนาย . .ไหวมั้ย” ผมมองตามลู่หานไปในทุกอิริยาบถ ที่จริงผมลุ้นกับคำตอบมากเลยล่ะ

                “นายดู . . แปลกๆ ท่าทางนายกลัวว่าฉันจะไปเป็นผู้จัดการของคนอื่น”

                กลัวจะไปเป็นแฟนคนอื่นต่างหาก . . มั่วจริงๆเลย

                “แต่ก็พอไหว” ลู่หานยักไหล่ เริ่มใส่เสื้อให้ผม ตอนนี้ผมกับเขาอยู่ใกล้ชิดกันมาก ผมนั่งอยู่บนโต๊ะให้เขาใส่เสื้อให้ (แอ๊บว่าใส่เสื้อไม่เป็นสินะ - -)  แก้มของเขาอยู่ห่างจากจมูกผมนิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น ผมห้ามใจตัวเองอย่างหนักไม่ให้เขยิบหน้าเข้าไปหอมแก้มเขา . . กลิ่นของลู่หานลอยเข้ามาในจมูกผม นั่นทำให้ผมสติกระเจิดกระเจิง . . อยากจะกดเขาลงไปนอนราบที่โซฟาเดี๋ยวนี้

                “หันหลัง”  ลู่หานพูด

                ผมหันหลังในที่สุด ตายังคงมองลู่หานอยู่ในกระจก แต่เพิ่งเห็นว่าตัวเองหน้าแดงขนาดไหน

                โอ้ย ไอ้เซฮุน เอ็งเป็นเอามากนะ . .

                “เสร็จหรือยังเนี่ยเซฮุนน่า เขารอพวกนายนานมากแล้วนะ” พี่แจซอกโผล่หน้าเข้ามาดู . . เขาทำหน้าล้อเลียนใส่ผมเล็กน้อยลับหลังลู่หานที่กำลังตั้งใจใส่ชุดให้ผม “ลู่หานออกไปข้างนอกทีสิ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหากับบางชุดของเซฮุนน่ะ”

                “เอ่อ ครับ” ลู่หานรับคำงงๆ ปัญหาเกี่ยวกับชุดผม แล้วมันเกี่ยวอะไรกับลู่หานวะ!

                พอลู่หานออกจากห้องไป ผมก็วีนแตกใส่พี่แจซอกที่เพิ่งเข้ามาทันที

                “อะไรของพี่! กำลังสวีทได้ที่เลยนะ! ทำไมต้องมาขัดด้วย!

                “ไอ้นี่ . . ใจเย็นๆ ฉันมีอะไรจะบอก”

                “อะไรล่ะ” ผมลงมือแต่งตัวต่อเองอย่างเซ็งๆ

              “ลู่หานทำเพื่อนาย”

                ผมหันขวับไปมองพี่แจซอกทันที

                “เมื่อกี้เขามาบ่นกับฉัน ที่จริงเขามาปรึกษาฉันหลายเรื่องเลยล่ะเกี่ยวกับนาย และที่เขาทำแบบนั้น เพราะเขากลัวว่านายกับไอ้เด็กมินจุนจะมีเรื่องกัน ตอนที่มีคนกำลังจับตามองพวกนายอยู่”

                “

                “ไอ้เด็กนั่นมันกำลังจะต่อยนาย และฉันรู้ว่านายต้องสวนหมัดกลับไปอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองแน่ๆ”

                ผมนิ่งอึ้ง . . จริงที่สุด . . เวลามีคนทำร้ายผม ผมมักจะขาดสติ ทำร้ายมันกลับทุกที

                “เจ้าลู่หานมันเกิดมาเพื่อเป็นผู้จัดการของนายจริงๆ ดูซิ แค่วันแรกก็รู้ซะแล้วว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ งานฉันสบายขึ้นเยอะ . .

                “ผม ผม . .

                “อย่าคิดมากเรื่องลู่หานกับไอ้เด็กนั่นล่ะ ดูยังไงก็แค่เพื่อน เพื่อนเท่านั้น”

                “

                “มันไม่มีทางได้ใกล้ชิดลู่หานแบบนายแน่ เพราะฉะนั้นพยายามทำคะแนนเยอะๆล่ะ”

                ราวกับมีคนยกเอาก้อนหินหนักอึ้งออกไปจากใจของผม รู้สึกโล่งโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูก ลู่หานทำเพื่อผม ลู่หานทำเพื่อผม! นี่ผมดีใจได้มั้ยเนี่ย . . ผมดีใจได้ใช่มั้ย!

                “เซฮุน ออกมาข้างนอกได้แล้ว” แม่มดเดินมาตามด้วยตัวของตัวเองเลยทีเดียว

                การถ่ายทำชุดนี้จะเป็นชุดสุดท้าย . . ฉากถูกเปลี่ยนเป็นสวรรค์ชั้นฟ้าโดยเปรียบเทียบให้ผมเป็นเทวดา ผมเชื่อว่าผมทำงานดีขึ้น หน้าตาสดใสขึ้น เพราะผมเพิ่งโล่งจากอาการคิดมากเรื่องลู่หานไป . .

                “ยังไม่ดีพอ” แม่พูด “เซฮุน ไหนลองจ้องแม่ซิ”

                อะไร ทำไมยังไม่ดีพออีก . . ผมจ้องแม่ตาขวาง

                “ไม่ใช่แบบนั้น มองดีๆหน่อยสิ นี่แม่นะ”

                เชอะ . . ผมทำสีหน้าให้อ่อนโยนลง

                “ไม่ได้อ่ะ ใช้ไม่ได้” แม่สั่นหน้า อะไรกัน นี่กำลังดูถูกสกิลการโพสต์ท่าของผมอยู่นะแม่!

                “คุณเซฮุนลองมองมาที่กล้องดูนะครับ” ช่างภาพช่วยแม่อีกแรง “คอนเสปต์ของชุดนี้ก็คือเจ้าชายในฝันบินลงมาจากฟากฟ้าเพื่อสาวๆ คุณต้องมองมาที่กล้อง เหมือนกำลังมองคนที่คุณรักอยู่ครับ”

                นี่มันถ่ายรูปหรือถ่ายหลังฮอลลีวู้ดวะ มันต้องใช้อินเนอร์ขนาดนั้นเลยเหรอ . .

                ผมพยายามจินตนาการว่าตัวเองกำลังมองคนรักอยู่ที่หน้ากล้อง ช่างภาพก็คอยแชะ ๆ ๆ และแม่ก็คอย . . “ไม่ได้ ไม่ดี ไม่เอา เอาใหม่” . . ขัดอยู่เรื่อยๆว่ามันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้

                ผมเซ็งมาก เลยมองลู่หานที่กำลังยกแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้ทีมงานทุกคน . .เห้ย ใครใช้งานผู้จัดการของผมวะ!

                “นี่แหละ แบบนี้เลย!” แม่ร้อง “เซฮุน เมื่อกี้ลูกมองใครน่ะ”

                เวรกรรม . . ใครมันจะไปตอบตรงๆล่ะแม่

                “ดิฉันเห็นคุณเซฮุนมองผู้จัดการเด็กของเขาตลอดเลยค่ะ” ผู้ช่วยแม่พูดขึ้นมา

                “อะไรกันคุณ ถ้าลู่หานเป็นผู้จัดการเด็ก ผมก็เป็นผู้จัดการแก่งั้นเหรอ” พี่แจซอกพูดสวน เอ๋ . . จะใช่ผู้ช่วยแม่รึเปล่านะ ที่พี่แจซอกกำลังจีบ . .

                “จะยังไงก็ช่างเถอะ เธอ วางถาดน้ำ แล้วมายืนอยู่ตรงนี้” แม่ประกาศลั่นสั่งลู่หานที่ทำหน้าเอ๋อ “เร็วๆเข้า!

                ทีมงานหยิบถาดน้ำไปจากมือลู่หาน และก็ดันตัวลู่หานให้มายืนอยู่ข้างๆกล้อง

                แม่จะทำอะไร ?

                “เอาล่ะ ทีนี้ เซฮุน มองเด็กคนนี้ซะ”

                ว่าไงนะ . .

                “ไม่ต้องมาทำหน้างง แม่บอกให้มอง”

                “ทำไมอ่ะ”

                “เพราะสายตาที่ลูกมองมันใช่ในแบบที่แม่อยากได้ . . มองสิ”

                จู่ๆก็ให้มองลู่หาน . . บ้าหรือเปล่าเนี่ย . . ผมมองหน้าลู่หาน มอง . . มองใบหน้าที่จิ้มลิ้มและสวยหมดจดนั่น ความรู้สึกแปลกๆเริ่มแผ่ซ่านขึ้นมา จากเล็กๆขยายเป็นมวลก้อนใหญ่ที่ผมเองเริ่มจะทนไม่ค่อยไหว . . การที่ลู่หานมองตอบกลับมานั่นทำให้ผมไม่กล้าที่จะสบตาเขาต่อ . .

                “โอ้วมายก้อด” ช่างภาพพึมพำ “ผมว่ามันโอเคมาก”

                “ไหนดูซิ” แม่มองไปที่จอภาพ “ดีมาก เอาแบบนี้แหละ”

                “เสร็จหรือยัง” ผมกลืนน้ำลาย ถอนสายตามาจากลู่หาน ให้ตายสิ ทำอะไรไม่ถูกเลย

                “เสร็จแล้ว” แม่พูด “ทำดีมาก และก็ก่อนกลับ . .ตามแม่ขึ้นไปที่ห้องด้วย”

                ผมกลอกตา ไม่รู้ว่าแม่มดจะสั่งอะไรผมอีก . . แต่ตอนนี้ผมกำลังรับขวดน้ำมาจากลู่หาน ไม่ได้สนใจแม่เลยสักนิด .  .

                “เมื่อกี้แม่นายทำอะไร”

                “นั่นสิ” ผมทำเป็นไม่รู้ “เหนื่อยมั้ย” ผมถามเขา . .

                “มันเป็นคำถามที่ฉันควรถามนายไม่ใช่เหรอ”

                “ก็ถามมาสิ”

                “เหนื่อย . . รึเปล่า” ลู่หานเงยหน้าขึ้นมา เอาตาโตๆของเขามาจ้องผม . . แม่เจ้า หัวใจจะวาย น้ำเสียงอ่อนโยนไม่พอ(เซฮุนคิดไปเอง) ยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก(นี่ก็คิดไปเองอีก) . . ใจเต้นชิบหายยยยยยยยยย

                “ก็ . . ไม่เหนื่อยหรอก”

                มีนายอยู่ใกล้ๆ ฉันไม่มีเหนื่อยอยู่แล้ว . .

                “รีบไปเปลี่ยนชุดเร็ว . .

                “นายไม่มาเปลี่ยนให้เหรอ”

                “อย่ามาทำตัวเป็นเด็กสามขวบหน่อยเลย”

                เขาดันตัวผมให้เดินไปข้างหน้า . . ผมยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข มีลู่หานมาทำงานด้วยตลอดแบบนี้ มันเป็นอะไรที่ดีเอามากๆ . .

     

     

     

               

     

     

                ห้องของแม่

                “เป็นไงบ้าง” เมื่องานเสร็จแล้ว แม่มดถึงได้เริ่มเปิดฉากบทสนทนาแบบที่ควรจะเป็น

                ผมทำหน้าเซ็ง ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ในชุดนักเรียนอีกครั้ง นั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงานแม่อย่างไร้มารยาท “ก็ตามที่เห็น”

                “แม่ถามดีๆนะ”

                “ผมก็ตอบดีๆเหมือนกัน”

                “เซฮุน”

                “ครับ”

                “แม่มีเรื่องจะบอก”

                “อะไร . . แม่จะขอให้ผมเซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แม่ หรือแม่จะให้ผมหอบเสื้อผ้าของแม่กลับบ้านเพื่อเวลาผมใส่คนจะได้อยากรู้ว่าผมใส่ชุดแบรนด์ของใครใช่มั้ย” ผมพูดรัวเร็ว

                “แม่จะตั้งบริษัทที่ญี่ปุ่น”

              ผมชะงักกึก หันขวับมามองหน้าแม่ทันที

                “แม่จะแต่งงานใหม่”

              “นี่มันกี่ครั้งแล้ว” ผมลุกขึ้นยืน ตะโกนเสียงดังอย่างคนต้องการอาละวาด “แม่แต่งงานใหม่กี่ครั้งแล้ว!

                “เซฮุน”

                “แม่ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าคนอื่นเขาจะมองแม่ยังไง!

                “แม่ไม่สนใจคนพวกนั้นหรอก”

                “แล้วผมล่ะ!!!!” คราวนี้ผมมั่นใจว่าเสียงของผมต้องดังลงไปถึงข้างล่างแน่ๆ “ผมเป็นลูกแม่นะ!!! ทำไมแม่ไม่สนใจผมบ้าง!!!

                “แม่ทำเพื่อลูกนะ” แม่พูด น้ำเสียงไม่ได้อ่อนโยนเลยสักที

                “พอที!” ผมตัดบท “แม่จะทำอะไรก็ทำ มันเป็นเรื่องของแม่ . . และถ้าแม่ไปอยู่ญี่ปุ่น ผมไม่ไปเยี่ยม”

                พูดจบผมก็เดินออกมาจากห้องทันที เกือบชนลู่หานที่เพิ่งเดินขึ้นมา . .

                “เป็นอะไรไป” ลู่หานถาม

                “กลับกันได้แล้ว” ผมพูดเสียงดัง

                ผมเดินลงไปข้างล่าง ชนกับพนักงานของแม่คนนั้นคนนี้จนกระทั่งมาถึงที่รถ . .

                โชคดีที่ตอนนี้ผมอยู่บนรถคนเดียว ผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกที่ผมเก็บกดเอาไว้มาถ่าโถมเข้ามาขนาดไหน . . น้ำตาของผมที่สะกดมันเอาไว้อย่างเนิ่นนานเริ่มปริ่มที่ขอบตาอย่างควบคุมไม่ได้ ผมเช็ดมันออก ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าผมอ่อนแอ โดยเฉพาะ .  .ลู่หาน ที่หอบอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมาบนรถด้วย     

                ผมรีบหันหน้าหนีทันที ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังเศร้าและก็เสียใจขนาดไหน

                “นาย ..” ลู่หานนั่งลงข้างๆผม “เป็นไรรึเปล่า”

                “เปล่า” เสียงของผมสั่น

                “แม่นาย . . เขาฝากไอ้นี่มา”

                ลู่หานพยักเพยิดไปที่กล่องหนึ่งกล่องตรงหน้าเขา ผมหันกลับไปมอง  . .

                โมเดลหุ่นยนต์กันดั้ม . . ลิมิเต็ดอิดิชั่น รุ่นใหม่ล่าสุด เพิ่งออกวันนี้

              นี่ออกไปซื้อไอ้นี่มาเหรอ . . ผมเม้มปาก . . พยายามสะกดความรู้สึกลงไปให้ได้มากที่สุด . . แต่มัน . .ทำได้ยากชะมัด

                ผมหันหน้าหนี มองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งที่ลู่หานจะมองไม่เห็นใบหน้าของผม . .

                “มีอะไรเล่าให้ฟังก็ได้นะ”

                ลู่หานคนดี . . คนดีของผม “แค่วันแรกก็เหนื่อยมากแล้วใช่มั้ย” ผมพูด ทั้งๆที่ไม่หันไปมองหน้าเขา

                “ก็ . .เหนื่อย”

                “เดี๋ยวได้เหนื่อยกว่านี้อีก”

                “ไม่เป็นไร . . ก็มันเป็นงานนี่”

                ได้ยินแล้วก็เซ็ง . . บางครั้งผมก็อยากเห็นเขาทำอะไรออกมาจากความรู้สึกบ้าง . .ไม่ใช่ทำเพราะหน้าที่ไปหมดแบบนี้ . .

                “ถ้าวันไหนนายทนฉันไม่ได้ขึ้นมา . . นายบอกฉันได้ตลอดเลยนะ” ผมพูดเสียงเบา . .

                ในรถมีแต่ความเงียบ . . จนกระทั่งผมได้ยินเสียงลู่หานเปรยขึ้นมาเบาๆเช่นกัน

              “คงอีกนาน . . มั้ง”

     

     

     




     

              ผมคิดว่าคำตอบนั้นมันเป็นคำตอบที่น่ารักดีทีเดียว









    CHIFFON_CAKE SAY HI : เป็นชะนีและสิ่งมีชีวิตที่กำลังติดสอบ T_T
    ขอขอบพระคุณคนอ่านทุกคนเลย ผลตอบรับดีเกินคาด TT ซาบซึ้งในน้ำใจค่ะ
    มีคนถามหาฮุนหานคิสแอนด์ฮัค นิยายเรื่องนั้นอยู่ในแฟนเพจของคนเขียนนะคะ
    ยังไม่ได้ไปต่อเลย 55555555 T_T รักษาสุขภาพนะ พบกันตอนหน้า
    ฮฺนหานอิสเรียลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล : )
    ปล.บอกต่อกันเยอะๆ แทคต่อกันเยอะๆ รีเยอะๆ #ผู้จัดการของผม ^^


    :) Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×